

ในปัจจุบัน หากพูดถึงหุ่นยนต์ที่ได้รับสัญชาติตัวแรกของโลก คงหนีไม่พ้น "โซเฟีย" หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ตัวแรกของโลก ที่ได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองซาอุดิอาราเบีย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศความร่วมมือกับ ธนาคารกสิกรไทย ผลักดันโครงการ CU NEX
ตามที่ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้จัดการประกวด“การแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาไทยอุดมศึกษานานาชาติ” หัวข้อ “เรียนรู้ภาษา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต”
อมาธารา เวลเนส รีสอร์ท ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ และ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คิดค้นโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวม (Holistic Vitality Program) เพื่อร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับไฮเอนด์ของเมืองไทยให้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวระดับหรูทั่วโลก ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติในอนาคต

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปรารถนา ปุณณกิติเกษม ผู้อำนวยการ อมาทารา อะ เดสทิเนชั่น สปา เปิดเผยว่า “อมาธารา เวลเนส รีสอร์ท เป็นสปารีสอร์ทเพื่อสุขภาพระดับไฮเอนด์แห่งแรกและแห่งเดียวของภูเก็ตที่มุ่งมั่นตามแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการปรับสมดุลของร่างกายโดยใช้วิทยาการสมัยใหม่ โปรแกรมการดูแลรักษาสุขภาพชั้นเลิศที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมเป้าหมายที่หลากหลาย นับตั้งแต่การขับสารพิษ การควบคุมน้ำหนัก การชะลอวัยที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในรูปแบบโปรแกรมเพื่อสุขภาพไปจนถึงโปรแกรมการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกรื่นรมย์ ผ่อนคลายและสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ด้านสุขภาพที่ต้องการ ทำให้เรามุ่งมั่นคิดค้นโปรแกรมเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการแนวใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมพลานามัยและประสบการณ์การพักผ่อนระดับสูงของผู้ใช้บริการทุกท่าน”
“ซึ่งครั้งนี้ เราได้ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว (Holistic Vitality Program) เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมชั้นเลิศ จากการผสมผสานระหว่างการตรวจประเมินทางการแพทย์บนมาตรฐานระดับโลก ทั้งในด้านดัชนีการมีอายุยืนยาว การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ ผสานกับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมและบริการห้องพักริมทะเลระดับหรู พร้อมการจัดอาหารตามหลักโภชนาการ อาหารเสริม วิตามิน และทรีทเมนท์เพื่อสุขภาพตามความต้องการเฉพาะรายของแขกแต่ละท่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว การชะลอวัย และการสร้างสมดุลแก่สุขภาพแบบองค์รวมทั้งทางกาย ใจ และความสงบสุขภายใน ภายใต้การทดสอบทางการแพทย์สมัยใหม่และคำแนะนำที่มีประโยชน์ รวมถึงการใช้ทรีทเมนท์เพื่อมอบความผ่อนคลายและสมดุล กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และโภชนาการที่ถูกต้อง” ผศ. ดร. ปรารถนา กล่าวสรุป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย สูตินรีเวช แบรนด์แอมบาสเดอร์ ศูนย์สุขภาพไวทัลไลฟ์ และ ผู้อำนวยการศูนย์สูตินรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์จะใช้ประสบการณ์อันยาวนานในด้านการชะลอวัยและการส่งเสริมสุขภาพเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว รวมถึงการใช้ดัชนีการมีอายุยืนยาวของไวทัลไลฟ์ (Vitallife Vitality Index) ซึ่งจะพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพดี ได้แก่ฮอร์โมน ความดันโลหิต ความเครียด การดำเนินชีวิต สมรรถภาพร่างกาย องค์ประกอบของร่างกาย ภาวะการอักเสบ และแม้แต่อาหารที่เราบริโภค เพื่อมอบประโยชน์แก่ลูกค้าของอมาธารา ซึ่งดัชนีรูปแบบใหม่ล่าสุดนี้ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อช่วยในการจัดโปรแกรมเพื่อความยืนยาวของชีวิตแบบองค์รวม ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ในด้านการทำนายสุขภาพ การป้องกัน การคืนความแข็งแรงและฟื้นฟูร่างกาย”
คุณอลิศรา คิดหมาย ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจท่องเที่ยว Royal Orchid Holidays เปิดเผยว่า การร่วมมือระหว่างอมาธารา เวลเนส รีสอร์ท และ รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “รอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ มีความพร้อมในการสนับสนุนโปรแกรมการดูแลสุขภาพของ อมาธารา ด้วยการโปรโมทและจำหน่ายโปรแกรมผ่านช่องทางการขายของรอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถจองบัตรโดยสาร และซื้อบริการเพื่อสุขภาพมาตรฐานระดับสากล บริการโรงแรมห้องพักชั้นนำ และสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังได้แบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว ตอบสนองนโยบายภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมระดับสากลของเอเชีย”
นอกจากสิทธิประโยชน์ในการซื้อแพ็คเกจโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว (Holistic Vitality Program) พร้อมกับบัตรโดยสารราคาพิเศษจากรอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ แล้วผู้บริโภคยังจะได้รับสิทธิพิเศษอีกมากมายจากการร่วมมือครั้งนี้ อาทิ รับไมล์สะสมสองเท่า การอัพเกรดห้องพัก (ตามความสามารถในการให้บริการ) ชุดของขวัญเพื่อสุขภาพหนึ่งชุดต่อหนึ่งห้องพัก ตลอดจนส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่มและสปาทรีทเมนท์

จากซ้ายไปขวา: อีริค เวเบอร์ ผู้จัดการทั่วไป อมาธารา เวลเนส รีสอร์ท, ฟีบี บุญเกิด ผู้อำนวยการฝ่ายเวลเนสและพั
สำหรับข้อตกลงความร่วมมือระหว่างอมาธารา เวลเนส รีสอร์ท และ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ครอบคลุมการทำงานหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโปรแกรมการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับลูกค้า รวมถึงบริการแนะแนวเรื่องสุขภาพและผลิตวิตามินโดยแพทย์ของทางศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ยังทำให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมกิจกรรมการตลาด โดยเน้นการโปรโมทโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว (Holistic Vitality Program) ของอมาธารา ซึ่งให้ความสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
