

ล่าสุดมีมติการประชุมคณะกรรมการ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในระดับชั้นนำของประเทศไทย ได้มีมติแต่งตั้งนางพิทยา วรปัญญาสกุล ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) แทนนายระเฑียร ศรีมงคล ที่จะครบกำหนดการขยายเวลาเกษียณอายุ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
![]()
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ร่วมงานในสายงานการตลาดกับเคทีซีมายาวนานถึง 26 ปี และมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลักดันองค์กรเคทีซีให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันพิทยาดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานการตลาดและสื่อสารองค์กร (Chief Marketing & Communications Officer) ที่ “เคทีซี” โดยดูแลสายงานการตลาดบัตรเครดิต การตลาดดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ รวมทั้งสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์องค์กร
โดยก่อนหน้านี้ นางพิทยา วรปัญญาสกุล เป็นกรรมการและกรรมการตรวจสอบ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจจัดการกองทุน
นางพิทยา วรปัญญาสกุล สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยแห่งฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับประกาศนียบัตรจากการฝึกอบรมหลักสูตรนานาชาติ อาทิ หลักสูตร Orchestrating Winning Performance จาก International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หลักสูตร Associate Certified Coach (ACC) TM จากสถาบัน International Coaching Federation (ICF) ประเทศสหรัฐอเมริกา หลักสูตร Developing International Coach “Coaching Essentials and Principles Certification Program” จาก AcComm Group หลักสูตร TCLA Executive Development Program (EDP): Building Regional Leaders หลักสูตร Strategic Thinking Pure & Simple และ Leader as a coach จาก PacRim Group
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมิน ส่งออกไทยตลอดปี 2566 จะพลิกหดตัว 1.1%YoY เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ขยายตัว 5.7%YoY โดยการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำเป็นสำคัญ ประกอบกับอุปสงค์สินค้าอุตสาหกรรมที่จะปรับดีขึ้นตามวัฎจักรเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงสินค้าเกษตรและอาหารที่จะได้แรงหนุนจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจลุกลามไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นขึ้น ตลอดจนสภาพอากาศแปรปรวนที่อาจส่งผลต่อผลผลิตสินค้าเกษตร ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกดดันภาพรวมการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
เศรษฐกิจสหรัฐฯ-ยุโรปชะลอ แรงหนุนจากจีนแผ่วกว่าที่คาด
แม้เศรษฐกิจโลกผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 แต่ล่าสุดธนาคารโลกได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 ให้เติบโตช้าลงจากปีก่อน ขณะที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ชี้ว่าตัวเลขการค้าโลกในไตรมาส 2 ปี 2566 หดตัวราว 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 1.9%YoY สอดคล้องกับรายงานล่าสุดขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ประเมินว่า ปริมาณการค้าโลก (World Merchandise Trade Volume) ตลอดทั้งปี 2566 จะขยายตัวได้เพียง 1.7%YoY ซึ่งชะลอตัวลงจากตัวเลขในปี 2565 ที่ขยายตัว 2.7%YoY
ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจคู่ค้าหลักจะชะลอลงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เห็นจากกิจกรรมภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ของสหรัฐอเมริกา ในเดือนกรกฎาคม 2566 ที่อยู่ในเกณฑ์หดตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่มูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค (ไม่นับยานยนต์) ก็ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับเศรษฐกิจฝั่งยุโรปที่หลายประเทศกำลังเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี จากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลงมาก สวนทางกับเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง
สำหรับจีนที่เคยมองว่าเป็นความหวังที่จะช่วยดึงโมเมนตัมโลกดูแผ่วกว่าที่ตลาดประเมินไว้มาก จากดัชนียอดค้าปลีก (Retail Sale Index) ของจีนที่เติบโตชะลอลงต่อเนื่องและต่ำสุดในรอบปีเมื่อเดือนกรกฎาคม ขณะที่ดัชนีภาคการผลิตก็ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เช่นเดียวกับยอดคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกใหม่ (New Export Order) ที่เข้าสู่ภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดธนาคารกลางของจีน (PBOC) ปรับลดดอกเบี้ย Reverse Repo ลงอีก 0.1% จากระดับ 1.9% เป็น 1.8% และหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนสู่ระดับ 2.50% พร้อมส่งสัญญาณเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ เพื่อเร่งสนับสนุนการจับจ่าย
ภายในประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายในจีนหลังเผชิญผลพวงจากวิกฤตหนี้เสียเอเวอร์แกรนด์ในช่วงที่ผ่านมา
ส่งออกไทยครึ่งปีแรกติดลบ 5.4% ชี้ครึ่งปีหลังบวกแรงจากฐานต่ำเป็นสำคัญ
บรรยากาศเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างมาก อีกทั้งแรงส่งจากอุปสงค์คงค้าง (Pent-Up Demand) ก็แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่มูลค่าสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันปรับลดลงจากการย่อตัวลงของราคาพลังงาน ตลอดจนสินค้าที่เคยได้อานิสงส์จากการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเวชภัณฑ์ยาก็เริ่มเข้าสู่วัฎจักรขาลง ส่งผลให้ส่งออกครึ่งแรกของปีในหลายประเทศหดตัวอย่างหนัก อาทิ เกาหลีใต้ (-12.4%) เวียดนาม (-12.0%) อินเดีย (-8.7%) อินโดนีเซีย (-8.0%) และไทย (-5.4%) ตามลำดับ
