December 16, 2025

การ์ทเนอร์คาดการณ์มูลค่าโอกาสในการสร้างรายได้ของเซมิคอนดักเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อรันเวิร์กโหลดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 20.9% จากปี 2565 หรือคิดเป็นมูลค่า 53.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อลัน พรีสต์ลีย์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การพัฒนา Generative AI และการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ AI-Based Applications ที่หลากหลายในดาต้าเซ็นเตอร์, โครงสร้างพื้นฐาน Edge และอุปกรณ์ปลายทาง จำเป็นต้องติดตั้งหน่วยประมวลผลกราฟิกประสิทธิภาพสูง (GPU) และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งนี้กำลังขับเคลื่อนการผลิตและการใช้งานชิป AI”

การ์ทเนอร์พบว่าตลอดช่วงเวลาของการคาดการณ์ รายได้จากเซมิคอนดักเตอร์ AI จะยังเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก โดยในปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 25.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 67.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ดูตารางที่ 1) และภายในปี 2570 รายได้ชิป AI คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวของตลาดในปี 2566 โดยมีมูลค่าถึง 119.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 อุตสาหกรรมและองค์กรด้านไอทีจำนวนมากจะปรับใช้ระบบที่มีชิป AI ตามปริมาณเวิร์กโหลดงานที่ใช้ AI ในองค์กรที่เติบโตสูงขึ้น หากพิจารณาตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ประเมินว่า ภายในสิ้นปี 2566 มูลค่าของชิปประมวลผลในแอปพลิเคชันที่ใช้งาน AI (AI-Enabled Application) ในอุปกรณ์ต่าง ๆ จะแตะ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้นจาก 558 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565

ความต้องการด้านการออกแบบที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุดสำหรับรองรับการดำเนินการปริมาณเวิร์กโหลดงานที่ใช้ AI อย่างคุ้มค่าส่งผลให้มีการใช้งานชิป AI ที่ออกแบบเองเพิ่มขึ้น พรีสต์ลีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับองค์กรหลาย ๆ แห่ง การปรับใช้ชิป AI ที่ออกแบบเองสำหรับใช้งานในสเกลใหญ่ ๆ จะเข้ามาแทนที่สถาปัตยกรรมชิปในปัจจุบัน รวมถึง discrete GPUs สำหรับใช้ในปริมาณเวิร์กโหลดงานที่ใช้ AI ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคนิค Generative AI”

Generative AI ยังกระตุ้นความต้องการระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการพัฒนาและการนำไปใช้ โดยมีผู้จำหน่ายหลายรายที่เสนอระบบ GPU ที่มีประสิทธิภาพสูง และอุปกรณ์เครือข่ายซึ่งมองว่าเป็นประโยชน์ระยะสั้น แต่ในระยะยาว การ์ทเนอร์คาดว่าจะมีการใช้ชิป AI ที่ออกแบบเองเพิ่มขึ้น

เมื่อผู้ให้บริการคลาวด์ขนาดใหญ่ (หรือ Hyperscaler) มองหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการปรับใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “สิริซอฟต์ (SRS)” ไฟเขียวเสนอขาย IPO 40 ล้านหุ้น ระดมทุนเสริมแกร่งทีมนักพัฒนา High Code ขยายพื้นที่สำนักงาน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ตอบโจทย์ดีมานด์ในกลุ่มลูกค้าองค์กร และขยายฐานลูกค้าใหม่ ย้ำผู้เชี่ยวชาญคอนซัลท์ไอทีที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โชว์ผลการดำเนินงาน 3 ปีย้อนหลัง SRS รายได้โตเฉลี่ย (CAGR) 137.37% พร้อมเตรียมจัดทัพผู้บริหารร่วมงาน IPO Roadshow ให้ข้อมูลต่อนักลงทุนวันที่ 8 ก.ย.นี้ คาดเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai หมวดธุรกิจเทคโนโลยี ภายในปี 66

นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท สิริซอฟต์ จำกัด (มหาชน) หรือ SRS เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล หรือไฟลิ่งของ SRS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 40,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และคาดว่าจะเสนอขายและเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี (Technology) ภายในปี 2566

โดย สิริซอฟต์ (SRS) ในฐานะบริษัทผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ DevOps Culture เป็นแนวคิดที่ช่วยพัฒนาและดูแลลูกค้าในรูปแบบสมัยใหม่ และให้บริการออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Microservices ในการพัฒนา พร้อมด้วยศักยภาพในการทำงานและการบริหารบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน High Code ซึ่งมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รองรับการแข่งขัน ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าองค์กรที่หันมาให้ความสำคัญในด้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หรือ Digital Transformation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า รวมถึงออกผลิตภัณฑ์หรือบริการสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว สนับสนุนผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องในระดับสูง

