December 05, 2025

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลกและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โดยนายสำมิตร สกุลวิระ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ร่วมในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) กับธนาคารออมสิน ตลอดจนสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวม 20 แห่ง ผ่าน VDO Conference โดยการลงนามในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างสถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ โดยมีธนาคารออมสินเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งเงื่อนไขของสินเชื่อซอฟต์โลนนี้ กำหนดวงเงินกู้รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.63 ทั้งนี้ พิธีลงนามฯ จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

กล่าวได้ว่าตลอดปี 2562 เป็น ความเคลื่อนไหวใหญ่ หรือ Big Moves ก็ว่าได้ สำหรับคณะการบริหารและจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หรือ FAM (Faculty Administration and Management) ภายใต้การนำการขับเคลื่อนของคณบดี ผศ.ดร.สุดาพร สาวม่วง ที่มีความมุ่งหมายในการที่จะนำพาคณะฯ และทีมงาน ก้าวให้ทันโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนใหญ่ไม่เพียงเน้นย้ำความสำคัญในส่วนของนักศึกษาหรืองานวิชาการเพียงเท่านั้น แต่มีการขยับทั้งโครงการด้านการศึกษาและงานส่งเสริมพัฒนาความรู้ให้กับทั้งภาคสังคม ธุรกิจ อุตสาหกรรม ไปจนถึงศิษย์เก่าและประชาชนทั่วไปอย่างครบถ้วนทุกมิติ ผศ.ดร. สุดาพร ได้เปิดเผย กับนิตยสาร MBAถึงความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาและที่กำลังจะเป็นการขยับใหญ่ในปี 2563

พร้อมรับผู้เรียน ทั้งนอก-ใน

เมื่อเริ่มเข้าสู่ปี 2563 ทาง FAM มีความคืบหน้าในด้านการจัดการด้านการศึกษาหลายๆ เรื่อง ในส่วนของภาคผู้เรียนทาง FAM แบ่งเป้าหมายการทำงานเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรกคือภาคหลักสูตรนานาชาติ ทาง FAM ได้เปิดความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศคือ Shandong Technology and Business University ประเทศจีนเพื่อที่จะจัดหลักสูตรอินเตอร์สำหรับรองรับนักศึกษาจากประเทศจีน โดยแผนงานยังครอบคลุมไปยังกลุ่มนักศึกษาจากแถบยุโรปและประเทศในอาเซียน เป็นลักษณะที่นักศึกษาเข้ามาเรียนกับทาง FAM โดยตรงแล้วก็ Transfer Credit Bank ซึ่งส่วนงานของหลักสูตรนานาชาติ นอกเหนือไปจากเรื่องการจัดวางหลักสูตร ทางคณะต้องเตรียมความพร้อมด้านวิชาการเพื่อพร้อมรับผู้เรียนทั้งในเรื่องการปรับพื้นฐานนักศึกษาก่อนเข้าสู่ระบบการเรียนของเรา เรื่องเหล่านี้มีทั้งเรื่องภาษา เรื่องวัฒนธรรมความเป็นอยู่ซึ่งนับเป็นพร้อมที่สำคัญเพราะทาง สจล.มีสถานที่หอพักรองรับอย่างครบครัน โดยเรื่องนี้ก็เป็นความคืบหน้าของการบริหารจัดการด้านการศึกษาของคณะฯ ในปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาถึงปี 2563 นี้

สำหรับส่วนผู้เรียนในประเทศนั้นทาง FAM ได้เริ่มมีการทำ MOU กับโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ 130 แห่ง บนการสื่อความกับคณาจารย์และนักเรียนเพื่อให้มีความเชื่อมั่นว่า FAM สามารถบ่มเพาะพัฒนาการและศักยภาพของเด็กให้เข้มแข็ง เปิดโอกาสให้เด็กที่มีความสนใจทางด้านบริหารจัดการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ FAM ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ที่เขาจะได้เรียนรู้จากการลงมือจริง และยังมีความพยายามผลักดัน Output ในส่วนของนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเชิง Qualitative ที่มีเข้ามาเท่าไหร่ก็จบการศึกษาออกไปเท่านั้น และเมื่อจบออกมาก็มีงานทำ มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับในกิจการและบริษัทชั้นนำ ส่วนในเชิง Quantitative นั้นเรามีการวัดผลจากองค์กรผู้จ้างงานหลายแห่งที่ค่อนข้างพอใจกับบัณฑิตของ FAM

บ่มเพาะผู้ประกอบการ

สำหรับนักศึกษาที่มีอัตลักษณ์ของการเป็น Entrepreneur ทาง FAN ก็มีกิจกรรมส่งเสริมอย่างเข้มข้น พบว่านักศึกษามี Outcome เป็นการจดบริษัท Startup กว่า 3 บริษัทในปีที่ผ่านมา โดยนักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ทาง FAM กำลังเตรียมจัดทำพื้นที่ Co-working Space ในคณะเพื่ออำนวยให้นักศึกษาสามารถทำProject ร่วมกันได้อย่างเต็มที่ และต่อไปจะหมายถึงความพยายามที่จะก่อตั้ง ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนนักศึกษาที่ต้องการ Startup ธุรกิจทั้งในด้านเงินทุนเริ่มต้นและโค้ชซึ่งเป็นอาจารย์ในคณะที่จะคอยให้คำปรึกษาและแนะนำ โดยเรื่องนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการทำงานต่อต่อเนื่อง

ความเคลื่อนไหวภายในของ FAM

นอกเหนือไปจากเรื่องแนวทางการพัฒนาผู้เรียน ในส่วนของการบริหารภายใน คณบดีหญิงของ FAM ยังได้เผยถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่เข้ามาบริหารคณะฯ ว่า การบริหารหลักสูตร