สำหรับครึ่งปีหลังเชื่อว่าส่งออกไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับอุปสงค์สินค้าอุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวได้บ้างตามวัฎจักรเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงความต้องการสินค้ากลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องหลังสถานการณ์อุปทานชะงักงันคลี่คลาย นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและอาหารจะได้ปัจจัยสนับสนุนจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกพลิกขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี
อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจลุกลามไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากแรงกดดันของอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภค โดยเฉพาะตลาดยุโรป ความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวนโยบายและการกีดกันทางการค้าที่ชัดเจนขึ้น (Trade Barrier) ตลอดจนสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจส่งผลต่อปริมาณสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในช่วงปลายปี โดยยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามากดดันภาพรวมการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ttb analytics จึงประเมินว่า มูลค่าส่งออกไทยตลอดทั้งปี 2566 จะอยู่ที่ 283,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหดตัว 1.1%YoY หรือ เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัว 5.7%YoY
กระแสของกัญชากลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากที่มีแนวโน้มว่าโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่จะมีพรรคภูมิใจไทยรวมอยู่ในสมการนั้นด้วย หลังจากที่ชะงักไปบ้างเมื่อครั้งการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่ใน MOU ระบุจะนำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษโดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา ซึ่งเท่ากับว่านโยบายกัญชาเสรี ของรัฐบาลชุดที่แล้วซึ่งผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มว่าจะได้ไปต่อ
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า นโยบายการเปิดเสรีกัญชามีทั้งคุณและโทษ หลายเรื่องยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในสังคมไทย โดยเฉพาะประเด็นทางด้านสังคมและระบบสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปลดล็อกกัญชาโดยไม่มีการควบคุมและยังไม่มีมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน แต่หากพิจารณาในด้านเศรษฐกิจแล้ว กัญชาเป็นพืชที่สามารถทำรายได้ได้จริง จากข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งมีการประเมินมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ณ ปี 2565 นับตั้งแต่ต้นน้ำถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ มีมูลค่ารวมถึงกว่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นน้ำมูลค่า 9,615 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์กลางน้ำ 14,690 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ 3,750 ล้านบาท แบ่งเป็น ยารักษาโรคและอาหารเสริม มูลค่า 1,500 ล้านบาท อาหารและเครื่องดื่ม 1,200 ล้านบาท เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล 800 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่มและของใช้ส่วนตัว 250 ล้านบาท และยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า จะโตได้ 10-15% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 42,800 ล้านบาท

และจากการเก็บรวบรวมข้อมูลในสังคมออนไลน์โดยใช้เครื่องมือ DXT360 ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ที่มีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2566 พบว่ามีการพูดถึงทั้งหมด 902 ข้อความ และได้รับการมีส่วนร่วม หรือ Engagement ถึง 12,358 ครั้ง ซึ่งเห็นได้ว่าผู้คนบนสังคมออนไลน์ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชา-กัญชงไม่น้อย และถ้าดูจากสัดส่วนการโพสต์ลงบนโซเชียล แยกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้
· ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย มีการโพสต์ขายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศและต่างประเทศ ที่ใช้ส่วนประกอบอย่างเส้นใยของกัญชามาช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้าให้มีความแข็งแรงขึ้น โดยพบว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสัดส่วนการโพสต์บนโลกออนไลน์มากที่สุดคิดเป็น 57.43%
· ผลิตภัณฑ์ยา/การแพทย์ มีการโพสต์ส่วนใหญ่เป็นการใช้สารสกัดจากน้ำมันกัญชามาใช้เป็นส่วนประกอบของยาเพื่อการรักษาต่าง ๆ เช่น ประกอบการรักษาในผู้ป่วยโรคมะเร็ง รักษาอาการปวดท้อง และรักษาอาการปวดเรื้อรัง เป็นต้น โดยสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีถึง 27.05%
· ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีการโพสต์ขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและการทำความสะอาดโดยใช้ส่วนประกอบเป็นสารสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สบู่ และยาสระผม เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีมากที่สุดคิดเป็น 8.43%
· ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม พบว่ามีการนำกัญชามาเป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นขนม ผงเครื่องดื่ม และเครื่องดื่มบรรจุขวด ซึ่งส่วนผสมที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดน้ำมันกัญชาและใบกัญชา โดยสัดส่วนการโพสต์สินค้าประเภทนี้มีมากที่สุดคิดเป็น 6.54%
· ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ข้างต้น พบว่ามีการโพสต์ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 0.55% เช่น สินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง คือ อิฐ และ เฮมป์พาร์ทิเคิลบอร์ด หรือแผ่นกั้นผนังห้อง เป็นต้น ซึ่งในอนาคตอาจมีแนวโน้มว่าจะมีการนำสารสกัดจากกัญชาและกัญชงมาใช้แปรรูปหรือพัฒนาเป็นสินค้าหรือนวัตกรรมที่มีความหลากหลายในด้านของรูปแบบสินค้าและประเภทของสินค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อดูความคิดเห็นบนโซเชียล พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

จากข้อมูลพบว่าผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์จะมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อผลิตภัณฑ์ยา/การแพทย์ โดยมีการพูดถึงในเรื่องของการยอมรับการใช้กัญชามาประกอบการรักษามากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการรักษาหรือบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง ถึงแม้ในความเป็นจริงจะยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์รองรับว่าสามารถรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้
แต่หากมองในมุมของผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่มพบว่า ผู้คนบนโซเชียลได้มีการแสดงความคิดเห็นที่สื่อถึงความกังวลและความคิดเห็นไปในทิศทางเชิงลบ โดยเฉพาะความกังวลในเรื่องการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสารสกัดจากกัญชา-กัญชง ที่อาจได้รับเกินปริมาณที่กำหนดจนทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือนำไปสู่การเสพติดไปจนถึงทำให้เกิดการเสียชีวิตได้
กล่าวได้ว่า นับแต่มีการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2565 และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่น่าจะมีพรรคภูมิใจไทยเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล การใช้กัญชาจึงยังคงอยู่ในสถานะที่ถูกเปิดช่องให้ใช้ได้อย่างเสรี โดยไม่ได้ถูกจำกัดเพียงการใช้ทางการแพทย์ ไปจนกว่า
จะมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการเข้าถึงและการใช้อย่างเหมาะสม เรื่องของกัญชาจึงได้กลายเป็นวาระในการถกเถียงของคนทุกระดับในสังคมไทย
CR : Inforquest
ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก เตรียมเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 4 รุ่น อายุ 1 ปี 6 เดือน ถึงอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยเบื้องต้นระหว่าง 3.00-3.95% ต่อปี โดยเสนอขายเป็นครั้งแรกให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง และช่องทางทรู มันนี่ วอลเล็ต คาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566 เผยจุดเด่นหุ้นกู้ นอกจากจะออกและเสนอขายโดยบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคเอเชียแล้ว หุ้นกู้ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากทริสเรทติ้ง สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจและผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 2.41 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.17 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ มีโอกาสเติบโต ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3
![]()
นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโครและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) และธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน รุ่นอายุ 3 ปี รุ่นอายุ 5 ปี และรุ่นอายุ 7 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 3.00-3.95% ต่อปี ซึ่งจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารยูโอบี และ บล.เกียรตินาคินภัทร รวมถึงเสนอขายผ่านช่องทาง ทรูมันนี่ วอลเล็ต คาดว่าจะเสนอขายได้ในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 กันยายน 2566
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 สะท้อนสถานะของบริษัทฯ ในการเป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) และการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ด้วยความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานที่ฐานรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 (มกราคม-มิถุนายน 2566) บริษัทฯ มีรายได้รวม 241,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,746 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากธุรกิจค้าส่งแม็คโคร 130,875 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีกโลตัส 110,959 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 3,682 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Core Net Profit) ที่ไม่รวมรายการพิเศษในครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 3,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“การเติบโตในครึ่งปีแรกของปี 2566 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเดินหน้าขยายสาขาและเพิ่มประสิทธิภาพแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ รวมถึงการผสานช่องทางการขายออนไลน์และสาขาอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ
ยังมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในระดับภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักบรรษัทภิบาล เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จะทำให้หุ้นกู้ของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงของหุ้นกู้เพียงระดับ 3 (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 สูงสุดระดับ 8) และธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตสูง” นางเสาวลักษณ์กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจของ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าส่ง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” (Makro) ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการมืออาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ร้านค้าปลีกรายย่อย กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง (HoReCa) ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระและสถาบันต่างๆ ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ “โลตัส” (Lotus’s) ในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยบริษัทฯ มุ่งที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคในระดับภูมิภาคในเอเชีย และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ ด้วยช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (Omni channel) นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพของร้านค้า ต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับโฉมร้านค้าแบบไฮบริดซึ่งดึงจุดเด่นของ 2 กลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกแบบไร้รอยต่อ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ บมจ. ซีพี แอ็กซ์ตร้า ยังได้รับคัดเลือกให้ติดอันดับบริษัทด้านความยั่งยืน โดยเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี S&P Global The Sustainability Yearbook 2023 ในกลุ่ม Food & Staples Retailing ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำของโลกที่ใช้วัดผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นบริษัทที่มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัท (IOD) ในระดับ 5 ดาวหรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Score) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อีกด้วย
![]()
ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ซีพี แอ็กซ์ตร้า สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungsri Mobile App (“KMA”) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น CIMB Thai Digital Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
** ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
***ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถจองซื้อหุ้นกู้ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ผ่านแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้อีกด้วย โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ที่ App Store และ Play Store ดูรายละเอียดวิธีการสมัครแอปฯ และวิธีการจองซื้อได้ที่ www.truemoney.com หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1240 กด 6
สิงหา 2566
ตลาดอีคอมเมิร์ซได้รับแรงกระตุ้นจากสถานการณ์โควิด ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคการช้อปปิ้งออนไลน์อย่างรวดเร็ว และมีการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค บริษัทอีคอมเมิร์ซจำเป็นต้องก้าวนำเทรนด์เสมอ ด้วยการพัฒนารูปแบบอุตสาหกรรมให้ทันยุคทันสมัย
แนวโน้มการพัฒนาของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในปี 2024 เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก อาทิ การบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อนำเสนอสินค้าและแคมเปญการตลาดที่เหมาะสม สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่แตกต่างและกระตุ้นยอดขาย การเติบโตของการค้าด้วยเสียง เมื่อลำโพงอัจฉริยะแพร่หลาย ผู้บริโภคมักจะใช้ผู้ช่วยเสียงมากขึ้นในการซื้อ สั่งของชำ และค้นหาสินค้าออนไลน์ ทำให้เป็นที่นิยมโดยเฉพาะกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการประหยัดเวลา ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการชำระเงินแบบใหม่ที่หลากหลาย อย่างการชำระเงินผ่านมือถือและกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือสกุลเงิน cryptocurrency โดยบริษัทอีคอมเมิร์ซจะต้องหาวิธีรองรับการชำระเงินให้ครอบคลุมทุกรูปแบบ สร้างความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคมากที่สุด
BEST SOFTWARE (เบสท์ ซอฟต์แวร์) ผู้ให้บริการซอฟท์แวร์โซลูชันด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และการจัดการคลังสินค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยเชื่อมต่อกับระบบขนส่งพัสดุ เบสท์ เอ็กซ์เพรส (BEST Express) หรือบริษัทขนส่งทางเลือกอื่น ๆ ที่พร้อมให้บริการสำหรับธุรกิจทุกขนาด (เล็ก กลาง ใหญ่) ในประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ BEST Inc. (เบสท์) ที่มากพร้อมด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซมากว่า 10 ปี และเป็นผู้ให้บริการร้านค้าออนไลน์อีคอมเมิร์ซทั่วโลกจำนวนกว่า 1 ล้านร้านค้า
บริการ BEST SOFTWARE (เบสท์ ซอฟต์แวร์) บริการโซลูชันดิจิทัลแบบครบวงจร ได้แก่
- ezOrder (อีซี่ออเดอร์) ซอฟต์แวร์จัดการคำสั่งซื้อสินค้า ในการพิมพ์ใบจัดส่งแบบอัจฉริยะ เชื่อมต่อโดยตรงกับแพลตฟอร์มหลักอย่าง Shopee, Lazada, Facebook live และอื่น ๆ
- ezShop (อีซี่ช้อป) เป็น ERP ที่ช่วยจัดการคำสั่งซื้อหลายช่องทางแบบครบวงจรในที่เดียวแบบ One-Stop Service เหมาะสำหรับกลุ่มอีคอมเมิร์ซร้านค้าออนไลน์ทุกขนาด ที่มีที่มีหลายแพลตฟอร์ม หลายร้านค้าออนไลน์ หลายช่องทาง หรือมีคลังสินค้าที่มากมาย และใช้บริการหลายโลจิสติกส์
- QuickWMS เป็นระบบการจัดการคลังสินค้าอีคอมเมิร์ซ ช่วยจัดการคลังสินค้า แก้ปัญหาความสับสนวุ่นวายของคลังสินค้าและลดข้อผิดพลาดในการจัดส่งได้ถึง 90% แก้ปัญหาการกระจายของ
สินค้า รายการที่ไม่เป็นระเบียบและการสูญหายที่เกิดขึ้นบ่อย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าได้มากถึง 50%
นอกจากนี้ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจ ด้วยจำนวนผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจึงคาดว่าจะเติบโตอย่างทวีคูณ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ให้ความสำคัญกับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า BEST Express มีบริการ BEST Cross border ที่มีเครือข่ายเชื่อมต่อในภูมิภาคเอาเชียตะวันออกเฉียงใต้และครอบคลุมทั่วเอเชีย ที่พร้อมให้บริการจัดส่งสินค้าจากประเทศจีนมาประเทศไทยโดยให้บริการในรูปแบบของธุรกิจ B2B และ B2C
