บางแห่งเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ตั้งรับยึดหลัก “ก้าวช้าๆ อยู่บนความระมัดระวัง” แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางของแม่ทัพใหญ่แห่ง APM สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม หรือ “พี่ป้อม” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (Asset Pro Management Co.,Ltd) หรือ APM เพราะเป้าหมายการเติบโตของ APM Group ในปีนี้ ถูกตั้งไว้ที่อัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 30%
“เมื่อเราเป็นผู้บริหาร ย่อมรู้ดีว่ามีอุปสรรคและความท้าทายภายนอกเป็นกำแพงขวาง เรายิ่งต้องท้าทายตัวเองเพื่อหาทางทะลุกำแพงเหล่านั้นไปให้ได้ ยิ่งรู้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี เราต้องยิ่งทำงานหนัก ไม่ใช่ให้มันมาเป็นอุปสรรค จริงๆ มันไม่มีอุปสรรคอะไรน่ากลัวไปกว่าวิธีคิดว่า “เราทำไม่ได้” แต่สำหรับ “นักรบ APM” เรามีเพียงวิธีคิดเดียวคือ เราเชื่อว่ามันต้องมีโอกาสให้โต”
-- พี่ป้อมเกริ่นก่อนนำเข้าสู่รายละเอียดของแผนการเติบโตครั้งใหญ่ของ APM Group ในปีนี้
APM ในประเทศไทย - โตอย่างมี “เซอร์ไพรส์” บนเสถียรภาพปีที่ 24
ด้วยประสบการณ์การทำงานในตลาดทุนไทยมานาน 23 ปี ก้าวสู่ปีที่ 24 ในปีนี้ พี่ป้อมมองว่า APM มีความมั่นคงในวิธีการทำงาน บุคลากรทั้ง 60 ชีวิต เปรียบได้กับ “เครื่องจักรอัจฉริยะ” ที่แค่กดปุ่ม START ทุกคนก็รู้แล้วว่าควรทำอะไรเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายและทำให้เกิดผลลัพธ์ดีที่สุดภายใต้กรอบนโยบายที่วางไว้
สำหรับแผนงานของ APM ในประเทศไทย มีทั้งหมด 5 ด้าน เริ่มจากด้านที่ปรึกษาการเงิน (FA: Financial Advisor) เพื่อนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ผ่านการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO: Initial Public Offering) โดยหลายปีที่ผ่านมา APM ผลักดันบริษัทเข้า IPO ได้เฉลี่ยปีละ 2-6 ราย แต่ปีนี้ พี่ป้อมมีนโยบายถึงทีมผู้บริหาร APM ว่าอยากให้มีผลงาน IPO ถึง 7 ราย เพื่อทำลายสถิติหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับปี 2562 บริษัทมีผลงานผลักดัน IPO ได้สำเร็จ 2 ราย เนื่องจากบรรยากาศของตลาดหุ้นที่ผันผวนสูงมากส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อผู้ประกอบการในการนำหุ้นเข้าตลาดและนักลงทุนในการลงทุน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยการวางแผนอย่างดีของ APM ทั้งการหารือร่วมกับผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น หรือการพาไปโร้ดโชว์พบปะนักลงทุนกลุ่มกองทุนและสถาบันถึงต่างประเทศ ก็ทำให้หุ้น IPO ทั้ง 2 บริษัทได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากหุ้นเกินจองแล้วราคายังยืนอยู่เหนือราคาจองได้อย่างสวยงามในวันซื้อขายวันแรก (First Trading Day)
“ถ้าถามว่าอยากได้อะไรในปีนี้ เราอยากได้ IPO มากกว่านี้ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการเข้าสู่ตลาดทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ซึ่งถ้าได้สัก 5-6 บริษัท ถือว่าน่าพอใจแล้ว เพราะมันก็ท้าทายมากอยู่แล้ว แต่ถ้าทะลุกำแพงไปถึง 7 บริษัท จะทำให้เรากลายเป็น FA ที่มีผลงาน IPO มากสุดติดอันดับ TOP5 ของประเทศในแง่ของจำนวนบริษัท นั่นเป็นการตอกย้ำว่า APM Group มีศักยภาพ ไม่เพียงเฉพาะ APM ในประเทศไทย แต่ในระดับอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่เราเข้าไปดำเนินงานอยู่”
