September 19, 2024

เทศกาลเครื่องดื่มที่ทุกคนรอคอย "CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล" ได้เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่แล้วที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ท่ามกลางความสนใจของผู้คนจำนวนมากที่หลั่งไหลมาร่วมงานตั้งแต่วันแรก

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคักและสีสัน ผู้เข้าชมงานต่างตื่นตาตื่นใจไปกับโซนแสดงสินค้า DRINKING AVENUE ที่รวบรวมร้านค้ากว่า 122 คูหาจากผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และสุราชุมชนทั่วประเทศ ตลอดจนมีกิจกรรมมากมายที่สร้างความสนุกสนานให้กับผู้เข้าร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นการประกวด Cocoarista DIPROM Contest และ Speed Latte Art DIPROM Contest ที่ดึงดูดสายตาผู้ชมด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของผู้เข้าแข่งขัน รวมถึงไฮไลต์ของงานอย่างโซนนิทรรศการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟ โกโก้ และสุราชุมชน พร้อมด้วยเวทีกิจกรรม Co-Drinking Space และ DIPROM Drink Lab ที่มีการจัดเวิร์กช็อปและเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจตลอดทั้งวัน

พิเศษสุด! เวลา 18.00 - 19.00 น. พบกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำที่จะมาเติมเต็มบรรยากาศให้สนุกสนานโดยในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. พบกับ SarahSalola, วันเสาร์ที่ 7 ก.ย. พบกับ อะตอม ชนกันต์ และวันจันทร์ที่ 9 ก.ย. พบกับ คริส พีรวัส ที่จะขนเพลงฮิตและการแสดงสดมาให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีในบรรยากาศสุดพิเศษพร้อมจิบเครื่องดื่มแบบเข้มๆ!

สำหรับใครที่ยังไม่ได้มาร่วมงาน อย่าพลาดโอกาส! ขอเชิญมาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 กันยายน 2567 เวลา 10.00 - 22.00 น. ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เข้าร่วมงานฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย มาร่วมเดินทางผ่านรสชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายของเครื่องดื่มไทย พร้อมเพลิดเพลินกับกิจกรรมสนุก ๆ มากมายและดื่มด่ำไปกับการแสดงดนตรีสดจากศิลปินชื่อดังที่จะมาสร้างความประทับใจให้คุณอย่างเต็มที่

ติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: DIPROM Thailand หรือสอบถามข้อมูลได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) โทร. 0 2430 6860 หรือเว็บไซต์ www.diprom.go.th 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งยกระดับศักยภาพเครื่องดื่มไทยที่ผลิตจากชุมชนใน 3 ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ คือ กาแฟ โกโก้ และสุราพื้นบ้าน พร้อมผลักดันเครื่องดื่มชุมชนสู่ตลาดในวงกว้าง ด้วยการจัดงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 5 – 10 กันยายน 2567 โดยนำผู้ประกอบการเครื่องดื่มชุมชน โกโก้ กาแฟ และสุราชุมชน นำสินค้าเข้าร่วมจัดแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่เข้าชมงานกว่า 120 ร้านค้า ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้านโยบาย "RESHAPE THE FUTURE: โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต" ด้วยการมุ่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนเครื่องดื่มไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้สามารถเติบโตได้ในระดับสากลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต จึงได้จัดงาน CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ขึ้น ระหว่างวันที่ 5 - 10 กันยายน 2567 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรม และเครื่องดื่มไทยสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่ และตอกย้ำเจตนารมณ์ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างยั่งยืน โดยชูสินค้า 3 กลุ่มหลักสำคัญ ได้แก่ 1) กาแฟ 2) โกโก้ และ 3) สุราพื้นบ้าน หวังยกระดับสินค้าชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องดื่มชุมชนเหล่านี้ให้เป็นที่แพร่หลายไปสู่ระดับโลก

โดยงานนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์การรวมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของไทย ที่มีความหลากหลายและมีอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เป็นส่วนหนึ่งของซอฟต์พาวเวอร์ในด้านอาหารของไทย อีกทั้งยังได้ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากกลุ่มผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนจากทุกภูมิภาค เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท ตลอดการจัดงาน 6 วัน

