December 05, 2025

วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดอบรมหลักสูตรระยะสั้น  "Executive Media Mastery & Public Speaking" เป็นครั้งแรก เป้าหมายมุ่งติดอาวุธการสื่อสารที่ทรงพลังผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงในองค์กรโลกธุรกิจ เพิ่มทักษะขั้นสูงรับมือความท้าทายในภาวะวิกฤต พลิกจากปัญหาสู่โอกาสของการตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรอย่างมืออาชีพ โดยจัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00 – 16.00 น. ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

อาจารย์ปวรรัตน์ สุภิมารส รักษาการคณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า โลกธุรกิจยุคใหม่เต็มไปด้วยความท้าทายและความเสี่ยงจากปัจจัยรอบด้าน ดังนั้นหนึ่งในเครื่องมือการบริหารจัดการธุรกิจที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การสื่อสารที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งในแง่ชื่อเสียงและกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ

“เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ทุกคำพูด ทุกการให้ข้อมูล สามารถกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร กระทบความเชื่อมั่น ผู้นำที่สื่อสารอย่างมืออาชีพ ทำให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือแม้ในสถานการณ์ภาวะวิกฤต” 

การเปิดหลักสูตรระยะสั้น "Executive Media Mastery & Public Speaking" นี้ถือเป็นครั้งแรกที่พัฒนามาเพื่อผู้บริหารองค์กรระดับจัดการ (Manager Level) ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้จัดการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร ผู้จัดการทั่วไป ที่ต้องพบปะกับสาธารณชน และ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนองค์กรในการสื่อสาร

โดยหลักสูตรที่ได้ออกแบบมานี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อการปลุกศักยภาพพร้อมการติดอาวุธให้ผู้บริหารได้ให้มีความมั่นใจและเครื่องมือที่จำเป็นในการรับมือกับทุกสถานการณ์การสื่อสารได้อย่างมืออาชีพ ซึ่งการเรียนรู้ใน 6 ชั่วโมงเต็มนี้จะมีความเข้มข้นทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ตั้งแต่การเรียนรู้จิตวิทยาสื่อและธรรมชาติของสิ่งที่นักข่าวต้องการ พร้อมฝึกใช้ภาษากายและบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือใน 7 วินาทีแรก เรียนรู้เทคนิคการสร้าง Key Message ที่คมชัด เพื่อการสื่อสารที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร

นอกจากนี้ ผู้บริหารที่เข้ารับการอบรมจะได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการรับมือวิกฤตอย่างมืออาชีพ  พร้อมเข้าใจหลักการสื่อสารในภาวะวิกฤต และ เทคนิคการควบคุมสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น วิธีรับมือกับคำถามที่ยากและคำถามชี้นำต่าง ๆ

อีกหัวใจสำคัญของหลักสูตรอบรมนี้อยู่ที่ “ภาคปฏิบัติ” การฝึกซ้อมหน้ากล้อง (On-Camera Workshop) ในสถานการณ์การให้สัมภาษณ์และสื่อสารกับสาธารณะ โดยวิทยากรมืออาชีพ ดร. วีรชน นรานุต รองโฆษกกองทัพอากาศ และ ผู้ดำเนินรายการ “รักเมืองไทย” ช่อง TNN ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและมีประสบการณ์การทำงานด้านสื่อสารในภาวะวิกฤตของหน่วยงานสำคัญของประเทศ

“เทคนิคการสื่อสาร ไม่ใช่แค่การพูด แต่รวมการแสดงออกภายนอก สีหน้า ท่าทาง  การใช้มือในการสื่อสาร ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการจะบอก เช่น ยิ้ม หรือ ยกมือมากจนเกินไปในขณะที่สื่อสารด้านความปลอดภัยและกรณีที่เกิดความสูญเสีย เป็นต้น ซึ่งตอนเวิร์คชอปจะมีวิทยากรทำหน้าที่จำลองเป็นผู้สัมภาษณ์ที่จะทำให้เห็นว่าการรับมือนั้นต้องพัฒนาในจุดใดบ้าง นอกจากการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารแล้วผู้บริหารที่เข้าร่วมอบรมยังได้ทำความรู้จักกับคอนเนคชั่นใหม่ ๆ กับผู้บริหารองค์กรที่ร่วมอบรมด้วย” 

