December 16, 2025

ทำเอาไอคอนสยามแตก! เมื่อ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “ฟาร์มเฮ้าส์” แบรนด์ขนมปังอันดับ1

ในยุคที่คนทำงานทุกคนต้องเผชิญกับปัจจัยความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะคาดเดา ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในเรื่องวิกฤตโรคระบาดที่ยังไม่สิ้นสุด ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น หรือปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ข้าวของมีราคาแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กอปรกับอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงกับชีวิตของพนักงานในทุกส่วน นั่นคือ การดิสรัปของเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บุคลากรในยุคปัจจุบันต้องปรับตัวเพื่อ Upskill & Reskill ทักษะจำเป็นสำหรับการทำงานในยุคนี้กันอย่างเร่งด่วน และยังต้องปรับวิธีการทำงานให้สอดรับกับวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการทำงานในรูปแบบ Remote working หรือ การทำงานจากที่ใดก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธิผลอย่างที่องค์กรต้องการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแรงสนับสนุนและส่งเสริมจากองค์กรและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ประจำองค์กร เพื่อให้พนักงานได้เข้าถึงการพัฒนาศักยภาพ ทักษะ ที่สอดคล้องกับการทำงานยุคใหม่อย่างที่ควรจะเป็น

และในวันนี้เรามีเรื่องราวของ ลิกซิล ประเทศไทย หรือ บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หนึ่งในองค์กรยุคใหม่ที่เป็นต้นแบบของการปรับตัวในยุค Next Normal มาแชร์กัน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทุกองค์กรได้นำไปวางแนวทาง Culture Transformation หรือการสร้างบรรยากาศในองค์กร ที่นำสู่การวางวัฒนธรรมองค์กรให้สอดรับกับรูปแบบของการทำงานยุคใหม่ ที่ยึดหลักว่า “บุคลากรคือฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แม้ว่าสภาวการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม” โดยมี พรกนก เล็กยิ้ม Leader, HR Thailand, LIXIL APAC เป็นผู้จะมาบอกเล่าถึงแนวปฏิบัติของ ลิกซิล ประเทศไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนด้านพัฒนาทรัพยากรบุคคลของ LIXIL ให้สอดคล้องกับ Mega Trend ของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วางเป้าหมาย Culture Transformation เพื่อขับเคลื่อนองค์กรฝ่าทุกดิสรัปชัน

“Culture Transformation คือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ที่ทำกันอยู่เดิม ๆ ให้เปลี่ยนไปสู่วัฒนธรรมองค์กรใหม่ เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิมไม่สามารถก่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กร”

จากนิยามที่ทำให้เราเข้าใจถึงภารกิจในการทำ Culture Transformation ข้างต้นนี้ ทาง ลิกซิล ประเทศไทย ได้เปลี่ยนให้เป็นการลงมือทำจริง และได้ผลลัพธ์เป็นการ Transformation จริง ผ่านกลไกการทำงานของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ของ ลิกซิล ประเทศไทย ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถใช้จุดแข็งของวัฒนธรรมองค์กร ลิกซิล ปรับให้การทำงานด้านการพัฒนาบุคลากรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย คุณพรกนก ได้เริ่มเล่าถึงแนวคิดสำคัญของการทำ Culture Transformation ที่ลิกซิลว่า

“ลิกซิลมองเรื่อง Culture Transformation เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมในองค์กรที่เอื้อให้พนักงานเกิดแรงขับเคลื่อนพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรไปสู่แนวทางที่สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่”

“แล้วอะไรล่ะที่เป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบที่เราอยากเป็น? เราเชื่อว่าบุคลากรคือฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม ดังนั้น องค์กรของลิกซิลจึงมี LIXIL Behavior’ s เพื่อส่งเสริมให้พนักงานยึดถือเป็นแนวปฏิบัติร่วมกันในการทำงานที่หลากหลายและการรวมเข้าด้วยกัน (Diversity and Inclusion)

  1. ทำในสิ่งที่ถูกต้อง (Do the Right Thing)
  2. ทำงานด้วยความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน (Work with Respect)
  3. กล้าทดลองและเรียนรู้ (Experiment and Learn)

เมื่อหลักการ “วัฒนธรรมองค์กร” ชัดแล้ว ลิกซิล จึงได้ปรับเอาเทคโนโลยี หรือโปรแกรมอันทันสมัยมาพัฒนาศักยภาพขององค์กรและบุคลากรให้เดินไปสู่ “การทำงานในยุค Next Normal” พร้อมกัน

“ลิกซิลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ทั้งการนำ Learning Model 70-20-10 การจัดหลักสูตร Online Training ผ่าน Platform LinkedIn Learning เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ นอกจากนี้เรายังได้ส่งเสริมให้พนักงานบางส่วนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในโลกการทำงานที่เปลี่ยนไปโดยผ่านโปรแกรมและแพลตฟอร์ม “Mentorship Program” และ “LinkedIn Learning” อีกด้วย

Mentorship Program แชร์ประสบการณ์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ติดอาวุธให้พนักงานทุกคนปรับตัวรับทุกความเปลี่ยนแปลง

เพื่อให้เห็นภาพของกลไกสำคัญที่ทาง ลิกซิล ประเทศไทย ได้ใช้ในการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร หรือ Culture Transformation คุณพรกนก ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึง 2 เครื่องมือสำคัญที่ทางองค์กรได้นำมาใช้ เริ่มจาก Mentorship Program ซึ่งเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์จริงของพนักงานรุ่นพี่ไปสู่พนักงานรุ่นน้อง ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้พนักงานทุกคนปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงและบรรลุเป้าหมายในเส้นทางอาชีพของตนได้

“จริง ๆ แล้วการจัดอบรมคอร์สต่าง ๆ ให้แก่พนักงานไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหลาย ๆ องค์กรในประเทศไทย เพียงแต่สำหรับลิกซิลเราวิเคราะห์องค์กรของเราและพบว่าการที่จะเปลี่ยนวิถีการทำงานของพนักงานจากเดิมไปสู่วิถีการทำงานแบบใหม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจให้แก่พนักงานไปทีละขั้นตอนด้วยการเริ่มต้นจากการถ่ายทอดประสบการณ์จริงของพนักงานรุ่นพี่ไปสู่พนักงานรุ่นน้องผ่านวิธีการที่เรียกว่า Mentorship Program”

“โดยพนักงานที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การอบรมจะมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์การทำงานโดยตรงจากผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำงาน ซึ่งโปรแกรมพี่เลี้ยงนี้จะสร้างบริบทความใกล้ชิดในวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน การแบ่งปันข้อแนะนำจากประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมา รวมทั้งไอเดียใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อมุ่งหวังให้เหล่าผู้ได้รับการสอนงาน (Mentee) บรรลุเป้าหมายในเส้นทางอาชีพของตนและสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้”

ทั้งนี้ Mentorship Program ของลิกซิลแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ดังนี้

  1. Virtual Unpacking Session

โดยหยิบยกประเด็นสำคัญจาก 1 ในหนังสือธุรกิจที่ดีที่สุดในโลกอย่าง “Who Moved My Cheese” หรือ “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป” ที่ว่าด้วยเรื่องของการเตือนสติผู้คนให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจงตั้งรับและกล้าเผชิญหน้าอย่างรู้เท่าทัน โดยเฉพาะในยุคที่การ Disrupt เกิดขึ้นแบบรวดเร็วมาเป็นหัวข้อหลัก นอกจากนั้นตลอดทั้งเซสชั่นทุกคนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองของตนเองเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ได้ลองสวมบทบาทเป็นคาแรคเตอร์ของตัวละครในเรื่องเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวละครนั้น ๆ มีวิธีคิด รู้สึก และแสดงออกต่อเหตุการณ์ ต่าง ๆ อย่างไร ซึ่งทำให้พนักงานได้ค้นพบตัวเองผ่านการคิดวิเคราะห์ว่าที่ผ่านมาตัวเราเองเคยเป็นตัวละครแบบไหนและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการมีความคิดเหล่านั้นในอดีต และเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงตกผลึกที่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยกระบวนการฝึกคิดให้มีมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ในทิศทางที่ดีขึ้น