“ในช่วง 4 ปีของวาระบริหารของอาจารย์เรามีแผนงานที่จะปรับโครงสร้างบุคลากรภายใน เพื่อให้องค์กรก้าวไปได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเราจะลดเลิกการมีภาควิชา แต่จะเน้นไปที่ประธานหลักสูตรมากกว่า เพื่อให้เขาสามารถทำหน้าที่ภายใต้กลไกที่ว่องไว เมื่อมีระเบียบ นโยบายอะไรก็ลงถึงหลักสูตรได้ทันที เพื่อความคล่องในการเคลื่อนตัว ได้ผลแม่นยำ และยังทำให้อาจารย์ได้มีเวลามุ่งเน้นโครงการในเชิงพัฒนา การบริการวิชาการแก่สังคม

งานวิจัย มุ่งความสำคัญการจดสิทธิบัตร หรืออนุสนธิบัตร

ในส่วนของ ‘งานวิจัย’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภาคการศึกษา ผศ.ดร สุดาพร เผยถึงนโยบายซึ่งมุ่งให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิบัตรหรืออนุสนธิบัตร โดยจะมีการจัดเงินทุนให้อาจารย์ทำวิจัยปีละ 3 ทุน เมื่ออาจารย์ทำวิจัยออกมาและสามารถมีผลสำเร็จเป็นผลิตภัณฑ์หรือส่วนบริการที่สามารถนำไปจดสิทธิบัตรและจัดจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งบริษัท Startup สามารถมารับช่วงไปจำหน่ายต่อ เราทำหน้าที่เป็น Incubator บ่มเพาะทางธุรกิจไปในตัว ทำงานร่วมกับสำนักงานวิจัยนวัตกรรมของ สจล.

คณบดีของ FAM ได้ยกกรณีตัวอย่างงานวิจัยที่ ผศ.ดร สุดาพรเองได้จัดทำขึ้น ภายใต้การลงพื้นที่เพื่อทำวิจัยเกษตรกรที่เป็นชาวนา เพื่อศึกษาการทำนาและปลูกข้าว ทำให้ได้รับรู้ปัญหาจากชาวนาว่าเขามีความต้องการอะไร? หลังจากได้โจทย์ปัญหาก็นำมาระดมความคิด ประมวลความต้องการร่วมกับ ภาควิชาวิศวฯ จนในที่สุดเกิดเป็น Prototype เครื่องสีข้าวขนาดเล็กในครัวเรือนที่สามารถเคลื่อนที่ได้รุ่นแรก ที่จะเป็นตัวช่วยให้ชาวนาผู้ปลูกข้าวสามารถสีข้าวเองได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปที่โรงสี โครงการวิจัยนี้ได้มีการนำไปจดอนุสิทธิบัตร เป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดมาให้ทำงานสะดวก Fit need มากขึ้น สามารถสีข้าวได้ 12 kg ต่อชั่วโมง และมีบริษัทเอกชนเข้ามารับสิทธิเพื่อไปจัดจำหน่ายแล้ว เป็นต้น

ก้าวใหม่และก้าวใหญ่ในปี 2563

นอกเหนือไปจากโครงการบริหารการศึกษา วิชาการและอื่นๆ ที่เป็นภารกิจหลักของทางคณะฯ แล้ว คณบดีหญิงของ FAM ยังบอกเล่าถึงเป้าหมายในการรวบรวมศิษย์เก่าที่มีศักยภาพคืนสู่เหย้ามาร่วมทำกิจกรรมเพื่อร่วมส่งเสริมคณะ และร่วมพัฒนารุ่นน้อง โดยอีกนัยสำคัญเพื่อว่า ให้ศิษย์เก่ากลับมาเพื่อ Re-skill หรือ Up-skill ความรู้ใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและโครงสร้างอุตสาหกรรม แน่นอนว่าเหนือไปกว่านั้นคือเป็นการกระชับความผูกพันและเป็นเครือข่ายที่สามารถเอื้อและเกื้อหนุนกันได้ระหว่างคณะฯ และศิษย์เก่า หรือแม้แต่ ศิษย์เก่าและศิษย์เก่าที่ไม่ได้พบนับแต่สำเร็จการศึกษาออกไป ซึ่งเป็นโครงการที่อยากให้เกิดขึ้นภายในปีนี้

สำหรับก้าวใหญ่ที่สำคัญของ FAM นับแต่นี้คือทางคณะการบริหารและจัดการจะเริ่มเข้าสู่การรับรองมาตรฐาน AACSB ในปี 2020 ซึ่งถือว่าเป็นจะเป็นอีกก้าวใหญ่ที่จะมูฟไปข้างหน้าและจะเป็นก้าวที่ FAM จะเป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีการศึกษาระดับชั้นนำของโลกในที่สุด

ความท้าทาย

แน่นอนว่าการพัฒนาย่อมต้องมาพร้อมกับความท้าทาย ผศ.ดร. สุดาพร มองว่าสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ในศักราชใหม่นี้คือเรื่องของ Human Resource Management เพราะการเก่งคนเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้อง Drive team ทำให้ทีมมีแรงที่จะเคลื่อนตัวเอง เคลื่อนองค์กร จัดกระบวนการต่างๆ ให้มีการปฏิบัติที่ชัดเจน สร้างคนให้มีความรู้สึกว่าเขาอยากมีส่วนร่วม มีบทบาท มีหน้าที่ มีรางวัลให้เขาภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ ทีมบริหารและนักศึกษา เพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าเป็นทีมอย่างพร้อมกัน