กาย: ผ่านการตรวจสอบองค์ประกอบของร่างกายและการตรวจประเมินร่างกายเบื้องต้น และการให้บริการต่าง ๆ โดยรวมถึงกายภาพบำบัด สปาทรีทเมนท์ (ทรีทเมนท์สปาอมาธาราซิกเนเจอร์, ทรีทเมนท์ไทยฮัมมัม, ทรีทเมนท์การนวดบำบัดแผนไทย, Thai Yoga Massage, และ Thai Thermal Therapy) การนวดบำบัดแบบอายุรเวช (Abhyanga, Kati Vasti, Shirodara) ทรีทเมนท์ขับสารพิษและกระชับสัดส่วน การออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพและความแข็งแรงของร่างกาย (TRX, มวยไทย, Pilates Reformer, Pilates on Mat, Kinesis, Core bag and Kettle Bell Training, การออกกำลังกายส่วนบุคคล, การยืดเส้นกล้ามเนื้อ, ว่ายน้ำ และ แอโรบิคในน้ำ)

ทรีทเมนท์ไทยฮัมมัม
ใจและอารมณ์: ผ่านกิจกรรมการบริหารความเครียด เช่น การบำบัดด้วยโยคะ การควบคุมลมหายใจด้วยโยคะ โยคะนิทราส่งเสริมการนอนหลับ การทำสมาธิ และการฝึกฝนแบบ Life coaching
โปรแกรมส่งเสริมพลังชีวิตภายในแบบองค์รวม: ผ่านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลทั้งในด้านทรีทเมนท์ กิจกรรม โภชนาการและอาหารเสริมเฉพาะรายตามผลการทดสอบดัชนีของโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการป้องกันสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายแบบองค์รวมเพื่อชีวิตที่ยืนยาว


ระยะเวลาการเข้าร่วมโปรแกรม 5 วัน 4 คืน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 105,900 บาท ในกรณีที่เข้าใช้บริการสองท่าน และ 117,400 บาท หากเข้าใช้บริการเพียงท่านเดียว ราคาดังกล่าวรวมบริหารห้องพักระดับห้าดาว การให้คำปรึกษาทางเวลเนสโดยผู้เชี่ยวชาญ อาหารสุขภาพสามมื้อต่อวันตามหลักโภชนาการ ทรีทเมนท์และกิจกรรมตามโปรแกรม โดยศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์จะให้บริการตรวจเลือด การให้คำปรึกษาโดยแพทย์และการจ่ายอาหารเสริมและวิตามินตามความต้องการเฉพาะราย เพื่อให้แขกแต่ละท่านสามารถมีชีวิตยืนยาวได้แบบองค์รวมต่อไปแม้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด อาชีพในปัจจุบันจะหายไป และจะมีอาชีพใหม่ๆ ที่ยากจะคาดเดา เพิ่มขึ้นมาในอนาคต การเรียนให้ตรงสายแทบจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เรียนในมหาวิทยาลัยล้าสมัยทันทีที่เรียนจบ ความสามารถในการออกแบบอาชีพของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกคน เอ็มจึงมาพูดคุยกับผู้ที่ทำอาชีพแห่งอนาคตทั้งสามท่าน
ดำเนินการเสวนาโดย ธีรยา ธีรนาคนาท (เอ็ม) ผู้ร่วมก่อตั้ง กิจการเพื่อสังคมแคเรียร์วีซ่า (ประเทศไทย)

ต้า ผู้ซึ่งเคยเป็น Data Scientist ของ Facebook ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่เคยมีสมัยต้าเรียนปริญญาตรี เส้นทางอาชีพเริ่มจาก วิศวกรรมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเลือกจากความชอบ และวิสัยทัศน์ว่าสายคอมพิวเตอร์ จะเป็นอาชีพแห่งอนาคต แต่ไม่อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เขียนโปรแกรมตามคำสั่งของคนอื่น แต่อยากใช้คอมแก้ปัญหาเลยเรียน Operation Research ที่ Massachusetts Institute of Technology (MIT) ซึ่งเป็นการนำคณิตศาสตร์มาแก้ปัญหาทางธุรกิจ เช่น การตั้งราคาตั๋วเครื่องบิน และโรงแรม แล้วพบว่าการตัดสินใจที่ดี ต้องมีข้อมูลที่ดีก่อน จึงไปเป็น data scientist ที่ Facebook 3 ปี

ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล (ต้า) กรรมการผู้จัดการ Skooldio
ส่วนแชมป์ ซึ่งเกิดมาพร้อมธุรกิจครอบครัวที่ถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่าจะต้องมาสืบทอด แต่วันนี้มาตั้ง Venture Capital กองทุนที่ลงทุนในสตาร์ตอัพ ที่สหรัฐอเมริกา เส้นทางอาชีพของเขาเริ่มจากวิศวกรรมศาสตร์เช่นกัน แต่เป็นด้านไฟฟ้า ปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์ อุตสาหการ แล้วกลับมาช่วยที่กรุงไทยการไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยการใช้เทคโนโลยี เพราะอยากทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งทำให้ได้ทักษะในการสร้างความเปลี่ยนแปลง และเรียนต่อ MBA ที่ University of California Berkeley ด้วย ecosystem ที่อยู่รอบๆ ทำให้ได้เรียนรู้ความเป็นผู้ประกอบการ จากการพูดคุยกับคนจำนวนมากโดยไม่บอกเรื่องธุรกิจครอบครัว เพื่อค้นหาตัวตนของตัวเองใหม่ หลังจากได้พูดคุยกับผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัพจำนวนมาก และทำงานในสตาร์ตอัพระยะเวลาหนึ่งก็ค้นพบว่าสิ่งที่อยากทำ คือ ช่วยผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัพที่มี Passion มากถึงขั้นยอมขายบ้าน ขายรถสร้างสิ่งที่มีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไร จึงตั้ง Creative Ventures ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในสตาร์ตอัพ แล้วคิดว่าการที่จะช่วยได้มากที่สุด ก็คือการใช้รากของตัวเอง ที่มาจากเมืองไทย เลยช่วยเป็นสะพานเชื่อมต่อสตาร์ตอัพที่อเมริกามาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปุณยธร สุทธิพงษ์ชัย (แชมป์) ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารกองทุน Creative Ventures
ส่วนเด่น ที่ทำงานไม่ตรงสายที่สุด เนื่องจากเรียนสายวิชาชีพด้านสาธารณสุขมา จากเภสัชศาสตรบัณฑิต มาเป็น CEO โรงเรียนสร้างผู้ประกอบการในอนาคต ไม่ใช่เรื่องง่าย เริ่มจากตอนเอ็นท์ที่เลือกคณะตามที่พ่อแม่แนะนำ ทั้งๆ ที่อยากเรียนเศรษฐศาสตร์ วันแรกที่เข้าไปรู้เลยว่าไม่ชอบเคมี จึงพยายามค้นหาตัวเอง เคยไปเป็นดีเจ Scratch แผ่น แต่ลึกๆ ก็รู้ว่าตัวเองชอบการจัดการ ตลอดระยะเวลา 5 ปีก็ฝึกงานครบทั้ง 3 อาชีพหลักของเภสัชกรให้แน่ใจว่าไม่ชอบ ก่อนที่จะไปเรียนปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ที่อังกฤษ งานแรกคือการขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ในบริษัทขนาด 15 คน ได้ฝึกทักษะการขาย ได้ความรู้เรื่องการนำเข้า ได้คุยกับลูกค้า และซัพพลายเออร์อยู่ 3 ปี ก็เสนอตัวเข้าไปเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทมหาชนที่ทำธุรกิจ แก๊ส LPG ซึ่งมีหนี้ 12,000 ล้าน อยู่ในแผนฟื้นฟู เขาใช้เวลา 3 ปีในการล้างหนี้ พาบริษัทออกจากแผนฟื้นฟูและมีรายได้ 5,000 ล้าน ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้เรื่องกฎระเบียบโดยเฉพาะความซับซ้อนของการเป็นบริษัทมหาชน แต่สิ่งที่สำคัญ คือรู้ว่าชอบพลิกฟื้นบริษัทที่มีปัญหา จากนั้นก็ตัดสินใจลาออก และใช้เวลา 1 ปี ในการเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจใหม่ แล้วหางานใหม่ เนื่องจากรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะเป็นเจ้าของกิจการ แต่เหมาะเป็นผู้บริหารมืออาชีพ เมื่อมาเจอพี่ไวท์ ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล เลยมาเป็น CEO ของ Wecosystem