  1. Entrepreneurial Mindset

เป็นกิจกรรมเวิร์กชอปที่ลิกซิลส่งเสริมให้พนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของ หรือการมีแนวคิดแบบผู้ประกอบการ Sense of Ownership ซึ่งจะช่วยให้พนักงานกล้าคิด กล้าทำ พร้อมรับมือกับปัญหาสามารถผลักดันองค์กรให้เติบโตยิ่งขึ้น ตลอดจนยังเป็นการปลูกฝังแนวความคิดการนึกถึงผู้อื่นไม่น้อยไปกว่าตัวเอง หรือ Outward Mindset โดยกิจกรรมนี้มุ่งหวังให้พนักงานเข้าใจตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมขององค์กรเป็นที่ตั้ง

  1. Group Reflection

เป็นกิจกรรมไฮไลท์ที่พนักงานรุ่นน้องมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่ รวมถึงการให้คำแนะนำส่วนตัวเป็นระยะเวลา 3 เดือน

และจากการใช้ Mentorship Program มาพัฒนาศักยภาพ สร้างความเข้มแข็ง และทักษะจำเป็นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้พนักงาน คุณพรกนก กล่าวถึงผลตอบรับที่ดีที่เกิดขึ้นว่า

“ลิกซิลได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากพนักงานทุกคนที่ได้เข้าอบรมผ่าน Mentorship Program มาในวันนี้เราจึงพร้อมนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาพัฒนาให้การจัดอบรมครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพ ตลอดจนจัดเตรียมหัวข้อการอบรมให้ทันยุค ทันเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น”

LinkedIn Learning เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พนักงานปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

“ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน ทักษะหนึ่งที่ทุกคนต้องมีเพื่อปรับตัวให้เข้ากับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นคือ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)”

ด้วยความตระหนักในความจริงข้อนี้ ฝ่าย HR ของ ลิกซิล จึงต่อยอดนโยบายสำคัญขององค์กร ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม LinkedIn Learning มาส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้ โดย คุณพรกนก ได้ขยายความถึงการนำแพลตฟอร์มนี้มาใช้ในองค์กรว่า

“ลิกซิล เชื่อมาตลอดว่า “Knowledge is Power” หรือ ความรู้คือพลังสำคัญที่จะทำให้ทุกคนปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตหรือการดิสรัปอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทางฝ่าย HR จึงได้ปรับเอาแพลตฟอร์ม LinkedIn Learning มาเป็นตัวช่วยในการติดอาวุธทางปัญญาเรื่อง Reskill & Upskill ให้แก่พนักงาน และลดปัญหาเรื่อง Skill Gap ที่เกิดขึ้นในองค์กรได้อย่างตรงจุด”

“อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าถึงแหล่งความรู้จากผู้สอน วิทยากร ที่มีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเกี่ยวกับ Entrepreneur Spirit, Change Management ได้ทุกที่ ทุกเวลา หลังจากเรียนจบคอร์สแล้วทุกคนจะได้รับ Certificate เป็นการยืนยันถึงความสำเร็จอีกด้วย”

“โดยล่าสุด เป็นเรื่องน่ายินดีที่พนักงานของเราลงทะเบียนเรียนนับเป็นจำนวนอันดับ 3 รองจากจีน และอินเดีย นี่เป็นดัชนีชี้วัดว่าพนักงานของเราตื่นตัวและเห็นความสำคัญของการเพิ่มพูนทักษะความรู้เพื่อนำไปต่อยอดในการทำงาน”

แชร์ประสบการณ์จาก ฝ่าย HR ลิกซิล กับความสำเร็จของการพาองค์กรก้าวสู่การเป็น “องค์กรยุคใหม่” ด้วย Culture Transformation

