รัสเซีย : THE BARGAIN OF THE CENTURY

September 23, 2019 2891

การดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำติดดินในขณะที่ตลาดหุ้นก็ร้อนแรง เป็นอะไรที่น่าอึดอัด และเป็นโจทย์ยากสำหรับการบริหารสินทรัพย์ของคนทั่วไป ภาคธุรกิจ และเจ้าของกิจการ

จะถือเงินสดหรือฝากเงินกับธนาคารไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย แต่ไอ้ครั้นที่จะนำไปซื้อหุ้นหรือ Financial Assets ก็เสี่ยงมาก

โจทย์แบบนี้ นำเราให้ค้นคว้าวิจัย จนมาสู่ข้อสรุปที่ว่า ถ้าจะเจียดเงินไปซื้อหุ้นกับเขาบ้าง ก็ควรมองไปที่ "รัสเซีย" เพราะนอกจากราคายังถูกแล้ว มันยังมีเหตุการณ์ที่น่าวางเงินด้วย (Bet On) หลายอย่าง ทั้งเรื่องการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในวงจรขาลงมาสักระยะหนึ่งแล้ว (และอาจจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วด้วย) และตัววลาดีเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย

ก่อนอื่นเราอยากให้ดูตัวเลขบางประการ:

เมื่อดูคร่าวๆ จาก CAPE RATIO แล้ว เราพบว่ารัสเซียเป็นตลาดที่ถูกที่สุด โดยราคาปัจจุบันคิดเป็นเพียง 80% ของ Book Value เท่านั้นเอง (หมายความว่าเราจ่ายเงินเพียง 80% ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ทั้งหมดในตลาดหุ้นรัสเซียเท่านั้นเอง) อีกทั้งผลตอบแทนเงินปันผลยังค่อนข้างสูง (4.1%)

นี่ทำให้นักลงทุนระดับแนวหน้าของโลกหันไปมองรัสเซีย Mark Mobius ถึงกับพูดว่าตลาดรัสเซียในขณะนี้เป็น “the bargain of the century.” และ George Soros กับ Jim Rogers เชียร์ให้ลงทุนซื้อหุ้นรัสเซียด้วย

เหตุผลที่ทำให้ตลาดรัสเซียตกต่ำมาถึงขนาดนี้ เป็นเพราะความตกต่ำของราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อีกทั้งรัสเซียยังถูก SANCTION จากประเทศตะวันตก หลังจากที่ส่งกำลังทหารเข้ายึดแหลมไครเมีย

รัสเซียนั้นร่ำรวยมาได้ด้วยการขายทรัพยากรธรรมชาติ ใต้ผืนแผ่นดินรัสเซียนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาติสำคัญ มีมูลค่ามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก (Subsoil Wealth  = 75 ล้านล้านเหรียญฯ) ทั้งก๊าซ น้ำมัน ถ่านหิน (มี Reserve มากเป็นอันดับ 1, 7, และ 3 ของโลกตามลำดับ) เหล็ก นิกเกิ้ล แพลตินั่ม ทองคำ และ เพชร (อ้างอิงจาก "The Russian Economy: Will Russia Ever Catch Up?", In-Dept Analysis, European Parliamentary Research Service, March 2015)

แต่ความเป็นตายของเศรษฐกิจรัสเซียนั้นพึ่งพิงก๊าซและน้ำมันมากเกินไป (19% ของรายได้ประชาชาติ และ 75% ของการส่งออก (ที่เหลือก็เป็นการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อื่น) และ 50% ของรายได้ในงบประมาณของรัฐบาล)

ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ดิ่งเหวนับแต่ปี 2014 รัสเซียจึงแย่ไปด้วย (ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับใช้คำเรียกประเทศรัสเซียว่า "Petrostate" และมองว่าการลงทุนในรัสเซียเป็นการลงทุนในกิจการพลังงานขนาดยักษ์ คือยักษ์ยิ่งกว่า Exxon และ Shell รวมกัน)

และการที่รัสเซียส่งทหารเข้ายึดแหลมไครเมีย ทำให้ชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ และชาติสำคัญในยุโรป ทำการแซงชั่นรัสเซียในทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้กิจการของรัสเซียไม่สามารถกู้เงินหรือมีธุรกรรมการเงินกับธนาคารและตลาดทุนในประเทศตะวันตกได้ และยังห้ามส่งออกหรือนำเข้าสินค้ารัสเซียอีกหลายรายการ เช่น สินค้ายุทธภัณฑ์ และโภคภัณฑ์บางอย่าง รวมถึงสินค้าสำคัญอย่างน้ำมันด้วย

นับเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของรัสเซียลำบากเข้าไปใหญ่

แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนทิศทาง!

เปลี่ยนไปในเชิงบวกที่จะเป็นผลดีต่อรัสเซีย และจะทำให้ราคาหุ้นรัสเซียสูงขึ้น

ณ ขณะนี้ คงไม่มีมหกรรมหรือแคมเปญระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ อลังการ และดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งโลก มากไปกว่า "การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ"

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นตำแหน่ง TOP JOB ของโลก ที่ทรงอำนาจมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุด ทรงแสนยานุภาพทางทหารเป็นที่สุด และยังก้าวหน้าที่สุดในเชิงเทคโนโลยี

ที่สำคัญ สหรัฐฯ มองตัวเองเป็นผู้นำแห่งโลกเสรี และชอบยุ่มย่ามในกิจการของโลกและภูมิภาคหรือแม้แต่ประเทศต่างๆ ประธานาธิบดีฯ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารผู้กุมนโยบายสูงสุดของสหรัฐฯ จึงมีส่วนหรือมีอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดหรือ Shape ความเป็นไปในโลกที่สหรัฐฯ มักเข้าไปเกี่ยวข้อง

สีสันของแคมเปญในครั้งนี้อยู่ที่ Donald Trump ซึ่งสัญญาว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงนโยบายใหญ่ๆ หลายประการ หากเขาได้รับเลือกตั้ง รวมทั้งการลดงบประมาณสนับสนุนกองกำลังแอตแลนติกเหนือ (NATO) และสหประชาชาติ (UN) ด้วย

Donald Trump มีที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศชื่อ Carter Page ซึ่งเคยทำงานกับMerrill Lynch ในมอสโคว์ และเป็นผู้ถือหุ้นของ Gazprom กิจการพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย เขามองความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียว่ายังอยู่ในกรอบของสงครามเย็น ซึ่งอีกไม่นานทั้งสองฝ่ายคงสลัดหลุดไปได้ เพราะมันล้าสมัยแล้ว และเขายังเคยพูดถึงปูตินว่า "Strong Leader”

เราจึงได้ยินจากปากทรัมป์ตอนหาเสียงว่า “I think I would have a very good relationship with Putin.” และปูตินก็เชียร์ทรัมป์ออกนอกหน้า

ดังนั้น ถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียน่าจะดีขึ้น แต่จะถึงขั้นยกเลิกแซงชั่นหรือไม่ เป็นสิ่งที่พวกเราต้อง "วางเงินพนัน" หากต้องการลงทุนกับรัสเซีย

ซึ่งมันก็น่าจะคุ้ม เพราะถึงแม้ทรัมป์แพ้ นักลงทุนก็ไม่เสียอะไร ถือเสียว่าได้ซื้อหุ้นในราคาถูก แต่ถ้าทรัมป์ชนะ เชื่อว่าราคาหุ้นรัสเซียจะต้องขึ้น

นอกจากนั้น การที่ราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นมานับแต่ต้นปีนี้ ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า ราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ก็นับเป็นผลดีต่อรัสเซีย

อีกทั้งรัสเซียเองก็มิได้เป็นประเทศสิ้นไรไม้ตอก สมัยที่น้ำมันยังราคาดี รัสเซียเก็บเงินไว้แยะ ถึงขั้นนำมาปกป้องราคาเงินรูเบิ้ลของตัวเมื่อเกิดวิกฤติปีที่แล้วได้ และการที่เงินรูเบิ้ลลดค่าลง ก็ทำให้รัสเซียส่งออกได้มากขึ้น โดยปูตินเองก็หันไปทำสัญญาการค้าโดยตรงกับจีน อิหร่าน อินเดีย ซาอุดิอารเบีย หรือแม้กระทั่งไทยเอง เพื่อปรับตัวจากผลของการแซงชั่น

ระบบการศึกษาของรัสเซียนั้นเล่า ก็เคยเป็นที่หนึ่งในหมู่ประเทศสังคมนิยม บรรดาผู้นำชั้นสูงของประเทศสังคมนิยมเดิม ล้วนผ่านการศึกษาจากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นจีน คิวบา อินเดีย เวียดนาม ลาว โปแลนด์ เช็ค รูเมเนีย และกลุ่มประเทศบอลข่าน ฯลฯ

การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ในรัสเซียถือว่าไม่แพ้โลกตะวันตก โดยเฉพาะทางด้านฟิสิกซ์

นักคณิตศาสตร์และโปรแกรมเมอร์ของรัสเซียข้ามฟากไปหากินในอเมริกาจำนวนมาก และเป็นกำลังสำคัญของ Wall Street และ Silicon Valley

ดังนั้น ถ้ารัสเซียจะหันมาพัฒนา Start-Up ของตัวเอง ก็น่าจะไปได้ดี

ทว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในรัสเซียที่สำคัญที่สุดคือ "การเมือง" และปูตินเป็น Factor ที่สำคัญที่สุดในนั้น

(หมายเหตุ: นักลงทุนไทยที่ต้องการลงทุนในหุ้นรัสเซียสามารถซื้อหุ้นกิจการพลังงานขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้โดยตรง หรือซื้อกองทุน ETF ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ได้ เช่น RSX เป็นต้น)


เรื่อง : ทักษ์ศิล  ฉัตรแก้ว | 9 กันยายน 2016

Rate this item
(0 votes)
Last modified on Monday, 23 September 2019 07:38
X

Right Click

No right click