ณรงค์ฤทธิ์ ผลห้า ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์โกโก้ เจ้าของแบรนด์ Singora chocolate  หนึ่งในผู้ประกอบการโกโก้ที่เข้าร่วมออกบูธในงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องดื่มโกโก้ หรือช็อกโกแลต ยังมีโอกาสอีกมากในประเทศไทย เนื่องจากคนไทยหันมาสนใจเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเครื่องดื่มโกโก้เข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ดี เพราะโกโก้เป็นแหล่งสำคัญของ polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยบรรเทาภาวะของโรคเครียด โรคซึมเศร้า ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยระดับลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งยังเป็นเครื่องดื่มที่ทานได้ทุกเวลา และทุกช่วงวัย

จากการแสความนิยมโกโก้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราขยายธุรกิจจากวิสาหกิจชุมชนไปสู่การเป็นเอสเอ็มอีโดยใช้จุดเด่นของผงโกโก้ที่มีโกโก้บัตเตอร์ซึ่งเป็นไขมันดีมีประโยชน์ต่อร่างกายสูงถึง 22% มากกว่าผงโกโก้ทั่วไปในท้องตลาดที่มีเพียง 10 – 12% รวมทั้งที่โรงงานยังมีการผลิตอย่างครบวงจรตั้งแต่เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตโกโก้ ไปจนถึงผงโกโก้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากโกโก้ และยังมีมีคอร์สสอนแปรรูปตั้งแต่ผลสดจนเป็นผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ โกโก้ของไทยก็มีจุดเด่นที่เกิดจากพื้นที่และภูมิอากาศที่แตกต่างจากที่อื่น ทำให้โกโก้ของไทยจะมีความเปรี้ยวปลายนิด ๆ สดชื่นคล้ายผลไม้เมืองร้อน เป็นรสชาติใหม่ที่ต่างประเทศไม่มี ทำให้โกโก้ของไทยสามารถพัฒนาไปสู่เกรดพรีเมียมได้ รวมทั้งโกโก้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นช็อกโกแลตที่เป็นขนมหวานราคาสูง และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก และยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่เข้ากับเทรนด์ความต้องการในโลกยุคใหม่ จึงเหมาะกับประเทศไทยที่เป็นผู้แปรรูปอาหารชั้นนำของโลก เป็นโอกาสในการสร้างสินค้าใหม่ทำรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องนำเข้าโกโก้จากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยผลผลิตเมล็ดโกโก้แห่งภายในประเทศมีไม่ถึง 1 พันตันต่อปี ทำให้ต้องนำเข้ากว่า 5 พันตันต่อปี ดังนั้นยังมีโอกาสขยายกำลังการผลิตได้มากกว่า 5 เท่าตัว โดยพื้นที่เหมาะสมในการปลูกโกโก้จะอยู่ในภาคใต้ ซึ่งโกโก้เป็นพืชที่ปลูกแซมในสวนยาง และสวนผลไม้ต่าง ๆ ได้ดี เพราะไม่ต้องการแสงแดดมาก จึงเหมาะกับเกษตรกรทั่วไปที่จะปลูกโกโก้เพิ่มรายได้ให้มากขึ้นกว่าการปลูกพืชหลักเพียงอย่างเดียว

โดยภายในงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” นี้ จะมีการเปิดตัวเครื่องดื่มโกโก้ในรูปแบบใหม่ คือ ช็อกโกแลตน้ำตาล เป็นการนำน้ำตาลโตนดที่ผลผลิตขึ้นชื่อท้องในถิ่นเข้ามาประยุกต์สร้างเป็นเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ทีดีต่อสุขภาพ เพราะน้ำตาลโตนดมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า บวกกับคุณประโยชน์ของโกโก้ จึงเป็นเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง รวมทั้งยังนำผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ลิบบาล์ม หรือ ลิปสติก ซึ่งเป็นการแปรรูปนำบัตเตอร์โกโก้มาผลิต จึงมีคุณสมบัติในการบำรุงริมฝีปากได้ดี โดยมองว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะโตได้อีกมากในอนาคต รวมทั้งยังมีแผนที่จะร้านช็อกโกแลตคราฟท์ ที่เป็นโกโก้คาเฟ่เต็มรูปแบบ เป็นทางเลือกใหม่ที่ทานได้ทุกวัย ซึ่งในปัจจุบันมีร้านโกโก้คาเฟ่แท้ ๆ ทั่วประเทศไม่ถึง 50 ร้าน ดังนั้นจึงมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เพราะเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ที่รักสุขภาพ