รณสิทธิ ภุมมา (เด่น) CEO บริษัท Wecosystem
ทั้งสามท่านมีวิธีการเพิ่มทักษะและความรู้เพื่อให้ตนเองพร้อมทำอาชีพที่ไม่ได้เรียนมาแตกต่างกัน อย่างแชมป์ ใช้วิธี คุยกับคนจำนวนมาก เพราะกลัวการเริ่มธุรกิจของตัวเอง แต่หลังจากได้รับการเตือนสติจากอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งบอกว่าไม่มีวันที่คนคนหนึ่งจะพร้อมเป็นผู้ประกอบการ ต้องรีบลงมือทำตั้งแต่ยังไม่พร้อม และกล้าถามคำถามโง่ๆ ตั้งแต่ตอนแรก ต้องรีบล้มให้เร็วและเรียนรู้ให้เร็ว หาทีมมาช่วยตั้งคำถาม ผู้ประกอบการต้องถามลูกค้าเยอะๆ
แต่ผู้บริหารภายในองค์กร ก็ต้องถามลูกน้อง เพราะลูกน้องก็คือลูกค้าของเรา
ส่วนเด่น ก็ใช้วิธีศึกษาเรื่องการจัดการจากหนังสือของ Peter Drucker เอาทฤษฎีต่างประเทศมาลองปรับใช้ในไทย ปัญหาที่พบ คือลูกน้องแก่กว่าและไม่เชื่อฟัง คุณบุญคลี ปลั่งศิริ แนะนำว่าต้องเรียนรู้ให้เร็วกว่าลูกน้องมากๆ การเป็นผู้จัดการต้องมีความรอบรู้ จึงเรียนรู้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น บัญชี การเงิน การบริหารทรัพยากรบุคคล อย่างละนิดหน่อย เป็นเป็ด
สำหรับต้า อาชีพ Data Scientist เป็นอาชีพใหม่ ต้องใช้ทักษะใหม่ เพราะตอนเรียนยังไม่มี Smart Phone, Mobile App เลย เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว และจะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาถ้าเราสร้างทักษะนี้ได้ก่อน ก็ได้เปรียบ แต่ก็ต้องมีความรู้พื้นฐานเพียงพอ ในหลายๆ วิชาที่คิดว่าไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม กลายเป็นพื้นฐานที่ดีในการไปศึกษาต่อด้วยตัวเอง ก่อนเป็น Data Scientist ก็ไม่เคยเรียน Big Data หรือวิธีการนำข้อมูลไปใช้มากขนาดนั้น ก็อาศัยการอ่าน และลงมือทำเอง ซึ่งการลงมือทำดีที่สุดในการฝึกทักษะ ทำให้เราได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ
ในฐานะผู้ลงทุนในสตาร์ตอัพ แชมป์ ตัดสินใจจากผู้ก่อตั้ง “การทิ้งทุกอย่างมาเป็นผู้ประกอบการมันไม่สมเหตุสมผลเลย คุณต้องหิว ต้องอยากทำให้มันเกิด ต้องอยากได้มันมากกว่าอย่างอื่น” นอกจากนี้ด้วยทักษะและประสบการณ์ ผู้ก่อตั้งจะต้องมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น มีความอดทนที่จะจมอยู่กับปัญหานี้ 5 -10 ปี ต้องมี Passion มี GRIT ในสิ่งที่ทำ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นได้หากธุรกิจเดิมไม่สามารถไปต่อได้ ยืดหยุ่นแต่แข็งในเวลาเดียวกัน ต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
ซึ่งก็สอดคล้องกับมุมมองของต้า ซึ่งทิ้งอาชีพที่เซ็กซี่ที่สุดในศตวรรษอย่าง Data Scientist ขององค์กรนายจ้างอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Facebook มาเป็นผู้ประกอบ-การเพราะเห็นช่องว่างทักษะของนักศึกษากับสิ่งที่นายจ้างต้องการ เช่น เอกการตลาด เรียน 4Ps มา แต่นายจ้างต้องการคนทำ Search Engine Optimization (SEO) เป็น จบออกมาก็ยังไม่สามารถทำงานได้ทันที จึงสร้างเครือข่ายของคนไทยที่มีความสามารถ ทำงานบริษัทระดับโลกที่ต่างประเทศมาแชร์ประสบการณ์ ความรู้ ทักษะให้นิสิต นักศึกษาไทย ไม่ได้มองว่า Skooldio จะมาแทน แต่มาช่วยเสริมมหาวิทยาลัย เพราะในสังคม การที่เศรษฐกิจจะพัฒนาต้องมีคนหลากหลาย มีแต่ผู้ประกอบการไม่มีคนทำงาน ก็ไม่ได้ มีแต่คนทำเทคโนโลยี ไม่มีการเงินบัญชีก็ไม่ได้ สุดท้ายคือความรู้รอบ แต่มีความชัดเจน แข็งแกร่งในสิ่งที่เราเก่ง “ผมเก่งเรื่องเทคโนโลยี ผมก็ยังคงถ่ายทอดเรื่องนี้ แต่ก็ต้องไปเรียนรู้บัญชี การเงิน การบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนสตาร์ตอัพไปข้างหน้าได้”

ปุณยธร สุทธิพงษ์ชัย, รณสิทธิ ภุมมา, ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล
เมื่อกล่าวถึงทิศทาง ความเปลี่ยนแปลงของอาชีพในอนาคต
แชมป์มองว่าในระดับแรงงาน เริ่มจากคนใช้มือทำ มาเป็นเครื่องมือทำ เป็นเครื่องจักรกลทำ ในอนาคตเราอาจไม่ขับรถแต่ควบคุมรถ 10 คันให้ขับไปพร้อมกัน ประเด็นต่อไป คือ จะหาคนแบบไหน จะฝึกคนพวกนี้อย่างไร ส่วนระดับพนักงานออฟฟิศ งานประสานงาน และงานวิเคราะห์จะถูกทดแทนโดยเทคโนโลยี เราไม่สามารถชนะ AI ในการแก้ปัญหาได้ แต่ชนะในการตั้งคำถามที่จะนำไปสู่ทางออกได้ เพราะความท้าทายที่สุดของการใช้ AI คือ จะใช้ข้อมูลยังไง จะเก็บข้อมูลอะไร จะตั้งคำถามอย่างไร ซึ่งนั่นคือ การสังเคราะห์ข้อมูล กล่าวคือ “ย่อยปัญหาออกมาเป็นส่วนๆ และหามุมที่จะแก้ได้ ตั้งคำถามแล้วใช้ AI แก้มัน”
ต้ามีเห็นว่า อาชีพจะไม่หายไป แต่เครื่องมือที่ต้องใช้ และทักษะที่ต้องมีในการประกอบอาชีพนั้นๆ จะเปลี่ยนไป AI จะเข้ามาช่วยทำสิ่งที่ Basic มี Pattern ทำซ้ำๆ ก็จะเก็บข้อมูลได้เยอะ เก่งขึ้น “ถ้ามองว่านักบัญชีเป็นเพียงคนลงเลขในบัญชี คอมพิวเตอร์เก่งกว่าคนเยอะ แต่ว่าถ้าให้ช่วยประหยัดภาษี คนยังเก่งกว่ามาก การจะสอน AI ต้องทำให้ AI เห็นทุกกรณีจึงจะทำได้”
อย่าง Data scientist หน้าที่หลักไม่ต่างจากนักสถิติ 100 ปีที่แล้ว ถ้าอยากเป็นต้องเรียนสถิติ ซึ่งเป็นวิชาที่มีนานแล้ว “พยายามหาจุดที่เราเก่งกว่าคอมพิวเตอร์ให้เจอ เพราะนั่นคือจุดที่เราสามารถสร้างมูลค่าให้กับอาชีพของเราได้”

สิ่งที่คนรุ่นใหม่จะต้องเตรียมตัวเพื่อให้ยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
สำหรับต้า คือรีบหาตัวเองให้เจอ วิธีที่เร็วที่สุด คือการลองทำจะได้รู้ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร ถ้าเราชอบอะไรแล้ว อะไรเราก็เรียนรู้ได้ ทุกอย่างมีในอินเทอร์เน็ต
แชมป์เสริมว่า ควรหาจุดที่เราทั้งชอบ และทำได้ดี เป็นสิ่งที่โลกต้องการ และสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากการทำสิ่งนั้น ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่า Ikigai การที่จะเจอได้ คือ ทำเยอะๆ แล้วทบทวนหลังจากนั้นเป็นระยะ
สุดท้ายเด่นเสริมว่า เมื่อก่อนการเปลี่ยนแปลงมาทุก 7 ปี แต่อนาคตจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราต้อง Learn, Unlearn, Relearn ต้องออกจากพื้นที่สบาย และพร้อมเปลี่ยนแปลง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
