“ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” ผนึกกำลัง เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์)” ออกประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) แบบใหม่ ชูจุดเด่นเลือกความคุ้มครองชีวิตได้สูงสุดถึง 30 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักรายปี คุ้มครองชีวิตยาวสูงสุด 12 ปี ชำระเบี้ยระยะสั้นเพียง 5 ปี มาพร้อมกับทางเลือกที่ยืดหยุ่นให้ลูกค้าขยายความคุ้มครองได้ถึงอายุ 99 ปี ปรับเปลี่ยนความคุ้มครองตามต้องการ และสับเปลี่ยนกองทุนได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งโดยไม่มีค่าธรรมเนียม เพื่อเป้าหมายทางการเงินที่แตกต่างในแบบประกันเดียว

 

นางเกษรา เลียงชเยศ ประธานสายธนบดีธนกิจและหัวหน้าฝ่ายตลาดผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจความต้องการเฉพาะบุคคล ไม่ว่าด้านสุขภาพ ที่อยู่อาศัย หรือการเงิน  ผลิตภัณฑ์ KKPGEN WEALTH PRIVÉ LINK 12/5 จึงถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความเข้าใจความต้องการและเป้าหมายทางการเงินที่หลากหลายของลูกค้า เช่น กลุ่มลูกค้าที่วางแผนอนาคตสำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นแผนการศึกษาของลูก หรือการสะสมความมั่งคั่งสำหรับลูกหลาน หรือกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีครอบครัวแต่ต้องการเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลตัวเองในอนาคต หรือแม้แต่กลุ่มคนทำงานที่มีแผนเกษียณเร็ว คือหยุดทำงานเมื่ออายุไม่มากและออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยยังมีเงินออมเอาไว้ดูแลตัวเองเมื่ออายุมาก

เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้เป็นยูนิต ลิงค์ จึงมีจุดเด่นอยู่ที่การให้ทั้งความคุ้มครองและผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของกรมธรรม์ที่มากกว่าประกันชีวิตทั่วไป และยังสามารถเลือกปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและจัดสัดส่วนด้านการลงทุนได้ตามความต้องการ จึงเอื้อต่อการออกแบบแผนการเงินตามวัตถุประสงค์ในแต่ละจังหวะของชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยโอกาสการเติบโตขึ้นอยู่กับผลตอบแทนในสินทรัพย์ที่ลูกค้าเลือกลงทุน โดยลูกค้าสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเพิ่มเงินลงทุนได้ตามจังหวะที่เหมาะสม สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยมีประกันรูปแบบนี้ ธนาคารมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า” คุณเกษรา กล่าว

 

นางยุวดี งานทวีกิจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือ ยูนิต ลิงค์ ยังคงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ลูกค้าให้ความสนใจ จะเห็นได้จากการเติบโตในภาพรวมของยูนิต ลิงค์ของปี 2567 เติบโตถึง 7.8%   สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยูนิต ลิงค์ที่ขายผ่านธนาคารเกียรตินาคินภัทรมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2567 เติบโตถึง 86% จากปีก่อนหน้า และมียอดขายเบี้ยประกันเป็นอันดับ 5 เมื่อเทียบกับตลาดประกันชีวิต ตามข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือผลประโยชน์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความคุ้มครองและการลงทุน และการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป้าหมายกลุ่มต่าง ๆ ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ตั้งแต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นวางแผนทางการเงินไปจนถึงลูกค้าสินทรัพย์สูง  ทำให้ปัจจุบันเรามี ยูนิต ลิงค์ หลายรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือก ประกอบกับการมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและทันสมัยผ่านแอปพลิเคชัน GEN 365 ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการแบบออนไลน์ได้ด้วยตัวเองทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการดูข้อมูลความคุ้มครองและรายละเอียดการลงทุน การสับเปลี่ยนกองทุน และดาวน์โหลดใบแจ้งรายงานสถานะทางการเงินของกรมธรรม์ นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ผ่านการร่วมกิจกรรมสะสมคะแนน สะท้อนให้เห็นว่าเจนเนอราลี่ให้ความใส่ใจในความต้องของลูกค้าในทุกมิติในฐานะลูกค้าคนสำคัญเรา” นางยุวดีกล่าว