นายสิริวัฒน์ ธนุรเวท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริซอฟต์ จำกัด (มหาชน) หรือ SRS ที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับองค์กร ผ่านแนวทางการทำงานแบบ DevOps (Development & Operations) เปิดเผยว่า การระดมทุนในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจบริษัทให้แข็งแกร่ง โดยวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อนำไปใช้สำหรับพัฒนาและปรับปรุงซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานภายในองค์กร ใช้สรรหาและพัฒนาบุคลากรในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์ รวมถึงการขยายพื้นที่สำนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต

ในด้านผลการดำเนินการ 3 ปีย้อนหลัง (2563 - 2565) บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 72.91 ล้านบาท 187.03 ล้านบาท และ 410.81 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 137.37% และมีกำไรสุทธิ 14.39 ล้านบาท 25.47 ล้านบาท และ 68.69 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 19.73% , 13.51% และ 16.67% ของรายได้รวม ตามลำดับ สำหรับงวด 6 เดือนของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 306.24 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 47.34 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 15.46%

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 กลุ่มบริษัทมีพนักงานรวมทั้งสิ้น 238 คน เพิ่มขึ้นจากปลายปี 2565 อยู่ที่ 215 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ และฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์เป็นหลัก เพื่อขยายขีดความสามารถในการให้บริการตามจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และสนับสนุนโอกาสในการรับงาน การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นการสนับสนุนให้สิริซอฟต์ สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายที่วางไว้

นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานการตลาดและสื่อสารองค์กร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย นางสาวเจนจิต ลัดพลี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์องค์กร และ นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service เข้าพบนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการททท.คนใหม่ ณ สำนักงานใหญ่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรี เมื่อเร็วๆนี้

ทั้งนี้ เคทีซี และ ททท. ได้มีการหารือร่วมกันถึงความร่วมมือที่จะผลักดันและสนับสนุนการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ตามที่คาดหมายไว้

นายสิริวัฒน์ ธนุรเวท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริซอฟต์ จำกัด (มหาชน) หรือ SRS พร้อมด้วย ทีมผู้บริหารของบริษัทฯ และนางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Analyst Meeting) โชว์ศักยภาพ SRS ที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับองค์กร ผ่านแนวทางการทำงานแบบ DevOps (Development & Operations) ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ชูผลการดำเนินงานปี 2563–2565 รายได้จากการขายและบริการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 137.37% พร้อมเดินหน้าขยายการเติบโต เสนอขายหุ้น IPO 40 ล้านหุ้น และนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี (Technology) โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.สิริซอฟต์ เมื่อเร็วๆ นี้

นายจ่อ มิน ประธานสหพันธ์อุตสาหกรรมกระดาษและเยื่อกระดาษแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า(คนแรกขวามือ) นายซาฟี่ อูล่า ชาวดรี รองประธานสมาคมผู้ส่งออกแห่งประเทศบังคลาเทศ (คนแรกซ้ายมือ) นายธีระ กิตติธีรพรชัย เหรัญญิก กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ที่สองจากซ้าย) พร้อมด้วยนายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย (ที่สามจากซ้าย) นายพรรธระพี ชินะโชติ ประธานกรรมการร่วม (ที่สามจากขวา) และนายธัชพล วงษ์รักษา รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (ที่สองจากขวา) ร่วมกันเปิดงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรม นวัตกรรม เทคโนโลยี และโซลูชั่นของอุตสาหกรรมกระดาษที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค พร้อมตั้งเป้าสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมกระดาษอาเซียน เมื่อเร็วๆ นี้

จีดีเอส (GDS) ผู้พัฒนาและดำเนินการศูนย์ข้อมูลสมรรถนะสูงระดับแถวหน้าของเอเชีย และมีฐานนักลงทุนหลากหลายทั่วโลก ร่วมกับสำนักงานการลงทุนแห่งอินโดนีเซีย (Indonesia Investment Authority) หรือไอเอ็นเอ (INA) ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งของอินโดนีเซีย ได้ประกาศผนึกกำลังเป็นพันธมิตร เพื่อพัฒนาและขยายภูมิทัศน์ศูนย์ข้อมูลในอินโดนีเซีย ทั้งสองฝ่ายต่างเล็งเห็นศักยภาพของอินโดนีเซียในฐานะตลาดศูนย์ข้อมูลที่กำลังมาแรง และมีวิสัยทัศน์เหมือนกันเกี่ยวกับบทบาทของศูนย์ข้อมูลในการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของอินโดนีเซีย

ทั้งสองฝ่ายมีแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแบบร่วมหุ้น เพื่อเป็นช่องทางพัฒนาแพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลทั่วประเทศ โดยโครงการแรกที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จนั้นคือโครงการพัฒนาแคมปัสศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกลที่นิคมดิจิทัลนองซา (Nongsa Digital Park หรือ NDP) ในเมืองบาตัม ซึ่งทางรัฐบาลอินโดนีเซียกำหนดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) แคมปัสศูนย์ข้อมูลในเมืองบาตัมที่จะมีขึ้นนี้จะนำโซลูชันศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะอันล้ำสมัยของจีดีเอสมาใช้ และเน้นใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ พร้อมเข้ามากำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้

ความร่วมมือระหว่างจีดีเอสกับไอเอ็นเอมีขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เมื่ออุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยไอโอที (IoT) ความนิยมในการเปลี่ยนไปประมวลผลบนคลาวด์ และความแพร่หลายของแอปพลิเคชันเอไอ (AI) ขณะที่ผลการศึกษาตลาดคาดการณ์เอาไว้ว่า ความจุในตลาดศูนย์ข้อมูลของอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นจาก 514MW ในปี 2566 เป็น 1.41GW ภายในปี 2572 อินโดนีเซียกำลังเร่งใช้ประโยชน์จากความต้องการบริการศูนย์ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นนี้ เพื่อดึงดูดการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมขับเคลื่อนอินโดนีเซียสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

วิลเลียม หวง (William Huang) ประธานและซีอีโอของจีดีเอส กล่าวว่า “อินโดนีเซียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในฐานะทำเลทองเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าผู้มองหาบริการศูนย์ข้อมูลระดับพรีเมียม เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นผู้พัฒนาและผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลรายแรกที่ร่วมมือกับไอเอ็นเอ ซึ่งเรามองว่าเป็นการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งที่ทางการอินโดนีเซียมีต่อเรา ทั้งในด้านวิสัยทัศน์ระดับนานาชาติ ความเชี่ยวชาญระดับแถวหน้าของตลาด และการเติบโตอย่างรวดเร็วในระดับภูมิภาค ที่จีดีเอส เรามุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่มีมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอินโดนีเซีย โดยเราบูรณาการโครงการแรกของเราที่เมืองบาตัมเข้ากับโครงการที่ทำงานร่วมกันในสิงคโปร์และยะโฮร์ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลในอินโดนีเซียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับไอเอ็นเอจะเปิดโอกาสให้แพลตฟอร์มนี้ครอบคลุมทั่วอินโดนีเซียได้มากขึ้น”

ริธา วีระกุสุมะห์ (Ridha Wirakusuma) ซีอีโอของไอเอ็นเอ กล่าวว่า “ความร่วมมือของเรากับจีดีเอสนั้นเป็นมากกว่าการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกัน โดยสะท้อนให้เห็นศักยภาพทางดิจิทัลที่มีชีวิตชีวาของอินโดนีเซีย เศรษฐกิจของเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่งในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ประชากรวัยหนุ่มสาวของเราที่คุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ตอยู่แล้วเป็นข้อพิสูจน์ถึงความพร้อมและศักยภาพด้านดิจิทัลของอินโดนีเซีย ซึ่งอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ชี้ให้เห็นโอกาสมากมายเบื้องหน้า เราต่างตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลในท้องถิ่น ความร่วมมือของเรากับจีดีเอสจึงไม่เพียงแต่มุ่งเป้าไปที่การขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของเราเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลมาไว้ในประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อข้อมูลด้วย”

การเดินทางสู่อนาคตดิจิทัลของอินโดนีเซียมีความต้องการทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นแตกต่างกัน โดยปริมาณการรับส่งข้อมูลมือถือของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 40-50% ต่อปี [1] ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลยังครอบคลุมไม่เพียงพอ ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่ ๆ เช่น จีดีเอส ตระหนักถึงศักยภาพของตลาดอินโดนีเซีย เพราะวงการศูนย์ข้อมูลในอินโดนีเซียมีแนวโน้มเติบโตสดใส ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการกระแสข้อมูลที่ดีขึ้นและเร็วขึ้น ประกอบกับการที่องค์กรต่าง ๆ หันไปใช้บริการบุคคลที่สามมากขึ้น และมีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น

ไอเอ็นเอมองเห็นช่องว่างภายในภูมิทัศน์ดิจิทัล จึงตัดสินใจอำนวยความสะดวกในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วทั้งอินโดนีเซียอย่างจริงจัง โดยพุ่งเป้าเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขันของบาตัม พร้อมดึงดูดความต้องการที่ล้นหลามจากสิงคโปร์ กลยุทธ์สิงคโปร์-ยะโฮร์-บาตัมของจีดีเอส สอดคล้องกับแนวทางของไอเอ็นเออย่างลงตัว เนื่องจากจะช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อที่มีเวลาแฝงต่ำทั่วทั้งศูนย์ข้อมูลที่เชื่อมต่อระหว่างกันของจีดีเอสในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ดังนั้นจึงสร้างโซลูชันบริการศูนย์ข้อมูลแบบองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายของจีดีเอสทั้งในประเทศและต่างประเทศ จีดีเอสพร้อมใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ไม่มีใครเทียบได้ และประวัติการบริการที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขันของบาตัมในฐานะศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลภายในภูมิภาคนี้

ความพยายามนี้นับเป็นการทุ่มลงทุนครั้งที่สามของไอเอ็นเอในภาคดิจิทัล ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ภาคส่วนสำคัญ ไอเอ็นเอเป็นกองทุนแห่งชาติหนึ่งเดียวของอินโดนีเซีย เปิดตัวในปลายปี 2563 ด้วยเงิน 5 พันล้านดอลลาร์จากรัฐบาล ก่อนหน้านี้ ไอเอ็นเอเข้ามามีบทบาทในการเสนอขายหุ้น IPO ของมิตราเทล (Mitratel) และเป็นผู้ถือผลประโยชน์รายสำคัญของบริษัทเจ้าของเสาสัญญาณโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายนี้ นอกจากนี้ ไอเอ็นเอยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างแบล็คร็อค (BlackRock) อลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์ส (Allianz Global Investors) และโอไรออน แคปิตอล เอเชีย (Orion Capital Asia) ในการสนับสนุนแพลตฟอร์มการเดินทางชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างทราเวลโลก้า (Traveloka) ความเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวตอกย้ำความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของไอเอ็นเอ ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอินโดนีเซีย

เมื่อรวมพลังกันแล้ว จีดีเอสและไอเอ็นเอพร้อมเข้ามาพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับศูนย์ข้อมูลที่ดีที่สุดทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการทางดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป และยกระดับภูมิทัศน์โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอินโดนีเซียและที่อื่น ๆ

เคทีซี ตอกย้ำจุดยืนองค์กรแห่งการเรียนรู้ พร้อมสนับสนุนคนไทยรักการอ่าน จับมือพันธมิตรออกแคมเปญกระตุ้นนักอ่าน ครอบคลุมการจำหน่ายผ่านออนไลน์และออฟไลน์ตอบโจทย์สมาชิกทุกกลุ่ม

นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้อำนวยการ การตลาดบัตรเครดิต "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซี ในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ (Learning Organization) พร้อมสนับสนุนคนไทยรักการอ่าน แม้ปัจจุบันพฤติกรรมการอ่านและซื้อหนังสือจะเปลี่ยนไปตามโลกยุคดิจิทัล ที่มีทางเลือกการซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ หรืออีบุ๊ก (E-Book) แต่หนังสือยังคงเป็นแหล่งความรู้ที่ประชาชนให้ความสนใจ ส่งผลต่อภาพรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดหนังสือทั้งช่องทางออนไลน์ และ ร้านหนังสือ ช่วงเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2565

อย่างไรก็ตาม เคทีซี เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมการอ่านของคนไทย จึงได้ร่วมกับพันธมิตรร้านหนังสือชั้นนำเช่น เอเชียบุ๊คส / ศูนย์หนังสือจุฬา / บีทูเอส / นายอินทร์ / ซีเอ็ดบุ๊ค / บุ๊คกาซีน และ สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ มอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสำหรับการซื้อผ่านร้านหนังสือ รับส่วนลดสูงสุด 15% / แลกรับเครดิตเงินคืน18% หรือ ผ่อนชำระ 0.69% ต่อเดือน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/book-hobby-entertainment

สำหรับสมาชิกที่ต้องการซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ ประกอบด้วย ซีเอ็ดบุ๊คดอทคอม (www.se-ed.com ) มอบ ส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้า 350 บาทขึ้นไป /

จุฬาบุ๊คดอทคอม (www.chulabook.com) มอบส่วนลดสูงสุด 20 บาท /

นายอินทร์ดอทคอม (www.naiin.com) และนายอินทร์ แอปพลิเคชั่น มอบ

ส่วนลด 80 บาท เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป พิเศษ!!

ทุกการซื้อออนไลน์สามารถผ่อนชำระ 0.69% ต่อเดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษว่า ทิศทางของหลายประเทศทั่วโลกขณะนี้ มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งในเรื่องการลดการใช้พลังงาน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการเกิดของเสียจากการผลิต รวมถึงสนับสนุนการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ กระดาษจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้และนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ ทำให้หลายธุรกิจและอุตสาหกรรมเริ่มกลับมาใช้กระดาษเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งกระดาษในวันนี้ได้ถูกพัฒนาด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้มีทั้งความคงทน แข็งแรง ตอบสนองต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมได้ในหลายรูปแบบ แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้อุตสาหกรรมกระดาษเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล

นอกจากนั้น อุตสาหกรรมกระดาษยังได้รับผลบวกจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มกระดาษคราฟท์ ที่มีสัดส่วนการผลิตกว่า 80% และใช้วัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลกระดาษปีละหลายล้านตันได้รับผลดีตามไปด้วย ซึ่งภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นกลุ่มผู้บริโภคและผู้ผลิตอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะอาเซียนที่เป็นฐานการผลิตของหลายอุตสาหกรรม ทำให้ไทยกลายเป็น HUB และเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่หลายประเทศให้ความสำคัญ รวมถึงผู้อยู่ในอุตสาหกรรมกระดาษจากทั่วโลก

งาน ASEAN Paper Bangkok 2023 ในครั้งนี้ มีความสำคัญต่ออนาคตของอุตสาหกรรมกระดาษไทยและโลกเป็นอย่างมาก นอกจากจะเป็นงานฯ ที่เป็นการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ เจรจาธุรกิจการค้าร่วมกันแล้ว ยังมีกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือ พร้อมกำหนดแนวโน้มทิศทางของอุตสาหกรรมกระดาษในอนาคตร่วมกันอีกด้วย

นายพรรธระพี ชินะโชติ ประธานกรรมการร่วม อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึงการจัดงาน ASEAN Paper Bangkok 2023 ว่า อาเซียนมีประชากรมากถึง 680 ล้านคนในปี 2565 เป็นตลาดขนาดใหญ่ มีการบริโภคสูง เป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญของโลก โดยมีกระดาษเข้าไปเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหรือเป็นบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นการจัดงานฯ ในครั้งนี้จึงดึงดูดความสนใจจากบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกให้มารวมกันอยู่ที่ประเทศไทย เพื่อจัดแสดงตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เครื่องจักร โซลูชั่น นวัตกรรมเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์กระดาษประเภทต่างๆ ที่ครบวงจร

ที่สุดของภูมิภาค โดยแนวคิดในการจัดงานครั้งนี้ คือ “เทคโนโลยีการผลิตกระดาษเพื่อความยั่งยืนและโซลูชั่นสำหรับธุรกิจของอนาคต” (Sustainable Paper Production Technology & Solution for Future Business) ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มและทิศทางของธุรกิจและอุตสาหกรรมของโลก

โดยไฮไลท์ของงานฯ ในครั้งนี้ คือ การเปิดพื้นที่โซนจัดแสดงงานใหม่ในกลุ่มกระดาษลูกฟูกและกระดาษรีไซเคิล (Corrugated and Paper Recycling) ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มใหญ่ของอุตสาหกรรมกระดาษ และในการจัดงานยังได้รับความร่วมมือจากองค์กรธุรกิจสำคัญในอุตสาหกรรมทั้งไทยและนานาชาติ อาทิ Federation of ASEAN Pulp and Paper Industries (FAPPI), The Australasian Pulp and Paper Technical Association (Appita) จากประเทศออสเตรเลีย, Indian Agro & Recycled Paper Mills Association (IARPMA) จากประเทศอินเดีย, Myanmar Pulp And Paper Industry Association (MPPIA) จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์, Vietnam Pulp and Paper Association (VPPA) จากประเทศเวียดนาม, Printing and Packaging Industry Club (FTI) กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ The Thai Pulp and Paper Industries Association (TPPIA) สมาคมอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษไทย จากประเทศไทย

รวมทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในหัวข้อ ทิศทางอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษในอนาคต The Future of Tissue and Paper Forum การบรรยายพิเศษเจาะลึกอุตสาหกรรมกระดาษกับ Technical Insights และ Executive Insights The World’s Market Trend of Pulp and Paper Industry ฯลฯ ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้มีบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกเข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 200 ราย และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 3,000 ราย จึงอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจในอุตสาหกรรมกระดาษให้เข้ามาเยี่ยมชมงาน ซึ่งจะสามารถนำไปพัฒนา สร้างมูลค่า และต่อยอดธุรกิจได้เป็นอย่างดี

งาน ASEAN Paper Bangkok 2023 เริ่มแล้ววันนี้ - 1 กันยายน 2566 ณ ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aseanpaperbangkok.com

 โครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 กลับมาอีกครั้งกับงาน SPACE-F Batch 4 Incubator Demo Day ด้วยอีเวนท์การนำเสนอผลงานด้านเทคโนโลยีอาหารของสตาร์ทอัพภายใต้โปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือขององค์กรชั้นนำ

ได้แก่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ร่วมกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย และบริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด

ครั้งนี้ โครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 ได้นำ 10 สตาร์ทอัพจากโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพขึ้นเวที เพื่อนำเสนอผลงานแก่นักลงทุน และผู้ที่สนใจในนวัตกรรมด้าน FoodTech โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมบน FoodTech Stage ในงานสัมมนาด้านเทคโนโลยีแห่งปีอย่าง Techsauce Global Summit 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 16 สิงหาคม 2566

ด้วยศักยภาพและความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี สตาร์ทอัพทั้ง 10 ทีมได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ผ่านการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้ และพัฒนาโซลูชั่นให้มีความเฉียบคมยิ่งขึ้น พร้อมออกสู่ตลาด รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมในการระดมเงินทุนในระดับ Series A และ Seed Funding

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวเปิดงาน SPACE-F Batch 4 Incubator Demo Day ว่า "NIA ในฐานะผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม หรือ Focal Conductor มุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบอย่างยั่งยืนต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภายใต้แนวคิด Create the Dot - Connect the Dot - Value Creation ผ่านกลยุทธ์ “2 ลด 3 เพิ่ม” ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดอุปสรรคการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพิ่มจำนวนนวัตกรและผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม และเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม

โครงการ SPACE-F นับเป็นแพลตฟอร์มเริ่มต้นสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และด้วยความร่วมมือของผู้สนับสนุนของโครงการ เราสามารถกระตุ้นนวัตกรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยสนับสนุนให้กับสตาร์ทอัพเติบโต

ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของสตาร์ทอัพในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 ถือเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการเติบโตของสตาร์ทอัพ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในระดับโลกอีกด้วย"

 

ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าโครงการ SPACE-F จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีความยั่งยืนอย่างมีนัยยะ และสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมการนำเสนอในงานในปีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่การนำผลผลิตรองมาผ่านกระบวนการเพื่อเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไปจนถึงการนำเสนออาหารทางเลือกแห่งอนาคต อย่างผลิตภัณฑ์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ”

 

สตาร์ทอัพ 10 ทีมในโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ โครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 ประกอบไปด้วย

· BIRTH2022 เครื่องดื่มกาแฟสกัดเย็นจากเมล็ดกาแฟหมักด้วยแบคทีเรียโพรไบโอติก ที่มีส่วนช่วยให้มีรสชาติที่แตกต่าง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเก็บรักษาได้นานขึ้น

· ImpactFat: ไขมันปลาจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ อุดมไปด้วยสารอาหาร โอเมก้า 3 และไม่มีกลิ่นคาวปลา และสามารถช่วยเสริมรสชาติของอาหารได้ดียิ่งขึ้น

· Marinas Bio: อาหารทะเลจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ เน้นวัตถุดิบที่เป็นอาหารทะเล เช่น ไข่ปลาคาร์เวีย และ ไข่ปลาแซลมอน ที่ไม่สามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

· Mycovation: นำเสนอวัตถุดิบอาหารรูปแบบใหม่จากรากเห็ดที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการหมัก

· NutriCious: เครื่องดื่มไข่ขาวแคลอรี่ต่ำเพื่อสุขภาพ รสชาติดี และอุดมไปด้วยสารอาหารจากนม และโปรตีน

· Plant Origin: ผลิตภัณฑ์ไข่ทดแทนจากโปรตีนรำข้าว

· Probicient: เบียร์โพรไบโอติกเจ้าแรกของโลก ทางเลือกของเครื่องดื่มสังสรรค์ที่ให้ผลดีต่อสุขภาพของคุณ!

· The Kawa Project: ผงโกโก้ทดแทนจากกากกาแฟ ที่มีรสชาติและรสสัมผัสที่ไม่แตกต่างจากต้นฉบับ มีราคาที่ถูกกว่า และสามารถนำไปประยุกต์ได้หลากหลาย

· Trumpkin: ชีสทางเลือกที่ผลิตจากเมล็ดฟักทอง สามารถทดแทนชีสจากผลิตภัณฑ์นม

· Zima Sensors: เซ็นเซอร์ตรวจจับการรั่วไหลของอากาศในบรรจุภัณฑ์โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบการรั่วไหลได้อย่างต่อเนื่อง

 

รองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวปิดกิจกรรม SPACE-F Batch 4 Incubator Demo Day โดยกล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านการวิจัย ที่สนับสนุนทรัพยากร เครื่องมือ และผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขาให้แก่ผู้ประกอบการด้าน FoodTech

มหาวิทยาลัยมหิดลริเริ่มโครงการ Mahidol Pre-incubation for SPACE-F เป็นโครงการบ่มเพาะทีม Startup ที่มาจากการรวมตัวของนักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการติวเข้มในด้านต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์และตลาด การจัดทำแบบจำลองธุรกิจและแผนพัฒนาธุรกิจ รวมถึงทักษะการเป็นผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน

“หนึ่งในสตาร์ทอัพที่นำเสนอผลงานในวันนี้ นับเป็นผลงานจากโครงการ Mahidol Pre-incubation for SPACE-F เช่นกัน ทางมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งใจที่จะสนับสนุน และยินดีต้อนรับสตาร์ทอัพที่มีความสนใจในการพัฒนาโซลูชั่นด้านอาหาร เพื่อเข้าร่วมโครงการในปีถัด ๆ ไป”

ปิดท้ายด้วย คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เน้นถึงบทบาทสำคัญของโครงการ SPACE-F ที่มีส่วนในการเชื่อมโยงนวัตกรรมต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนวัตกรรมด้านอาหารและเครื่องดื่มในระดับโลก “ไทยเบฟมองว่าโครงการ SPACE-F นั้นเป็นแพลทฟอร์มที่ช่วยส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งรวมถึงการสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ รวมถึงการดำเนินการเพื่อสิ่งแวดล้อม”

ด้วยความสำเร็จของสตาร์ทอัพทั้ง 4 รุ่น โครงการ SPACE-F นับเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพได้เข้าถึงการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ การเชื่อมโยงทางธุรกิจ และพื้นที่ทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพเหล่านั้นสามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) และนวัตกรรมในระดับสากล

สตาร์ทอัพที่สนใจ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สามารถสมัครเข้าร่วมในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5 เพื่อเข้าสู่เครือข่ายของกลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านอาหาร และรับโอกาสในการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ร่วมงานกับเพื่อนร่วมโครงการที่มีความสนใจคล้ายคลึงกัน และเข้าถึงทรัพยากรที่มีคุณค่า ซึ่งจะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ

ติดตาม SPACE-F ได้ทางเว็บไซต์ www.space-f.co หรือผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมของโครงการ SPACE-F รวมถึงความสำเร็จและผลงานของสตาร์ทอัพในโครงการรุ่นต่าง ๆ รวมถึงข่าวสารเกี่ยวกับโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5

ประเทศไทยเปลี่ยนใหม่เพื่อก้าวไปข้างหน้า ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลประวัติการรักษาผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลทั่วประเทศอย่างไร้รอยต่อและมีมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับสากล

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) (BDI) ร่วมกับหน่วยงานในภาคี แถลงความก้าวหน้าการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลทั่วประเทศ (Health Link) พร้อมสาธิตระบบเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาสุขภาพมุ่งประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน เผยข้อมูลล่าสุด มีสถานพยาบาลเข้าร่วมโครงการ Health Link แล้วมากกว่า 1,100 แห่ง BDI เร่งเดินหน้าพัฒนาระบบงานต่อเนื่องในการนำข้อมูลไปใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ขณะเดียวกันยังคงส่งเสริมให้ประชาชนสมัครบริการ Health Link ในช่องทางต่าง ๆ เช่น ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ThaID (ไทยดี) ฯลฯ เพื่อให้ความยินยอมแก่โรงพยาบาลส่งต่อข้อมูลสุขภาพเข้าสู่ระบบ Health Link การเชื่อมต่อฐานข้อมูลขนาดใหญ่ด้านสุขภาพนี้เป็นการพลิกโฉมการให้บริการประชาชนและระบบบริหารจัดการด้านสาธารณสุขอย่างเต็มรูปแบบ

การจัดงานแถลงข่าวความคืบหน้าโครงการ Health Link 2023 ในครั้งนี้มีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานเปิดงาน และปาฐกถาเรื่องแนวทางการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ โดยนายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ภายในงานมีการจัดนิทรรศการโครงการ Health Link และการสาธิตระบบเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาสุขภาพมุ่งประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน โดยนายแพทย์ธนกฤต จินตวร ที่ปรึกษาอาวุโสโครงการ Health Link และมีไฮไลต์สำคัญคือ การเสวนา หัวข้อ “Thailand's Healthcare Next Move : พลิกโฉมการดูเเลสุขภาพคนไทย” นำโดย นายแพทย์สุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร (อดีตผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร) นายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล รักษาการแทนผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์บุญชัย กิจสนาโยธิน อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้จัดการงานวิจัยอาวุโส สำนักพัฒนามาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพไทย งานนี้มีผู้เข้าร่วมงานจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร และอีกหลายหน่วยงานในเครือข่าย Health Link รวมกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ

รองศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) (BDI) กล่าวในรายงานตอนหนึ่งในงานแถลงข่าวว่า ความท้าทายของบริการด้านสาธารณสุขไทยคือ ระบบฐานข้อมูลที่ยังไม่เชื่อมถึงกัน โรงพยาบาลแต่ละแห่งจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยในรูปแบบข้อมูลที่ต่างกัน จึงเป็นเรื่องยากในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดเมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล แต่เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามาเปลี่ยนเรื่องยากให้ง่ายขึ้น ภายใต้การดำเนินงานของ BDI หรือสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ที่พัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล หรือ Health Link ทำให้ความท้าทายดังกล่าวมีทางออก หากผู้ป่วยต้องเปลี่ยนโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องขอประวัติใหม่ทุกครั้ง Health Link ช่วยลดกระบวนการที่ใช้เวลานานและไม่จำเป็น ในบางกรณีการที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาช้าไปเพียงไม่กี่นาทีเพราะต้องรอขอประวัติการรักษาเดิมมาก่อนอาจหมายถึงนาทีชีวิตของผู้ป่วยได้เลยทีเดียว

การจัดเก็บและพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ระดับประเทศย่อมต้องได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน และสิ่งสำคัญคือข้อมูลสุขภาพของประชาชนซึ่งต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อให้โรงพยาบาลสามารถส่งต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ปัจจุบันโครงการ Health Link มีความก้าวหน้ามาตลอดระยะเวลาดำเนินการกว่าสองปี (2564-2566) ทั้งการเพิ่มจำนวนสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้มากกว่า 1,100 แห่งจากหลายเครือข่าย ได้แก่ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลเอกชน ฯลฯ โดยมีสถานพยาบาลที่ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยแล้วมากกว่า 100 แห่ง และภายในปี 2567 นี้ จะสามารถเชื่อมข้อมูลให้แล้วเสร็จอีกอย่างน้อย 200 แห่ง

สำหรับการพัฒนา Health Link ในระยะต่อไป เทคโนโลยีดิจิทัลด้านสุขภาพจะเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาระบบสาธารรสุขไทยโดยใช้ข้อมูลเพื่อการวางแผนควบคุมโรค การวางแผนส่งเสริมสุขภาพเพื่อการป้องกันโรค การให้บริการประชาชนที่สะดวกรวดเร็ว รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนการกำกับดูแลสถานพยาบาลให้สามารถนำข้อมูลไปใช้วางแผนระบบงาน การกระจายวัคซีนและยารักษาโรค รวมถึงการคืนข้อมูลสู่ประชาชนให้สามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้เพื่อส่งเสริมดูแลสุขภาพ และยังสามารถต่อยอดการเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับกรมบัญชีกลาง สปสช. และระบบประกันสังคม ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและลดภาระงานเอกสารของสถานพยาบาลในการดำเนินการเรื่องเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล

ความชัดเจนของ “ก้าวต่อไป” ในระบบสาธารณสุขไทยจะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการดูแลสุขภาพประชาชนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดงานที่ต้องประชาสัมพันธ์และรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ Health Link เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพในระดับประเทศ และประโยชน์ที่สถานพยาบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนจะได้รับ ทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรในวงการสาธารณสุข ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และมุมมองต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้านสาธารณสุขดิจิทัล

สำหรับประชาชนผู้สนใจรับสิทธิ์การดูแลสุขภาพและต้องการเข้าร่วมในระบบ Health Link สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ยินยอมให้โรงพยาบาลส่งต่อข้อมูลประวัติการรักษาของท่านเข้าสู่ระบบได้ด้วยลงทะเบียนสมัคร Health Link ได้ฟรีในแอปพลิเคชันเป๋าตัง คลิกที่ “กระเป๋าสุขภาพ” และกดเลือก “สิทธิที่น่าสนใจ” ดูวิธีการสมัครที่นี่ https://bit.ly/3VyBt5U หรือสมัครผ่านทางเว็บไซต์ www.healthlink.go.th/portal โดยยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaID ของกรมการปกครอง สำหรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลรามาธิบดีท่านสามารถสมัครผ่านทางแอปพลิเคชัน Rama โดย Health Link ยังมีบริการใหม่ให้ผู้ป่วยของโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ทั้ง 11 แห่ง สามารถสมัครได้ที่เคาน์เตอร์เวชระเบียนของโรงพยาบาลได้ทันทีเพียงแค่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ

Health Link เป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) และ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลประวัติการรักษาจากสถานพยาบาลอื่นได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยเมื่อย้ายสถานพยาบาล Health Link มีเป้าหมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มกลางของประเทศไทย ที่รองรับการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงข้อมูลประวัติการรักษาพยาบาล โดยใช้มาตรฐานข้อมูลกลางและมีความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากล สามารถรองรับปริมาณของข้อมูลจำนวนมากที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล เพื่อสร้างกระบวนการในการบริหารจัดการของการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม (ดูข้อมูลโครงการ และรายชื่อสถานพยาบาลในเครือข่ายทั้งหมดได้ที่ www.healthlink.go.th/)

X

Right Click

No right click