หากต้องการฟัง การเสวนาย้อนหลัง ติดตามได้ใน Facebook Fanpage: Thailand MBA Forum แต่หากสนใจค้นหาตัวเองเพื่อพร้อมรับมืออาชีพในอนาคต ติดตาม Facebook Fanpage: CareerVisa Thailand
‘ดีแทค’ หนึ่งในผู้ให้บริการด้านเทเลคอมรายใหญ่ของประเทศไทย นับเป็นองค์กรที่มีการปรับตัวได้ดีในการรับมือกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาทุกยุคทุกสมัย สำหรับการเตรียมตัวรับมือกับยุค Digital Economy ที่กำลังคืบคลานเข้ามาก็เช่นกัน ดีแทคก็มีความพร้อมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านของการเตรียมความพร้อมบุคลากรด้วยการนำเครื่องไม้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ มาใช้อย่างจริงจังในทุกสายงาน
นาฏฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ให้รายละเอียดว่า Digital Economy มีผลต่อทุกบริษัท ทุกอุตสาหกรรม และมีผลต่อการบริหารจัดการ HR มาก เพราะมันไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่ใครหลายคนคิด แต่มันคือเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย ดังนั้น ด้วยพื้นฐานของการเป็นอุตสาหกรรมเทเลคอมก็จะต้องถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยีอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว ปรับทัศนคติและเสริมสร้างอาวุธต่างๆ ให้กับพนักงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามวิสัย-ทัศน์ของดีแทคในการก้าวสู่การเป็น Digital Company ภายในปี 2020 และด้วยกลยุทธ์ระยะยาวอันนี้ ก็จะมีผลต่อการจัดการงาน HR กับเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในอนาคต เราจะต้องดูแลในเรื่องของพนักงานว่าคนที่มี ใช่คนที่จะตอบธุรกิจในวันนี้และในอนาคตหรือเปล่า และคนคนนั้นมีทักษะความรู้ความชำนาญที่จะมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือเปล่า กระบวนการโอเปอเรชั่นต่างๆ เอื้ออำนวยให้พนักงานเข้าใจลูกค้าอย่างถ่องแท้หรือไม่ สอดรับกับปรัชญาการทำงานที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราหรือเปล่า รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรว่าเอื้อต่อการเป็น Digital Company หรือเปล่า หากจุดไหนที่ยังไม่ใช่ ต้องได้รับการแก้ไข และต้องรีบปิดช่องว่างนั้นทันที
นาฏฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้น ในแง่ของโครงสร้างของดีแทคก็มีดิจิทัล กรุ๊ป ส่วนในแง่ของการฝึกอบรม การที่จะเป็นบริษัทดิจิทัล จะต้องเชื่อมต่อองค์กรทั้งหมด ทั้งในส่วนที่เป็นดิจิทัลและไม่ใช่ดิจิทัลจะต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด โดยนาฏฤดีอธิบายว่า ดีแทคมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้มาก จากการเน้นชีวิตการทำงานแบบดิจิทัลภายในบริษัท ปัจจุบันนี้มี Sale Application ขายสินค้าต่างๆ ของดีแทคผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังนำระบบ Chatbot มาใช้ตอบคำถามและข้อสงสัยต่างๆ ของลูกค้า ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดการทำงานของคนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันในส่วนของการพัฒนาบุคลากรให้เตรียมพร้อมกับการแข่งขันอยู่เสมอนั้น ก็จะมีการฝึกอบรมที่หลากหลายมากขึ้น ลักษณะของการฝึกอบรมก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม จะไปเป็นในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น โดยมีสื่อกลางอย่าง Plearn Application ที่รวบรวมฟีเจอร์สำหรับพนักงานดีแทคไว้อย่างหลากหลาย ทั้งการอัปเดตข่าวสารต่างๆ นโยบายขององค์กร ตลอดจนข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับด้านทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงสามารถเรียนรู้และฝึกอบรมผ่านแอปพลิเคชันนี้ได้ด้วย
“เรามี DTAC Academy และระบบฝึกอบรมในช่องทางออนไลน์ ที่พนักงานสามารถเข้าไปเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ ได้ในเวลาที่สะดวกตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนภาพใหญ่กว่านั้น ในแง่ของการที่ดีแทคเทเลนอร์เป็นผู้ถือหุ้นในดีแทค ก็จะมี Telenor Campus ที่จะเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงหัวข้อในการฝึกอบรมที่แอดวานซ์มากขึ้น ซึ่งออกแบบโดยสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจชั้นนำระดับโลกอย่าง INSEAD และ London Business School (LBS) มีหลักสูตรการฝึกอบรมที่ดีและทันสมัยอย่าง Design Thinking และ Aglie Methodology เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีเครือข่ายโซเชี่ยล เน็ตเวิร์กส์ของเทเลนอร์ ที่พนักงานแต่ละคนสามารถแบ่งปันเรื่องราวและกรณีศึกษาต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศได้อย่างรวดเร็ว”
“นอกจากนี้ ดีแทคยังมีกิจกรรมภายในที่คิดขึ้นมาเป็นแคมเปญให้พนักงานรู้สึกคุ้นเคย ไม่กลัวดิจิทัล กระตุ้นให้กล้าคิด กล้าทำเป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับพนักงานโดยเฉพาะเรียกว่า DTAC Ignite Incubator ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในแผนกไหน ก็สามารถที่จะคิดค้นผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมอะไรก็ได้ที่ทำให้การบริการลูกค้าดีขึ้นทั้งภายใน ภายนอก ส่วนรูปแบบการดำเนินการก็จะมีระบบพิชชิ่ง นำเสนอไอเดียเหมือนสตาร์ตอัพ ทำงานด้วยวิถีของสตาร์ตอัพ คิดเร็ว ทำเร็ว แก้เร็ว เป็นการสนับสนุนจิตวิญญาณผู้ประกอบการให้ได้ลองผิดลองถูก โดยเราเริ่มโครงการนี้มา 2 ปีแล้ว และได้รับการตอบรับที่ดีจากพนักงาน”
“วัตถุประสงค์สำคัญคือ เราต้องการสนับสนุนให้พนักงานกล้าคิดนอกกรอบ เพราะคนรุ่นใหม่อยากจะเป็นสตาร์ตอัพกันมาก แต่ถ้ามาทำงานที่ดีแทคก็จะได้มีโอกาสคิดโปรเจ็คต์ต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบแบบสตาร์ตอัพ โดยที่ไม่ต้องลงทุนเอง แถมได้เงินเดือนด้วย ถ้าไอเดียเข้าท่าและพิชชิ่งผ่าน ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการต่อไปนั่นคือการเรียนกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ไปฝึกอบรมอย่างเข้มข้นที่สิงคโปร์ หรือนอร์เวย์ นานถึง 3 เดือน เพื่อพิชชิ่งครั้งสุดท้าย ถ้าชนะก็จะมีโอกาสจัดตั้งบริษัทและมีส่วนเป็นเจ้าของด้วย”
“เท่านั้นยังไม่พอเรายังมีแคมเปญ Flip It Battle แค่พลิกชีวิตก็ง่าย ไม่ใช่แค่เฉพาะชีวิตของพนักงาน แต่รวมถึงชีวิตลูกค้าด้วย คิดนวัตกรรมกันใหม่ๆ โดยมีตัวแทนของแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่าย ที่ได้รับการสนับสนุนจากทีมผู้บริหาร ทำงานกันนาน 6 เดือน เพื่อเค้นไอเดียเด็ดๆ มาประชันกัน ไอเดียไหนที่ชนะก็จะได้นำมาใช้งานจริงๆ”
นาฏฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
เนื่องจากเป้าหมายของดีแทคคือการเป็น Digital Company ฝ่าย HR ก็ต้องคิดและทำแบบดิจิทัลด้วย โดยมีแคมเปญที่น่าสนใจมากคือ ‘DTAC Coins’ ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่อยู่ใน Plearn อีกที เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับองค์กร และระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน ทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันกับองค์กรรวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มด้านผลงานให้เกิดขึ้นกับองค์กรด้วย
“วัตถุประสงค์ของ DTAC Coins คือ ต้องการสร้างให้องค์กร มี Recognition Culture โดยรูปแบบการใช้งานคือจะมีคอยน์ 5,000 คอยน์ มอบให้กับผู้บริหารระดับสูง ส่วนผู้จัดการสายงานคนละ 1,500 คอยน์ ไว้แจกจ่าย ให้กับพนักงานที่ทำงานดี มีผลงานที่โดนใจ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมวัฒนธรรมในการชื่นชม โดยสามารถให้คอยน์ได้กับทีมอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะกับทีมของตัวเอง นอกจากนี้ถ้าพนักงานรับการฝึกอบรมออนไลน์ หรือเล่นเกม มีร่วมกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร เช่น ซีเอสอาร์ มีสิทธิ์จะได้คอยน์ไปสะสมและนำไปแลกของรางวัลและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ และเพื่อกระตุ้นให้พนักงานอยากมีส่วนร่วม DTAC Coins จึงถูกพัฒนามาให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวก ซึ่งผลตอบรับในช่วงทดสอบการใช้งาน DTAC Coins ก็พบว่าพนักงานชื่นชอบ และตื่นเต้นกันมาก”
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่การทำงานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคและความท้าทายที่จะต้องเผชิญ เช่นเดียวกัน การที่ดีแทคจะก้าวเป็น Digital Company อย่างเต็มตัวได้นั้น นาฏฤดีมองว่าความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้พนักงานไม่กลัว และไม่ต่อต้าน ด้วยการทำให้เขารู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องอนาคต เป็นเรื่องที่จะรอหรือเพิกเฉยไม่ได้ ใครที่ปรับตัวได้เร็ว และปรับตัวได้ดีก็จะได้เปรียบและอยู่รอด พร้อมกับชี้ให้เห็นว่าดีแทคมีตัวช่วยอะไรบ้างที่จะทำให้พนักงานก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงได้อย่างราบรื่น

คนแบบไหนที่ใช่สำหรับดีแทค
“นอกจากจะมีทักษะที่ต้องการแล้ว ยังต้องมี Mindset ที่ดีแทคต้องการด้วย นั่นคือมี Disruptive DNA ซึ่งเป็นดีเอ็นเอที่เด่นชัด คือ กล้าลอง คิดต่าง และทำให้ไว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็ต้องมีความกระหายและปรารถนาในชัยชนะ จะพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่สำคัญต้องเรียนรู้ไว"
“เพราะโลกนี้มีอะไรใหม่ๆ ที่เรายังไม่รู้อีกมาก โลกจะไม่น่าเบื่อ เราจะไม่ทำเรื่องเดิมๆ เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่มีสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ โลกนี้เปลี่ยนแปลงไวมาก เราไม่สามารถจะสร้างคนที่มีทักษะเฉพาะด้านได้ทัน แคนดิเดทจะต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง พัฒนาให้เด่นชัด ก็จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เราต้องการคนที่เก่งบางเรื่อง ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง แต่ต้องเก่งเรื่องนั้นมากๆ มี Passtion to Win ส่วนการทำงานจะต้องทำไป ปรับไป ถ้าไม่ใช่ก็บิดหาจุดที่ใช่และลงตัว ถ้าดีมากก็ Scale Up ถ้าไม่ใช่จริงๆ ก็หยุด ไม่ใช่เสียเวลาทำไปจนจบแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร”
สำหรับคำแนะนำที่นาฏฤดีมีให้กับน้องๆ ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานก็คือ “ถ้าเรามีความเชื่อบางอย่างแต่ยังไม่แน่ใจ แนะนำว่าให้ลอง ถ้าคิดว่าเรามีความชอบในด้านไหน ก็ขอให้ไปใกล้ชิดหรือทดลองกับเรื่องนั้น ว่าจริงๆ แล้ว มันใช่ไหม จะได้ไม่เสียเวลา ถ้ายืนยันว่าใช่ก็จะได้เดินหน้าต่อไปให้สุดทาง แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องพลิกแพลง อาจจะต้องค้นหาและสำรวจในด้านอื่นๆ ที่แนะนำให้ลองเพราะดีกว่าที่จะคิดไปเองว่าชอบหรือใช่ พอทำจริงๆ แล้วกลายเป็นคนละเรื่อง ก็ต้องประเมินตัวเองใหม่ และถ้าเราชอบแน่ๆ แต่ยังเก่งไม่พอ ก็ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความพยายามที่จะพัฒนาให้เก่งขึ้น”
“ทุกวันนี้มีทักษะใหม่ๆ อาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็ต้องศึกษาค้นคว้าว่าอะไรเป็นที่ต้องการ ถ้าบังเอิญว่าตรงกับจุดแข็งของตัวเองก็ลุยเลย อย่ายึดติดกับเซ็ทของอาชีพเก่าๆ ให้มองหาทักษะใหม่ๆ อาชีพใหม่ๆ อะไรที่เป็นที่ต้องการมาก และรายได้งาม เพราะจะมีการแย่งชิงตัวกันสูง เช่น อาชีพที่เกี่ยวกับ Data Analysis, AI ส่วนอาชีพไหนที่จะถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยีก็อย่าไปทางนั้น อะไรที่มันต้องทำซ้ำๆ ที่เครื่องจักรทำได้ ที่สำคัญต้องมีความสงสัยใคร่รู้และอยากจะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา”
“สำหรับคนที่ทำงานแล้วก็อย่าคิดว่าสิ่งที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีว่าเราจะประสบความสำเร็จในอนาคต ต้องกล้าคิด กล้าทำอะไรใหม่ๆ อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ”
"ในฐานะองค์กรระดับโลก ที่มีรากฐานแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน JTI จึงพร้อมที่จะเปิดโอกาสและสนับสนุนพนักงาน ด้วยข้อเสนอที่เย้ายวน ไม่เป็นรองใคร ทั้งในเรื่องของผลตอบแทนทั้งเงินเดือนที่เทียบเท่าหรือดีกว่าตลาดรวมถึงสวัสดิการและความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนส่งเสริมให้พนักงานได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศเพื่อรับการฝึกอบรมด้าน Technical skills และ Leadership Skills อยู่เสมอในสถาบันการศึกษาชั้นนำอย่าง Harvard Business School และ London Business School ขณะเดียวกันก็มีระบบบริหารทรัพยากรบุคคลที่เพียบพร้อม ทันสมัย ก้าวทันยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การันตีด้วยรางวัล Top Employer ของประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2018 ที่เพิ่งได้รับมาหมาดๆ"
ณัฏฐณิชา วรวรรณเศรษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท เจที อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ JTI ให้รายละเอียดแบบเจาะลึกว่า “ด้วยความที่ JTI เป็นองค์กรที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ทั้งการทำธุรกิจและการบริหารงานองค์กรจึงจะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับกระแสโลกได้อย่างทันท่วงที ซึ่งรวมถึงการสรรหาบุคลากรด้วยวิธีการใหม่ๆ HR ต้องเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่คุ้นเคย และกระหายเทคโนโลยี พวกเขาเกิดและเติบโตมาพร้อมๆ กับเทคโนโลยี เราต้องปรับเปลี่ยนนโยบายและเครื่องมือให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ที่ JTI เราจึงใช้โซเชียลมีเดีย ในการสรรหาบุคลากร ทั้ง Linkedin, Facebook, Glassdoor, Twitter, Youtube และ Line ซึ่งที่ผ่านมาเราสามารถคัดเลือกคนที่มีคุณภาพเข้าทำงานในองค์กรผ่านช่องทางเหล่านี้ และในขณะเดียวกันเรายังสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้สื่อสารไปยังพนักงานได้รวดเร็ว พนักงานเองก็สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ แบ่งปันไอเดียกับบริษัทได้ทุกเวลา นอกจากนี้องค์กรสามารถนำแนวทางของโลกโซเชียลมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ สร้างวัฒนธรรมของการมีส่วนร่วมของบุคลากรในองค์กรให้เป็นรูปธรรมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ในการบริหารงานทรัพยากรบุคคล JTI ยังต้องขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวสู่การเป็น Digital Workplace อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดจนบริหารจัดการการทำงานผ่านระบบออนไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรไม่ว่า จะเป็น Performance Management, Time Management, Talent Management, Recruitment โดยใช้โปรแกรม Success Factor ที่เป็น Cloud Base HRIS Solution พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้ามาออฟฟิศ แต่สามารถทำงาน และประเมินผลงานต่างๆ ได้ ผ่านระบบ ไม่เสียเวลาในการเดินทาง และไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งด้วยวิธีการอันทันสมัยนี้จะทำให้หัวหน้างาน พนักงาน รวมถึง HR สามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ติดขัด เพราะไม่ว่าที่ไหนก็สามารถทำงานได้เช่นกัน ตราบใดที่เชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้
สำหรับด้านการอบรมนั้น ณัฏฐณิชา กล่าวว่า JTI มี E-Learning เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าไปศึกษาเรื่องที่ตัวเองสนใจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในเวลาที่สะดวก ไม่จำเป็นต้องมี Classroom Training ยิ่งไปกว่านั้นยังเน้นย้ำในเรื่องการเรียนรู้แบบ On The Job Training ไม่ว่าจะเป็นจากการย้ายงานไปยังแผนกอื่นๆ หรือประเทศอื่นๆ ทั้งแบบ Short Term Assignment (STA) ระยะเวลาตั้งแต่ 6-18 เดือน และแบบ International Assignment (IA) ระยะเวลาตั้งแต่ 18-36 เดือน
สุดท้ายณัฏฐณิชา เน้นย้ำว่าเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิต ไปสู่ธุรกิจที่ต้องผสมผสานความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ในการดึงดูดผู้บริโภค ดังนั้นบุคลากรที่จะเติบโตใน JTI ได้อย่างโดดเด่น จะต้องเป็นนักคิดนักปฏิบัติที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการทำงานได้อยู่เสมอ องค์กรต้องการคนที่มีความสามารถในการคิดและทำที่สร้างความแตกต่างได้ เท่านั้นยังไม่พอ ต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการคิดได้รอบด้าน เข้าใจภาพรวม ไม่ใช่แค่เพียงด้านที่ตัวเองถนัดเท่านั้น เพราะการทำงานในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างจะเชื่อมโยงถึงกันหมด
What JTI are looking for
สำหรับโปรแกรม Explore ซึ่งเป็นโปรแกรมสรรหาManagement Trainee ของ JTI นั้น จะมองหาคนที่มีคุณลักษณะโดดเด่นเพื่อที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมและผู้บริหารในอนาคต พร้อมกับรับโอกาสในการทำงานในต่างประเทศที่ JTI ดำเนินธุรกิจอยู่ถึง 3 แห่ง ภายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งนับเป็นโปรแกรมที่ปั้นมืออาชีพสู่ตำแหน่งผู้จัดการภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเส้นทางความสำเร็จในระยะยาวกับ JTI องค์กรที่มุ่งเน้นการทำงานอันเป็นเลิศ ด้วยคำมั่นสัญญาที่ว่าจะได้ความเอาใจใส่ ให้ความยอมรับนับถือ และนำเสนอโอกาสที่ดีให้ด้วยการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยคุณสมบัติของคนที่สามารถสมัครเข้าร่วมสุดยอดโปรแกรมนี้ได้แก่
- บัณฑิตจบใหม่ที่มีแรงจูงใจ หรือมืออาชีพรุ่นใหม่ที่แสวงหาความท้าทายในอาชีพการงาน
- จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับในสาขาวิชาใดก็ได้
- มีประสบการณ์การทำงานไม่เกิน 2 ปี
- รักการทำงานเป็นทีม
- มีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม เชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ (ทั้งพูดและเขียน)
- มีทัศนคติที่ดี โหยหาชัยชนะ
- มีความพร้อมและเต็มใจที่จะทำงานในต่างประเทศ และเปิดรับประสบการณ์ต่างวัฒนธรรม
What L'oreal Thailand Want
คุณสมบัติของพนักงานที่ลอรีอัล ประเทศไทย ต้องการคือคนที่มี Passion ในการทำงาน ไม่ว่าจะมาจากสายไหนก็ตาม เพศใดก็ตาม ก็สามารถสนุกสนานกับลอรีอัลได้ เพราะเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้โชว์ฝีมือ เราไม่ได้มองเรื่องเกรดหรือสถาบันเป็นสำคัญ เพราะเราคิดว่าถ้ามี Passion ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ โครงการ Management Trainee ของเราจึงเปิดโอกาสให้สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วย ลอรีอัล ประเทศไทย เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยผลงานล้วนๆ ไม่ใช่ด้วยอายุงาน พนักงานทุกระดับสามารถพูดคุย แชร์ความคิดเห็นกับผู้บริหารระดับสูงได้ ส่วนแนวทางในการค้นหาคนที่มี Passion ดูได้จากวิธีการเล่าเรื่องที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด เขาจะเล่าด้วยรายละเอียด ไม่ใช่แค่ผิวเผิน เราจะทราบเลยว่าเขาสนุกสนานกับมันอย่างไรบ้าง “ที่สำคัญอย่าเอาข้อจำกัดของตัวเองมาเป็นอุปสรรค อย่างน้อยต้องกล้าแสดงตัวออกมาก่อน แล้วคุณกล้าที่จะมาเสี่ยงลงทุนกับเราหรือเปล่า ถ้ากล้าที่จะลอง ลอรีอัลก็กล้าที่จะรับ”
ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า “เราเปลี่ยนตัวเองมาพอสมควรในระยะเวลาหนึ่งแล้ว ด้วยการพยายามรับคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเข้ามามากขึ้น จาก 2 คน เพิ่มเป็น 24 คน ภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าเทรนด์ดิจิทัลได้กระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น”
“นอกจากนี้ เราไม่ได้ใช้วิธีการแบบเดิมๆ ในการโปรโมตองค์กร แต่เราจะต้องใช้ดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือในการคัดเลือกและรับสมัครพนักงานมาเป็นช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่าง LinkedIn หรือ Facebook รวมถึงเรายังสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียกว่า Employee Referral Portal เพื่อให้พนักงานปัจจุบันแนะนำเพื่อนมาร่วมงานกับบริษัทได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเราเชื่อว่าพนักงานปัจจุบันเป็นตัวแทนสำคัญ ที่จะบอกเล่าความเป็นลอรีอัลได้ดีที่สุด โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะมีการเก็บบันทึกข้อมูลที่เป็นระบบตามความเชี่ยวชาญของผู้สมัคร โดยเราเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา และก็ได้รับการตอบรับอย่างดี เห็นได้จากสัดส่วนของการรับสมัครพนักงานผ่านแพลตฟอร์มนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ส่วนใหญ่เราใช้บริการผ่านบริษัทจัดหางานเป็นหลัก”
“ด้านการฝึกอบรม เนื่องจากยังมีคนในองค์กรจำนวนหนึ่งที่ยังมีประสบการณ์ด้านดิจิทัลน้อย เราจึงมีเทรนนิ่งค่อนข้างเยอะ ซึ่งถูกจัดสรรแตกต่างกันไปตามจุดอ่อน จุดแข็งของแต่ละคน พร้อมกับมีระบบติดตามว่าเขาได้พัฒนาทักษะแต่อย่างไปถึงไหนแล้ว และไม่ใช่แค่การฝึกอบรมแบบธรรมดาเท่านั้น แต่มีการเปิดหลักสูตรฝึกอบรมแบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของคน
รุ่นใหม่ และไม่ให้การฝึกอบรมเป็นเรื่องน่าเบื่อ หลักสูตรออนไลน์จึงถูกออกแบบให้ Short & Sharp คือใช้เวลาเรียนสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้เวลาเริ่มต้นเพียงคลาสละ 5-10 นาทีเท่านั้น ซึ่งช่วยจูงใจให้พนักงานอยากที่จะเรียนรู้บ่อยๆ และเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา เช่นระหว่างการเดินทางจากบ้านมายังออฟฟิศ”
ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับการพัฒนาบุคลากรให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้นั้น ย่อมต้องมีอุปสรรค ข้อจำกัด และความท้าทายเป็นธรรมดา แต่นั่นคือสิ่งที่ลอรีอัล ประเทศไทย จะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ โดยธนยศบอกว่า “เด็กรุ่นใหม่สนใจธุรกิจสตาร์ตอัพมากขึ้น ดังนั้นความท้าทายขององค์กรคือ จะจูงใจเขายังไงให้อยากมาร่วมงานกับเรา สิ่งที่ลอรีอัล ประเทศไทยทำก็คือ เราส่งเสริมให้เขาได้ทำงานแบบ Business Startup ตั้งแต่ต้นจนจบ สร้าง Mindset และจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการให้กับเขา ให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ อย่างแท้จริง และสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พนักงานได้เรียนรู้และกล้าคิดกล้าทำก็คือ ด้วยวิธีการทำงานของลอรีอัลจะมีกรอบให้คิด แต่จะไม่กำหนดขั้นตอน 1-2-3-4 ให้ต้องทำตามแบบเป๊ะๆ เราใช้วิธีการบริหารจัดการแบบใหม่ เสมือนโค้ชทีมฟุตบอล ที่จะบอกแนวทางในการเล่นของแต่ละตำแหน่ง และเมื่อผู้เล่นแต่ละตำแหน่งอยู่ในสนาม ก็จะต้องเล่นด้วยแนวทางของตัวเองที่สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของทีม”
เท่านั้นยังไม่พอ ธนยศยังชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายภายในองค์กรนี้ว่า ลอรีอัลให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ Disability, Ethnicity และ Gender ทุกวันนี้เราก็มีพนักงานที่เป็นคนพิการ มีพนักงานหลากเชื้อชาติ และจากเดิมที่คนมองว่าลอรีอัล ประเทศไทยเป็นองค์กรของผู้หญิง เราจึงปรับสัดส่วนของพนักงานหญิงและชายให้สมดุลมากขึ้น เช่น แผนก HR ก็มีมากกว่า 50% ที่เป็นผู้ชาย โดยปัจจุบันนี้สัดส่วนของพนักงานเพศหญิงต่อเพศชายอยู่ที่ 65 : 35 และมีแนวโน้มที่จะปรับให้สมดุลมากขึ้น
ด้านเครื่องไม้เครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้น การทำงานของ HR ที่ลอรีอัลจะอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 70-80% โดยเรามีเป้าหมายคือ การทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 100% ในอนาคตอันใกล้นี้ และนอกจากพนักงานจะมีระบบ My Learning ผ่านแอปพลิเคชันเพื่อที่จะสามารถพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลาตามที่กล่าวไปแล้ว เรายังมีระบบการดำเนินการภายในองค์กรที่เชื่อมโยงด้วยระบบออนไลน์ทั้งหมด มีการประเมินผลพนักงานบนระบบออนไลน์ ปรับเงินเดือนพนักงาน และบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก
ธนยศ ครุฑระเบียบ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
ส่วนในเรื่องของการใช้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของชาวลอรีอัล ประเทศไทย นั้น ธนยศอธิบายว่า “ในขณะที่หลายคนอาจมองว่า Work-Life Balance เป็นสิ่งสำคัญ แต่เรามองว่าการทำงานกับการใช้ชีวิตแยกกันไม่ได้ มันจะต้องเป็นในรูปแบบของ Work-Life Integration สามารถที่จะทำงานไปด้วยในขณะเดียวกันก็สนุกสนานกับการใช้ชีวิตได้ แต่กระนั้นการทำงานที่นี่ไม่ง่าย เรา Work Hard เพราะเราเชื่อว่านั่นคือผลงานของเรา เราอยากทำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จ แต่เราก็
ไม่ได้ละทิ้งการใช้ชีวิต”
สำหรับความสนุกและความท้าทายในการทำงานในองค์กรที่มีความแอคทีฟสูงและเปิดโอกาสกว้างแบบนี้ ธนยศยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “เราเป็นองค์กรที่เชื่อในการเรียนรู้แบบข้ามสายงาน (Cross Function) เราส่งเสริมให้ทุกคนเรียนรู้การทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นการเสริมสร้างทักษะ และพัฒนาพนักงาน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับพนักงานในทุกแผนก ขอให้มีความหลงใหล ความสนใจใคร่รู้ ความปรารถนาที่พัฒนาตัวเอง เราเปิดโอกาสให้ถึงขนาดว่า จากฝ่ายขายสามารถโยกมาทำการตลาดได้ เช่น ลองมานั่งทำงานกับทีมการตลาดดูสิสัก 3 เดือน ว่าใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่อย่างน้อยก็นำสิ่งที่ได้มาปรับใช้ในการทำงานขายได้ หรือเราเปิดโอกาสให้ Management Trainee ที่อยู่ฝ่ายการเงิน แทนที่เขาจะเป็นคอนโทรลเลอร์ แต่ทุกวันนี้เขาก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ได้ หรือคนที่ทำซัพพลาย เชนก็เป็นฝ่ายขายได้ เราไม่จำกัดหรือปิดกั้นโอกาสของพนักงาน”