ด้าน สุรีรัตน์ สิงห์รักษ์ ผู้ประกอบการกาแฟแบรนด์ “ลองเลย” เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจ มาจากแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านใน อ.นาแห้ว จ.เลย เข้ามาร่วมปลูกป่าชุมชนพร้อมกับการปลูกพืชต่าง ๆ เข้ามาเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งส่งผลดีให้กับทุกฝ่าย และยังได้ปรับสภาพ อ.นาแห้ว จากภูเขาหัวโล้นไปสู่ป่าที่อุดมสมสมบูรณ์ด้วยความร่วมมือของคนในท้องถิ่น โดยได้นำกาแฟพันธ์อราบิก้า มาเป็นพืชหลักในการส่งเสริมเพาะปลูกร่วมกับป่า

โดยในช่วงแรกในปี 2557 มีเพียง 5 ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการนี้ แต่ในปัจจุบันได้ขยายไปเป็น 125 ครัวเรือน และในปี 2560 ได้สร้างโรงคั่วกาแฟ เพื่อแปรรูปกาแฟให้กับชุมชน และในปีนี้ก็มีชาวบ้านเข้ามาร่วมอบรมเข้าโครงการนี้เพิ่มอีก 116 ครัวเรือน จึงทำให้คาดว่าจะมีครัวเรือนที่เข้าร่วมแตะ 300 ครัวเรือนได้ในปีหน้า เนื่องจากชาวบ้านได้เห็นตัวอย่างของผู้ที่เข้าโครงการได้รับรายได้เพิ่มเป็นกอบเป็นกำทุกปี จึงมีผู้สนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดย กาแฟลองเลย ในช่วงแรก เป็นเพียงการนำผลผลิตกาแฟจากชาวบ้านมาแปรรูปจำหน่ายเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว และกาแฟคั่วบด ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการเป็นกาแฟพรีเมียมที่มีรสชาตเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น แต่ในช่วงการระบาดของโควิด 19 ทำให้ยอดขายลดลงไปมาก จึงได้ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เข้ามาช่วยปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และพัฒนาการผลิตไปสู่การผลิตเป็นแคปซูลกาแฟที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ รวมทั้งยังได้ช่วยปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบสวยงามที่เล่าเรื่องราวการสร้างป่า สร้างรายได้ เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้เป็นป่าที่สมบูรณ์ นำไปสู่การสร้างผลิตที่มีคุณภาพสูงควบคู่กับการสร้างป่าและพัฒนาชุมชน นอกจากนี้ ดีพร้อมยังเข้ามาช่วยพัฒนามาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้สินค้าขายได้มากขึ้น และเป็นที่จดจำในตลาดวงกว้าง

“หลังจากที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ ก็ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าดีขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น และคนทั่วไปก็รู้จักสินค้าของเรามากขึ้น โดยในก้าวต่อไปจะมุ่งไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรม ที่ตั้งเป้าหมายจะส่งเข้าไปขายในโมเดิร์นเทรดให้ได้ในอนาคต ทำให้คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ลองเลยมากขึ้น”

สำหรับการร่วมงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” ในครั้งนี้ ได้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ อเมริกาโนฮันนี่เลมอน หรือ กาแฟน้ำผึ้งป่า ซึ่งเป็นการนำผลผลิตจากป่าชุมชน เช่น น้ำผึ้ง และมะนาว เข้ามาประยุกต์ร่วมกับกาแฟของท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวรสชาติดีจนทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นเมนูใหม่ที่ไม่เหมือนใคร สะท้อนอัตลักษณ์ของกาแฟชุมชนของเรา

นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาเพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตเป็นกาแฟฮันนีเลมอนสำเร็จรูป ที่เก็บได้นาน และสะดวกในการกระจายสินค้าไปสู่วงกว้าง รวมทั้งการทำธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อขยายแบรนด์ร้านกาแฟลองเลยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังพัฒนาให้การผลิตในจำนวนมากให้มีรสชาติคงที่ ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดร้านกาแฟสาขาในจังหวัดเลย และที่กรุงเทพฯ และยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่เป็นเมล็ดกาแฟคัว, กาแฟคั่วบด, กาแฟสกัดเย็น, กาแฟแคปซูล ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มจุดจำหน่าย และเพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น

ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล 5 - 10 ก.ย.นี้ ณ ลานศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ด้วยการเพิ่มโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุ ชิ้นส่วนด้านอากาศยาน และอวกาศ เพื่อเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ โดยการเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกอนาคต

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาลที่มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก และยังเป็น S-Curve ใหม่ ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต รวมทั้งเศรษฐกิจอวกาศยังเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีอวกาศ จึงช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลก และก้าวนำประเทศคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ามาสร้างโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจอวกาศให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยจะพัฒนาเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ และขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ในหลากหลายมิติ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเข้ามาเติมเต็มการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศอย่างยั่งยืนในอนาคต

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า หนึ่งในการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คือการมุ่งเน้นด้านการวิจัยและนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนเศรษฐกิจกระแสหลักของประเทศ โดย อว. ตั้งเป้าขยายผลการใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาต่อยอดการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม จึงให้ความสำคัญในการส่งเสริม การสร้างและสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน Startup SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเพื่อก้าวสู่ภารกิจด้านกิจการอวกาศของไทย โดยได้มอบหมายให้ GISTDA เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และเพื่อขยายระบบโครงสร้างอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ โดยหน่วยงานรัฐและเอกชนทุกภาคส่วนจะมีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเข้าสู่ Global Value Chain ด้านอวกาศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขานรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ด้วยการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ผ่านลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ กับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ โดยใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในมิติต่าง ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตโดยการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจอวกาศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลก พร้อมยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุและชิ้นส่วนด้านอากาศยานและอวกาศ สนับสนุนการเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาผู้ประกอบการร่วมกันแล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ อุปกรณ์ กลไกต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่อไปอีกด้วย

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวว่า GISTDA มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ด้วยการสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ซึ่งปัจจุบันได้นำมาประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น การลงนามครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ GISTDA จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและผลักดันการใช้ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน GISTDA ได้ตระหนักถึงความสำคัญและแนวโน้มของเศรษฐกิจอวกาศใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขพบว่าทั่วโลกมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 8.1 มูลค่าสูงราว 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกที่มีมูลค่าสูงกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากการศึกษาวิเคราะห์ของ GISTDA พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจที่ต่อยอดจากการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอวกาศ มากกว่า 35,600 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี จึงสะท้อนได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยได้อีกมากในอนาคต ดังนั้น GISTDA จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ บุคลากร ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ที่จะสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอวกาศสู่ภาคเอกชน ตลอดจนการดำเนินงานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างสรรค์ธุรกิจอุตสาหกรรมอวกาศใหม่ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศต่อไป ดร.ปกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) หนุน บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 หวังสร้างสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ให้เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกธุรกิจทั้งด้านการผลิตและเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน คาดจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 12,000 คน เกิดการจับคู่ทางธุรกิจกว่า 570 คู่ และสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 500 ล้านบาท