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ KKPGEN WEALTH PRIVÉ LINK 12/5

  • รองรับการวางแผนระยะสั้นและระยะยาว จ่ายเบี้ยระยะสั้นเพียง 5 ปี คุ้มครองชีวิต 12 ปี และสามารถขยายความคุ้มครองได้ถึงอายุ 99 ปี*
  • ปรับเปลี่ยนความคุ้มครองให้สอดคล้องกับความต้องการได้ ตั้งแต่ 5 เท่าถึง 30 เท่า ของเบี้ยประกันภัยหลักรายปี โดยขึ้นอยู่กับอายุรับประกันภัยที่กำหนด
  • การันตีความคุ้มครองชีวิต 5 เท่า ของเบี้ยประกันภัยหลักตลอดระยะเวลา 12 ปีแรก**
  • หมดกังวลเรื่องสภาพคล่อง สามารถถอนเงินบางส่วนจากกรมธรรม์มาใช้*** หรือหยุดพักชำระเบี้ยได้หลังชำระเบี้ยประกันภัยหลักมาครบ 3 ปี
  • ออกแบบการลงทุนได้เอง ด้วยกองทุนคุณภาพที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี และสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

*มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนต้องเพียงพอสำหรับชำระค่าใช้จ่ายกรมธรรม์อย่างต่อเนื่องและมีสุขภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด

 **แม้มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนมีไม่เพียงพอต่อการชําระค่าใช้จ่ายกรมธรรม์ ทั้งนี้ต้องชำระเบี้ยประกันภัยหลักครบตามกำหนดทุกงวดโดยไม่มีการหยุดพักชำระเบี้ย (Premium Holiday) ไม่เคยมีการถอนเงินจากกรมธรรม์บางส่วนจากการขายคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลัก และไม่เคยลดเบี้ยประกันภัยหลัก

***เป็นไปตามตารางค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากกรมธรรม์

ผู้ที่สนใจสามารถขอคำปรึกษาแผนประกันควบการลงทุนได้ที่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือโทร. 0 2165 5555 รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ KKPGEN WEALTH PRIVÉ LINK 12/5 คลิก  https://link.kkpfg.com/cN53D


หมายเหตุ:

  • ธนาคารเกียรตินาคินภัทรในฐานะนายหน้าประกันชีวิต การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ บมจ. เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์)
  • ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เท่านั้น ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) เป็นประกันชีวิต ไม่ใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยง  ผู้ขอเอาประกันภัยอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินที่ได้ลงทุนไป  ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดในลักษณะผลิตภัณฑ์ เงื่อนไขของความคุ้มครอง เงื่อนไขผลตอบแทน  และความเสี่ยง รวมถึงศึกษา อ่าน และทำความเข้าใจในเอกสารประกอบการเสนอขายและหนังสือชี้ชวนของกองทุน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยและลงทุนทุกครั้ง
  • การถอนเงินจากกรมธรรม์บางส่วนจะทำให้มูลค่าบัญชีกรมธรรม์ลดลง มีผลทำให้ผลประโยชน์กรณีเสียชีวิตลดลง ทั้งนี้ การถอนเงินเป็นไปตามตารางค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากกรมธรรม์

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ออกรายงานกลยุทธ์การลงทุนประเมินว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยมหภาคหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า นโยบายการเงินที่ยังคงตึงตัว และแรงกดดันจากมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ส่งผลให้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 2025 ลงเหลือ 1,230 จุด จากเดิม 1,460 จุด ซึ่งสะท้อนอัพไซด์เพียง 5% จากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ ในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับระดับลงไปทดสอบ 1,000 จุด ซึ่งอาจกระตุ้นให้ภาครัฐต้องออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ (policy panic)

ตลาดหุ้นถูกปัจจัยมหภาคกดดันต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยหากไม่นับภาคการท่องเที่ยว อยู่ในภาวะถดถอยติดต่อกัน 9 ไตรมาส EPS และ GDP ยังโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตระยะยาวตั้งแต่ช่วงโควิด นโยบายการเงินที่ตึงตัวและประสิทธิผลของนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ลดลง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีผลตอบแทนแย่ลงในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องแรงกดดันด้านภาษีศุลกากรเหมือนที่ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน แคนาดา สหภาพยุโรป และเวียดนามกำลังได้รับผลกระทบ

บล.เกียรตินาคินภัทรประเมินว่าดัชนี SET อาจร่วงลงไปที่ 1,000 จุด จากความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ (growth shock) ในไตรมาส 2/2025 อาทิ การท่องเที่ยวที่อ่อนแอ การส่งออกที่ถูกท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษี ภาคการบริโภคที่อ่อนแอ และการลงทุนที่ซบเซา ในขณะที่แรงหนุนเดียวที่อาจช่วยพยุงตลาดได้คือ การที่นักลงทุนกลับเข้าซื้อเมื่อมูลค่าตลาด (valuation) อยู่ในระดับที่ถูกเกินไปหากเทียบกับมูลค่าพื้นฐานซึ่งประเมินว่าอยู่ที่ระดับ P/E 10-11 เท่า หรือที่ดัชนี SET 1,000 จุด หรือการที่ผู้กำหนดนโยบายออกมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วนและเร็วกว่าที่คาด

นอกจากนี้ บล.เกียรตินาคินภัทรคาดว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุม กนง. ช่วงกลางปี อาจช่วยให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยายตัว (yield curve steepening) และหนุนดัชนี SET ได้ แต่จนกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะชัดเจน แนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นปลอดภัย ได้แก่

· โรงพยาบาล (BCH, PR9, BDMS, BH) ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ

· กลุ่มโทรคมนาคม (TRUE, ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยสนับสนุนของการควบรวมในอุตสาหกรรม

· กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและการบริหารเงินทุนที่ดี

อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 เมษายน 2025 จะเป็นวันสำคัญสำหรับการประชุม กนง. ซึ่งอาจมีนโยบายเร่งด่วนออกมา หากเกิดขึ้นจริง อาจเกิดแรงหมุนเวียนจากหุ้นปลอดภัยไปสู่หุ้นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับประโยชน์ เช่น

· หุ้นที่มีภาระหนี้สูง (AWC, ERW, IRPC, GPSC) ซึ่งจะได้รับประโยชน์เป็นกลุ่มแรก

· กลุ่มธนาคารขนาดเล็ก อุตสาหกรรมที่อิงกับการบริโภค (รวมถึงสื่อ) สินเชื่อนอกระบบ และอสังหาริมทรัพย์

ดัชนี SET ยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ เนื่องจาก P/E ปัจจุบันที่ 12.2 เท่า ยังคงสูงกว่าระดับ 10-11 เท่าที่จะถือว่า “ถูกจริง” ดังนั้น บล.เกียรตินาคินภัทรคาดว่าความผันผวนจะยังสูง โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2025 ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เช่น การเจรจาภาษี ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่อาจกดดันให้ภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

นักลงทุนควรติดตามปัจจัยมหภาคอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ตามภาวะตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในปี 2025

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ก้าวขึ้นระดับ AA ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน จากการจัดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่ง KKP ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 80 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการยอมรับในระดับ AA และยังคงสถานะหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างสมดุลและยั่งยืน

นอกจากนั้น ความโปร่งใสของ KKP ยังได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Award ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 จากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่โปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียอีกด้วย

นางสาวพัทนัย เหลืองตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสำนักสื่อสารองค์กรและการตลาด กล่าวว่าการขึ้นสู่ระดับ AA คือผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นต่อเนื่องขององค์กร ในการบูรณาการความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์องค์กร ภายใต้เจตนารมณ์ ‘มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน’  โดยพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรมและธรรมาภิบาลที่เป็นไปเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก ภายใต้ 3 มิติ ESG ดังนี้