โอกาสสำหรับการพัฒนาศักยภาพตัวเองและความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ไม่มีที่สิ้นสุดที่ลอรีอัล ประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนคนรุ่นใหม่ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาตามปกติลดลง ขณะเดียวกันเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและวิธีคิดของคนในสังคมธุรกิจ บางองค์กรสนใจรับบุคลากรโดยพิจารณาจากทักษะความชำนาญในงานต่างๆ มากกว่าวุฒิการศึกษาที่ผู้สมัครมีอยู่ นี่คือโจทย์ใหญ่ของสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับมหาวิทยาลัยที่เริ่มได้รับผลกระทบ
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ด้วยยอดขายรวมในปี 2560 จากจำนวนการส่งมอบรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด และมินิ รวมสูงสุดกว่า 11,030 คัน เติบโตขึ้นถึง 39% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นครั้งแรกที่สร้างสถิติยอดขายรวมต่อปีด้วยตัวเลขหลักหมื่น และเป็นยอดขายต่อปีที่ดีที่สุดของบริษัทสำหรับทั้งสามแบรนด์ โดยเฉพาะ บีเอ็มดับเบิลยู ในประเทศไทย ที่สร้างผลงานน่าประทับใจด้วยตัวเลขอัตราการเติบโตปีต่อปีถึง 43% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก
มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2560 ที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สร้างผลงานที่น่าประทับใจด้วยตัวเลขยอดขายตามเป้าหมายจากทั้ง 3 แบรนด์ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยนอกจากบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จด้วยอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลกแล้ว เซกเมนต์ของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดยังมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 269% โดยเราเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทย ยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มียอดการส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู i และ บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance กว่า 100,000 คันทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีแห่งอนาคตของเรา คือสิ่งที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานรถยนต์ทั่วโลก”

มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน ยอดขายของมินิ ประเทศไทย ก็เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนการส่งมอบรถยนต์รวม 1,010 คันในปี 2560 เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้า และสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ก็ยังคงรักษาระดับความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเลขการเติบโตต่อปีในระดับสองหลักถึงหกปีซ้อน กับยอดส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ถึง 2,001 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่ 10% โดยทั้งสองแบรนด์ต่างก็ได้สร้างสถิติใหม่สำหรับเดือนธันวาคม 2560 ด้วยจำนวนการส่งมอบรถยนต์มินิให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยรวม 168 คัน ซึ่งเป็นยอดขายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2558 และยอดการส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์จากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทยกว่า 300 คันในเดือนเดียวกัน
2560: ศักราชแห่งทางเลือกในการบริการรูปแบบใหม่ และที่สุดของประสบการณ์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ
นอกจากความสำเร็จครั้งประวัติการณ์ในด้านยอดขายแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้นำเสนอทางเลือกในการบริการหลังการขายรูปแบบใหม่ในปี 2560 ที่ผ่านมา ด้วยการปรับโฉมโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) และ MINI Service Inclusive (MSI) ซึ่งมาพร้อมตัวเลือกแพ็คแกจการบริการและการรับประกันรูปแบบใหม่ ที่ผ่านการคัดสรรให้เหมาะสมกับความต้องการในการขับขี่อันเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
ในด้านของประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ได้มีการเปิดตัวโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “The Ultimate JOY Experience” นำเสนอที่สุดของประสบการณ์ ครบครันทั้งกิจกรรมไลฟ์สไตล์ด้านยนตรกรรมและกีฬา พาลูกค้าสู่จุดหมายอันสุดตระการตาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการพาเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูบินลัดฟ้าไปสัมผัสกับประสบการณ์การขับรถบนพื้นผิวหิมะและน้ำแข็งบนยอดเขาในประเทศนิวซีแลนด์ หรือการเข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลกในกิจกรรม BMW Berlin Marathon
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู ผ่านทาง ChargeNow เครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนับเป็นอีกก้าวอันสำคัญยิ่งของการดำเนินภารกิจตามวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตอันยั่งยืนอย่างแท้จริง
บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย
ปี 2560 ที่ผ่านมาถือเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย หลังจากที่บริษัทได้ทำการเปิดตัว BMW FREEDOM CHOICE ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่มอบอิสระในการขับขี่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูด้วยทางเลือกหลากหลาย ทั้งการรับประกันมูลค่ารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในอนาคต รวมทั้งให้ความยืดหยุ่นเมื่อถึงวันสิ้นสุดสัญญา ไม่ว่าจะเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันเดิม หรือเปลี่ยนเป็นคันใหม่
มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามียอดสัญญาเช่าซื้อรวมเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 4.04 หมื่นล้านบาทในปี 2560 และเราก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งนี้ไว้ต่อไปในปีนี้ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นและแตกต่างเช่นเดียวกับ BMW FREEDOM CHOICE”

มร. บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย