ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสานองค์ประกอบความเป็นอยู่ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดการเข้าพักที่โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก
มร.พอล ฮาวโค ผู้อำนวยการด้านเวลเนส ดุสิตอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ภายใต้แนวคิดใหม่นี้ สัมผัสในมิติต่าง ๆ ของเวลเนสจะหลอมรวมไปกับประสบการณ์ของลูกค้าตลอดช่วงเวลาที่พักอยู่ที่ดุสิตธานี ผ่านการบริการที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากภูมิปัญญาไทย หลักการปฏิบัติตามวิถีชาวพุทธ และการมอบบริการอย่างอบอุ่นแบบไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของดุสิต โดยมีเป้าหมายหลักคือเพื่อช่วยส่งเสริมให้ลูกค้าของดุสิตมีคุณภาพการใช้ชีวิตและการกินอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งร่างกายและจิตใจด้วยการหยุดพักมาใช้เวลากับตัวเองในการดูแลสุขภาพ และทดลองสัมผัสประสบการณ์การดูแลฟื้นฟูสุขภาพหลากหลายรูปแบบนอกเหนือจากบริการสปาในโรงแรมแบบเดิมๆ
“ด้วยความรวดเร็วของชีวิตสมัยใหม่และผลกระทบของการระบาดทั่วโลกที่นำไปสู่ความไม่สงบ ความเครียด และความวิตกกังวล การที่เราได้มีโอกาสให้ร่างกายและจิตใจได้หยุดและช้าลงชั่วคราวด้วยวิธีการที่เรียกว่า Deceleration ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ Pause หยุดพัก (โยคะ การฝึกสมาธิ การฝึกการหายใจ การแพทย์แผนไทย และกิจกรรมเสริมสร้างความมั่งคงทางอารมณ์) Focus มุ่งที่เป้าหมาย (เมนูอาหารสำหรับเฉพาะบุคคล การออกกำลังกาย และกิจกรรมฟิตเนสต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและแข็งแรง) และ Growth เจริญเติบโต (กิจกรรมเวิร์คชอปเกี่ยวกับความยั่งยืน โปรแกรมช่วยเหลือหรือสร้างความร่วมมือกับชุมชน และกิจกรรมพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและคู่รัก ไปจนถึงกลุ่มนักธุรกิจและผู้ที่เดินทางเพื่อการพักผ่อน) จึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย ซึ่งเรามั่นใจว่า แนวทางที่เป็นเอกลักษณ์นี้จะช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ทางการตลาดของโรงแรมบางแห่งที่เปิดให้บริการมานาน เช่น ดุสิตธานี หัวหิน ที่เปิดให้บริการมายาวนาน 30 ปี ให้มีจุดเด่นใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ ซึ่งตรงนี้จะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว” มร.พอลกล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันโกลบอล เวลเนส ระบุว่า มูลค่าของตลาดโลกด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีการขยายตัวเติบโตสูงขึ้นจาก 563 พันล้านดอลาร์สหรัฐฯ ในปี 2558 มาเป็น 639 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2560 หรือเฉลี่ยแล้วโตขึ้นปีละ 6.5% และจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก คาดว่าความต้องการด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ส่วนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น ‘Medical and Wellness Resort of the World’ ภายในปี 2567 อีกด้วย ซึ่งดุสิตธานีมีความพร้อมสำหรับการตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี โดยมั่นใจว่า นอกจาก เทวารัณย์ เวลเนส จะเป็นบริการเสริมที่เพิ่มคุณค่าของการบริการแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันรายได้เพิ่มเติมให้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีอีกด้วย