พี่ป้อมเล่าถึงสาเหตุที่ปีที่ผ่านมา APM มีผลงาน IPO ค่อนข้างน้อย เนื่องจากบริษัทมีโฟกัสในงานอีก 3 ด้านสำคัญที่เข้ามาชดเชยทางด้านรายได้ ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาการเงินในการทำเรื่องกู้ยืมเงิน (Loan Arrangement) ที่ปรึกษาการเงินในด้านการร่วมทุนและควบรวมกิจการ (Joint Venture and Merger & Acquisition) และการทำหน้าที่ที่ปรึกษาอิสระ (IFA: Independent Financial Advisor)
ถึงแม้ว่าปีนี้ เป้า IPO จะสูงถึง 5-6 บริษัท แต่พี่ป้อมก็ย้ำว่าในงานอีก 3 ด้านก็จะไม่ยอมผ่อน อีกทั้งยังมองว่างานใน 3 ด้านนี้ ในปีนี้น่าจะมีสัญญาณดีกว่าปีที่แล้วด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ ยังมีงานด้านสุดท้ายคือ การจัดสัมมนาหรือเสวนาเพื่อให้ความรู้และข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุน เช่น งาน Dinner Talk ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 3-4 บริษัท พบปะพูดคุยกับนักลงทุนในแต่ละจังหวัด โดยปีนี้มีแผนจัดถึง 12 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และล่าสุดเมื่อต้นปี 2563 ได้เริ่มเวที Exclusive Talk ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนรายเดียวพบกับกลุ่มนักลงทุนในจังหวัดต่างๆ
นอกจากนี้ APM ยังทำ “หลักสูตร High Flyer Entrepreneur” เพื่อให้เตรียมความพร้อมทางความรู้เกี่ยวกับเรื่องตลาดเงินตลาดทุน กฎเกณฑ์กติกาของ กลต. ธรรมาภิบาลในองค์กร (Corporate Governance) ตลอดจน วิธีคิดและการวางตัวในฐานะผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนฯ ฯลฯ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยในปีนี้เตรียมเปิดรุ่นที่ 10 ในเดือน พ.ค. หรือ มิ.ย. และคาดว่าจะมีอีกครั้งช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการ SME ภายใต้หัวข้อ “ตลาดทุนสร้างโอกาส SME ให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ซึ่งมีการหมุนเวียนไปให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทยและผู้สนใจ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทจัดสัมมนาใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สุราษฎร์ธานี พิษณุโลก อยุธยา และสมุทรสาคร
พี่ป้อมยอมรับว่า แผนทั้ง 5 ด้านสำหรับ APM ประเทศไทยในปีนี้ ค่อนข้างท้าทาย หรือเรียกได้ว่าค่อนข้างกดดัน แต่สำหรับภาษาที่พี่น้องนักรบ APM คุยกัน จะมองว่านี่คือเส้นชัยที่ขีดไว้เพื่อให้ทุกคนวิ่งไปคว้าชัยชนะกลับมา
APM (LAO) – บุกเบิกการเติบโตและพัฒนาการสู่ตลาดทุนลาว
APM เข้าสู่ สปป.ลาว ตั้งแต่ปี 2013 หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่ง สปป.ลาว (LSX: Lao Securities Exchange)
เพิ่งเปิดตัวเพียง 3 ปี ถือได้ว่า APM (LAO) ได้มีส่วนร่วมในตลาดทุนลาว ตั้งแต่ช่วงเริ่ม “ตั้งไข่” เลยก็ว่าได้ ในวันนี้ ตลาดหุ้นลาวมีหุ้น 11 บริษัท โดยมีถึง 3 บริษัทที่เป็นหุ้น IPO ที่เกิดจากการผลักดันของ บล. APM (LAO)
เป้าหมายด้าน IPO ของ APM (LAO) พี่ป้อมเล่าว่า ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการเตรียมตัวอย่างหนักสำหรับการยื่นไฟลิ่ง (Filing) ธุรกิจสัมปทานขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างมากของ สปป.ลาว ได้แก่ ธุรกิจน้ำประปา เพื่อให้สามารถ IPO ได้ภายในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจลอจิสติกส์ที่อยู่ในไปป์ไลน์เช่นกัน แต่ทั้งนี้ APM (LAO) อาจสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการยื่นไฟลิ่งธุรกิจหลักทรัพย์ภายในปีนี้ ก็เป็นไปได้เช่นกัน
ถ้าทำได้ตามแผน ปีนี้ยื่น IPO ธุรกิจหลักทรัพย์ ปีหน้ามีธุรกิจน้ำประปา แค่ปีละรายก็ถือว่าน่าพอใจแล้วสำหรับตลาดหุ้นลาว เพราะกว่าจะสร้างได้แต่ละบริษัท ไม่ง่ายเหมือนตลาดหุ้นไทย แต่แผนที่สำคัญกว่าของ APM (LAO) คือการเป็นฟันเฟืองสำคัญ (Pioneer) ที่จะบุกเบิกการเติบโตสู่ตลาดหุ้นลาว ร่วมกับหน่วยงาน กลต. ของ สปป.ลาว (LSCO: The Lao Securities Exchange and Commission Office) หรือ คคซ. และจับมือกับอีก 2 บริษัทหลักทรัพย์ในลาว (บล.ล้านช้าง และ บล.BCEL-KT) เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาการด้านตลาดทุนสู่ประเทศ สปป.ลาว
โดยเรื่องแรก คือการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนทั้ง 11 บริษัทให้ออกเครื่องมือทางการเงิน ที่เรียกว่า “ใบสำคัญสิทธิในการซื้อหุ้น” หรือ Warrant โดยหลังจากประชุมร่วมกับ คคซ. และ บล.อีก 2 แห่ง พี่ป้อมเชื่อว่าถ้าสามารถผลักดันให้กฎระเบียบออกมาทันในไตรมาส 3 ปีนี้ จะเริ่มเห็นการยื่นไฟลิ่ง Warrant ในไตรมาส 4 โดยน่าจะเริ่มจากหุ้นบริษัทซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า APM ถือเป็นหนึ่งในหัวจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์ (Derivative) และ Warrant ให้เกิดกับตลาดทุนลาวมาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ บริษัทเป็นผู้ผลักดันให้เกิดโปรแกรมสัมมนา Derivative Training Program ครั้งที่ 1 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนไทยจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อทำความเข้าใจให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินและตลาดทุนของ สปป.ลาว
“การที่เราจะร่วมขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ของกลุ่มประเทศ CLMV สิ่งที่สำคัญคือ ต้องช่วยในเรื่องการให้การศึกษาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้ให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรามองว่านี่ถือเป็นบทบาทสำคัญที่ต้องเข้าไปทำ เพราะเขาก็ต้องการ Know-how จากประเทศไทย นี่คือเรื่องสำคัญแรกในลาว”
เรื่องต่อมา คือการผลักดันกิจการรัฐวิสาหกิจ (State-owned Enterprise) ทั้ง 50 องค์กรของ สปป.ลาว เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ลาว หรือเปิดกิจการอื่นๆ เพื่อให้มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน โดย คคซ. ต้องการให้ที่ปรึกษาการเงินทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บล.ล้านช้าง, BCEL-KT และ APM LAOร่วมกันศึกษาถึงความพร้อมและให้คำแนะนำแก่รัฐวิสาหกิจเหล่านั้น เพื่อนำไปสู่การระดมทุนได้ด้วยตัวเอง
สุดท้ายเป็นเรื่องการออกพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ภายใต้การเสนอต่อ คคซ. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ สปป.ลาว โดยก่อนนี้ อาจเคยมีการออกหุ้นกู้เอกชนบ้างแต่ก็ในรูปแบบสกุลเงินกีบ ทั้งนี้ คาดว่าพันธบัตรรัฐบาล สปป.ลาว จะออกได้ภายในไตรมาส 1 นี้ โดยระหว่างนี้ APM และ APM (LAO) มีหน้าที่พาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปโร้ดโชว์กับนักลงทุนกลุ่มสถาบันในประเทศหลักๆ อย่างสิงคโปร์และฮ่องกง
นอกจากมิติทางธุรกิจ อีกพันธกิจสำคัญของ APM (LAO) คืองานด้านการให้การศึกษาและความรู้พื้นฐานกับผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนลาว โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากตลาดเงินและตลาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลอด 6 ปีกว่าที่ดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว APM ได้จัดอบรมสัมมนาหมุนเวียนไปจนครบ 16 แขวงและนครหลวงเวียงจันทน์ โดยในปีนี้ บริษัทมีแผนจะไปจัดสัมมนาที่แขวงใหม่ล่าสุด คือ ไชยสมบูรณ์
“โดยสรุปก็คือ ใน สปป.ลาว เราต้องให้การศึกษาในระดับที่ก้าวหน้ากว่าความรู้เกี่ยวกับตราสารทุนแบบพื้นฐาน อย่างเรื่อง Warrant คือตัวอย่างที่ชัดเจนของพัฒนาการด้านตราสารทุน ต่อไปเราคงต้องพูดถึง Convertible Debenture หรือหุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งเป็นพัฒนาการสู่ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เมื่อผู้คนในตลาดทุนลาวเข้าใจกลไกการทำงานของตราสารต่างๆ เหล่านี้ ตลาดทุนลาวก็ย่อมจะถูกพัฒนาและเติบโตไปได้”
APM (Cambodia) – เรียนรู้ต่อยอดควบคู่ยุทธศาสตร์ Dual Listing
APM เข้าสู่ประเทศกัมพูชาตั้งแต่ปี 2017 แต่ได้ใบอนุญาตที่ปรึกษาการเงิน (License) และจัดตั้งบริษัท APM (Cambodia) Securities Co.,Ltd. ในปี 2018 ส่วนก้าวสำคัญในปีที่ผ่านมา คือการได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาการเงินจาก Park Café ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของกัมพูชา ปัจจุบันมีอยู่ 17 สาขา โดยมีภารกิจสำคัญ ได้แก่ ดีลการร่วมทุนกับ 2 กองทุนจากไทยและยุโรป มูลค่าการร่วมทุน 10-15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดีลการซื้อแฟรนไชส์จากบริษัทในไทย พร้อมกับภารกิจใหญ่ภายใน 3 ปี คือการนำ Park Café เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งกัมพูชา (CSX: Cambodia Securities Exchange) เพื่อรองรับการเติบโตตามแผน 5 ปีที่ตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 100 สาขา พร้อมกับเปิดครัวกลางเพื่อรองรับการขยายสาขา
ส่วนแผนการ IPO ในปีนี้ APM (Cambodia) มีแผนผลักดันบริษัท Century21 จำกัด บริษัทตัวแทนซื้อขายและเช่าที่ดินซึ่งเป็นแฟรนไชส์จากประเทศอเมริกา เข้าตลาดหุ้นเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (คล้าย mai ในเมืองไทย) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “Growth Board” โดยทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเพียง 5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังมีอีกโปรเจ็กต์ไฮไลท์คือ การเชิญชวนและให้คำปรึกษาแก่บริษัทที่จดทะเบียนใน CSX ในการขายหุ้นเพิ่มทุนด้วยวิธี Dual Listing ซึ่งเป็นการนำหุ้นที่จดทะเบียนอยู่แล้วในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เข้าระดมทุนด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตลาดที่สอง (Secondary Listing) ทั้งนี้ จากบริษัทจดทะเบียนใน CSX ที่มีอยู่ 5 บริษัท
โดยขณะนี้พี่ป้อมกำลังอยู่ระหว่างผลักดันให้ 1 ใน 5 บริษัทจดทะเบียนใน CSX ทำ Dual Listing เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
“บทบาทของ APM คือการเป็นแกนกลางขับเคลื่อนและประสานงานเพื่อให้ กลต.ของประเทศไทย และ กลต.ของประเทศกัมพูชา (SECC: The Securities and Exchange Commission of Cambodia) ได้วางแนวทางในการกำกับดูแล (Regulatory Mapping) ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่หลักการในการปฏิบัติ ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย การนำหุ้นบริษัทจดทะเบียนใน CSX มาทำ Dual Listing ในตลาดหุ้นไทยก็น่าจะเกิดขึ้นได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้”
นอกจากนี้ APM (Cambodia) ยังจับมือกับ บล. SBI Royal ในกัมพูชา เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการออกหุ้นกู้ให้กับ 3 บริษัทเอกชนในกัมพูชา โดยออกในรูปแบบของสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรก โดยมีมูลค่ารวมกัน 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมทั้งร่วมกันนำหุ้นกู้ไปโร้ดโชว์กับกองทุนกว่า 20 รายในประเทศสิงคโปร์ ในช่วงเดือนมกราคม 2563 เพื่อเปิดโอกาสเข้าถึงสร้างตลาดนักลงทุนคุณภาพให้กับหุ้นกู้ทั้งสาม
พี่ป้อมย้ำว่า การทำงานในมิติของการให้การศึกษาและความรู้ด้านตลาดทุนถือเป็นบทบาทสำคัญของ APM ในตลาดกัมพูชาเช่นกัน โดยในปีนี้ APM เป็นแกนนำโดยจับมือกับ CSX และ บล. SBI Royal จัดสัมมนาในหัวข้อ “ตลาดทุนสร้างโอกาสเติบโตให้ SME อย่างไร” ซึ่งจะจัดมากถึง 4 ครั้ง โดยหมุนเวียนไปใน 4 แขวงใหญ่ของประเทศ ประกอบด้วย พนมเปญ, สีหนุวิลล์, เสียมราฐ และปอยเปต ทั้งนี้ โมเดลการเรียนรู้ของตลาดกัมพูชาคงเดินตามตลาดหุ้นของ สปป.ลาว ที่มุ่งส่งเสริมความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานแล้วต่อยอดไปจนถึงระดับก้าวหน้า เพื่อผลักดันให้เกิดการเติบโตและพัฒนาในตลาดทุนกัมพูชาในระยะยาว
ประเทศที่ตลาดทุนเริ่มพัฒนาใหม่ๆ ถ้าเราไม่เป็นผู้นำในเรื่องการให้ความรู้ความเข้าใจ มันจะไม่มีทางไปได้ เราถึงต้องให้ความสำคัญกับหน้าที่ให้การศึกษา แต่ถ้าเราจะไปคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีทางยั่งยืน
Partnership for Success กลยุทธ์สู่ผลลัพธ์ “ชนะทุกฝ่าย”
“ปี 2020 เราเปิดศักราชด้วยการเปิดกว้างในมิติของการจับมือเป็นพันธมิตรหรือเป็นหุ้นส่วนกัน (Partnership) มากขึ้น โดยเฉพาะใน สปป.ลาว และกัมพูชา เราคิดว่าอาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อเปิดกว้างให้พันธมิตรในสองประเทศนี้เข้ามาช่วยกันทำงานมากขึ้น โดยเรามากขึ้น อย่างโครงสร้างการถือหุ้น ปัจจุบัน เราถือหุ้นใน APM (LAO) และ APM (Cambodia) ประมาณ 80% อาจจะเหลือถือหุ้นแค่ 60% ขณะที่ในไทย เรากำลังคิดจะเปิดกว้างให้มีพันธมิตรให้เข้ามาใกล้ชิดแบบทางตรงและทางอ้อมเพิ่มขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่า ภายใน 1-2 ปีนี้ เราต้องปรับวิธีการทำงานให้เปิดกว้างและทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิดมากขึ้น”
ทั้งนี้ สำหรับประเทศเมียนมาและเวียดนาม พี่ป้อมกล่าวว่า ภายใน 5 ปีนี้ APM Group ไม่มีนโยบายเข้าไปเปิดออฟฟิศใน 2 ประเทศนี้ แต่จะใช้วิธีเชิญชวนและให้คำแนะนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเมียนมาหรือเวียดนาม มาระดมทุนในตลาดที่สอง (Secondary Listing) ที่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยแทน โดยใช้ประสบการณ์การทำ Dual Listing ให้กับบริษัทจดทะเบียนในกัมพูชามาพัฒนาต่อยอด
“ฉะนั้น เราถึงต้องให้ความสำคัญกับการนำที่จดทะเบียนใน CSX เข้าตลาดหุ้นไทยเป็น Dual Listing ภายในปีนี้ เพราะนี่ถือเป็นกรณีศึกษา และยังเป็นหุ้นตัวแรกที่จะเป็น Talk-of-the-Town สำหรับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป้าหมายของเราคือต้องทำให้ได้”
สุดท้ายนี้ พี่ป้อมย้ำว่า ยุทธศาสตร์จากนี้ของ APM Group คือ Partnership for “Success” ซึ่งความสำเร็จของผู้บริหารไฟแรงคนนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความสำเร็จของเครือบริษัท แต่ความสำเร็จ ณ ที่นี้ หมายถึง ผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย (Mutual Benefits) ทั้งพันธมิตรทางธุรกิจ พันธมิตรในมิติของความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐในประเทศต่างๆ ไปจนถึงองคาพยพต่างๆ ในระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตลาดทุน อาทิ บริษัทกฎหมาย บริษัทผู้สอบบัญชี ฯลฯ
“เราจะสำเร็จได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย เราจะได้ความร่วมมือก็ต่อเมื่อได้รับความไว้วางใจ APM พยายามเข้าไปเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการพัฒนาตลาดทุนของประเทศที่เราเข้าไป โดยเฉพาะมิติของการให้การศึกษา เมื่อทุกภาคส่วนมีความรู้ ก็จะเกิดการขับเคลื่อนให้เกิดธุรกิจ แล้วสุดท้ายโอกาสทางธุรกิจก็จะตามมาหาเราเอง ไม่ใช่ตั้งใจเข้าไปเพื่อทำแต่ธุรกิจ หวังแต่กำไร เพราะสุดท้ายแล้วธุรกิจก็จะไปไม่ได้ไกล และไม่ยั่งยืน” --- พี่ป้อมทิ้งท้าย
การพูดคุยกับพี่ป้อมครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้เห็นภาพการเติบโตครั้งใหญ่ของ APM Group ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่ยังฉายให้เห็นภาพรวมการเติบโตของตลาดทุนในกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึงตลาดทุนไทย ในอนาคตอันใกล้ โดยจะเห็นว่ามีหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่แอคทีฟอย่างมากในการขับเคลื่อนนิเวศของตลาดทุน CLMVT นี้ นั่นก็คือ ผู้นำกองทัพนักรบแห่ง APM Group ผู้มีชื่อว่า “สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม” นั่นเอง
เรื่อง / ภาพ : กองบรรณาธิการ