เบสท์ (BEST Inc.) ที่เดียวจบครบทุกความต้องการด้านโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่สนใจ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ https://www.best-inc.co.th/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-108-8000
สิงหาฯ พาคุณแม่เที่ยวไหนดี? เข้าสู่เทศกาลวันแม่ในเดือนสิงหาคม วันนี้ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ชวนทุกคนมาปักหมุดสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ชวนคุณแม่และทุกคนในครอบครัวมาใช้ช่วงเวลาดี ๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขด้วยกันที่ “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกและแห่งเดียวในอาเซียนที่รวบรวมครุฑอันมีเอกลักษณ์เฉพาะองค์จากทุกภาคของไทย โดยอัญเชิญตราที่ประดิษฐาน ณ ธนาคารสาขาต่าง ๆ กว่า 150 องค์ โดดเด่นด้วยองค์ครุฑไม้ที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งจะพาผู้ชมตามรอย ”พญาครุฑ” เข้าไปในโลกของป่าหิมพานต์ เพื่อเรียนรู้เรื่องราวของพญาครุฑ สัญลักษณ์แห่งความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความดีงาม ผ่าน 6 โซนนิทรรศการที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งในรูปแบบแอนิเมชันและมัลติมีเดีย โดยตลอดการเข้าชมทางพิพิธภัณฑ์จะมีผู้นำชมพร้อมทั้งเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดการรับชม
สำหรับใครที่อยากจะไปสัมผัสดินแดนแห่งพญาครุฑ ณ “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” นิคมอุตสาหกรรมบางปู ซอย 9A สมุทรปราการ เข้าชมฟรี!!! ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถลงทะเบียนเพื่อจองรอบผ่าน https://www.ttbfoundation.org/th/garudamuseum/ หรือสแกน QR Code โดยจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันศุกร์-เสาร์ วันละ 3 รอบ ในเวลา 10:00 / 13:00 / 15:00 น. พร้อมผู้นำชม ทั้งนี้ มีรถตู้บริการรับ-ส่งจากสถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส สถานีเคหะสมุทรปราการ ถึง พิพิธภัณฑ์ครุฑฟรี และพิเศษสำหรับคุณแม่ที่เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ครุฑ ในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม รับของที่ระลึกทันที
วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยวิชาเอกการสื่อสารเพื่อเศรษฐศาสตร์ จัดงาน “Econ-Commu 2023: The Innovation fun(d) day” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 25566 ที่ผ่านมา ณ หอดนตรีและการแสดงอโศกมนตรี 1 ชั้น 4 อาคารนวัตกรรม: ศาสตราจารย์ดร.สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ที่สามารถเข้าถึงได้ ให้คนรุ่นใหม่ คนทั่วไป ที่ติดตามเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจสมัยใหม่ ได้เข้าถึงสารที่ง่ายขึ้นด้วยศาสตร์แห่งการสื่อสารและนวัตกรรม
โดยครั้งนี้จัดขึ้นด้วยพลังของนิสิตในวิชาเอกสื่อสารเพื่อเศรษฐศาสตร์ที่ ที่ได้ใช้พื้นที่ของกิจกรรมบริการวิชาการนี้เป็นโอกาสในการฝึกฝนการทำงานในสนามจริง โดยแบ่งเป็น 5 ส่วนงาน ได้แก่

1.) Fun(d)amental ที่เป็นการเข้าใจหลักการและที่มาของการสื่อสารเพื่อเศรษฐศาสตร์ โดย ผศ.ดร.นพดล อินทร์จันทร์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม และ ผศ.ดร.อดุลย์ ศุภนัท คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ร่วมเปิดงานและได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนานิสิตจากการให้นิสิตได้ทำงานจริง ๆ กับมืออาชีพ การเชื่อมต่อองค์ความรู้จาก 2 ศาสตร์ คือ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร เพื่อสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ

2.) Fun(d) Innovation ที่เป็นการอัพเดทนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางเศรษฐกิจ โดย ตัวแทนจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ คุณจารุชา คูสมิทธิ์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) คุณภคณัฐ ทาริยะวงศ์ บรรณาธิการ เพจ Future Trends และ คุณวนะชัย รัศมีพลังสันติ Ocean Sky Network (Mandala AI) ซึ่งจากการเสวนา ทั้ง 3 ท่านมีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การเข้ามาของ AI จะทำให้มนุษย์ทำงานได้มีประสิทธิภาพและง่ายขึ้น แต่ AI ยังไม่สามารถทดแทนการทำงานของมนุษย์ได้ สิ่งที่คนทำงานรุ่นใหม่ต้องปรับตัว คือการใช้เทคโนโลยีให้เป็น นอกจากนี้ ความสามารถในการสื่อสารยังจำเป็นต่อการทำงานทุกองค์กร

3.) Fun(d) Talk ว่าด้วยการแปลงข้อมูลเศรษฐศาสตร์ให้เข้าถึงได้จากผู้มีประสบการณ์ที่หลากหลาย ได้แก่ คุณสุพริศร์ สุวรรณิก หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยป๋วย อึ๊งภากรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ธนาคารแห่งประเทศไทย กับหัวข้อ “เศรษฐศาสตร์: เข้าใจไม่ยากอย่างที่คิด” คุณศิรัถยา อิศรภักดี Founder WEALTH ME UP, Host THE STANDARD WEALTH ในหัวข้อ “เศรษฐสื่อ” และ คุณศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา นักแสดงและประธานกรรมการบริหาร สังกัด IDOL idol Factory ในหัวข้อ “เศรษฐศาสตร์กับการจัดการความบันเทิงเพื่อคนรุ่นใหม่”
4.) Fun(d) Fair เป็นฐานกิจกรรมที่หน่วยงานภาคีมาร่วมให้ความรู้ และสร้างพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนกับนิสิต ผู้ร่วมงาน จำนวน 6 ฐานกิจกรรม ได้แก่ บูธธนาคารแห่งประเทศไทย บูธธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บูธ Future Skill บูธ Mandala AI บูธ BeTask และบูธวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม/การสื่อสารเพื่อเศรษฐศาสตร์
5.) Fun(d) Game กิจกรรมสนุกสาน โดย นิสิตการสื่อสารเพื่อเศรษฐศาสตร์

ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับบุคคลภายนอกและต่อยอดความรู้ให้กับนิสิตวิชาเอกการสื่อสารเพื่อเศรษฐศาสตร์ ได้ฝึกฝนประสบการณ์ในการทำงานจริงร่วมกับองค์กรภายนอกอย่างมืออาชีพ และความรู้จากผู้มีประสบการณ์ที่ได้มาถ่ายทอดเรื่องราวของเศรษฐศาสตร์ในโลกของการทำงานจริง ให้นิสิตและผู้ที่สนใจเข้าฟัง ได้เตรียมความพร้อมต่อไปในอนาคตของการทำงาน
แพทย์เฉพาะทางชี้สตรีมีครรภ์มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูง หากได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ แนะทานแคลเซียมเสริมก่อนนำไปสู่ภาวะกระดูกหัก
จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า "โรคกระดูกพรุน" เป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขในลำดับที่ 2 ของโลก รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด โดยสอดคล้องกับข้อมูลของ "มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ" พบว่า ประชากรไทยที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน 80-90% ยังไม่ได้รับการประเมินและรักษา
"โรคกระดูกพรุน เป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ และไม่มีสัญญาณเตือนก่อนล่วงหน้า เมื่อผู้ป่วยประสบภาวะกระดูกพรุนจะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่ายขึ้น หากเกิดร่วมกับกระดูกสะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตในปีแรกมากถึง 17% และมีสัดส่วน 80% ที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม"
![]()
นพ.ฐปนัตว์ จันทราภาส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผยว่าโรคกระดูกพรุน คือ โรคที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูก ซึ่งจะมีผลทำให้กระดูกบางและเปราะง่าย ไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดได้ตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงกระดูกหักได้ง่าย
โรคกระดูกพรุนมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมักพบมากในสตรีที่ตั้งครรภ์ เพราะบุตรจะดึงปริมาณของแคลเซียมออกไป ทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกของผู้เป็นแม่ลดลง ดังนั้นเราจึงควรมีความรู้ในเรื่องของการสะสมมวลกระดูกเอาไว้ ยกตัวอย่าง แพทย์จะเสริมปริมาณแคลเซียมให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ แต่เมื่อหลังคลอดลูกก็ต้องกินนม ซึ่งจำเป็นที่คุณแม่ก็ต้องได้รับปริมาณแคลเซียมเสริมด้วยเช่นกัน เพราะธนาคารกระดูก หรือ Bone Bank เกิดขึ้นและสะสมปริมาณแคลเซียมนี้เอาไว้ตั้งแต่เราอยู่ในท้องจนถึงอายุ 20 กว่าๆ ร่างกายจะค่อยๆ ถอนเอาไปใช้ สำหรับในเพศชายจะมีการสะสมของมวลกระดูกมากกว่าในเพศหญิง ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเพศชายไม่ต้องตั้งครรภ์จึงไม่สูญเสียมวลกระดูกในส่วนนี้ไป ในขณะที่เพศหญิงการมีบุตรจะดึงปริมาณแคลเซียมที่สะสมเอาไว้เพื่อสละให้ลูกน้อยตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
ขณะเดียวกันจากสถิติพบว่าผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนจะเริ่มมีภาวะของโรคกระดูกพรุนเช่นเดียวกัน จึงต้องมีการเสริมแคลเซียมเข้าไปด้วย
![]()
อย่างไรก็ตามกระดูกประกอบด้วยโปรตีนที่เป็นเส้นใยคอลลาเจนและมีแคลเซียมมาตกผลึกจับตัวกับคอลลาเจน จนกลายเป็นของแข็งที่สามารถรับน้ำหนัก แรงกด หรือแรงกระแทก และมีความยืดหยุ่นในตัวเอง การ
สร้างกระดูกให้แข็งแรงจำเป็นต้องได้รับปริมาณแคลเซียมและสารอาหารที่เหมาะสม โดยแคลเซียมจะทำให้กระดูกแข็งแรง ส่วนโปรตีนโดยเฉพาะคอลลาเจนและโปรตีนอื่น ๆ จะทำให้กระดูกมีความเหนียวและยืดหยุ่น
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว ได้แก่ การได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ กรรมพันธุ์ หรือผู้ที่มีประวัติกระดูกเปราะและหักง่าย หญิงวัยหมดประจำเดือน การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา และคาเฟอีน ไม่ออกกำลังกาย หรือผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต
นพ.ฐปนัตว์ เผยว่า การฉีดซีเมนต์ (Bone Cement) เพื่อรักษากระดูกสันหลังแตก หัก และทรุด โดยการเสริมความแข็งแรงของตัวกระดูกสันหลังที่หักด้วยซีเมนต์ เพื่อให้สามารถกลับมารับน้ำหนักตัวได้อีกครั้ง เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัด ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก และทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวด ฟื้นตัวได้เร็ว อีกทั้งขนาดแผลยังเล็กมากจนแทบจะมองไม่เห็น
สำหรับขั้นตอนการฉีดซีเมนต์ แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กโดยใช้เครื่องเอกซเรย์พิเศษ (Fluoroscope) เพื่อหาตำแหน่งและเจาะเข้าไปในบริเวณที่กระดูกสันหลังแตก หัก หรือยุบ แล้วค่อยๆ ฉีดซีเมนต์ไปทีละนิด เพื่อไม่ให้ซีเมนต์ไหลออกมาจากกระดูก และรอให้ซีเมนต์แข็งตัว จึงดึงเข็มออกแล้วใช้พลาสเตอร์ปิดแผล เนื่องจากขนาดแผลที่เล็ก จึงไม่จำเป็นต้องเย็บปิดแผล
โดยทั่วไปแล้ววิธีการรักษาโรคกระดูกสันหลังแตก หัก ยุบ ด้วยวิธีการฉีดซีเมนต์นั้น มี 2 วิธี 1.การฉีดซีเมนต์อย่างเดียวตรงๆ 2.การฉีดซีเมนต์โดยใช้ Balloon ขยายก่อน เพื่อที่จะฉีดซีเมนต์เข้าไปให้ได้ปริมาณที่มาก แต่ที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เราใช้เทคนิคพิเศษโดยการฉีดซีเมนต์ปริมาณมาก เข้าไปตรงบริเวณที่แตกหัก ยุบ อย่างตรงจุด ด้วยอุปกรณ์นำวิถี ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากและข้อแทรกซ้อนน้อย
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 1–2 ชั่วโมง เพื่อให้ซีเมนต์ที่ฉีดเข้าไปนั้นแข็งตัว ก็สามารถลุกนั่ง ยืน เดินได้ตามปกติ และอาการปวดของผู้ป่วยก็จะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากที่ฉีดเสร็จ การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ซึ่งมีความชำนาญในการทำหัตถการเท่CRานั้นC
CR : โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ
งานวิจัยโดย The Circulate Initiative ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหามลพิษจากพลาสติกในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ได้เผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการกำจัดขยะพลาสติกและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย
รายงานเรื่อง "ประโยชน์ในด้านสภาพภูมิอากาศจากการกำจัดขยะในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" รายงานถึงศักยภาพของการลงทุนเพื่อกำจัดและรีไซเคิลขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพใน 6 ประเทศของภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลล่าสุดจากเครื่องมือคำนวณวงจรชีวิตพลาสติกเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (PLACES) ฉบับล่าสุดที่จัดทำโดย The Circulate Initiative ซึ่งเป็นการคำนวณเพื่อติดตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนปริมาณพลังงานและน้ำที่ใช้สำหรับการจัดการและรีไซเคิลขยะพลาสติกทั่วภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านเครื่องมือคำนวณซึ่งเป็นเครื่องมือแรกที่เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
การที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาด้านมลพิษพลาสติกมากที่สุดนั้นเป็นผลมาจากการขาดโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะ ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการกำจัดขยะพลาสติกอย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการกับปัญหามลพิษพลาสติกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเด็นสำคัญ ประกอบไปด้วย
● หากสามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกที่ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้องในประเทศไทยได้ทั้งหมดภายในปี 2573 จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 27.9 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการลดจำนวนรถยนต์กว่า 6.2 ล้านคันจากท้องถนนในหนึ่งปี
● 85% ของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในประเทศไทยเกิดจากการเผาขยะในที่โล่งและในโรงเผาขยะ หากเปลี่ยนการกำจัดขยะจำนวน 1 ตันจากจากการเผาในที่โล่ง ไปสู่การคัดแยกขยะและรีไซเคิลอย่างถูกต้องและเหมาะสม อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 3 ตัน
● หากประเทศไทยยังคงกำจัดขยะพลาสติกด้วยการเผาขยะและการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน จะทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 3.3 ล้านตันภายในปี 2573 ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้โดยการใช้โซลูชันการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่และการรีไซเคิล
นอกจากนี้ รายงานยังเปิดเผยว่า การรีไซเคิลขยะพลาสติกที่ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้องในอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมกันจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 229 ล้านตันภายในปี 2573 ซึ่งเทียบเท่ากับการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน 61 แห่งเป็นเวลาหนึ่งปี
เครื่องมือ PLACES ได้รับความร่วมมือในการพัฒนากับหน่วยงาน Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) ในสิงคโปร์เพื่อดำเนินโครงการในอีก 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม อีกทั้งยังมีข้อมูลที่อัปเดตสำหรับการดำเนินงานในอินเดียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีการผลิตแห่งสิงคโปร์ (SIMTech) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ A*STAR ได้ให้การสนับสนุนการวิจัยด้านการศึกษาและประเมินปริมาณของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ขั้นตอนการเดินทางของขยะพลาสติกที่สิ้นอายุการใช้งานแล้ว
นับตั้งแต่เปิดใช้งานในปี 2564 เครื่องมือ PLACES ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทต่าง ๆ นักลงทุน นักรีไซเคิล ผู้ให้บริการกำจัดขยะ และนักวางผังเมือง ในการผลิตข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ในการวัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกำจัดและรีไซเคิลขยะ
นายอุเมช มาดาวาน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ The Circulate Initiative กล่าวว่า “การเจรจาเพื่อบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับมลพิษจากพลาสติกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกฝ่ายเล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น โดยผลการวิจัยของเราสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการลงทุนในการกำจัดและรีไซเคิลขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหามลพิษพลาสติกและปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ไปพร้อม ๆ กัน”
“การนำเครื่องมือ PLACES มาใช้ให้ครอบคลุมจำนวนประเทศเพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนหลากหลายประเภท รวมถึงรัฐบาลท้องถิ่น และองค์กรธุรกิจในภูมิภาคสามารถประเมินโอกาสด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกที่ขึ้นอยู่กับปริมาณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” นายอุเมช กล่าวสรุป
เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก เอเนอร์จี สตอเรจ เทคโนโลยี (Shanghai Electric Energy Storage Technology Co., Ltd.) ประกาศเสร็จสิ้นการทดสอบผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่วาเนเดียมชนิดรีดอกซ์โฟลว์ (VRFB) เพื่อตรวจรับที่โรงงานก่อนส่งให้ลูกค้า ซึ่งขณะนี้กำลังถูกส่งมอบไปยังเมืองซาราโกซา ประเทศสเปน สำหรับโครงการจัดเก็บพลังงานเชิงพาณิชย์ นับเป็นครั้งแรกที่แบตเตอรี่โฟลว์ของเซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก ถูกส่งไปยังพันธมิตรในยุโรปเป็นจำนวนมาก
ภายใต้ข้อตกลงร่วมกับพันธมิตรในสเปน ซึ่งเป็นสัญญาย่อยฉบับที่ 6 ที่เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก ลงนามร่วมกับผู้ให้บริการโซลูชันการจัดเก็บพลังงานในสเปน เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก เอเนอร์จี สตอเรจ จะจัดหาผลิตภัณฑ์ VRFB ตามความต้องการสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนในท้องถิ่น ความร่วมมือดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของเซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก ในตลาดโซลูชันแบตเตอรี่โฟลว์ รวมถึงความสามารถในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นเอง เพื่อช่วยให้ประเทศในยุโรปเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้
ในขณะเดียวกัน เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก และพันธมิตรในท้องถิ่น ยังหารือเกี่ยวกับการออกแบบโครงการระบบต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยการจัดหาระบบและผลิตภัณฑ์มาตรฐานในรูปแบบคอนเทนเนอร์ โดยทั้งสองบริษัทยังวางแผนที่จะร่วมมือกันในการก่อสร้างโครงการขนาดเมกะวัตต์อีกด้วย
เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานเป็นหนึ่งในรากฐานของการปฏิวัติพลังงานหมุนเวียน โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายคาร์บอนต่ำ เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก มีประวัติและผลงานยาวนานในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานใหม่ จึงเป็นผู้บุกเบิกและผลักดันขีดจำกัดด้านโซลูชันแบตเตอรี่ รวมถึงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ VRFB เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความยั่งยืน และความสามารถในการซื้อแหล่งพลังงานหมุนเวียน
ในปี 2566 เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก ได้บรรลุความสำเร็จครั้งสำคัญในด้านเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ ด้วยการเปิดตัวระบบจัดเก็บพลังงานขนาด 500 กิโลวัตต์/3000 กิโลวัตต์ชั่วโมง สะท้อนถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพัฒนาเทคโนโลยี VRFB โดยเซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก อัปเกรดฟอร์มแฟกเตอร์ ฟังก์ชันการทำงาน และประสิทธิภาพของ VRFB มอบโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการจัดเก็บพลังงานหมุนเวียน เพิ่มศักยภาพให้กับจีนและประเทศอื่น ๆ ในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และมีส่วนสนับสนุนอนาคตที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น
ระบบดังกล่าวใช้สแต็กทรงพลังกำลังสูง 65 กิโลวัตต์ ซึ่งเป็นสแต็กเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดที่พัฒนาโดยบริษัทพลังงานในประเทศจีน แบตเตอรี่ขนาด 500 กิโลวัตต์นี้มีโครงร่างแบบ 4s2p ทำให้เป็นโมดูลเดียวที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแบตเตอรี่โฟลว์ระยะยาวของจีน นอกจากนี้ ประสิทธิภาพด้านไฟฟ้ากระแสตรงของระบบยังมากกว่า 85% และมีประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมสูงถึง 90% ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงลงเหลือ 0.2 หยวน (0.028 ดอลลาร์สหรัฐ)
ระบบดังกล่าวใช้อิเล็กโทรไลต์ที่ประกอบด้วยน้ำและเกลืออนินทรีย์ จึงทำงานได้ที่อุณหภูมิและความดันปกติโดยไม่เสี่ยงต่ออันตรายจากการติดไฟหรือการระเบิด มอบรอบการชาร์จและการคายประจุที่ 20,000 รอบโดยไม่ลดทอนความจุตลอดอายุการใช้งาน
ระบบนี้ยังได้รับการออกแบบให้เป็นระบบกักเก็บพลังงานกำลังสูงในระยะยาวสำหรับโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย โดยมีโครงสร้างที่ขยายได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดการใช้ที่ดินได้ถึง 50% โมดูลดังกล่าวนี้ยังเคลื่อนย้ายได้ง่าย ติดตั้งและใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และเหมาะสำหรับสถานที่ที่มีช่วงอุณหภูมิระหว่าง -30 ถึง 60 องศาเซลเซียส รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีการจัดการแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย ซึ่งขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีการแสดงภาพและการทำงานแบบดิจิทัลคู่แฝด ทำให้สถานะการทำงานของระบบถูกตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพอย่างแม่นยำด้วยอัลกอริทึมอัจฉริยะที่มอบการปกป้องแบตเตอรี่ขั้นสูงสุด ทำให้จัดการและซ่อมบำรุงได้แบบอัจฉริยะ และรับประกันความน่าเชื่อถือในระยะยาวให้แก่ผลิตภัณฑ์
นวัตกรรมล้ำสมัยของเซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก ในด้าน VRFB ช่วยให้กลุ่มบริษัทคว้ารางวัลสุดยอดแบรนด์เทคโนโลยีอุตสาหกรรมการจัดเก็บพลังงานของจีน (China Energy Storage Industry Technology Innovation Brand Award) และรางวัลสุดยอดแบรนด์แบตเตอรี่เพื่อการจัดเก็บพลังงานของจีน (China Energy Storage Battery Brand Award) ในปี 2566 มาได้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเก็บพลังงานและความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ VRFB ที่ล้ำสมัย ซึ่งตอบสนองความต้องการในอนาคตของภาคส่วนพลังงานใหม่
เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก และไชน่า วาเนเดียม เอเนอร์จี สตอเรจ เทคโนโลยี (China Vanadium Energy Storage Technology) ยังร่วมกันริเริ่มโครงการก่อสร้างสถานีเก็บพลังงาน VRFB ขนาด 100 เมกะวัตต์/600 เมกะวัตต์ชั่วโมง ในเมืองไป่เฉิง มณฑลจี๋หลิน ในปี 2566 ด้วย โดยเซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก เอเนอร์จี สตอเรจ จะนำผลิตภัณฑ์ VRFB และโซลูชันแบบบูรณาการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัด และมีประสิทธิภาพมาใช้ เพื่อช่วยเศรษฐกิจในท้องถิ่นลดการปล่อยคาร์บอน และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของมณฑลจี๋หลิน
เซี่ยงไฮ้ อิเล็กทริก เอเนอร์จี สตอเรจ ยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีแบตเตอรี่และขยายตลาดไปทั่วโลก โดยบริษัทฯ จะยังคงมุ่งให้บริการลูกค้าด้วยโซลูชันด้านพลังงานที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้ เพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นนี้ บริษัทฯ จะเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงาน ยกระดับความปลอดภัยและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ และแสวงหานวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงส่งเสริมอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับทุกคน