หากให้นึกถึงตระกูลนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศไทย รับรองว่า ชื่อของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ย่อมไม่ตกไปจากโผแน่นอน

จากการบุกเบิกธุรกิจจนประสบความสำเร็จและมั่นคงของ Generation หนึ่ง กระทั่งบัดนี้ ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ของธุรกิจครอบครัว สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ได้ค่อยๆ วางมือ และหมายมั่นว่าจะส่งมอบธุรกิจบางส่วนให้ทายาทสายตรงอย่าง ภัสสรกรณ์ จิราธิ-วัฒน์ หรือ ป๊อก ได้ดูแลต่อ

ขณะที่ฉากสำคัญในธุรกิจครอบครัวจิราธิวัฒน์กำลังดำเนินไป ความฝันที่อยากจะทำในสิ่งที่รักและศรัทธาของทายาทธุรกิจอย่างป๊อก ก็เดินไปไม่หยุดด้วยเช่นกัน ทั้งความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์งานเพลงในแนว Hip hop ที่ชอบ และบุกเบิกธุรกิจที่รักอย่างการทำร้านขายเสื้อผ้าที่เขาออกแบบเอง และการทุ่มเทเวลาอีกส่วนให้กับโปรเจ็คต์ผลิตภัณฑ์ Energy Drink แบรนด์ “E Drink” ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้

“ช่วงนี้ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลยครับ ทุ่มให้การทำงานกับการเรียนหมด” ป๊อกเอ่ยทักทายก่อนที่จะขยายความต่อว่า “ตอนนี้ภาระที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งผมอยากทำให้ได้สม่ำเสมอเป็นประจำ คือ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ผมต้องไปที่ร้านขายเสื้อแบรนด์ที่ผมออกแบบเพื่อพบปะกับแฟนเพลงที่ชื่นชอบงานเพลงของผม แล้วตอนนี้ก็มีธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกอย่าง คือ ผมรวบรวมแบรนด์เสื้อของดีไซเนอร์ไทยทั้งหมด 23 แบรนด์ มาขายในร้านของผมด้วย ซึ่งงานนี้ผมทำเพราะอยากสนับสนุนงานของดีไซเนอร์คนไทยให้วงการแฟชั่นไทยได้รู้จัก บอกได้เลยว่าธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้านี้ผมทำด้วยความรักล้วนๆ แบบเงินมาทีหลัง ส่วนเครื่องดื่มแบรนด์ E Drink ก็ทำร่วมกับเพื่อนๆ ที่มาเป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งถือเป็นธุรกิจแรกที่ใช้เงินเก็บส่วนตัวของผมทั้งหมด ไม่ได้ใช้เงินของทางบ้านเลย และจะเปิดตัวเดือนหน้า (ตุลาคม) นี้แล้ว ช่วงนี้เลยต้องให้เวลากับมันหน่อย”

หลังจากอัพเดทชีวิตปัจจุบันแล้ว เราชวนเขาคุยต่อถึงอีกหนึ่งหน้าที่ในชีวิตที่ป๊อกให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นคือ การช่วยธุรกิจของครอบครัว กับการใช้เวลา 3 ปีที่ผ่านมาไปเรียนรู้งานที่บางกอกโพสต์ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินสู่จุดเปลี่ยนสำคัญกับการเริ่มบุกเบิกธุรกิจที่เขารักด้วยมันสมองและสองมือของตนเอง อย่างที่เกริ่นให้ฟังในตอนต้น

“ตอนนั้นผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินออกมาทำตามความฝัน ทำงานที่รักและศรัทธา มันถึงจุดที่เราจะใช้ความได้เปรียบ ที่ได้เติบโตมาในสิ่แวดล้อมที่ดี มีพื้นฐานชีวิตที่ดี มีคุณพ่อ คุณแม่ ที่คอยอบรมเลี้ยงดูและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เราตลอด มาใช้เป็นแรงผลักดันให้เราสร้างเนื้อสร้างตัว ทำธุรกิจของตัวเอง ผมไม่อยากอยู่ไปวันๆ โดยไม่ทำอะไร คิดแต่ว่าถ้าไม่กล้าก้าวออกมาจากธุรกิจที่บ้านตอนนี้ ก็คงไม่ได้ทำตามฝันอีกแล้ว บวกกับตอนนั้นคิดว่าเราทำงานช่วยบริหารธุรกิจที่บ้านมา 3 ปีแล้ว เลยอยากไปหาความรู้เพิ่มเติมด้วยการเรียนต่อปริญญาโทด้วย”

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ป๊อกเลือกเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SASIN)

“ที่จริงแล้ว ความคิดในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ผมมีอยู่นานแล้ว แต่แค่รอจังหวะ และถ้าย้อนกลับไปตอนตัดสินใจเรียน ก็เป็นจังหวะที่ดีมากเพราะผมก็มีธุรกิจของตัวเองแล้ว ซึ่งการได้เรียนไปด้วยและทำงาน ทำธุรกิจ ไปด้วยมันเป็นผลดีมาก เพราะได้เอาความรู้ที่เรียนมาใช้กับกาบริหารธุรกิจได้จริง ไม่ใช่ว่าเรียนจบไปแล้วอีก 2 หรือ 3 ปีถึงได้เอาความรู้นั้นมาใช้ ความรู้หลายอย่างเราอาจหลงลืมไปบ้างก็เป็นได้ ถึงตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ผิดหวังเลยที่ตัดสินใจไปเรียนปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเพราะมันช่วยเราในการก่อร่างสร้างธุรกิจได้มากมายหลายด้าน”

โดย ป๊อก ได้ยกตัวอย่าง case จริงที่เกิดขึ้นในธุรกิจ ซึ่งเขาได้ปรับเอาองค์ความรู้ที่ได้จากเรียนในหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจไปใช้ได้ทันการณ์ ได้แก่ ความรู้ด้าน IT Management และ Consumer Relations Management ทั้งสองเรื่องนี้เขานำมาใช้ได้จริงโดยเฉพาะกับธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าของผม เวลามีคนมาซื้อของเราต้องบริหารจัดการระบบบัญชีอย่างไร และระบบจัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างไร ยิ่งความรู้ที่ได้จากชั้นเรียนวิชาการตลาด อย่างเมื่อเทอมที่แล้วได้เรียนวิชา Multicultural Marketing กับ อาจารย์ ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ หรืออาจารย์อ้อ ก็นำมาใช้กับการวางกลยุทธ์การตลาดของเครื่องดื่ม E Drink ได้พอดี ว่าจะทำการตลาดอย่างไรให้โดนกลุ่ม Target Group ซึ่งบ่อยครั้งในการทำการตลาด เราลืมมองไปว่าความชอบหรือสิ่งที่โดนใจเราอาจไม่ได้โดนใจผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่เสมอไป

นอกจากนั้น นักธุรกิจ New gen คนนี้ยังพูดถึงคุณภาพของสถาบันที่เลือกเรียนด้วยว่ามีความสำคัญมาก อย่างการเลือกเรียนที่ศศินทร์ ก็เป็นเพราะเขามั่นใจในคุณภาพและชื่อเสียง เรียกว่าเมื่อนึกถึงสถานที่เรียนหลักสูตรปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษ ในประเทศไทย ชื่อของ ศศินทร์ ย่อมผุดขึ้นมาในสมองของใครหลายคนเป็นชื่อแรกแน่นอนในฐานะสถาบันที่ดีที่สุด และเขาก็เช่นกัน

มาถึงวันนี้ ป๊อกยังคงใช้ชีวิตที่เขาบอกด้วยรอยยิ้มว่าเหนื่อยแต่มีความสุข เพราะได้เดินตามความฝัน ทำงานเพลงที่เขาใฝ่ฝันและหลงรัก ควบคู่ไปกับธุรกิจที่เขาก่อร่างสร้างมันขึ้นด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันภาระหน้าที่ในฐานะทายาทธุรกิจของครอบครัวจิราธิวัฒน์ เขาก็ไม่ละทิ้ง และจะกลับไปสานต่อความยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจนั้นดำเนินได้ต่อไปเหมือนอย่างที่คนรุ่นพ่อทำไว้ได้แน่นอน เขามั่นใจเช่นนั้น