นายวีรโชติ ตั้งกมลสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (ที่สองจากขวา) นางสาวอรุณี ตั้งกมลสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (คนแรกขวา) และ นางสาวพิมพ์วริศ จารุศรีสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (คนแรกซ้าย) บริษัท เซเว่นไฟว์ ดิสทริบิวเตอร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ครัวเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทย พร้อมด้วยนางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร (ที่สองจากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือในการจัดงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2024 (Food & Hospitality Thailand 2024) เพื่อจัดแสดงสินค้าและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับครัวและอาหาร แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจในธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม โรงงาน โรงเรียน ธุรกิจบริการ ฯลฯ เมื่อเร็วๆ นี้

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

“เซเว่น อีเลฟเว่น” จับมือ “วี ฟาร์ม” SME ระดับประเทศ เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ “3 ให้” หวังสร้างระบบ Ecosystem สำหรับ SME เต็มรูปแบบ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกาศดันสินค้าโอท็อป 5 ดาว จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง ก้าวสู่ Local Snack ในรูปแบบอินเตอร์ ภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า” ลุยตลาดโมเดิร์นเทรด วางจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อน SME และสินค้าไทยสู่ชาวโลก

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเผยว่า เซเว่น อีเลฟเว่น มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจ SME และชุมชน พร้อมกับสังคม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามปณิธานองค์กร “Giving & Sharing” ผ่านกลยุทธ์ 3 ให้ ได้แก่  1.ให้ความรู้ 2.ให้ช่องทางขาย และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อก่อให้เกิดเป็น Ecosystem สำหรับ SME ในการสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนด้วยตัวเองในอนาคต

“ระบบเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนได้นั้น ระบบเศรษฐกิจชุมชน สังคม และธุรกิจ SME ซึ่งถือเป็นฐานรากสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ต้องเข้มแข็ง และแข็งแรงเสียก่อน เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะหน่วยงานที่ร่วมทำงานกับ SME ในทุกมิติมากว่า 30 ปี เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงมีความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงที่จะสนับสนุน ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สังคม และธุรกิจ SME อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อสร้าง Ecosystem สำหรับ SME ให้เกิดขึ้นในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ระดับชุมชน และเกษตรกร ในการช่วยสร้างความมั่นคงด้านรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการ SME เองก็จะได้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ นำมาผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน พร้อมส่งต่อสู่ผู้บริโภค เมื่อสินค้าเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และตลาดจะช่วยเพิ่มขีดศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ผลิตภัณฑ์วี ฟาร์ม (V Farm) และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบในการสร้าง Ecosystem สำหรับ SME ที่ทาง เซเว่น อีเลฟเว่น ดำเนินการผ่านกลยุทธ์ 3 ให้ ด้วยการให้องค์ความรู้ด้านการผลิตที่ได้มาตรฐานกับกลุ่มวิสาหกิจฯ  ขยายช่องทางตลาดสู่ร้านค้าโมเดิร์นเทรด  โดยยกระดับจากเดิมที่ผลิตเป็นสินค้าโอท็อป  และสร้างเครือข่ายสำคัญ อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป  ภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า”

ด้าน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม” กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนมาอย่างต่อเนื่องร่วม 10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ 3 ให้ของเซเว่น อีเลฟเว่น จึงได้ร่วมกัน ทำ MOU เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง นำผลไม้ขึ้นชื่อของ บ้านดอนทอง จ.นครปฐม อย่างกล้วยหอมทองที่คุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์ มาแปรรูปในลักษณะของLocal Snack ภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า” 

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็น “ตะกร้า” เพราะ “ตะกร้า”เป็นภาชนะที่ใช้ใส่ผลผลิตด้านการเกษตรที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย ลักษณะการสานของตะกร้าสื่อถึงการประสานความร่วมมือของเซเว่น อีเลฟเว่น  วีฟาร์ม และวิสาหกิจชุมชน รวมถึงเกษตรกรท้องถิ่นในการทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ในระบบนิเวศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเกษตรของไทย และผลักดันให้เป็น Local Snack เอกลักษณ์เฉพาะถิ่น มาตรฐานระดับโลก “สานความตั้งใจ สร้างความยั่งยืน เพื่อชุมชน และเกษตรกรไทย”

“ความร่วมมือกันระหว่าง เซเว่นฯ และบริษัทฯ ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่จะก่อให้เกิด Ecosystem สำหรับ SME เต็มรูปแบบ ผ่านการวางแผนการทำงานร่วมกันในทุกมิติ ตั้งแต่เรื่องการปลูก การผลิต การพัฒนาสินค้า โดยจะเน้นการนำนวัตกรรม การวิจัย และพัฒนามาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และในอนาคตจะขยายขอบเขตการทำงานโดยประสานความร่วมมือเพิ่มเติมกับเครือข่ายอื่น เช่น สถาบันการศึกษา หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีทางการเกษตร หรือ AgriTech และเทคโนโลยีทางอาหาร หรือ Food Tech เพื่อร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรจากกลุ่มวิสาหกิจฯ ควบคู่กับสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร ชุมชน และระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของ SME ในอนาคต” นายอภิรักษ์กล่าว

“วี ฟาร์ม ตะกร้า” เป็นแบรนด์ SME ไทยที่นำผลิตผลทางการเกษตรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ Local Snack ที่หลากหลาย ในเบื้องต้น วี ฟาร์ม ตะกร้า นำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มกล้วยหอมทอง และกล้วยน้ำว้ามะลิอ่องซึ่งอร่อย มีประโยชน์ เป็นที่ชื่นชอบของชาวไทยและต่างชาติ ได้แก่ กล้วยหอมอบเนย กล้วยหอมกรอบ จากวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง จ.นครปฐม และกล้วยน้ำว้าตากหนึบ กล้วยน้ำว้าตาก และกล้วยน้ำว้าตากอบน้ำผึ้งดอกลำไย จาก จ.พิษณุโลก โดยจะทยอยออกสู่ตลาดตามลำดับในระยะเวลาอันใกล้

นางวันดี ไพรรักษ์บุญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง กล่าวว่า การที่ เซเว่น อีเลฟเว่น และ วี ฟาร์ม เข้ามาช่วยสนับสนุน และส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง ถือเป็นการช่วยยกระดับสินค้าโอท็อประดับ 5 ดาวของจังหวัดนครปฐมให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และยังช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับสมาชิกในกลุ่มฯ รวมถึงเกษตรกรในจังหวัดต่างๆ ทั้งในนครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร และชาวบ้านที่ปลูกกล้วยหอมทองในพื้นที่ จากเดิมที่เกษตรกรขายได้เพียง 8-10 บาทต่อกิโลกรัม แต่กลุ่มวิสาหกิจรับซื้อกล้วย ปลอดสารจากกลุ่มนี้ในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันยังรับซื้อผลผลิตเพิ่มจากเดิม 1 ตันต่อวัน เป็น 2 - 2.5 ตันต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการแปรรูปส่งขายในโมเดิร์นเทรด

ความพิเศษที่ทำให้สินค้าภายใต้แบรนด์ “วี ฟาร์ม ตะกร้า” มีความโดดเด่นต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นในตลาด คือ ทางกลุ่มฯใช้กล้วยหอมทองพันธุ์ไทยแท้ ซึ่งมีคุณลักษณะเฉพาะคือ เนื้อเนียน ละเอียด แน่น รสชาติอร่อย โดยเก็บเกี่ยวในระยะกล้วยดิบที่แก่ 80% นำมาผ่านกระบวนการทำความสะอาด และนำไปสไลด์ด้วยใบมีดพิเศษที่ทำให้ชิ้นกล้วยมีความบาง เมื่อนำไปทอดจะทำให้ได้ชิ้นกล้วยที่กรอบเสมอกันทุกชิ้น และมีสีเหลืองสวยงาม และนำมาอบเนยให้ความหอม จนได้เป็น “กล้วยหอมอบเนย” ขณะที่กล้วยดิบที่แก่มากกว่า 80% แต่ไม่เกิน 95% จะนำมาแปรรูปเป็นกล้วยหอมกรอบ เพื่อลดการสูญเสียของกล้วยหอมทองที่นำมาแปรรูปไม่ทัน

“หลังจากที่ทาง วี ฟาร์ม เข้ามาพูดคุยถึงเรื่องการนำกล้วยหอมทองมาแปรรูปเป็นกล้วยหอมอบเนย และกล้วยหอมกรอบ ในรูปแบบของ Local Snack ก็มีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพ มาตรฐาน และกำลังการผลิต แต่ทางวี ฟาร์ม และเซเว่น อีเลฟเว่น ได้เข้ามาให้การช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นอย่างดี ทำให้มีความมั่นใจ จนสามารถผลิตออกมาเป็นสินค้าที่ได้คุณภาพ ตรงตามมาตรฐานของตลาด ทำให้มีความเชื่อมั่นว่า กล้วยหอมทองของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านดอนทอง จะสามารถยกระดับสู่การเป็นสินค้าไทยในตลาดโลกในอย่างแน่นอน” นางวันดี กล่าว

การนำสินค้าเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับชุมชนทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่” ที่รวมพลังแม่บ้านในชุมชน เชื่อมโยงระบบนิเวศหรืออีโคซิสเท็มเข้ากับผู้ประกอบการและช่องทางขายอย่างร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จนสามารถพลิกโฉมสินค้าพื้นถิ่นอย่าง “กล้วยอบ” ให้กลายเป็น “กล้วยหนึบ” สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนปีละนับ 10 ล้าน

ป้าแดง-ทองเพียร ศรีสว่าง วัย 63 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่ เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว เริ่มต้นจากการรวมตัวกันของแม่บ้านในชุมชนเมื่อปี 2538 เพื่อแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นรายได้เสริมกับครอบครัว และค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นลำดับ จนสินค้าผลไม้อบของกลุ่มได้รับการยกระดับเป็นสินค้า OTOP และมีช่องทางการขายทั้งริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง และตามสถานที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงห้างดังในกรุงเทพฯ

จุดเปลี่ยนสำคัญของกลุ่ม เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 สินค้าของกลุ่มได้รับผลกระทบ ไม่สามารถจำหน่ายได้ ทางบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีสำนักงานหลักอยู่ที่เชียงใหม่ ได้เข้ามาพูดคุยกับกลุ่มถึงความเป็นอยู่ พบว่ากลุ่มประสบปัญหาด้านช่องทางขาย ทำให้คณะผู้บริหารเข้าปรึกษากับทางเซเว่นฯ ซึ่งซันสวีท เป็นคู่ค้ากับทางเซเว่นฯ ภายใต้แบรนด์ KC อยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานทีมบริหารผลิตภัณฑ์และจัดซื้อของทางเซเว่นฯ ก็เข้ามาที่กลุ่มเพื่อดูสินค้าและเห็นโอกาสการเติบโตของกล้วยอบ

“กล้วยหนึบ” สร้างรายได้ปีละกว่า 10 ล้าน

แต่สินค้ากล้วยอบมีจำหน่ายในตลาดเป็นจำนวนมาก จึงแนะนำให้ทางกลุ่มหาวิธีการสร้างความต่างให้กับสินค้า ด้วยการนำนวัตกรรมมาปรับใช้ ว่าจะทำอย่างไรให้กล้วยสามารถทานแบบอุ่นร้อนได้ เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น และยังคงความหนึบไว้ได้ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจากทางเซเว่นฯและซันสวีทคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด จนได้ออกมาเป็น กล้วยหนึบ วางจำหน่ายช่วงกลางปี 2565

ป้าแดง เล่าเพิ่มเติมว่า “กล้วยหนึบ” ที่ทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯผลิตมาจากกล้วยน้ำว้าสายพันธุ์มะลิอ่อง ซึ่งเป็นกล้วยสายพันธุ์ที่ปลูกมากใน จ.เชียงใหม่ เมื่อนำมาแปรรูปจะมีความเหนียวนุ่มและมีกลิ่นหอมมากกว่าสายพันธุ์อื่น โดยทางกลุ่มจะรับซื้อกล้วยจากชุมชนในท้องถิ่นและพื้นที่ต่างๆ บนดอยของ จ.เชียงใหม่  และ จ.เชียงราย ในราคา 12-20 บาทต่อกิโลกรัม โดยทางกลุ่มจะรับซื้อกล้วยสดในปริมาณ 4,000 กิโลกรัมต่อครั้ง เพื่อนำมาแปรรูปผ่านกระบวนการอบแห้ง 6 ชั่วโมง จะได้ปริมาณกล้วยหนึบประมาณ 400 กิโลกรัม

ในช่วงที่กลุ่มมียอดขายดีๆ มีออร์เดอร์กล้วยหนึบสูงถึงเดือนละ 3,000-4,000 กิโลกรัม ทำให้กลุ่มต้องรับซื้อกล้วยสดอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 กิโลกรัม เพื่อนำมาแปรรูปจำหน่ายในราคา 120-150 บาทต่อกิโลกรัม สร้างความมั่นคงกลับสู่กลุ่มสมาชิกที่มีกว่า 60 ครัวเรือน ด้วยรายได้เดือนละประมาณ 1-2 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10 ล้านบาท

“การได้รับโอกาสและการสนับสนุนจากเซเว่นฯและซันสวีท ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กลุ่มฯสามารถกลับมามีรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับสมาชิกอีกครั้ง ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจทุกกลุ่มก็สามารถเป็นอย่างกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่ ได้เช่นกัน ทุกพื้นที่มีของดีของตัวเอง และมีองค์กรภาครัฐและเอกชนมากมายที่พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริม ขอเพียงแค่อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ และต้องกล้าที่จะออกจากความคิดเดิมๆ”

“ซันสวีท” โซ่ข้อกลางเชื่อมชุมชนสู่โมเดิร์นเทรด

เน็ต-วณิชชา ณ ลำปาง ผู้จัดการฝ่ายภายในประเทศและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ KC กล่าวว่า ด้วยความคุ้นเคยและใกล้ชิดกว่า 20 ปีระหว่างผู้บริหาร คุณองอาจ กิตติคุณชัย ประธานกรรมการบริหาร กับชุมชนในพื้นที่ ทำให้มองเห็นและรับรู้ถึงผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแควเป็นอย่างดี จึงได้นำมาปรึกษากับทีมบริหารถึงแนวทางการช่วยเหลือ ซึ่งในขณะนั้นบริษัทมีโครงการสินค้าเพื่อสุขภาพกับทางเซเว่นฯ พอดี ประกอบกับมีนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยและกลุ่มเกษตรกร สอดคล้องกับนโยบายของทางเซเว่นฯ จึงร่วมปรึกษากับทางทีมเซเว่นฯ ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำและได้รับการสนับสนุนอย่างดีในทุกขั้นตอน

“ซันสวีทเปรียบเสมือนโซ่ข้อกลางระหว่างชุมชนกับเซเว่นฯ ที่มีความเข้าใจในมุมมองด้านการตลาด สามารถช่วยถ่ายทอดมุมมองในส่วนนี้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจได้ นอกจากนี้บริษัทยังเข้าไปช่วยเรื่องระบบหลังบ้าน ช่วยควบคุมการผลิตให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐาน รวมทั้งเข้าไปช่วยพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ที่สื่อให้เห็นถึงความเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ทันสมัย รวมทั้งช่วยสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคถึงความแตกต่างของสินค้า เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบันบริษัทสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนด้วยการรับซื้อกล้วยหนึบเดือนละ 5,000 กิโลกรัม เพื่อจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ KC และมียอดขายอยู่ที่ 7-8 แสนซองต่อปี หรือประมาณ 2,000-3,000 ซองต่อวัน คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี จากความมุ่งมั่นและตั้งใจของกลุ่มวิสาหกิจและบริษัทที่ต้องการยกระดับความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อพัฒนาสินค้าพื้นถิ่นสู่ระดับประเทศ ทำให้ “กล้วยหนึบ” ได้รับรางวัล Inventor Awards (สุดยอดนักประดิษฐ์) ประเภทรางวัลนวัตกรรมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จากเวที “7 Innovation Awards 2023” 

“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านแคว จ.เชียงใหม่” ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต้นแบบที่สามารถสร้างการเติบโตได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแค่อย่างปิดกั้นโอกาส และต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

“โอกาสก็เหมือนอากาศ มันมีอยู่ทุกที่ เราจึงต้องพร้อมอยู่เสมอ” เป็นคำกล่าวของ เจน-ชัชณี พฤกษ์ศลานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ครอสแม็กซ์ รีเทล จำกัด หนึ่งในผู้ที่ร่วมนำทัพสร้างนวัตกรรมเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ Hooray! (ฮูเร่!) ให้เป็นที่รู้จัก ในฐานะผลิตภัณฑ์นมโปรตีนสูงพร้อมดื่มเจ้าแรกของประเทศที่ปราศจากน้ำตาลแลคโตส

ปัจจุบัน Hooray! มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นสินค้าในกลุ่มนมโปรตีนสูงที่มียอดขายสูงสุดในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น โดยคาดว่าในปี 2566 บริษัทจะมีรายได้รวมทุกช่องทางขายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าก้าวสู่การเป็นแบรนด์ Protein of Asia ในอีก 5 ปีข้างหน้า

“โอกาส” สร้างจุดเปลี่ยน

เจน เล่าย้อนความให้ฟังถึงที่มาของ Hooray! ว่า นับย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558) Hooray! เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะปลดล็อกทุกข้อจำกัดของการทานเวย์โปรตีน ทั้งเรื่องรสชาติไม่ถูกปาก รสชาติไม่หลากหลาย ความยุ่งยากในการรับประทาน ต้องนำมาผสมน้ำเอง ตนและสามี (ต้น-วงษ์เดช เอี่ยวสานุรักษ์) จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์นมโปรตีนสูงพร้อมดื่มขึ้น โดยใช้เวลากว่า 1 ปีในการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล ควบคู่กับการทำวิจัย จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือ Hooray! Better Shake ผลิตภัณฑ์ที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นสินค้าอื่นๆ ของบริษัท

 

เราทำการตลาดผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง offline และ online อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าที่ควร เนื่องจากเราเป็น SME แบรนด์น้องใหม่ในตลาด กระทั่งได้มีโอกาสไปร่วมงาน THAIFEX ในปี 2560 ทำให้ได้มีโอกาสพบกับทีมบริหารผลิตภัณฑ์และจัดซื้อของทางเซเว่นฯ ที่มองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจสุขภาพในขณะนั้น ทางบริษัทจึงได้ร่วมพัฒนาสินค้ากับทางเซเว่นฯอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าสุขภาพ ที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย และหาซื้อได้ง่าย ในราคาที่ทุกคนสามารถหาซื้อรับประทานได้ จนได้มาเป็นผลิตภัณฑ์ Hooray! Protein Shake สินค้าขายดีของแบรนด์ในปัจจุบัน

การที่ Hooray! ได้รับโอกาสให้นำสินค้าเข้าจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ ในปี 2564 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญแบบก้าวกระโดดของธุรกิจ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมมีรายได้อยู่ที่หลักสิบล้านบาทต่อปี ก็ปรับเพิ่มเป็นหลัก 100 ล้านบาทต่อปี โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมของทั้งบริษัทอยู่ที่ 450 ล้านบาท

“นวัตกรรม” สร้างความต่าง

จากความมุ่งมั่นและตั้งใจของผู้ประกอบการคือต้องการให้ Hooray! เป็น Protein Expert” แบรนด์ที่มีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ไม่จำกัดเฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีคุณภาพ หาซื้อง่าย ในราคาที่จับต้องได้ และสิ่งสำคัญที่จะทำให้ไปสู่สิ่งนั้นได้คือ “นวัตกรรม” ที่นอกจากจะช่วยทำให้แบรนด์ก้าวสู่สิ่งที่หวังแล้ว ยังช่วยสร้างความต่างให้กับสินค้าอีกด้วย เพราะการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่โดยตรงอาจเป็นเรื่องยาก โดย Hooray! 1 ขวด จะมีโปรตีนเทียบเท่านมธรรมดา 5 แก้ว จากการพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อนำสารอาหารที่ไม่จำเป็นอย่างเช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ออก ทำให้ได้รับโปรตีนเต็มที่

บริษัทยังได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยตลาด เพื่อให้ได้ข้อมูลในการนำมาพัฒนาสินค้าอื่นๆ เช่น คนไทยกว่า 98% มีโอกาสแพ้น้ำตาล Lactose ในนม ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ปวดท้อง ผายลมบ่อย คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือเกิดสิว จึงได้คิดค้นและผลิต Hooray! Protein Shake Lactose Free ขึ้น ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่สามารถผลิตนมโปรตีนสูงที่ปราศจากน้ำตาล Lactose โดยใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี Enzymatic เพื่อสกัดน้ำตาล Lactose ออกมา และมีโปรตีนสูง 29-31 กรัมต่อขวด ใน 4 รสชาติ ได้แก่ รสช็อกโกแลต, รสสตรอเบอร์รี, รสจืด, รสซอลท์เท็ด คาราเมล

แม้ Hooray! Protein Shake Lactose Free จะได้รับการตอบรับที่ดี จนก้าวสู่ผู้นำสินค้าในกลุ่มนมโปรตีนสูงที่มียอดขายสูงสุดในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แต่บริษัทก็ไม่ได้หยุดพัฒนาเพียงเท่านี้ ล่าสุด เทรนด์การบริโภคโปรตีนที่ได้จากพืชมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงได้คิดค้น Hooray! Complete Plant Protein ช่วยเพิ่มทางเลือกและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่มองหาสินค้ากลุ่มนมพืชโปรตีนสูง ที่มีโปรตีนเฉลี่ยอยู่ที่ 27-30 กรัมต่อขวด โดยโปรตีนพืชที่นำมาใช้ได้รับการรับรองจากห้องทดลองมาตรฐานระดับสากลว่าเป็น Complete Protein คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด (Histidine, Leucine, Methionine, Threonine, Valine, Isoleucine, Lysine, Phenylalanine และ Tryptophan) มีส่วนผสมของ MCT Oil ที่ได้จากการสกัดจากน้ำมันมะพร้าว  ซึ่งเป็นไขมันดี มีรสชาติอร่อย ด้วยเทคโนโลยี การผลิตขั้นสูง ช่วยให้ได้รสชาติที่ทานง่าย ไม่เหม็นเขียว ลื่นคอ เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการบริโภคสินค้าที่ทำมาจากสัตว์

“เปิดรับไอเดียคนรุ่นใหม่” สร้างการเติบโต

ต้องยอมรับว่า “กลุ่มคนรุ่นใหม่” ถือเป็นพลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนองค์กรและธุรกิจให้เติบโต บริษัทจึงไม่ปิดกั้นความคิดของกลุ่มคนรุ่นใหม่ สินค้าทุกตัวของบริษัท ตลอดจนกิจกรรมทางการตลาดที่หลายตัวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งก็มาจากความคิดกลุ่มคนรุ่นใหม่

ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประมาณ 50-60 คน มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 35 ปี พนักงานทั้งหมดมีสิทธิ์ที่จะแสดงความสามารถและศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ บริษัทจึงไม่ปิดกั้นความคิดของพนักงาน เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีความคิดและมุมมองที่น่าสนใจ อย่างเช่น กิจกรรมล่าสุด “Hooray! Good Vibes Only” ส่งต่อความสุขและรอยยิ้มให้กับลูกค้าผ่านฝาฟอยล์บนขวด โดยการส่งมอบข้อความดีๆไปยังผู้บริโภค ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่ได้จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ พวกเขาไม่ได้คิดแค่ว่าบริษัทจะต้องโตเพียงฝ่ายเดียว แต่บริษัทควรที่จะมีส่วนในการช่วยส่งต่อพลังบวกกลับสู่สังคมด้วยเช่นกัน ให้สังคมยิ้มได้อย่างมีความสุข สอดคล้องกับ DNA ของแบรนด์ Hooray

จากเรื่องราวของ Hooray! ผ่านการบอกเล่าของเจน-ชัชณี พฤกษ์ศลานันท์ คงทำให้เห็นแล้วว่า การที่ผู้ประกอบการ SME จะยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดโมเดิร์นเทรดที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างภาคภูมินั้น สินค้าต้องมีความต่าง และเครื่องมือในการสร้างความต่างที่ดีที่สุดคือการใช้ “นวัตกรรม” ควบคู่กับพลังของคนรุ่นใหม่มาเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อน เมื่อผู้ประกอบการมีความพร้อมในทุกด้านแล้ว เมื่อใดที่โอกาสมาถึงก็จะสามารถคว้าไว้ได้ทันที เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

คำกล่าวที่ว่า “สินค้า SME ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” แถมยังเป็น Soft Power สำคัญของประเทศ

Page 2 of 4
X

Right Click

No right click