ตอนที่อาจารย์แถลงวิสัยทัศน์ไว้ว่า อาจารย์ทุกคนต้องมีโครงการวิจัย โครงการบริการวิชาการเป็นของตัวเองอย่างน้อย 1 โครงการ หรืออาจจะเป็นโครงการที่ทำร่วมกับทีมงานหรือคณบดีก็ได้ ทั้งนี้เพื่อพยายามสร้างให้เกิด Human Value Capital นอกเหนือจากงานสอนปกติ เพราะฉะนั้นทุกท่านจะเป็นบุคลากรที่ครบเครื่อง และยังทำให้เกิดแรงบันดาลใจจากการได้ออกไปพบปะผู้คนภายนอก ได้ให้บริการแก่บุคคล เอาสังคมภายนอก เอาประสบการณ์เข้ามาปรับใช้ในมหาวิทยาลัยได้ ด้วยกลยุทธ์นี้อาจารย์ของคณะฯ ก็จะทันต่อการเปลี่ยนแปลง อย่างเรื่องเทคโนโลยีดิจิตอล หรือประสบการณ์ในการเป็นผู้ถ่ายทอด มีโครงการที่เราทำอยู่ตอนนี้คือ Smart Supervisor หลักสูตรที่เราทำให้กับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว โดยทีมงานของอาจารย์ทุกคนเราก็ร่วมกันเป็นวิทยากรในด้านที่ถนัด ได้ฝึกฝนทักษะการบรรยายให้กับผู้ที่มีตำแหน่งสูงซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่แปลกใหม่แต่ก็ทำให้อาจารย์ได้เพิ่มพูนประสบการณ์


เรื่อง: กองบรรณาธิการ

ภาพ: อาทิตย์ กัณฐัศว์กำพล

เคทีซีทุบสถิติใหม่ต่อเนื่อง 7 ปีซ้อน เปิดกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 5,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5%

เดินหน้ากลยุทธ์ Greener ขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และจัดตั้งธุรกิจ “บ้านปู เน็กซ์” เต็มพิกัด เพื่อเพิ่มพอร์ตพลังงานสะอาด ตอบโจทย์รูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต

"ถอดปลั๊กแล้วจะเห็นหน้าตาของความสุข"

เมื่อโลกถูกบังคับให้เข้าสู่โหมด Slow Life จากเจ้าไวรัสตัวร้าย เราควรถือโอกาสตอนว่างๆ นี้ หันกลับมาพิจารณาตัวเองอย่างจริงจัง

 ทุกวันนี้ เราทั้งหลายต่างต้องก้มลงเช็กโทรศัพท์มือถือกันทุกๆ บ่อย บางคนทุกๆ 10 นาที บางคนทุกๆ 5 นาที บางคนทุกๆ นาที โดยบางคนต้องหยิบมือถือขึ้นมาเช็กก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และหลับไปตอนกลางคืนพร้อมกับโทรศัพท์มือถืออยู่บนหัวนอน

ต่อวัน ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน โดยเฉลี่ยแล้วอาจต้องมีถึง 40-50 ครั้ง แต่ละครั้งอาจกินเวลาช้านาน มากน้อยต่างกันไปในแต่ละครั้ง แล้วแต่ว่าขณะนั้นเราว่าง หรือทำอย่างอื่นอยู่ด้วย หรือไม่อย่างไร

ทำให้ข้อความที่พวกเราได้รับรู้ต่อวันโดยเฉลี่ยแล้วอาจเกิน 500 หรือบางวันอาจถึง 1,000 ข้อความ...หากสังเกตตัวเองจริงๆ เราจะต้องตกใจว่าวันๆ หนึ่ง เรารับข้อความมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ข้อความที่ผมพูดถึงนี้มันรวมถึง บทความ บทสนทนา พาดหัวข่าว คลิปวิดีโอ รูปภาพ คลิปเสียง แบบสอบถามที่ให้เราช่วย Vote หรือสิ่งที่เป็น Entertainment ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าหนัง ละคร เกม และซีรีส์ ฯลฯ

แน่นอน สิ่งเหล่านี้มันดึงดูดให้เราใช้เวลาอยู่หน้าจอ (ทั้งจอมือถือและจอคอมพิวเตอร์) โดยแย่งเวลาเราไปจากกิจกรรมหรือความสนใจอย่างอื่น

เพราะคนเรานั้นมีเวลาจำกัด ถ้าเราใช้ไปกับหน้าจอมากเท่าใด ย่อมปันให้กิจกรรมหรือความสนใจอื่นที่อยู่นอกจอในชีวิตจริง น้อยลงไปเป็นสัดส่วนกัน

อย่าลืมความจริงข้อนึงที่เจ็บปวดทว่าเป็นสัจธรรม คือมนุษย์เรานั้นมีเวลาอยู่ในโลกจำกัด แต่ละคนมีไม่เท่ากัน ไม่มีใครรู้ว่าตัวเรามีเวลาเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ “เมื่อหมดเวลา เราต้องตาย”

 

มนุษย์เรารู้วันเกิดตัวเอง แต่ไม่รู้วันตาย ดังนั้นการใช้ชีวิตโดยประมาทหรือการผลาญเวลาไปโดยใช่เหตุ ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องคิดกันให้จงหนัก