  1. สิ่งแวดล้อม (Environment): ลดคาร์บอน สู่เศรษฐกิจสีเขียว KKP ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยมีโครงการสำคัญที่ตอบโจทย์เป้าหมายนี้ เช่น การรีโนเวทสำนักงานใหญ่ KKP Tower ให้เป็นอาคารสีเขียวตามมาตรฐาน LEED ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทย และโครงการ KKP Shaping Tomorrow สนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นถึง 45% ในปี 2566 และจะยังคงตั้งเป้าที่จะสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไป
  1. สังคม (Social): ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านนวัตกรรมทางการเงินKKP ให้ความสำคัญต่อการสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่สังคม โดยสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินและการลงทุนผ่านนวัตกรรมที่ทันสมัย ตลอดจนการสร้างความรู้ทางการเงินให้แก่ผู้คนในสังคม ผ่านช่องทางของ KKP เช่น แอปพลิเคชัน Dime! แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการเงินและการลงทุนได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 5 เท่า และมีนักลงทุนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า 37,000 ราย อีกทั้ง ในปี 2567 โครงการ KKP Financial Literacy ได้ให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน ผ่านการจัดอบรมมากกว่า 4,000 คน และผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีผู้เข้าชมกว่า 6 ล้านครั้ง
  2. การกำกับดูแลกิจการ (Governance): โปร่งใสและยึดมั่นในธรรมาภิบาล

เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีความยั่งยืนในระยะยาว KKP ได้วางกรอบการทำงานอย่างเข้มงวดและชัดเจน เช่น ESG Lending Policy หรือนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และจรรยาบรรณคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) เพื่อให้คู่ค้าปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลที่สอดคล้องกับแนวทางของ KKP

ทั้งนี้ การประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความสามารถขององค์กรไทยในการพัฒนาธุรกิจที่สมดุลระหว่างผลกำไรและความรับผิดชอบต่อโลก โดยการยกระดับก้าวขึ้นสู่ระดับ AA ครั้งนี้ได้ทำให้ KKP เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมาตรฐานให้กับการดำเนินธุรกิจในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับ ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในฐานะความจำเป็นสำหรับอนาคต

“ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่เป็นเส้นทางที่เราต้องเดินด้วยความตั้งใจและความรับผิดชอบ KKP พร้อมเดินหน้าสู่ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน สู่การพัฒนาที่ก้าวไกลและยั่งยืนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว ทั้งต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจไทย” นางสาวพัทนัยกล่าว

สินค้าจีนทะลักเข้ามาตีตลาดในไทยเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในสื่อ ซึ่งเริ่มเห็นสินค้าจีนหลากหลายประเภทหลั่งไหลเข้ามาในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ KKP Research ประเมินว่าแนวโน้มดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับจีนโดยตรงเท่านั้น แต่ยังจะกระทบเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งรายได้ธุรกิจและแรงงาน การขาดดุลทางการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐจำเป็นต้องพิจารณามาตรการในการช่วยดูแลผลกระทบอย่างเหมาะสม

จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและกำลังรุกคืบเข้ามาไทย จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในภาคการผลิตโลกอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ประเทศจีนเข้าร่วมองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ในปี 2001 อย่างไรก็ตามในช่วงวิกฤตโควิด มีหลายการเปลี่ยนแปลงที่เร่งให้สินค้าจากจีนสามารถส่งออกไปยังโลกและไทยได้เร็วมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นสองปัจจัยผลักจากจีน คือ (1) พัฒนาการการเติบโตที่รวดเร็วของแพลตฟอร์ม e-Commerce ในจีนโดยและธุรกรรมในประเทศจีนมีขนาดใหญ่กว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งโลก และยังขยายธุรกิจส่งออกโดยอาศัย e-Commerce ข้ามประเทศ (Cross-border e-Commerce) ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 15% ในปี 2021 โดยประเทศไทยมีสัดส่วนจากการส่งสินค้าข้ามประเทศจากจีนขนาดประมาณ 24% ของมูลค่า e-Commerce ทั้งหมด (2) เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนที่ชะลอตัวลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้จีนต้องหันมาพึ่งพาภาคการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

 อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่ามี 4 ปัจจัยในไทยเอง ที่มีส่วนดึงดูดสินค้าจากจีนให้เร่งเข้ามามากกว่าในหลายประเทศ คือ

1) ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการนำเข้าสินค้าจากจีน ตัวอย่างเช่น การคิดอัตราภาษีจากสินค้าจีนในระดับต่ำ

2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่จีนเป็นผู้นำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า

3) การเกิดขึ้นของ e-Commerce ในประเทศไทย โดยคนไทยมีความคุ้นเคยและนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพิจารณาจากราคา ไม่ยึดติดกับแบรนด์

4) การให้ Free visa กับนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้ไม่มีการตรวจสอบการเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด เปิดช่องทางให้คนจีนเข้ามาทำการค้าทำธุรกิจในไทยได้โดยง่าย

ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายการส่งออกสินค้าจากจีน ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากับจีนเร็วมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.5% ของ GDP ในปี 2012 เป็น 7.5% ของ GDP ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 p.p. ซึ่งเกิดจากทั้งการนำเข้ามาเพื่อบริโภคในประเทศเอง และการนำเข้าเพื่อส่งออกสินค้าต่อไปยังต่างประเทศ

สินค้าที่ทะลักเข้าไทยมากที่สุด

KKP Research ประเมินว่าหากพิจารณาพัฒนาการของการค้าระหว่างไทยกับจีนในรายละเอียดอาจสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มสินค้าสำคัญที่น่าสนใจ คือ

1) กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้มีการขาดดุลมากที่สุด โดยสินค้าที่สำคัญที่ไทยนำเข้าจากจีนค่อนข้างมาก คือ สินค้าในกลุ่ม smartphone ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ผ่าน e-Commerce Platform ทำให้เห็นภาพว่า e-Commerce มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งผ่านสินค้าจากจีนมายังไทยมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

2) สินค้าในกลุ่มเครื่องจักร เคยเป็นหนึ่งในประเภทสินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับจีนจากสินค้าอย่าง Hard Disk Drive อย่างไรก็ดี ในภายหลังสินค้าเครื่องจักรจากจีนเริ่มเข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น นำโดย Laptop และเครื่องใช้ไฟฟ้า

3) สินค้าในกลุ่มยานยนต์ สินค้าที่ขาดดุลกับจีนเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่สินค้าที่เกินดุลการค้ากับจีนเป็นสินค้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จแล้ว โดยในปี 2022 เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงจากการที่ไทยเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนในสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV โดยมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นแซงหน้าชิ้นส่วนยานยนต์ทุกประเภท

4) เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม พบว่าเหล็กและอะลูมิเนียมขาดดุลการค้ามากขึ้นทุกปีกับจีน โดยมีสาเหตุจากกำลังการผลิตที่เกินอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ สุดท้ายจึงต้องส่งออกเหล็กสำเร็จรูปเหล่านั้นมาที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย

5) เคมีภัณฑ์และพลาสติก เปลี่ยนจากการเกินดุลการค้าเป็นขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าในปัจจุบันจีนมีการพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม โดยมีกำลังผลิตรวมมากกว่ายุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก จีนจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าอีกต่อไป

 e-Commerce platform คลื่นยักษ์ลูกใหม่ที่เร่งการทะลักของสินค้าจีนมาไทย

KKP Research ประเมินว่าหนึ่งในปัจจัยเร่งการส่งสินค้าจีนมายังไทย คือ การเติบโตของ e-Commerce platform โดยข้อมูลชี้ว่ามูลค่า e-Commerce เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยการเติบโตเร่งขึ้นมากในช่วงโควิดส่งผลให้ในปี 2023 ตลาด e-Commerce มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ราว 5.96 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนกว่า 50% เป็นธุรกิจประเภท Business-to-Consumer (B2C) คือการขายของออนไลน์จากธุรกิจไปยังผู้บริโภคโดยตรง ในด้านช่องทางการซื้อขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันดับแรก คือ e-Marketplace

สาเหตุที่ทำให้ e-Commerce ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้สูงจากหลายปัจจัย ได้แก่

(1) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึง 88% จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 66%

(2) สัดส่วนการเข้าถึง smart phone สูงถึง 77.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 69%

(3) การเข้าถึงข่องทางการชำระเงินออนไลน์ (online payments) ที่หลากหลาย ช่วยสนับสนุนการค้าปลีกออนไลน์ให้มีความสะดวกในต้นทุนที่ต่ำ ติดอันดับต้น ๆ ของโลก ในระยะข้างหน้าการแข่งขันในสมรภูมิ e-Commerce กำลังจะเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อ มี e-Marketplace platform เจ้าใหม่ที่เจาะตลาดไปแล้วถึง 51 ประเทศทั่วโลกและได้รุกก้าวเข้ามาบุกตลาดในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้

 เศรษฐกิจไทยภายใต้แรงกดดันจากสินค้าจีน

ในกรณีของประเทศไทยการเติบโตของ e-Commerce มีแนวโน้มส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยผลจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจ 1) ผู้บริโภคมีแนวโน้มได้ประโยชน์ เพราะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูกลง 2) ผู้ผลิตในกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการใช้วัตถุดิบราคาถูก หรือธุรกิจที่โตไปพร้อมกับ e-Commerce 3) ผู้ผลิตในกลุ่มสินค้าเดียวกับสินค้าที่นำเข้าผ่าน e-Commerce มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางลบจากการเข้ามาทดแทนของสินค้าจีน ตัวอย่างเช่น สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า

เมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่มีแนวโน้มส่งออกผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce มายังประเทศไทย กลุ่มสินค้าที่ไทยมีแนวโน้มขาดดุลกับจีนมากขึ้นและมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับ e-Commerce คือ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มมากถึง 8.8% ของภาคการผลิตไทย เครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าเพิ่ม 3.5 % และอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ามีมูลค่าประมาณ 3 % โดยนับรวมเป็นมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในกลุ่มที่มีความเสี่ยงนี้คิดเป็นประมาณ 18% ของ มูลค่าการผลิตทั้งหมดของประเทศ โดยเริ่มเห็นทิศทางการผลิตที่ชะลอลงแล้วในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้การเข้ามาของ e-Commerce ยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อ ภาคบริการแบบเก่า คือ กลุ่มค้าปลีกมีโอกาสได้รับผลกระทบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ถึงประมาณ 16% ของ GDP

KKP Research ประเมินว่าอาจมีผลกระทบสำคัญตามมาอีกอย่างน้อย 5 เรื่อง คือ 1) รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มถูกกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ปรับตัวได้ยากกว่า 2) หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มสินค้าเดียวกันกับสินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนมากขึ้น เช่น สิ่งทอและเสื้อผ้า เหล็ก 3) ดุลการค้ามีแนวโน้มพลิกเป็นขาดดุลในระยะยาวและกดดันค่าเงินบาทจากการนำเข้าสินค้าจีนทดแทนการผลิต 4) เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง จากสินค้าราคาถูกจากจีน 5) รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ภาษี จากการที่การชำระเงินให้กับการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มข้ามชาติเหล่านี้ ถูกจ่ายตรงไปยังธุรกิจในต่างประเทศ

 ไทยควรรับมืออย่างไร ?

การเข้ามาบุกตลาดของสินค้าจีนอาจมีข้อดีทำให้ซื้อสินค้าในราคาถูกลง แต่ตามมาด้วยผลกระทบด้านลบต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้การออกมาตรการสกัดกั้นหรือตอบโต้สินค้าจากจีนอาจเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ KKP Research ประเมินว่าภาครัฐไม่จำเป็นต้องกีดกันสินค้าจากจีนในวงกว้าง หากแต่ควรพิจารณาออกแบบมาตรการรับมือ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และหลักการในมิติดังต่อไปนี้

1) Fair competition: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีการลักลอบ หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี หรือเป็นการทุ่มตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียผลประโยชน์จากการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม

2) Quality and standards: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดโดยมาตรฐานสินค้าและอาหารของหน่วยงานภาครัฐไทยหรือไม่?

3) Strategic industry: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่มาแข่งขันกับการผลิตในประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สำหรับเศรษฐกิจไทย และการจ้างงานในภาพรวมหรือไม่?

ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะที่ตรงตามเกณฑ์ต่าง ๆ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือธุรกิจไทยในกรณีที่มีการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการช่วยให้อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจมีเวลาปรับตัวมากเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใดที่จะใช้ในการตั้งรับกับการแข่งขันในสมรภูมิสินค้าที่ดุเดือดมากขึ้นนี้ก็อาจเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ผู้ประกอบการได้พอมีเวลาปรับตัว แต่สุดท้ายแล้วผู้ชนะในตลาดนี้จำเป็นต้องแข่งกันด้วยคุณภาพของสินค้า ประสิทธิภาพในการผลิต ความคุ้มค่า รวมไปถึงการบริการที่ตอบโจทย์และได้ความพึงพอใจจากผู้บริโภค นับเป็นโอกาสที่ดีที่ภาคการผลิตไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สร้างนวัตกรรม สร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยภาครัฐอาจต้องช่วยส่งเสริมด้วยการสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงการผลิต รวมถึงการบุกเบิกตลาดใหม่

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) จัดงานสัมมนา 2024 Mid Year Outlook Seminar: Surfing a Sea of Opportunities Amid Geopolitical Tides  วิเคราะห์ทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ยังคงผันผวนจากปัจจัยด้านการเมืองและนโยบายที่ไม่แน่นอน แนะนักลงทุนมองหาโอกาสและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก   โรงแรม   อาหาร   และสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 

ภายในงานสัมมนา ภายใต้หัว Thai Equity Strategy and Thai Stock Highlight นายแดเนียล ไฟน์แมน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักวางแผนกลยุทธ์ บล.เกียรตินาคินภัทร เผยถึงมุมมองที่บล.เกียรตินาคินภัทรมีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากจุดต่ำสุดของตลาดในไตรมาสก่อน โดยคาดว่าผลตอบแทนจะเริ่มค่อนข้างคงที่หรือไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งปัจจัยหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่จะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้บางส่วน สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.เกียรตินาคินภัทรแนะนำให้เพิ่มสัดส่วน (Overweight)   หุ้นในกลุ่มค้าปลีก   โรงแรม   อาหาร   และสื่อสารโทรคมนาคม เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตดีจากปัจจัยหนุนข้างต้น ในขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มที่ควรลดสัดส่วน (Underweight) คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ สื่อ เคมี และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังเผชิญสภาวะสินเชื่อชะลอตัวและการลดลงของสัดส่วนหนี้สิน (deleveraging cycle) ปัญหาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม และปัญหาการผลิตสินค้าเกินกำลังการผลิตในจีน 

ด้านนายศิริชัย โฉลกพันธ์รัตน์ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มค้าปลีก บล.เกียรตินาคินภัทร และ นายชาตรี แพรวพรายกุล นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและท่องเที่ยว บล.เกียรตินาคินภัทร ให้ข้อมูลว่าหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่

หนึ่ง กลุ่มค้าปลีก โดยราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งบล.เกียรตินาคินภัทรมองว่า ถึงแม้ระดับราคาปัจจุบันมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า (valuation) แต่ยังต้องเลือกหุ้นลงทุน ซึ่งหุ้นค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง DOHOME (ราคาเป้าหมาย 13 บาท) และ GLOBAL (ราคาเป้าหมาย 18.4 บาท) น่าจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีหลังได้สูงที่สุดในกลุ่ม ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในขณะที่ CPALL (ราคาเป้าหมาย 72 บาท) ได้อานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและธุรกิจดิจิทัลวอลเล็ต 

สอง หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โดยเฉพาะหุ้น MINT (ราคาเป้าหมาย 40 บาท) ถือว่าน่าสนใจมากสำหรับกลุ่มโรงแรม เนื่องจากมีรายได้หลักจากยุโรปซึ่งกำลังเข้าสู่ไฮซีซั่นทางการท่องเที่ยว หนุนให้ผลประกอบการเติบโตดีในไตรมาส 2-3 นี้ และ valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันโดยเฉลี่ยถึง 10% นอกจากนี้คือ BH (ราคาเป้าหมาย 295 บาท) ที่บล.เกียรตินาคินภัทรมองว่าจะได้รับอานิสงส์สูงจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) โดยคาดว่าจำนวนผู้ป่วยต่างชาติจะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศตะวันออกกลาง อีกทั้งความซับซ้อนของการรักษาที่สูงขึ้นจะส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นด้วย 

ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน      

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือซึ่งพิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา อย่างไรก็ตามบริษัทไม่สามารถยืนยันหรือรับรองข้อมูลความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่าประการใด ๆ บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนความเห็นหรือประมาณการต่าง ๆ ที่ปรากฏโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ ไม่ว่าจะมาจากการอ่านเอกสารหรือบทความนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการพิจารณาและใช้วิจารณญาณของผู้อ่านแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับบริษัท 

Page 1 of 9
X

Right Click

No right click