เมื่อถามถึงแนวทางที่ ฝ่าย HR ลิกซิล ได้นำมาใช้ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำให้ ลิกซิล ประเทศไทย เป็นองค์กรยุคใหม่ที่พร้อมปรับตัวกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ คุณพรกนก ได้ให้คำตอบพร้อมให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การทำงานของฝ่าย HR ในยุคนี้ด้วยว่า

“วันนี้บทบาทและหน้าที่ของ HR ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง HR ไม่ได้มีความรู้จำเพาะแค่เรื่องการบริหารจัดการบุคคลอีกต่อไป แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในแง่ของธุรกิจ (Business Acumen) มีส่วนร่วมที่สำคัญในการวาง กลยุทธ์ให้แก่องค์กร หรือเรียกว่าเป็น Business Partner ในแง่การเป็นผู้นำในการพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจขององค์กร”

“ในส่วนของการดูแลพนักงานลิกซิล เราเน้นสร้างบรรยากาศการทำงานในลักษณะ Agile มากขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ลิกซิล เร่งผลักดันให้เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ในองค์กรเพื่อให้พนักงานพร้อมตั้งรับการเปลี่ยนแปลง เน้นความคล่องตัว ความยืดหยุ่น ลดความซับซ้อนของการทำงานที่เป็นขั้นตอนลง ตลอดจนเน้นให้พนักงานสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ถือเป็นความท้าทายของฝั่ง HR เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับองค์กรเราและคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะให้พนักงานทุกคนได้ปรับตัวจนเกิดความคุ้นชิน”

“เพราะในยุคนี้ชุดทักษะความรู้แบบเดิม ๆ ไม่อาจใช้ได้ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอีกต่อไป การส่งเสริมให้พนักงานมี Mindset รักการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบ Learn, Unlearn และ Relearn จึงเป็นหนทางที่ลิกซิลนำมาใช้ปรับกระบวนทัศน์การทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

เริ่มต้นที่ Learn คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ทักษะใหม่ ตลอดจนวิธีคิดใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการทำงานใน Disruptive World ส่วน Unlearn คือ การละทิ้งหรือทลายกรอบความรู้ ความเชื่อ ทฤษฎีเดิม ๆ ที่เคยยึดถือมา ด้วยการกล้าทดลองและเปิดใจให้กับองค์ความรู้ใหม่ ๆ และ Relearn คือ การค้นหาและสำรวจว่ามีทักษะใดบ้างที่พนักงานของเราจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Digital Skill และ Soft Skill เช่น ทักษะการสื่อสาร (Communication) ทักษะการบริหารเวลา (Time Management) ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking)

“ลุมพินี วิสดอม” ระบุ พลังงาน-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพเป็นสินค้าที่มาแรงในปี 2566 

แนะผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ Net Zero

Sea (ประเทศไทย) และช้อปปี้ (Shopee) ซึ่งเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซภายในเครือ ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เปิดตัวแคมเปญ ‘Women Made ช้อป 10 แบรนด์พลังหญิง’ ชวนช้อปสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษช่วงปีใหม่บนช้อปปี้ พร้อมมอบโปรโมชั่นส่วนลดสุดปัง 15% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2566 เติมความสุขช่วงปีใหม่ให้นักช้อป พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงชาวไทยให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ

หลังจากที่ Sea (ประเทศไทย) และ CEA เปิดตัวโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการหญิง ‘Women Made’ ไปเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 10 แบรนด์ ก็ได้ผ่านโปรแกรมฝึกอบรม Women Made Masterclass สุดเข้มข้นไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนด้านการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ การขับเคลื่อนสังคมด้วยธุรกิจ และการพัฒนาธุรกิจในโลกอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ ทั้ง 10 แบรนด์ยังได้จับคู่กับเหล่าดีไซน์เนอร์จากเครือข่าย CEA Connect ทั้ง 5 ท่าน ได้แก่ ปิติ อมรเลิศวัฒนา จาก Norman Design Studio, นัยญดา ผิวดำ จาก  Studio dē cloud, นภัทรชนนันท์ นันท์ทปรีชา (@abouttongpic), ธิรดา ชนาวิโชติ และอุ้มบุญ ลิ้มน้ำคำ และร่วมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของโครงการฯ แบบ One-on-one เพื่อพัฒนาสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษที่จะวางขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 บนช้อปปี้

นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) เผยว่า “เราพบว่าผู้ประกอบการหญิงที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ มีประสบการณ์ในทำธุรกิจ แต่ยังขาดความมั่นใจในการต่อยอดองค์ความรู้ทางธุรกิจ การบอกเล่าเรื่องราวและการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์ของตนเอง รวมถึงความท้าทายในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆในโลกอีคอมเมิร์ซ ดังนั้น โครงการ Women Made จึงเข้ามาช่วยแต่ละแบรนด์ระบุปัญหาและหาวิธีปรับตัวเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมมอบทักษะใหม่ ๆ และแนวคิดในการทำธุรกิจที่แต่ละคนสามารถนำไปปรับใช้ได้ในระยะยาว โดยคอลเลคชั่นพิเศษที่จะวางจำหน่ายบนช้อปปี้ นับเป็นผลลัพธ์ในระยะเริ่มต้น จากการที่แต่ละแบรนด์ใช้โครงการนี้เป็นสนามทดลองเพื่อทำสิ่งใหม่ ๆ ปลดล็อกข้อจำกัดเดิม ๆ โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยเหลือในแต่ละขั้นตอน พร้อมใช้เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซและการสนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดจากช้อปปี้ เข้ามาช่วยเปิดประตูสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ”

ค้นพบแบรนด์ใหม่และสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษไม่ซ้ำใคร

นอกจากจุดมุ่งหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการหญิงในประเทศไทยแล้ว แคมเปญ ‘Women Made ช้อป 10 แบรนด์พลังหญิง’ ยังช่วยสร้างสีสันช่วงปีใหม่ให้ขาช้อปชาวไทย โดยเฉพาะนักช้อปออนไลน์ที่ชื่นชอบการค้นพบแบรนด์ใหม่ ๆ ที่เหมาะกับตัวเอง แคมเปญนี้ยังมาพร้อมกับดีลสุดคุ้ม กับโค้ดส่วนลด 15% สำหรับคำสั่งซื้อขั้นต่ำ 100 บาท[1] ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2566 สามารถดูสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษจากโครงการ Women Made ได้ที่ www.shopee.co.th/WomenMade

เกี่ยวกับแบรนด์ทั้ง 10 จากแคมเปญ ‘Women Made ช้อป 10 แบรนด์พลังหญิง’

สินค้าหมวดแฟชั่น

  • Kanz by Thaitor: แบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ จาก จ.แพร่ ที่คนในครอบครัวออกแบบลายและทำกันเองทุกขั้นตอน เป็นการต่อยอดผ้าบาติกเทคนิคเฉพาะที่คุณพ่อกับคุณแม่ทำกันมาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วให้ร่วมสมัยและใส่ง่ายในชีวิตประจำวัน โดยคอลเลคชั่นพิเศษในครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิด WABI SABI ว่าด้วยเรื่องความงามที่ไม่สมบูรณ์แบบ (Art of Imperfect Beauty) มองหาความเรียบง่าย ความสงบ ความสมดุล ความเป็นธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ ทั้งยังนําเสนอความร่วมสมัยที่แปลกตา ด้วยการผสมผสานความเป็นตะวันออกที่แสดงผ่านโครงเสื้อเข้ากับเทคนิคการตัดเย็บแบบ QUILT ที่มีความเป็นตะวันตก จนกลายเป็นคอลเลคชั่น WABI SAB! ที่แฝงความสนุกไว้ในความเรียบง่าย
  • Sliptosleep: แบรนด์ Braless Pajamas หรือชุดนอนสำหรับสาว ๆ ที่มาพร้อมกระเป๋าหนาสามชั้นด้านนอก ทำให้ไม่ต้องกลัวโป๊แม้จะไม่ได้ใส่บรา คอลเลคชั่นพิเศษนี้ Slip to sleep ได้ปรับแพคเกจจิ้งด้วยแนวคิดสร้างคุณค่าต่อจิตใจและยืดอายุการใช้งานของกล่องบรรจุภัณฑ์สินค้า นอกจากการส่งต่อความสุขด้วยแพคเกจจิ้งที่น่ารักแล้ว ลูกค้ายังสามารถนำส่วนของกล่องไปใช้เป็นที่ขั้นหนังสือได้อีกด้วย
  • VERAPARIS: แบรนด์กระเป๋าซึ่งเป็นตัวแทนของชีวิตผู้หญิงในมหานคร ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมเมือง การออกแบบสินค้าของแบรนด์จึงได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมเมือง และออกแบบให้มีฟังก์ชั่นที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ชีวิต Urban Life สร้างสุนทรีย์ให้ผู้หญิงในการถือและใช้กระเป๋า โดยคอลเลคชั่นพิเศษในครั้งนี้ ได้แก่ กระเป๋ารุ่น Lundi Pie สีพิเศษที่นำรูปทรงกล่องหมอน Geometric มาผสมเข้ากับ Curve ไว้อย่างลงตัว นอกจากดีไซน์ที่เด่นสะดุดตา แล้วยังมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน ทำให้เป็นอีก Timeless Bag ที่หยิบมาใช้ได้ทุกเวลา
  • Sureeya: แบรนด์ผลิตภัณฑ์กระเป๋าและ Accessories จากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีผ้าพื้นถิ่น คือ ผ้าปาเต๊ะ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของพื้นที่ คอลเลคชั่นพิเศษในครั้งนี้ ต้องการเล่าเรื่องราวความสวยงามในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ผ่านลวดลาย “ดอกดาหลา” ที่นิยมปลูกในพื้นที่จังหวัดยะลาและจังหวัดนราธิวาส คอลเลคชั่นนี้พิเศษตั้งแต่การเริ่มต้นกระบวนการผลิตจากฝืมือของผู้ประกอบการหญิงจังหวัดนราธิวาส “มุสบาปาเต๊ะ” ในการผลิตผ้าปาเต๊ะ (Batik) ด้วยบล๊อคไม้ลายดอกดาหลา แล้วจึงส่งต่อผ้าให้ “Sureeya” ผู้ประกอบการหญิงจังหวัดยะลา ตัดเย็บกระเป๋า Sureeya คอลเลคชั่นพิเศษเพื่อส่งต่อความงามของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้สู่ลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย

สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม

  • Pick Me Please: หมูหยองกรอบที่ใช้กรรมวิถีคั่วบนเตาถ่านสูตรโบราณ โดยปราศจากการใช้เครื่องจักร ปรุงรสจนได้หมูหยองกรอบที่ กรอบอร่อย รสชาติไม่เหมือนใคร ปราศจากผงชูรสเเละสารกันเสีย มาพร้อมกับ Gift Set “Spiral of Happiness” เหมาะสำหรับการซื้อเป็นของขวัญหรือทานเล่นร่วมกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ในเทศกาลสังสรรค์ช่วงปีใหม่
  • ทันจิตต์: ต่อยอดตำนานครอบครัวนักรังสรรค์ขนมที่มีประวัติยาวนานกว่า 40 ปี พร้อมส่งต่อความสุขที่ทานได้ แบบ Non Stop กับขนม "เผือกกรอบรูปตะแกรง" ในแบบฉบับ "ทันจิตต์" คอลเลคชั่นพิเศษที่พร้อมส่งความสุขด้วยขนมทานเล่นและของเล่นสำหรับปาร์ตี้หรือการพบปะกัน ในกล่องจึงมีเทมเพลตลูกเต๋าที่ให้ผู้รับได้นำมาประกอบเล่นเป็นเกมสุ่มทายรสชาติ อีกทั้งจะเป็นการ์ดไว้เขียนสำหรับอวยพรและกระดาษรองแก้วอีกด้วย
  • Mediherbtea: แบรนด์ชาจากดอกไม้ ปราศจากคาเฟอีน ไม่มีน้ำตาล ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ คอลเลคชั่นใหม่ “All Day Flower Tea” ได้แรงบันดาลใจมาจากความหลากหลายของดอกไม้ไทยนานาพรรณ ที่มีทั้งกลิ่นหอมและคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยการผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ด้านแพทย์ทางเลือก จึงพัฒนาเป็นเซตชาดอกไม้ที่สามารถ ดื่มได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ประกอบไปด้วยชาเบลนด์ 3 รสชาติ ได้แก่
    • Morning Bloom ชาดอกไม้สีแดงจากดอกชบา กระเจี๊ยบแดง และกุหลาบ มีรสชาติสดชื่นหอมหวาน อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ช่วยบำรุงผิวพรรณ กระตุ้นการเพิ่มการไหลเวียนเลือด และช่วยให้สดชื่นในยามเช้า
    • Golden Noon ชาดอกไม้สีเหลืองทองจากดอกคำฝอย มะตูม และดอกกระดังงา หอมละมุนช่วยผ่อนคลาย ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด กลิ่นหอมละมุนช่วยให้ผ่อนคลายในยามบ่าย
    • Starry Night ชาดอกไม้สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน มะลิ และเปเปอร์มิ้นท์ อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงตามหลอดเลือดฝอยเล็กๆ และจอประสาทตา ช่วยฟื้นฟูสายตาจากแสงสีฟ้า เกิดความผ่อนคลายในยามค่ำคืน

สินค้าหมวดของใช้ส่วนตัว

  • Ales Thailand: แบรนด์สกินแคร์ที่อยากช่วยให้การดูแลผิวเป็นเรื่องง่าย โดย Ales เกิดจากความตั้งใจของเพื่อน 3 คน (พลอย - เภสัชกรที่มีความรู้ด้านงานวิจัยสารสกัด หยก-ทายาทธุรกิจนำเข้าเคมีภัณฑ์เครื่องสำอาง แพร-Influencer ที่สนใจด้านธรรมชาติและสุขภาพ) ที่อยากทำสกินแคร์แบรนด์ไทยที่มีคุณภาพ และส่งต่อความรู้ในการดูแลสุขภาพที่กีให้กับผู้บริโภค และคอลเลคชั่นพิเศษของ Ales ในครั้งนี้ มาจากแนวคิดที่ต้องการสนับสนุนความหลากหลาย และอยากให้ทุกคนมีผิวที่สวยในแบบที่เป็นตัวเอง จึงได้จับมือกับ @abouttongpic ศิลปินในการออกแบบ Packaging รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่แสดงความเป็นตัวตนที่แตกต่าง ความหลากหลาย และความสวยในฉบับของตัวเองได้อย่างมีเอกลักษณ์
  • Happy FLows TH: แบรนด์ผ้าอนามัยออร์เเกนิกและผ้าอนามัยสมุนไพร ที่มุ่งมั่นช่วยให้ผู้หญิงรักษาอนามัยอย่างปลอดภัยได้ในทุก ๆ วัน และต้องการร่วมขับเคลื่อนสังคม ช่วยเหลือให้ผู้หญิงที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงผ้าอนามัยดีๆ ได้ ปล่อยเซตผ้าอนามัยสมุนไพร “Happy Together” ประกอบด้วย ผ้าอนามัยแบบกลางคืน 24 แผ่น กระเป๋าใส่ผ้าอนามัย และ Period Tracker นอกจากนั้นกล่องผ้าอนามัย Happy Flows สามารถ I.Y. เป็นกล่องใส่ผ้าอนามัยอีกด้วย เมื่อซื้อ 1 กล่อง แบรนด์จะมอบอีก 1 กล่องให้เพื่อนผู้หญิงที่ขาดโอกาสเข้าถึงผ้าอนามัยที่ถูกสุขลักษณะเพื่อเป็นอีกพลังหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสุข ความเท่าเทียมด้านสุขอนามัยของผู้หญิงทุกคน

สินค้าหมวดสัตว์เลี้ยง

  • Pethology+: แบรนด์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยต่อยอดแชมพูกำจัดเหาของเด็กมาเป็นแชมพูสมุนไพรสำหรับสุนัขและแมว พัฒนามาจากใบถอบแถบซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามแนวป่าชายเลน ผ่านการทดลองในห้องทดลองโดยผู้เชี่ยวชาญ จนได้เป็นแชมพูและสเปรย์สมุนไพรที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์ คอลเลคชั่นพิเศษนี้จะมาในแพคเกจจิ้งที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น พร้อมผ้าพันคอสุนัขและแมวที่ทำจากผ้ามัดย้อม โดยสีที่ใช้ทำผ้ามัดย้อมนี้ก็มาจากใบของพืชที่เป็นส่วนผสม

[1] เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด นำคณะผู้บริหารของบริษัทฯ มอบเงินบริจาคจำนวน 200,000 บาท พร้อมถุงใส่หนังสือที่ผลิตจากป้ายไวนิลรีไซเคิลให้กับนางอรวรรณ รัตนาชิราสุทธิ์ ประธานมูลนิธิเรนโบว์แลนด์บริการชุมชน เพื่อสมทบทุนช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ในด้านทุนการศึกษา และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในด้านอาหารและสุขอนามัย และเป็นกำลังใจให้กับอาสา สมัครที่ดูแลเด็กลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้าน

การมอบเงินบริจาคดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ระบายบนดิน สะพายบนดอย” ซึ่งเป็นกิจกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เอปสัน ประเทศไทยจัดขึ้น โดยมุ่งลดปริมาณขยะจากการอุปโภคที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือเยาวชนด้อยโอกาสในด้านการศึกษา ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยบริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากพนักงาน พันธมิตรคู่ค้า และสื่อมวลชน ในการออกแบบลายที่นำไปพิมพ์บนป้ายไวนิลประชาสัมพันธ์ที่ใช้แล้วตามหน้าร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ด้วยเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณาของเอปสัน รุ่น SureColor S-Series ที่ใช้หมึก Ultrachrome GS3 ซึ่งปราศจากกลิ่นและไร้สารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ก่อนจะนำไปรีไซเคิลเป็นถุงใส่หนังสือเพื่อมอบให้กับเด็กนักเรียนที่อำเภอออมก๋อยต่อไป 

ปัญหาขยะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากแต่แท้จริงแล้วมันคือปัญหาใหญ่ของโลก

เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านชิ้นเล็ก กระตุ้นยอดขายส่งท้ายปี 2565 ต่อยอดแคมเปญ “คิดถึงของขวัญ...คิดถึงโตชิบา” เชิญชวนผู้บริโภคส่งต่อความห่วงใย ใส่ใจคนที่รัก ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะทำให้ผู้รับสุขใจ  อาทิ เช่น เตาอบไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว พัดลม เครื่องทำน้ำอุ่น กระติกน้ำร้อน เป็นต้น โดยมีการโปรโมทผ่านสื่อต่างๆ ทั้งออฟไลน์ ซึ่งมีการจัดบูธลานกิจกรรม ทั้งในห้างสรรพสินค้า และหน้าร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ ผ่านโซเชียลมีเดียออฟฟิศเชียลของโตชิบา รวมถึง KOL ที่นำเสนอไอเดียการเนรมิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กของโตชิบา ตกแต่งเป็นของขวัญ สนใจสินค้าดูรายละเอียด ได้ที่ http://www.facebook.com/ToshibaLifestyleThailand หรือ www.toshiba-lifestyle.com/th

เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทย ผ่านการพัฒนาและยกระดับองค์ความรู้มาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์

ผลิตในญี่ปุ่นและขายในไทยเป็นที่แรกและที่เดียวในเอเชีย ราคาเพียง 4,990 บ. น้ำหนักเบา พกพาได้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันและในที่ทำงาน   

X

Right Click

No right click