ทีนี้ลองหันกลับมาดูว่า ที่เราเช็กๆ หน้าจอกันนั้น เราดูอะไรกันเหรอ...ดินฟ้าอากาศ ความเป็นไปของตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ Bitcoin พืชผลโภคภัณฑ์แต่ละชนิด พาดหัวข่าวล่าสุดว่ายังไง ฝ่ายด่ารัฐบาลว่าไง ฝ่ายเชียร์ว่าไง มีใครตอบคอมเมนต์อะไรบ้างที่โดนๆ ดาราที่เราชอบทำอะไรกันบ้าง ชีวิตของเพื่อนเป็นยังไง ลูกเพื่อนเป็นยังไง เขาไปกินอะไรที่ไหน เที่ยวที่ไหนกัน กราฟฟิกที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ประจำวันคืออะไร วันจันทร์คืออะไร อังคารคืออะไร ฯลฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ด่าจีนว่ายังไง สีจิ้นผิงตอบโต้อย่างไร ลีเซียนลุงพูดกับคนสิงคโปร์ว่ายังไงอีก เทียบกับลุงตู่แล้วผู้คนเห็นว่ายังไง ผู้ว่าคาลิฟอร์เนียพูดกับประชาชนว่าไงหลังจากปิดเมือง ผู้นำอิหร่านติดไวรัสตายหรือยัง ดาราฮอลิวู้ดใครบ้างที่ติดไวรัส หมาแมวเป็นยังไงกันบ้างหลังจากที่เจ้าของกักตัวเองอยู่ในบ้าน เล่นกับหมากับแมวบ้างไหมหรือว่าเป็นที่รำคาญ ระดับฝุ่นที่เชียงใหม่และที่เซี่ยงไฮ้ลดลงบ้างไหม สัตว์ป่าที่ถูกไฟคลอกในออสเตรเลียเมื่อตอนปลายปีเป็นยังไงกันบ้าง น้ำแข็งขั้วโลกละลายอีกไหม ระดับน้ำทะเลไปถึงไหนแล้ว และโลกร้อนขึ้นอีกเท่าไหร่ ซึ่งฝรั่งบางคนก็ย้ำกับเราจังเลยว่ามันสำคัญในระดับคอขาดบาดตาย แล้วที่ซีพีซื้อหุ้นเทสโก้นั้น เขาเอาเงินที่ไหนซื้อหรือไปกู้เงินมาจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น ก่อหนี้ขนาดนี้ไม่กลัวบ้างเหรอ หากเศรษฐกิจข้างหน้าไม่ดีหรือมีเทคโนโลยีใหม่มาชวนให้พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนเปลี่ยนไปในอนาคต... มีใครอีเมลถึงเราบ้างวันนี้ชั่วโมงนี้ แล้วในไลน์ส่วนตัวและไลน์กลุ่มมีใครว่าอะไรไหม เพื่อนๆ ในอินสตาแกรม ยูทูป เฟซบุ๊ก แมสเซนเจอร์ วอทแอป สแนปแชท เทเลแกรม ว่ายังไงกันบ้าง.... ฯลฯ

แล้วพฤติกรรมการเช็กของเราเป็นยังไงกันบ้าง...

นอนเช็กบนเตียงตั้งแต่ตื่น เช็กต่อในห้องน้ำระหว่างทำธุระ เช็กในลิฟต์เพราะไม่อยากสบตาคนในลิฟต์ เช็กบนรถไฟฟ้าท่ามกลางคนแปลกหน้า หรือระหว่างขับรถเอง ตอนติดไฟแดง บางทีติดพัน ไฟเขียวแล้วยังต้องตอบข้อความ คีย์ไปด้วยมองถนนไปด้วย แม้กลับถึงบ้านแล้วก็รีบไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็กข้อความต่อ บางคนเช็กตอนเข้าประชุม หรือระหว่างทำงาน แม้แต่ประชุมสำคัญ เมื่อยังไม่ถึงท่อนที่เราต้องเกี่ยวข้อง หรือเบื่อๆ เพราะคนอื่นพูดยาว ก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กไปพลางๆ ก่อน บางคนเช็กตอนกินข้าว กินไปด้วย ดูและคีย์ไปด้วย บางคนเช็กตอนดูทีวี หรืออาบน้ำ ทำหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน... ฯลฯ

ถามว่า ข้อความเหล่านั้นมันสำคัญต่อเราขนาดไหน? แม้แต่อีเมลหรือข้อความที่ผู้อื่นส่งให้เราและตั้งใจติดต่อเราผ่านแอปต่างๆ นั้น มันเร่งด่วนขนาดไหน? คอขาดบาดตายแค่ไหน? ต้องเปิดดูและต้องตอบกลับทันทีเลยเหรอ? รอก่อนได้หรือเปล่า?

เราจะไม่มีทางรู้แน่ จนกว่าเราจะกดเช็กข้อความเหล่านั้นจนครบ แล้วเราก็พบว่าส่วนใหญ่มันมักไม่ได้คอขาดบาดตายอะไร ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย แต่กว่าเราจะรู้ เราก็พบว่าเราได้เสียเวลาไปกับการตอบกลับไปในทุกๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนข้อความกลับไป ส่งเป็นสติ๊กเกอร์ กด Like กด Share เขียนคอมเมนต์ Forward ส่งต่อ กด Delete หรือลากลงถังขยะ หรือแม้กระทั่งถ่ายรูป หรือส่งคลิปเสียงกลับไป บางครั้งถึงกับอัดวิดีโอตัดต่อคลิปแล้วค่อยส่งกลับพร้อมคอมเมนต์ก็มี

วันๆ เราได้รับข้อความเป็นร้อยๆ พันๆ แม้บางอันจะสำคัญ แต่กว่าเราจะรู้ เราก็ต้องเสียเวลาไปกับการเปิดดู เปิดฟัง เสียเวลาเพ่งพินิจพิจารณา ครุ่นคิด แล้วก็ตอบกลับ เสร็จแล้วเรามักพบว่า เราอินไปด้วย โกรธ เกลียด หรือรักไปด้วย กับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและความเห็นของคนอื่นๆ ความโลภของคนอื่นๆ ความโกรธ ความเกลียด หรือความลวงของคนอื่นๆ และ Agenda ของคนอื่นๆ มากกว่าของเราเอง

มันมักจะจบลงด้วยความผิดฝาผิดตัว ทำให้เราต้องไปต่อสู้ในสงครามของคนอื่น ไปเข้าเป็นฝักเป็นฝ่ายกับความขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวกับเราเลย ไปดีใจเสียใจโกรธเศร้าใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่เราไม่ได้ก่อขึ้น ฯลฯ

การสื่อสารยุคใหม่ที่ทุกอย่างอยู่บนมือถือ ดึงดูดกิเลสของเรา ให้เราโน้มเอียงว่าต้องสนใจมัน ต้องหยิบมันขึ้นมาเช็ก แล้วตอบโต้ จนเห็นเป็นความเร่งด่วน จนลืมไป (หรือละเลยไป) ว่า “อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ”

ความเร่งด่วนต้องมาก่อนสาระสำคัญ!

หลังจากเราเปิดดูข้อความ อ่านพาดหัวข่าวหรืออ่านทั้งบทความ ดูและฟังคลิป ปาดอินสตาแกรม และเปิดยูทูปดูทีละคลิปจนหมดล็อตนี้ แล้วค่อยเขียนคอมเมนต์ กด Like กด Share ตอบอีเมล ตอบไลน์ส่วนตัว ไลน์กลุ่ม ส่งสติ๊กเกอร์ ถ่ายรูป ส่งรูป หรืออัดคลิป ส่งคลิป ร่วมโหวต และร่วมเล่นเกม...เราจะพบว่าเราไม่มีเวลาเหลือให้กับเรื่องที่เป็นสาระสำคัญของชีวิตเรา เราลืมกล่าวคำหวานกับคนรักที่นั่งอยู่ในรถกับเรา หรือนั่งกินข้าวกับเรา ลืมรับฟังความทุกข์หรือปัญหาของเขาและเธอ ลืมรสชาติและความเอร็ดอร่อยของอาหารพื้นเมืองมื้อนั้น ลืมความหอมของกลิ่นตัวและดอกไม้ในตัวเขาหรือเธอ ลืมกล่าวคำสวัสดีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลืมวันเกิดของลูกๆ ลืมที่จะพูดจาหยอกล้อและเอาใจใส่รับฟังคนในครอบครัวที่เรารัก แม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ของพวกเขา เราก็จำไม่ได้เสียแล้ว ถ้าโทรศัพท์หาย เราก็ไม่มีทางติดต่อพวกเขาได้ในเวลาคับขัน ฯลฯ

มิใยต้องกล่าวถึงเวลาที่จะได้ครุ่นคิดหรือลงมือทำในประเด็นที่ต้องอาศัยความลึกซึ้ง ละเมียด หนุนใจให้เข้าสู่ความดี ความงาม ความจริง หรือเวลาในการแสวงหาความรู้เพื่อจะพัฒนาทักษะตัวเอง

เวลาที่เหลือให้กับเรื่องสำคัญเหล่านี้ น้อยลงไปทุกที

ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของ FakeNews เป็นยุคของ DeepFake ดังนั้นข้อความที่เรารับเป็นร้อยๆ พันๆ ต่อวันเหล่านั้น เราย่อมต้องเสียเวลา เสียความคิด ในการมาพิจารณากลั่นกรองว่าอะไรบ้างที่เป็นเรื่องจริง อะไรบ้างที่ควรรับไว้ไตร่ตรองและดาวน์โหลดเก็บไว้ในความทรงจำ อะไรบ้างที่เป็นความคิดโง่ๆ ชุ่ยๆ โกหกหลอกลวง หรือจริงปนเท็จ ฯลฯ ทำให้เวลาที่ต้องเสียไปอยู่แล้ว ยิ่งต้องเสียมากขึ้น ต้องอยู่กับมันนานขึ้นไปอีก

ทว่าสุดท้าย มันก็จะกลับไปสู่ข้อสรุปเดิมอยู่ดี ว่ามันล้วนเป็น Agenda ของคนอื่น ของบรรณาธิการ ของสื่อค่ายนั้นค่ายนี้ ของกลุ่มการเมืองนั้นนี้ อาชีพนั้นนี้ เชื้อชาตินั้นนี้ ของคนนั้นคนนี้...มากกว่าที่จะเป็นของเรา และส่วนมากมักจะเป็นประเด็นที่ไม่สลักสำคัญอะไรกับชีวิตเราและคนที่เรารักเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น นอกจากมันจะกินเวลาเราแล้ว มันยังเปลืองและรกสมองของเราด้วย

อย่าลืมว่าสมองคนเรามันมีที่จำกัด แม้สมองจะเป็นอวัยวะที่เหนือล้ำของมนุษย์ สามารถปรับตัวยืดหยุ่นและทำอะไรได้สารพัด แต่มันก็มีพื้นที่จำกัด มันเป็น Finite ไม่ใช่ Infinite

ดังนั้น ถ้าเราดาวน์โหลดขยะเข้าไปมาก แน่นอนว่ามันจะต้องไปเบียดให้ความทรงจำที่เป็นสาระสำคัญ เช่นเบอร์โทรศัพท์ของคนในครอบครัวหายไป หรือหนักกว่านั้นคือคุณธรรมบางอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตจริงในสังคมมนุษย์ เช่นความกล้า ความขยัน ความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตากรุณา ความโอบอ้อมอารี ความรอบคอบ ความยับยั้งชั่งใจ ฯลฯ เพราะยิ่งเรารับข้อมูลหลากหลายเข้าไปมากๆ ต่อวัน มันย่อมเข้าไปอยู่ในความทรงจำสักแห่งหนึ่งในสมองเราแทนที่คุณธรรมเหล่านี้ แม้เราไม่อยากจะเก็บมันไว้ก็ตาม

ไลฟ์สไตล์แบบนี้ นอกจากมันจะกินเวลาและกินพื้นที่ในสมองเราแล้ว มันยังเป็นพิษต่ออารมณ์ของเราด้วย

เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า สุดท้ายเมื่อเราเข้าไปเช็กข้อมูลแต่ละครั้ง มันมักลงท้ายด้วยการถูกชักจูงให้ รัก ชอบ โกรธ เกลียด หลง และโลภ ไปกับความรู้สึกนึกคิดและปัญหาของคนอื่นแทบทั้งสิ้น

บางทีมันก็ผลักให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวหรือข้อถกเถียงเหล่านั้น กลายเป็นตัวละคร บนโลกไซเบอร์ ที่เราต้องร่วมตอบคอมเมนต์ ออกความเห็น ร่วมโหวต และร่วมกลุ่มแชทอย่างเอาเป็นเอาตาย

โลกเสมือน มันเทคโอเวอร์ชีวิตที่เคยใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไปเสียแล้ว

มันเทคโอเวอร์เวลาเรา เทคโอเวอร์สมองเรา แล้วยังเทคโอเวอร์อารมณ์เราไปด้วย

ไลฟ์สไตล์แบบนี้ ทำให้เราใช้ “เวลา สมอง และอารมณ์” เปลืองไปกับโลกเสมือน ซึ่งเป็น Fake World มากกว่าโลกจริง ซึ่งเป็น Real World

ความสุขแบบเดิมที่เคยเห็นความงาม หอมกลิ่นธรรมชาติ ได้ยินเสียงเพลงและเสียงธรรมชาติที่ไพเราะ สัมผัสหนาวอุ่นร้อนในกายคนรัก ถูกแทนที่ด้วยความสุขหรือความพอใจแบบใหม่ที่ค่อนข้างฉาบฉวย ไม่ตราตรึง

สมองของคนเราอาจเหมือนกับกระเพาะ ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของอาหารที่ใส่เข้าไป ทว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพของอาหารต่างหาก ที่กระเพาะและสมองจะย่อยเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่ากัน

ถ้าเราใส่ Fast Food เข้าไปหรือใส่อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์เข้าไปมากเกิน มันก็จะได้ขยะ คือน้ำตาล ไขมัน เกลือ สูงเกินไปไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในและชีวิต เช่นเดียวกับสมองที่ถ้าเราใส่ข้อมูลสัพเพเหระอะไรก็ได้ โกยใส่ๆ เข้าไป มันก็จะได้ความรู้สึกนึกคิดที่ฉาบฉวย กระจัดกระจาย ไม่ลึกซึ้งเป็นปึกแผ่นแก่นสาร

“Serious Thought” ยังเป็นไปได้อยู่ไหมในยุคนี้?

ถ้าเจ้าชายสิทธารถะ กลับมาประสูติในยุคนี้ และต้องหมดเวลาไปกับการบริโภคข้อมูลข่าวสารที่ไหลท่วมท้นบนอินเทอร์เน็ตและ Public Media มากมายและบ่อยขนาดนี้ ท่านยังจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อีกหรือไม่?

เช่นเดียวกันกับ Plato, Aristotle, Descartes, Kant, Adam Smith, Marx, Nietzsche, Keynes, Einstein…ปราชญ์เหล่านี้ยังจะคิดอะไรที่ลุ่มลึกเป็นปึกแผ่นแน่นหนาในเรื่องใหญ่ๆ ของมนุษย์และธรรมชาติแบบ Breakthrough ได้อีกหรือไม่ น่าสงสัยยิ่งนัก

ดังนั้นเราต้องรู้จัก “ถอดปลั๊ก” หรือ “ปิดสวิตช์” เสียบ้าง เช็กข้อมูลเท่าที่จำเป็นก็พอ

อย่าลืมว่าชีวิตคนเรานั้นตั้งอยู่บนความเสี่ยงร้อยแปด ในช่วงชีวิตเราอาจต้องพานพบกับวิกฤติจำนวนมาก บางครั้งก็ต้องพรากจากสิ่งที่ตัวเองรัก พรากจากทรัพย์สินเงินทองในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และไม่มีใครรู้ว่าในอนาคต จะต้องเจอวิกฤติใหญ่อีกกี่ครั้ง

หากชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป เมื่อวิกฤติมาถึง เราต้องอาศัยสติปัญญา อาศัยความคิดที่ลึกซึ้งแยบคาย อาศัยอารมณ์ที่สงบเสงี่ยม ไม่แตกตื่นว้าวุ่น เราถึงจะผ่านมันไปได้

วิกฤติไวรัสครานี้ แสดงให้เราเห็นแล้วว่ามนุษย์นั้นมันกระจ้อยร่อยเพียงใดเมื่อเทียบกับธรรมชาติ อำนาจทำลายล้างของธรรมชาตินั้นรุนแรงก้าวร้าวกว่าฝีมือมนุษย์มากนัก

มนุษย์เรายิ่งต้องการความสามารถที่จะคิดให้ลึกซึ้งและแยบคายมากขึ้นไปอีก เมื่อต้องพิจารณาถึงประเด็นเหล่านี้ร่วมกัน เพื่อหาทางฟื้นฟูชีวิตให้กลับมาเหมือนเดิม ทั้งยังต้องระงับหรือผ่อนหนักให้เป็นเบาในอนาคต

ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเวลาของพวกเรายังถูกใช้ไปแบบทิ้งๆ ขว้างๆ บนอินเทอร์เน็ต

มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงยุคทศวรรษที่ 70-80 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเติบโตขึ้นมา โดยไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้มารบกวนเลย

'คิดแล้วทำให้ผมมีความสุข'


เรื่อง: ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

“ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่เราอยู่ในวงการธุรกิจอาหารมา มีการเปลี่ยนแปลงและปัญหาใหม่ๆ มากมายเข้ามาให้ต้องคิด ต้องปรับตัว ซึ่งถ้าเราไม่ปรับหรือปรับตัวไม่ทัน เราก็อาจจะสูญเสียธุรกิจของเราไปได้ง่ายๆ เช่นกัน”

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า – NIDA) ได้จัดส่งทีมนักศึกษาสาขา MBA ไปร่วมการแข่งขัน Yangtze New Finance Cup, 2019 ซึ่งจัดโดย SAS China เพื่อเฟ้นหา Data Analytics Championship แม้เป็นเวทีแรกของนักศึกษาตัวแทนที่ไปร่วมการแข่งขัน แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย และได้ขึ้นแสดงผลงานบนเวที นับเป็นประสบการณ์เปิดโลกทัศน์ของพวกเขาอย่างมาก และโอกาสนี้ที่ทีมตัวแทนร่วมแข่งขัน ซึ่งประกอบไปด้วย 3 นักศึกษาจะมาแบ่งปันประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนั้น พร้อมคำชี้แนะกับน้องๆ หรือตัวแทนในอนาคตเพื่อเตรียมตัวสำหรับเวทีการแข่งขันในอนาคต

จากห้องเรียนสู่เวทีระดับโลก

กฤตเมธ บุญเพ็ง หรือ แมน นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร เล่าถึงการรวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ว่า “เรา 3 คนเรียนวิชา Data Mining กับ รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล อาจารย์บอกว่ามีการแข่งขันอันนี้ ท่านถามว่ามีใครสนใจที่จะเข้าร่วมแข่งขันบ้าง พวกเราเลยตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขัน”

ธนพล อริยประยูร หรือ ยอด นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร เล่าว่า “การแข่งขันนี้จัดโดย SAS China ซึ่งจัดการแข่งขันทุกปีแต่ที่ผ่านมาเป็นการแข่งขันเฉพาะในประเทศจีน และปีนี้คือปี 2019 เป็นปีแรกที่เปิดเวทีระดับนานาชาติ จริงๆ โปรแกรม SAS เราใช้เรียนอยู่ในวิชา Data Mining อยู่แล้ว เราก็อยากจะเอาสิ่งที่เรียนมาไปลองใช้ในชีวิตจริง เมื่อมีโอกาสที่ทาง SAS China จัดการแข่งขันก็เป็นความท้าทายที่อยากเข้าร่วม”

กษมา สืบบุก หรือ บอส นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน เล่าว่า “การแข่งขันปีนี้มีนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาของไทย จีน ไต้หวัน ทั้งหมด 2,600 กว่าคน 1,000 พันกว่าทีมเข้าร่วมแข่งขัน  โดยหนึ่งทีมจะมีประมาณ 3 คน ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากจีน สำหรับการฟอร์มทีมของเราเริ่มจากแมนเขาสนใจด้านนี้อยู่แล้ว เพราะเขาทำงานเป็นพนักงานวิเคราะห์ เขาก็มาชวนผม ชวนพี่ยอด”

โจทย์คือหาความสัมพันธ์ของธุรกิจ

แมน: เล่าถึงโจทย์ของการแข่งขันว่า “การแข่งขันจะมีสองรอบ รอบแรกทาง SAS China จะส่งข้อมูลและโจทย์มาให้ ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูล Index ของอุตสาหกรรมประเทศจีน 28 อุตสาหกรรมย้อนหลังไป 20 ปี โจทย์จะให้เราวิเคราะห์ว่า 28 อุตสาหกรรมนี้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันยังไง ถ้านักลงทุนในจีนต้องการลงทุนเขาจะต้องลงทุนอะไรเพื่อให้ได้ผลกำไรมากที่สุด ตอนได้ข้อมูลมาเราไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะทำอะไรเกี่ยวกับข้อมูลพวกนี้ เราก็ไปค้นหาข้อมูลฟอรั่มจากต่างประเทศเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลด้านไฟแนนซ์ว่าเขาทำยังไงกันบ้าง พอเราจับทิศทางคนเก่งๆ ในโลกที่เขาทำได้ เราก็เริ่มเอาของคนนี้คนนั้นมาใช้ผสมกันไป”

บอส: เล่าว่า “พอเราได้ข้อมูลมาเราก็มาหาข้อมูลพื้นฐานก่อนว่าแต่ละอันมีความสัมพันธ์ยังไง แล้วก็วิเคราะห์กันว่าจะใช้โมเดลอะไร”

ยอด: เล่าเสริมว่า “โจทย์ข้อแรก เขาให้เราหาความสัมพันธ์ว่าในแต่ละอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ถ้าอุตสาหกรรมก่อสร้างมีมูลค่าสูงขึ้นมีความเป็นไปได้หรือเปล่าที่อุตสาหกรรมเหล็กหรืออุปกรณ์ก่อสร้างจะมีมูลค่าสูงขึ้นไปตามไปด้วย ข้อสอง ให้เราหาความสัมพันธ์ของ 28 อุตสาหกรรมเลยว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง โจทย์สุดท้ายเขาจะถามว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนเราจะจัดพอร์ตการลงทุนยังไงให้ได้กำไรสูงสุด”

กว่าจะเป็น 20 ทีมสุดท้าย

ยอด: เล่าต่อว่า “หลังจากได้ข้อมูลมาแล้วก็นำข้อมูลมาศึกษาซึ่งเห็นความผิดปกติอยู่ 2 จุด เราก็พยายามหาข้อมูลว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจหรือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ข้อมูลที่เราหาเจอส่วนใหญ่เป็นภาษาจีนซึ่งก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่เราผ่านเข้า 100 ทีมในรอบแรก”

แมน: เล่าเสริมถึงปัญหาที่พบอย่างหนึ่งว่า “เรามีปัญหาเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเพราะเราเรียนคลาส Data Mining ไปแค่ 3-4 ครั้งเอง เรายังเรียนไม่ครบทั้งหมดจริงๆ เรางงเป็นไก่ตาแตกด้วยซ้ำเพราะเราไม่รู้จะวิเคราะห์ยังไง แต่โชคดีที่เราเข้าไปถามอาจารย์จงสวัสดิ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโค้ชให้ ท่านก็แนะนำว่าเราควรจะทำอย่างไรจนออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องเวลาที่มีน้อยก็เป็นปัญหาของเรา เขาให้เวลาเราแค่ 2-3 อาทิตย์ในการส่งผลงานรอบแรก พวกเราต้องทำงานจันทร์ถึงศุกร์จะมีเวลาทำก็ช่วงเลิกงานเราก็ทำไปจนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง”

จากความช่วยเหลือของอาจารย์ทำให้ทีมสามารถผ่านการคัดเลือกรอบแรกได้

ยอด: เล่าว่า “อาจารย์จงสวัสดิ์ เข้ามาช่วยซัพพอร์ตเรา ผศ.ดร.กฤษฎา นิมมานันทน์ มาช่วยเรื่องการคิดวิเคราะห์ในตลาดหุ้น ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์ ท่านทำเรื่องวิจัยต้องมีการใช้โปรแกรม SAS อยู่แล้วและมีความเชี่ยวชาญเรื่องตลาดหุ้นด้วย อาจารย์ทั้ง 3 ท่านก็มาช่วยให้คำแนะนำพวกเราทั้งทีมและมาเป็นทีม”

 

บอส: เล่าถึงการเดินทางไปพรีเซนต์ที่ประเทศจีนว่า “เราไปถึงประเทศจีน เขาให้เราไปดูงาน ดูนวัตกรรมก่อน ผมมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก พอวันแข่งขันวันแรกเราจะต้องเจอกับกรรมการ 3 คนเพื่อคัดเลือกแต่เราก็เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายได้ แม้ในครั้งนี้ที่เราไม่ได้รางวัลอะไร อาจเพราะเราสื่อความไม่ตรงกับความต้องการของคณะกรรมการ แต่เขาก็ให้เราขึ้นพรีเซ็นในฐานะทีมต่างชาติ”

ยอด: เล่าเสริมว่า “เขาจะปรับ Yangtze ให้เป็นเมืองหลักเรื่องการเงิน เขามีการพาดูนวัตกรรมของเขา คือต่อไปใครผ่านตม.แล้ว เวลาเดินในเมืองถ้ากล้องจับที่หน้าใครจะโชว์ประวัติของคนนั้นมาเลยว่าเป็นใคร”

แมน: เล่าเสริมต่อว่า “วันแรกของการแข่งขันเราต้องพรีเซนต์กับกรรมการ 3 คน คนหนึ่งมาจาก SAS China คนหนึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของจีน อีกคนเป็นคนอยู่ในอุตสาหกรรมจริง”

การแข่งขันสร้างประสบการณ์ชีวิต

สำหรับประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันนั้น

ยอด: เล่าว่า สิ่งที่ติดตัวพวกเรามาจากการแข่งขัน คือ การขึ้นชื่อว่าเราเป็น Winner ถือว่าเป็นโปรไฟล์ที่ดีให้กับเรา อาจารย์จงสวัสดิ์พูดอยู่เสมอๆ ว่านักศึกษาปริญญาโท มาลงทะเบียนเรียนเท่ากัน เรียนสองปีเหมือนกัน แต่ได้อะไรกลับไปไม่เท่ากัน อันนี้จริงอย่างที่อาจารย์กล่าวเลย การแข่งขันครั้งนี้เปิดโอกาสให้เฉพาะนักศึกษาปริญญาโทที่ลงเรียนวิชานี้เท่านั้น เราไปทำงานเราก็ไม่ได้ประสบการณ์แบบนี้ น้องๆ ที่สนใจผมขอแนะนำให้สมัครเลย เพราะสิ่งที่ยากที่สุดคือตอนสมัครอยากให้ลองท้าทายตัวเองดู ท้าทายความรู้ที่เรียน

แมน: เล่าเสริมอีกว่า “ผมมองว่าจะมีนักศึกษาปริญญาโทในไทยกี่คนที่จะได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้รับอีกเมื่อไหร่และจากที่ไหนอีก ผมรู้สึกว่าพวกเราได้ความกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กล้าที่จะไปเรียนรู้บนเวทีนานาชาติ กล้าจะยอมรับว่าวันนี้เราอาจจะยังสู้จีนไม่ได้ เรายังสู้ไต้หวันไม่ได้ แต่ก็จะนำกลับมาปรับปรุงพัฒนาสำหรับเวทีต่อไปอาจจะในโลกของการทำงานจริงก็ไม่แน่

เราได้ประสบการณ์ เพราะเป็นเวทีต่างชาติที่เราได้มีโอกาสเข้าร่วม ได้พัฒนาภาษาอังกฤษด้วย เพราะใช้ภาษาอังกฤษกันตลอด :บอส เล่าทิ้งท้าย


บทความ: กองบรรณาธิการ

ภาพ: อาทิตย์ กณฐัศว์กำพล

X

Right Click

No right click