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิต รวมไปถึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในทุกระดับ ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ให้เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกธุรกิจทั้งด้านการผลิตและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินการตามนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ผ่านการผนึกกำลังความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หรือ "DIPROM CONNECTION" ร่วมผลักดันพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มในทุกด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการที่มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการผลิต ด้านการบริหารจัดการ ด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาเสริมศักยภาพ รวมถึงการบุกเบิกตลาดในน่านน้ำใหม่ ๆ ซึ่งการจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมที่ครบวงจรที่สุดสำหรับธุรกิจ OEM และ e-Commerce ในประเทศไทย โดยบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จะเป็นส่วนสำคัญในการติดอาวุธด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ และยังเป็นทางลัดเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ได้สร้างธุรกิจของตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านการจ้างธุรกิจที่รับการผลิตแบบ OEM ให้ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการหน้าใหม่กับธุรกิจ OEM ยังเป็นการแชร์การเพิ่มผลผลิต (Productivity) ทำให้ช่วยลดต้นทุนจากการรวมความต้องการ (Demand) ที่ผลิตสินค้าจำนวนมาก และโรงงานก็สามารถเพิ่มประสิทธิผลจากการใช้สายการผลิตได้อย่างเต็มกำลัง ที่สำคัญยังเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการรายใหม่ผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมทั้งการจัดร่วมกับงาน eBiz Expo ยังเป็นการสนับสนุนช่องทางตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจรายย่อย จึงทำให้การจัดงานในครั้งนี้มีความครบสมบูรณ์ และยังเป็นการสนับสนุนการสร้างอาชีพสำรอง หรือรายได้เสริมให้กับประชาชน

นายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. ให้การสนับสนุนการจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo มาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ได้นำผู้ประกอบการในกลุ่มรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. มาร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 19 ราย ซึ่งครอบคลุมสินค้าทุกประเภท เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเสริม,  อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง, อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องหนัง อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และแพ็คเกจจิ้ง, อุตสาหกรรมโรงงานที่ผลิตแบรนด์, อุตสาหกรรมสินค้าสำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องการสินค้าจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของตนเอง และเพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพสูงจากผู้รับจ้างผลิตชั้นนำของประเทศไทย

“อุตสาหกรรม OEM เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งในปัจจุบัน ส.อ.ท. มีสมาชิกที่เป็นผู้ผลิตที่มีศักยภาพสูง และได้มาตรฐานกว่า 16,000 ราย ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศพร้อมเข้ามาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้สามารถสร้างธุรกิจของตัวเองได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น”

โดยในงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ในครั้งนี้ผู้ที่เขาร่วมงานจะได้พบปะผู้ประกอบการ OEM ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และร่วมฟังสัมมนาจากกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพิ่มโอกาสในการมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมต่อยอดและขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต

ด้าน นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหาร บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ซึ่งภายในงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ OEM Manufacturer Expo และ e-BIZ Expo สำหรับงาน OEM Manufacturer Expo จะเน้นการแสดงสินค้าจากผู้ผลิตในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิค สินค้าอุปโภคบริโภค แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ บรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมไปถึง อาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงและอาหารแห่งโลกอนาคตที่กำลังเป็นเทรนด์ในปัจจุบัน

โดยผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเหล่านี้ พร้อมที่จะช่วยผู้ประกอบการหน้าใหม่ในการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน และตรงกับความต้องการ จึงทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องการผลิตที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคนิคในการผลิตมากมายทำให้เริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่าย โดยผู้ประกอบการหน้าใหม่เพียงแต่มุ่งไปที่การสร้างแบรนด์ การวางแผนการตลาด การบริหารจัดการ และการจัดส่งสินค้า

ในส่วนของ e-BIZ Expo จะเน้นการจัดแสดงเทคโนโลยีบริการดิจิทัลและโซลูชั่นทางธุรกิจ เช่น การตลาดดิจิทัล โซลูชั่นทางธุรกิจ (SAP, ERP, MRP) FinTech โลจิสติกส์และการจัดการ ระบบความปลอดภัยการชำระเงินออนไลน์ คลาวด์ AI IoT และ 5G ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับประสบการณ์และโอกาสในการพบปะกับผู้ให้บริการที่สามารถสนับสนุนการเติบโตในยุคดิจิทัล     

                         

นอกจากนี้ งาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ยังเป็นช่องทางที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นในการพัฒนาธุรกิจ ทั้งการเรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ การพบปะกับผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรทางธุรกิจ และการได้รับคำแนะนำในการปรับตัวพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งยังมีการจัดการเสวนาเกี่ยวกับวิธีการขยายธุรกิจ การหาตลาดใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังสามารถพบปะกับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่การร่วมทุนและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้ในงานครั้งนี้เหมาะสมกับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 12,000 คน เกิดการจับคู่ทางธุรกิจ 570 คู่ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 500 ล้านบาท

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click