การสื่อสารที่รวดเร็ว ชัดเจน ควรอยู่ที่ไม่เกินกว่า 1 ชั่วโมง หลังเกิดปัญหาพร้อมการแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ เพื่อลดแรงต้านจะช่วยลดสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักให้พลิกกลับมาอยู่ในภาวะที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการป้องกันความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

ทั้งหมดที่กล่าวมา “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” เป็นศาสตร์ และศิลป์ที่เรียนรู้และฝึกฝน ซึ่งในคอร์สที่เปิดสอนนี้จะเข้มข้นทั้ง ภาคทฤษฎี และปฏิบัตินี้ โดยสิ่งที่ผู้เข้าอบรมจะได้กลับไปคือ ทักษะและประสบการณ์ใหม่ พร้อมเครื่องมือเชิงปฏิบัติที่เป็นเช็คลิสต์เวลาตอบคำถาม

ที่ผ่านมา บทบาทของวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT)  มีการทำงานอย่างใกล้ชิดในองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการบินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้พัฒนาคอร์สอบรมในรูปแบบของ “เทรนด์ เดอะ เทรนเนอร์” อบรมผู้สอนเพื่อนำไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน  

เตรียมพร้อมรับมือความท้าทาย และสื่อสารในภาวะวิกฤตได้อย่างมืออาชีพ ใน 6 ชั่วโมงเต็ม (09:00 - 16:00 น.) วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น โดย วิทยากรมืออาชีพ ดร. วีรชน นรานุต ลงทะเบียนออนไลน์ https://forms.gle/Gj4F1F9YGB9zMN7TA  หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร: 061-863-7991 LINE: @daa_dpu  https://lin.ee/hHrcpYa Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  และเว็บไซต์ https://www.daatraining.com

จับมือเซียนธุรกิจปลุกกระแส ผปก.ยุคใหม่ สู้วิกฤต ชี้ชัด! ‘รสชาติ-ขายใคร’ คือ กุญแจความสำเร็จ

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ตอบรับความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล เปิดรับสมัครเรียนการบัญชีมหาบัณฑิตและบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) ปีการศึกษา 2568 เน้นการอัพสกิลผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถรอบด้าน พร้อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพสู่ภาคธุรกิจ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้

ดร.อริสรา ธานีรณานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า หลักสูตรปริญญาโทการบัญชีมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน ให้สามารถวิเคราะห์ งบการเงิน และวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือมีการเพิ่มทักษะของผู้บริหาร รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สร้างรายงาน และคาดการณ์ธุรกิจ รวมถึงการเรียนรู้ด้าน Big Data และ Data Analytics นอกจากนี้ หลักสูตรยังให้ความสำคัญกับการบัญชีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ครอบคลุมประเด็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการคำนวณต้นทุนคาร์บอนเครดิตในภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของวิชาชีพบัญชีในบริบทของยุคสมัย

"จุดเด่นของหลักสูตรการบัญชีมหาบัณฑิต คือ ใช้เวลาเรียน Coursework เพียง 1 ปี เรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ทำให้ผู้เรียนสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเนื้อหายังคงเข้มข้น และเรายังมีการปรับพื้นฐานสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบสาขาบัญชีโดยตรง นอกจากนี้ หลักสูตรนี้เน้นการเรียนการบัญชีดิจิทัลและพัฒนาทักษะ 10 ด้านใน 10 รายวิชา อาทิ การวางแผนบัญชี เทคโนโลยีสำหรับวิชาชีพบัญชี การบริหารความเสี่ยงในองค์กร การบัญชีเพื่อความยั่งยืน โดยได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งเจ้าของกิจการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท ที่ต้องการอัพสกิลความรู้ด้านบัญชีดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ” ดร.อริสรา กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ ทิพรส ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า หลักสูตร MBA ของ DPU เปิดสอนมากว่า 40 ปี มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการสร้างวิธีคิดแบบผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล (Entrepreneurial Mindset) และเสริมแนวคิดด้าน ESG ซึ่งประกอบด้วย Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) รวมถึง SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังรองรับการเรียน 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย อังกฤษ และจีน มีการบูรณาการภาคทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ ผ่านการจำลองโมเดลทางธุรกิจและกรณีศึกษาจริง ที่สำคัญอาจารย์ผู้สอนมีความเชี่ยวชาญ การันตีจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูลระดับชาติและนานาชาติ โดยสามารถเรียนจบได้ภายใน 1.8 ปี และเลือกเรียนได้ทั้งวันเสาร์หรือวันอาทิตย์

“ผู้เรียนส่วนใหญ่มาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ พนักงานบริษัท พนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ และนักศึกษาจบใหม่ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เข้ารับการศึกษา จะได้รับองค์ความรู้ใน 3 ศาสตร์หลักอันเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การบริหารจัดการ การตลาดดิจิทัล และการเงิน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งทางด้านการยกระดับทักษะและการพัฒนาทักษะใหม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของกิจการ ในส่วนของพนักงานบริษัท วุฒิการศึกษาที่ได้รับมีความเป็นสากล สามารถต่อยอดการปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาท หรือสามารถนำความรู้ด้านการบริหารไปใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัวได้

อีกทั้งยังเป็นคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับในการสมัครเข้ารับราชการ เนื่องจากหลักสูตรมีความครอบคลุมและเปิดกว้างสำหรับทุกตำแหน่งงาน นอกจากนี้ หลักสูตร MBA ในปัจจุบันยังได้บูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอน โดยเฉพาะในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และมีการสอนการประยุกต์ใช้ AI ในบริบททางธุรกิจด้วย" ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ กล่าวในตอนท้าย

หลักสูตรปริญญาโททั้ง 2 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ โดยมีทุนส่วนลดพิเศษ 20% สำหรับผู้ที่สมัครเรียนภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-accountancy-program-in-accountancy   และ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-business-administration-program-in-business-administration

คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดการแข่งขันทักษะวิชาชีพด้านการท่องเที่ยว การโรงแรม และการประกอบอาหาร ครั้งที่ 1  ภายใต้แนวคิด "Soft Power ท่องเที่ยวเสน่ห์ไทย" โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพเยาวชนสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน โดยมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ชั้นปีที่ 5 - 6 และนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงทุนการศึกษา การแข่งขันครั้งนี้แบ่งเป็น 2 รายการ คือ การแข่งขันตอบคำถามวิชาการด้านการท่องเที่ยว โรงแรม และการประกอบอาหาร มีทีมเข้าร่วม 35 ทีม ซึ่งทีมชนะเลิศได้แก่ ทีม PBPVC 2 จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี และการแข่งขันทักษะด้านการประกอบอาหาร(แข่งเดี่ยว) ภายใต้ธีม "อาหารไทยจานหลักสตรีทฟู้ดฟรีสไตล์" มีทีมเข้าร่วม 13 ทีม ซึ่งทีมชนะเลิศได้แก่ ทีม GOOD PART จากโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย นำเสนอ เมนูข้าวมันส้มตำแกงไก่โมเดิร์น ได้อย่างลงตัว ภายในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ดร.ยุวรี โชคสวนทรัพย์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมกันนี้ยังมีผู้แทนจากบริษัทพันธมิตร ให้เกียรติเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและมอบทุนการศึกษาสมทบ ณ ห้องสนม สุทธิพิทักษ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ดร.ยุวรี โชคสวนทรัพย์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าว มุ่งสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโลกทัศน์ให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับสาขาวิชาด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงการประกอบอาหาร โดยบูรณาการแนวคิด Soft Power ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ผ่านองค์ประกอบ 5F ได้แก่ อาหาร (Food) ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) การออกแบบแฟชั่น (Fashion) ศิลปะการต่อสู้มวยไทย (Fighting) และเทศกาล (Festival) ซึ่งการจัดการแข่งขั้นครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอาหาร อาทิ บริษัท Find Folk  สมาพันธ์เชฟประเทศไทย และ Sevenfive เป็นต้น ร่วมเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การได้รับความสนใจจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างประสบการณ์และการเรียนรู้นอกห้องเรียน รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนค้นหาตัวตนและสายอาชีพที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด

นายสรรพวัต กันตามระ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเชิงกลยุทธ์และความยั่งยืน บริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด ในฐานะกรรมการตัดสินการแข่งขันตอบคำถามวิชาการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม กล่าวว่า Soft Power ไทย มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการศึกษาค้นคว้าก่อนการแข่งขันจะช่วยให้ผู้เข้าแข่งขันได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย การแข่งขันครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนนักศึกษาได้เห็นมุมมองที่แตกต่างและโอกาสในสายอาชีพใหม่ๆ โดยเฉพาะการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มของแต่ละองค์ประกอบใน 5F และการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ จากภาพรวมการแข่งขัน พบว่าผู้เข้าแข่งขันมีความเข้าใจเกี่ยวกับ Soft Power อย่างลึกซึ้ง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ปัจจุบันอุตสาหกรรมโรงแรม มีการปรับตัวโดยนำนโยบายด้านความยั่งยืนมาใช้มากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานที่มีคุณสมบัติเฉพาะด้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความรู้ด้านความยั่งยืนและการบริการที่มีคุณภาพ รวมถึงความสามารถในการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยให้แก่นักท่องเที่ยว จึงอยากแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมการดังกล่าว ต้องรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยและสามารถถ่ายทอดสู่นักท่องเที่ยวได้อย่างชัดเจน

ด้านทีม PBPVC 2 ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันตอบคำถาม ประกอบด้วย นางสาวเจนวิรา ปานพันธ์ นักศึกษาชั้น ปวส.ปีที่ 1 และนางสาวสุชัญญา ผาโพธิ์ นักศึกษาชั้น ปวช.ปีที่ 1  สาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี ร่วมกล่าวเปิดใจว่า การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีที่เพิ่มพูนความรู้ด้านการท่องเที่ยวและประสบการณ์การแข่งขัน ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างไรก็ตามเรารู้สึกประทับใจต่อการจัดการแข่งขันมาก โดยเฉพาะการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่ รวมถึงการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับ 5F  

ขณะที่นายณัฐพงศ์ ธีรนันทพิชิต อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร (Soft Power) ในฐานะกรรมการตัดสินการแข่งขันทักษะด้านการประกอบอาหาร กล่าวว่า การแข่งขันใช้เกณฑ์การตัดสิน 10 องค์ประกอบ อาทิ การเตรียมวัตถุดิบและการเลือกใช้วัตถุดิบให้สอดคล้องกับโจทย์ โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศมีความสามารถในการประกอบอาหารที่หลากหลาย พร้อมนำเสนอเมนูอาหารที่ครบถ้วนในจานเดียวและมีรสชาติที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตามการแข่งขันนี้เป็นการจุดประกายให้คนรุ่นใหม่สนใจอาหารไทยมากขึ้น เห็นคุณค่าของการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูอาหาร และสามารถนำประสบการณ์ไปพัฒนาต่อยอดในอนาคตได้

ด้านทีม GOOD PART หรือ นายวรวุฒิ เสือสี นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันทักษะด้านการประกอบอาหาร กล่าวเปิดใจว่า ได้รับโจทย์ให้ประกอบอาหาร 5 องค์ประกอบในจานเดียว ภายใต้หัวข้อ Main-Course Thai Street Food Freestyle ซึ่งเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายสูง ตามโจทย์ Street Food ของไทยที่มักจะเป็นไก่ย่างส้มตำ จึงคิดดัดแปลงเป็น เมนูข้าวมันส้มตำแกงไก่โมเดิร์น ในรูปแบบฟิวชันที่ผสมผสานระหว่างข้าวมัน ส้มตำ และแกงไก่ ประกอบด้วย สเต็กไก่เสิร์ฟพร้อมซอสแกงเขียวหวาน ส้มตำดัดแปลงเป็นผัดเปรี้ยวหวาน และข้าวริซอตโตที่หุงด้วยความมัน โดยใช้ข้าวบาร์เลย์แทนข้าวเหนียว เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียง และเพิ่มวิปปิ้งครีมราดบนข้าวริซอตโต โดยจานอาหารนี้ประกอบด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยอาหาร อย่างไรก็ตามรู้สึกดีใจมากที่ได้คว้าแชมป์ในครั้งนี้ หลังจากเรียนจบชั้นม.6 จะเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในด้านการประกอบอาหาร เพราะฝันอยากเป็นเชฟในโรงแรมชื่อดัง และเปิดร้านอาหารของตนเองในต่างประเทศ  

ทีมจาก ว.บริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพ คว้าแชมป์ไปครอง รับถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

Page 1 of 17
X

Right Click

No right click