สำหรับกิจกรรมภายใต้ เทวารัณย์ เวลเนส ที่นำมาปฏิบัติที่โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก เริ่มตั้งแต่การต้อนรับด้วยน้ำมันหอมระเหยเมื่อลูกค้าเดินทางมาถึง บริการในห้องพักที่มีชุดดูแลความงามระดับพรีเมียมสำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษเตรียมไว้ในห้องน้ำ และการฉายคลิปวิดีโอสาธิตพิธีกรรมการทำสมาธิก่อนนอน ซึ่งแต่ละโรงแรมก็จะจัดกิจกรรมและโปรแกรมเวลเนสที่มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไปโดยพิจารณาจากปัญหาหรือความกังวลใจของลูกค้าส่วนใหญ่ในโลเคชั่นนั้นๆ อาทิ การผ่อนคลายความเครียด การล้างพิษ และการนอนหลับลึก นอกจากนั้น ยังได้มีการนำเสนอกิจกรรมเวลเนสให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละแห่ง เช่น โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ที่เพิ่งจะรีแบรนด์ เทวารัณย์ สปา ให้เป็น เทวารัณย์ เวลเนส เมื่อไม่นานมานี้ และเพิ่มการบริการให้มีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นโยคะ การฝึกทำสมาธิ และการบำบัดด้วยเสียงหรือ Sound bath นอกเหนือไปจากบริการนวดและทรีตเม้นต์ประเภทต่างๆ
ส่วนโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน มีบริการอาหารเมนูเพื่อสุขภาพที่ปรุงจากวัตถุดิบธรรมชาติที่ปลูกเองในฟาร์มผักออร์แกนิกของโรงแรม และยังจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมเรื่องเวลเนสอย่างต่อเนื่องเป็นประจำด้วย เช่น งาน Local Feast ที่มีเวิร์คช็อปกิจกรรมส่งเสริมชุมชนท้องถิ่นและกิจกรรมสร้างสุขนิสัยที่เอื้อต่อการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพอย่างยั่งยืน และโรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ ที่เพิ่งเปิดให้บริการเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาในสนามกอล์ฟลากูน่า เนชั่นแนล กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ซึ่งใช้พื้นที่หลายส่วนในโรงแรมสำหรับการจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปด้านเวลเนส นอกจากนี้แล้วยังให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพจากวัตถุดิบที่ปลูกเองในฟาร์มออร์แกนิกของโรงแรมเหมือนกับที่หัวหินอีกด้วย
ผู้อำนวยการด้านเวลเนส ดุสิตอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวด้วยว่า ดุสิตธานียังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมและโปรแกรมด้านเวลเนสสำหรับลูกค้าที่มาร่วมงานประชุมและงานสังสรรค์ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น โครงการ "Meet Well at Dusit" ที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคนิวนอร์มอล ที่ประกอบไปด้วย การออกกำลังกายด้วยการหายใจและการยืดกล้ามเนื้อ ไปจนถึงเมนูที่เน้นโภชนาการ และกิจกรรมเสริมเพื่อสุขภาพ เช่น โยคะและการบำบัดด้วยเสียง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่หลากหลายเพื่อให้การประชุมมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้มั่นใจว่า แนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของเทวารัณย์ เวลเนส จะช่วยทำให้โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตมีบริการที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้น ทั้งจากสปาที่มีรางวัลการันตีคุณภาพมากมายและกิจกรรมด้านเวลเนลหลากหลายรูปแบบที่จะมอบประสบการณ์ดีๆ ในการดูแลตัวเองของแต่ละโรงแรม
มร.พอล ฮาวโค เข้าเริ่มทำงานที่ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยก่อนหน้านี้ได้พัฒนาแนวคิดด้านสุขภาพให้กับเครือโรงแรมชั้นนำหลายแห่ง เช่น โรสวูด, จูไมราห์ และแฟร์มอนต์ มร.พอล เชื่อว่า แนวทางใหม่ในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของดุสิตธานีจะช่วยเพิ่มคุณค่าและความน่าสนใจให้กับโรงแรมและรีสอร์ท ซึ่งการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเหมาะกับลูกค้าทุกประเภท ทั้งธุรกิจและนักท่องเที่ยว และยังนำไปสู่โอกาสในการรับธุรกิจไมซ์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย