

ธุรกิจกลุ่มบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มยังติดเทรนด์ดาวรุ่ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เบเกอรี่ และบาร์ตบเท้าเดินหน้าดีต่อเนื่อง หลังท่องเที่ยวฟื้น ประชาชนใช้จ่ายเพิ่ม พฤติกรรมคนยุคใหม่บริโภคและใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น โดยมูลค่าตลาดรวมร้านอาหารยังยืนหนึ่งที่ประมาณ 4.25 แสนล้านบาท ด้าน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย แนะผู้ประกอบการต้องตามแนวโน้ม สร้างจุดเด่น หาจุดขาย สู้ปัจจัยเสี่ยงและการแข่งขันที่สูงขึ้น พร้อมชวนผู้ประกอบการเสริมความรู้ จับทิศธุรกิจจากบริษัทชั้นนำของโลกที่ยกทับร่วมจัดงานในโซนกาแฟ-เบเกอรี่ และ โซนร้านอาหาร-บาร์ พร้อมพื้นที่จัดแสดงพิเศษใหม่ SIPS & SPIRITS ที่รวบรวมและจัดแสดงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์ คราฟต์เบียร์จากทั่วโลก รวมถึงสุราไทยที่กำลังเป็นกระแสความสนใจในงาน Food & Hospitality Thailand 2023
![]()
นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 กล่าวถึงธุรกิจกลุ่มกาแฟ เบเกอรี่ กลุ่มบาร์และร้านอาหารว่า ทั้ง 2 กลุ่มยังคงติดอยู่ในกลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว การใช้จ่ายของภาคประชาชนที่มีความมั่นใจขึ้น รวมถึงพฤติกรรมและวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่บริโภคและใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งประมาณการมูลค่ารวมของธุรกิจกลุ่มบริการด้านอาหาร-เครื่องดื่มในปี 2566 ธุรกิจร้านอาหารยังมีมูลค่ารวมมาเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ประมาณ 4.25 แสนล้านบาท (ไม่รวมธุรกิจผับและบาร์) ส่วนตลาดรวมของธุรกิจร้านกาแฟอยู่ที่ประมาณ 65,000 ล้านบาท และตลาดรวมของธุรกิจเบเกอรี่อยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านบาท
แม้ธุรกิจในกลุ่มดังกล่าวจะได้รับผลจากปัจจัยบวก แต่ผู้ประกอบการก็ควรต้องคำนึงถึงปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อ การแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ดังนั้นหนึ่งในทางออกของผู้ประกอบการคือ ต้องมีการเตรียมพร้อม พัฒนาเพิ่มศักยภาพ การบริหารความเสี่ยง รวมถึงติดตามแนวโน้มและทิศทางของธุรกิจตลอดเวลา ดังนั้นในงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ครั้งนี้ จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับโฃนกาแฟ-เบเกอรี่ (Coffee & Bakery Thailand : CBT) และ โซนร้านอาหาร-บาร์ (Restaurant & Bar Thailand : RBT)
โดยโซนกาแฟ-เบเกอรี่ (Coffee & Bakery Thailand : CBT) เป็นศูนย์รวมของธุรกิจกาแฟและเบเกอรี่อย่างครบวงจร ซึ่งได้รับความสนใจเข้าร่วมจัดแสดงงานจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบพรีเมี่ยม อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่ใช้ในธุรกิจทั้งไทยและนานาชาติ อาทิ Duchess, Filter Vision, Global Partner Inter Food, Grain Baker, i-Cream Solutions,
ITO EN, Longbeach, NC Bakery Equipment, Santoker, Siamaya Craft, SKGF Trading, Tafa Inter Trading, Nescafé Dolce Gusto และ Alpine Water ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงงานจากบริษัทชั้นนำต่างๆ แล้ว ยังมีกิจกรรมการแข่งขันและเวิร์คชอป เพื่อเพิ่มทักษะให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจอีกหลายรายการ อาทิ การแข่งขัน Thailand National Latte Art Championship (TNLAC), Thailand National Coffee in Good Spirits Championship (TNCIGS), Grow Tea Creatives Sensory Special Class และ Coffee Workshop
![]()
ส่วนโซนร้านอาหารและบาร์ (Restaurant & Bar Thailand : RBT) เป็นอีกโซนที่มีความสำคัญ โดยในโซนนี้จะเป็นการรวบรวมบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องมือระดับพรีเมี่ยมของโลก ตลอดจนระบบจัดการโซลูชั่นต่างๆ ที่ใช้ในธุรกิจมาร่วมในการจัดแสดง อาทิ Abbra Corporation Limited, Nutra Regenerative Protein, Chaitip, CTI Food Supply, Ebisu Foods, See Fah Food, Udom Supply Imex, BR Group, Fukushima Galilei, K.M. Packaging, Lucky Flame Co., Ltd., Newton Food Equipment, Winterhalter, VJ International Group, Royal Porcelain, Villeroy & Boch, Independent Wine & Spirit และ GLT Italia นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมสัมมนา เวิร์คชอป และการแข่งขันเพิ่มทักษะเสริมศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจอีกหลายรายการ อาทิ การแข่งขัน Thailand’s International Culinary Cup (TICC) 2023, การแข่งขัน ASEAN Hotel Bartender Competition 2023, Food Stylist for Value Added Workshop, สัมมนาหัวข้อ Restaurant Success Case by Copper และ TAT Seminar: Thailand's Culinary Treasures
และในปีนี้ยังมีการเพิ่มพื้นที่จัดแสดงพิเศษใหม่ SIPS & SPIRITS ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในงาน โดยเป็นการรวบรวมและจัดแสดงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์ คราฟต์เบียร์จากทั่วโลก รวมถึงสุราไทยที่กำลังเป็นกระแสความสนใจจากคนทั่วประเทศ พร้อมเวิร์คชอปการชงค็อกเทล การทำเบียร์ การสัมมนาให้ความรู้จากผู้อยู่ในอุตสาหกรรมและธุรกิจตัวจริงอีกด้วย
งาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com
APCO เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 151.76 ล้านบาท กำไร 58.42 ล้านบาท โต 80.71% ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์โตตามเป้า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มดีต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เรือธงหนุนยอดขาย แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม

ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 151.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 113.91 ล้านบาท จำนวน 37.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.22% และมีกำไรสุทธิ 58.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.33 ล้านบาท จำนวน 26.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80.71%
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 68.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 57.87 ล้านบาท จำนวน 10.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.54 % และมีกำไรสุทธิ 25.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.01 ล้านบาท จำนวน 8.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.66%
ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะนวัตกรรมวัฒนชีวาย้อนวัยชะลอวัย
สำหรับทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มเติบโตดี จากผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน HIV/AIDS และนวัตกรรมย้อนวัยชะลอวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ที่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ บริษัทเริ่มทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ MMM เสริมสร้างบำรุงระบบสมอง ในช่องทางที่เหมาะสมที่สุด โดยคาดว่าจะได้กระแสตอบรับที่ดี ซึ่งจากการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายพบว่ามีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
อีกทั้ง ได้รับคำสั่งซื้อล็อตแรกกว่า 10,000 ขวด จากผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ย้อนวัย “วัฒนชีวา” ภายใต้แบรนด์ Youthlocked และ Youthlocked A เพื่อจัดจำหน่ายใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
เคทีซีมองภาพรวมการใช้จ่ายหมวดร้านอาหารช่วงวันแม่ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อนหลังประชาชนเริ่มกลับมาใช้จ่ายและเป็นวันหยุดยาวพร้อมจัดแคมเปญ “สิงหาพาแม่อร่อย ต้อนรับเดือนแห่งวันแม่” มอบส่วนลดร้านอาหารชั้นนำ - ร้านบุฟเฟต์ - ร้านอาหารพรีเมียม ที่ร่วมรายการ
นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถ้าดูตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตฯ ในหมวดร้านอาหารของสมาชิกตลอดทั้งปี จะเห็นได้ว่าช่วงวันแม่เป็นวันที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ครอบครัวได้มาพบปะกัน และเลือกที่จะฉลองวันแม่ที่ร้านอาหาร ซึ่งถ้าดูตัวเลขปี 2565 ที่ผ่านมาการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีหมวดร้านอาหารในวันแม่จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อวันของปีเดียวกัน 85% และมีการทำธุรกรรม(Transaction) สูงกว่า 50% ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดของปี
สำหรับช่วงเดือนสิงหาคม เคทีซีจึงได้จัดเตรียมโปรโมชั่นสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท เพื่อต้อนรับเดือนแห่งวันแม่กับแคมเปญ “สิงหาพาแม่อร่อย” กับบัตรเครดิตเคทีซี” ณ ร้านอาหารชั้นนำที่ร่วมรายการกว่า 50 ร้านค้าทั่วประเทศ ต่อที่ 1 รับทันที ส่วนลดสูงสุด 10% หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ต่อที่ 2 ใช้ 999 คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลด หรือ แลกรับเครดิตเงินคืน 150 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 1,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.ktc.co.th/promotion/dining/others/diningmothersday
นอกจากนี้ยังมีส่วนลดบุฟเฟต์กว่า 60 ร้านค้า สูงสุด 150 บาทต่อท่าน เพียงใช้คะแนน KTC FOREVER 699 คะแนน คลิกดูร้านค้าที่ร่วมรายการ https://www.ktc.co.th/promotion/dining/buffet/less-points-enjoy-more
สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด สามารถรับส่วนลดร้านอาหารพรีเมียมที่ร่วมรายการกว่า 95 ร้านค้า ต่อที่ 1 รับส่วนลดทันทีหรือรับสิทธิพิเศษอื่นๆ ณ ร้านอาหารที่ร่วมรายการ ต่อที่ 2 รับคะแนนเคทีซีสูงสุด 10 เท่า เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี เวิลด์ รีวอร์ดส มาสเตอร์การ์ด และ เคทีซี เอ็กซ์ เวิลด์ รีวอร์ดส มาสเตอร์การ์ดทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด คลิกดูร้านอาหารที่ร่วมรายการ https://www.ktc.co.th/promotion/dining/international/culinary-collective
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
“อยากให้แพทย์ที่ทำศัลยกรรมความงาม ช่วยกันศัลยกรรมรักษาโรค ตอบแทนสังคม ควบคู่ไปด้วย ตามสาขาที่ตนเรียนมา ”
…นี่คืออุดมการณ์อันแน่วแน่ต่อวิชาชีพของ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด เพราะใช่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้จะเกิดมาหน้าตาสวย หล่อ ดูดี มีอวัยวะที่สมบูรณ์เหมือนกันไปหมด บางคนกลับต้องเจอกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นแต่กำเนิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณหมอจึงพยายามผลักดันให้แพทย์ทุกคนช่วยเหลือและตอบแทนสังคมด้วยการที่มีแนวคิดว่าแพทย์ที่ทำศัลยกรรมความงาม ช่วยกันทำศัลยกรรมรักษาโรค เพราะสูงสุดของการทำศัลยกรรมไม่เพื่อความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นศาสตร์ที่ไว้ช่วยเหลือและรักษาคนในโรคต่างๆได้
หากจะเอ่ยชื่อหมอศัลยกรรมอันดับต้นของประเทศไทย คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล ด้วยฝีมือทางการทำศัลยกรรมอันเป็นที่ประจักษ์ในวงการศัลยกรรมทำให้ชื่อเสียงคุณหมอธนัญชัยดังไกลไปทั่วโลกและยังเป็นหมอที่เล็งเห็นว่าการทำศัลยกรรมสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่าความงาม เพราะเป็นแพทย์จึงมีความเข้าใจว่าการผลิตแพทย์แต่ละคนต้องใช้งบประมาณมาก และประเทศลงทุนในการผลิตแพทย์ไปมาก โดยเฉพาะการเรียบจบแพทย์เฉพาะทางในสาขาต่างๆ แพทย์แต่ละท่านต้องผ่านการเรียนรู้มาเป็นสิบปี เช่น สาขาศัลยกรรมตกแต่ง ใช้เวลาการเรียนแพทย์ถึง 14 ปี จึงจะจบหลักสูตรได้ ดังนั้นสำหรับแพทย์ที่หันมาสนใจทำด้านศัลยกรรมความงามคุณหมอจึงอยากให้ศัลยกรรมเพื่อรักษาโรค ตอบแทนสังคม ควบคู่ไปด้วย ตามสาขาที่ตนได้เรียนมา เช่น แพทย์สาขาศัลยกรรมตกแต่งก็ให้ผ่าตัดรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ รักษาแผลไฟไหม้ รักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุทางใบหน้าไปด้วย แพทย์ที่จบด้านผิวหนังก็อยากให้ดูแลคนไข้โรคผิวหนัง เช่น มะเร็งผิวหนัง โรคสะเก็ดเงินไปด้วย โดยเน้นย้ำว่าอย่าทิ้งความรู้หลักในสาขาที่เราเรียนและยังเน้นย้ำกับทีมแพทย์ที่ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด เสมอว่าหากแพทย์ต้องการมาสมัครเพื่อทำด้านศัลยกรรมความงาม ให้ช่วยกันผ่าตัดตอบแทนสังคมตามสาขาที่เรียนมา เพราะไม่ต้องการให้แพทย์จำนวนมากมาทำศัลยกรรมความงามเพียงอย่างเดียว

ซึ่งที่ผ่านมา ในส่วนของ นพ.ธนัญชัย ได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจสุขภาพในถิ่นทุรกันดารและผ่าตัดให้กับผู้ด้อยโอกาสกับโครงการ “สวยด้วยใจกับรพ.บางมด” โดยใช้วิชาชีพแพทย์ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความทุกข์ยากทั้งกายและใจจากการเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ที่ไม่มีโอกาสได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์และการแพทย์ยังเข้าไม่ถึง โดยโรคปากแหว่งเพดานโหว่ถือเป็นความผิดปกติแต่กำเนิดอย่างหนึ่งโดยความผิดปกตินั้นเกิดตั้งแต่ในครรภ์มารดาโดยจะส่งผลต่อลักษณะทางกายภาพ การรับประทานอาหาร การกลืน การได้ยิน และสุขภาพในช่องปากได้ โดยการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่
จำเป็นต้องใช้แพทย์หลายสาขาในการรักษาซึ่งหนึ่งในนั้นคือศัลยแพทย์ตกแต่ง โดย นพ.ธนัญชัย ได้นำทีมแพทย์ของโรงพยาบาลบางมด ทำการรักษาและผ่าตัดให้กับผู้ป่วยในโครงการ และจากการติดตามผู้ป่วยที่คุณหมอได้ทำการผ่าตัด พบว่าผู้ป่วยทุกรายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ทำให้ทางโรงพยาบาลบางมดเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่มีความผิดปกติจากโรคดังกล่าว จึงเกิดโครงการช่วยเหลือเด็กและผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต
มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ร่วมกับ กองทุนพัฒนาสื่อสร้างสรรค์, SCG พร้อมด้วย PMAT และ SCB เปิดนิทรรศการ “สติ Space” ในบรรยากาศ Art Space นิทรรศการที่รวบรวมกิจกรรม การชมภาพยนตร์ เสวนา และ มุมพักผ่อนหย่อนใจ ให้กลับมารู้ตัว รู้ใจ ด้วยการสื่อสารผ่านจุดเริ่มต้นวิธีพักใจ เพื่อให้คนทํางาน ได้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ด้วยการสร้างการมีสติ (mindfulness) ให้กับกลุ่มคนออฟฟิศ โดยไม่ต้องอิงกับศาสนาเป็นหลัก เริ่มจากการสร้างการรับรู้การมีสติในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมให้มีความสุขได้บนโต๊ะทำงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ผู้อํานวยการหอจดหมายเหตุพุทธธาตุอินทปัญโญ เล่าถึงที่มา บทบาท การดำเนินงาน และวัตถุประสงค์ โดยใจความว่า “จากก้าวแรกที่ท่านอาจารย์พุทธทาสสร้างสวนโมกข์ สร้างโรงหนัง (โรงมหรสพทางจิตวิญญาณ, Holly Land) ที่ไชยา กระทั่งมีหอจดหมายเหตุพุทธทาส (สวนโมกข์กรุงเทพ) ที่สวนรถไฟ ซึ่งเปิดให้คนเข้าไปใช้พื้นที่นั้น เรามองว่าการจัดพื้นที่เพื่อให้คนเดินทางไปยังพื้นที่อาจไม่เพียงพอสำหรับยุคนี้ ถึงเวลาที่จะต้องนำองค์ความรู้ออกมาเสิร์ฟให้ถึงที่ที่เขาอยู่ด้วย และมองว่ากลุ่มคนทำงานออฟฟิศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของสังคม สติ space จึงเลือกสื่อสารแก่กลุ่มนี้เป็นเบื้องต้น”

นายอนุวัฒน์ จงยินดี ที่ปรึกษา คณะกรรมการมูลนิธิเอสซีจี ตัวแทนมูลนิธิ SCG ผู้สนับสนุนห้อง New Gen Space สำหรับจัดนิทรรศการในครั้งนี้ กล่าวถึงการสนับสนุนโครงการว่า “มูลนิธิเอสซีจีและมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส มีความร่วมมือช่วยเหลือกันมาโดยตลอด นับตั้งแต่แรกก่อตั้ง สำหรับพื้นที่แสดงนิทรรศการนี้ มูลนิธิเอสซีจีเช่าไว้เพื่อให้ ศิลปิน บุคคล ฯลฯ ใช้แสดงงานอยู่แล้ว ซึ่ง “สติ space” เป็นนิทรรศการที่สอดคล้องกับแนวทางของห้อง New Gen Space, การสร้างสติใช้ได้กับทุกเรื่อง มีสติ พอเพียง คิด พูด ทำ ถูกต้อง ฯลฯ มูลนิธิเอสซีจีเห็นประโยชน์ ความสำคัญ และสนับสนุน หวังว่าคนออฟฟิศและผู้สนใจจะเข้ามาใช้และได้รับประโยชน์”

นายปราโมทย์ บุญนำสุข ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย และยุทธศาสตร์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า “ในแต่ละปีกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จะให้ทุนแก่องค์กรพัฒนาสื่อ เพื่อประชาชนจะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและอยู่ในระบบนิเวศสื่อที่ดี ซึ่งหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ เป็นองค์กรหนึ่งที่ได้รับทุนประเภท Collaborative Grant โดยปีแรก ทำรายการ “ทำอะไรก็ธรรม” และปีนี้เป็นครั้งที่สองในการจัดนิทรรศการ “สติ space” ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ ปรุงแต่งให้เข้ากับรสนิยมคนรุ่นใหม่ ให้กล้ามาชิมลองโดยไม่เคอะเขิน”

นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Country CEO บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศ) จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสามย่านมิตรทาวน์ กล่าวว่า “ตอนแรกที่ทีมเข้ามาพูดคุย มองในมุมธุรกิจก็ได้ตั้งคำถามไปหลายข้อ ซึ่งวันนี้ดีใจที่ได้เห็นนิทรรศการ พร้อมตอบรับให้ใช้พื้นที่ เช่น สามย่านมิตรทาวน์ เป็นพื้นที่นำร่อง หากนึกถึงวัยรุ่นก็ต้องนึกถึงสามย่านมิตรทาวน์ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ 24 ชม, สำนักงาน, คอนโดมิเนียม บริษัทเฟรเซอร์ฯ มีความมุ่งหมายที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดี เพื่อความรู้สึกที่ดี และคิดว่า “สติ space” จะเป็นนิทรรศการที่ช่วยทำให้ใจของทุกคนได้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน”

นายวรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล ผู้บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจธนาคารมีการแข่งขันสูงมาก ทำอย่างไรให้พนักงานมีความสุขขึ้นได้บ้าง จากเดิมเราเคยมีชมรมจริยธรรม มีจัดคอร์สภาวนา มีนิมนต์พระมา ฯลฯ สิบปีผ่านไปก็ยังเหมือนๆ เดิม พอได้ฟังเรื่ององค์กรรมณีย์ก็สนใจ เรื่อง สติ Mindfulness ก่อนอื่นหัวหน้าต้องมีสติก่อน จึงจะทำองค์กรให้มีสติได้, ฉันทะสำคัญมาก อีกอันคือวิริยะ และต้องมีสภาพแวดล้อมที่สามารถดึงให้กลับมามีสติ ความสำเร็จไม่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด”
“สติ space” interactive exhibition ที่นำ “สติ” มาเป็นเครื่องมือดูแลกลุ่มคนวัยทำงาน นิทรรศการจำลองบรรยากาศสำนักงาน ชวนกลับมารู้ตัว ดูใจ ด้วยภาษา สัญลักษณ์ ถ้อยคำ ฮาวทู ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลอย่างไรอยากให้มาชิมลองกัน มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อสร้างสรรค์ และได้รับความเอื้อเฟื้อพื้นที่จัดแสดง ห้อง new gen จาก SCG เปิดให้ชิมลอง ที่ชั้น 3 ห้อง New Gen หอศิลป์กรุงเทพ เข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ - 27 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00-20.00 น.
สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ หรือ CIPAT (Cyber Innovation Promotion Association of Thailand) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมกับ ฟอร์ติเน็ต ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบอัตโนมัติและครบวงจร เพื่อความร่วมมือด้านการฝึกอบรมทักษะไซเบอร์ซีเคียวริตี้แก่หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของภาครัฐ ด้วยวัตถุประสงค์ในการผลิตและเพิ่มจำนวนบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ในระดับมืออาชีพ ด้วยหลักสูตรการอบรมระดับนานาชาติอันเข้มข้นของฟอร์ติเน็ต
อดิศร นิลวิสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ หรือ CIPAT (Cyber Innovation Promotion Association of Thailand) กล่าวว่า ในความร่วมมือกับฟอร์ติเน็ต ทาง CIPAT มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและให้การสนับสนุนการพัฒนากำลังคนทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และสร้างความตระหนักรู้ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อทั้งองค์กรและบุคลากรได้รู้เท่าทันทั้งในด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านการป้องกันการโจมตีบนไซเบอร์ร่วมกับฟอร์ติเน็ต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านการป้องกันการโจมตีบนไซเบอร์ และมีสถาบันการการฝึกอบรมด้านการป้องกันในระดับโลก
“ในการฝึกอบรม เราวางแผนที่จะมีทั้งการฝึกอบรมทั้งในแบบหลักสูตรพื้นฐานทั่วไปและแบบเจาะลึก ซึ่งในส่วนของการเจาะลึก เราอาจจะมีการทำหลักสูตรในการผลิตกำลังคนทางไซเบอร์ร่วมมือกับทางฟอร์ติเน็ต อีกทั้งอาจเป็นการร่วมภาคี
เครือข่ายกับภาครัฐ และกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในอนาคต ในการทำงาน CIPAT ยังมองถึงความร่วมมือกับหน่วยงานหรือกระทรวงที่มีหน้าที่ในการพัฒนาคนของประเทศเป็นหลัก เช่น กระทรวงแรงงาน หรือภาคมหาวิทยาลัยที่มีการเปิดหลักสูตรด้านไซเบอร์ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบุคลากรด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนการทำงานในประเทศ” อดิศร กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ หรือ CIPAT จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบกิจการและกลุ่มนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อีกทั้งยังสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการฝึกอบรม ค้นคว้าแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือด้านการใช้งานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนไซเบอร์ รวมถึงใช้ไอซีทีเสริมภาพลักษณ์ประเทศที่เป็นมาตรฐานระดับสากล
ภัคธภา ฉัตรโกเมศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า ฟอร์ติเน็ตตระหนักถึงทั้งปัญหาภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยี และปัญหาปริมาณความต้องการบุคลากรที่มีพื้นฐานความรู้ความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น ฟอร์ติเน็ตจึงร่วมมือกับสมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์ (CIPAT) เพื่อร่วมกันให้การฝึกอบรมเพื่อสร้างจำนวนคนที่มีความรู้ ความสามารถด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นแรงสนับสนุนและแนวป้องกันความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพให้กับการทำงานและการดำเนินธุรกิจของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนถึงภาคอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินงานได้อย่างปลอดภัย
“หลักสูตรการฝึกอบรมของฟอร์ติเน็ตมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มทักษะและความสามารถในด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ทั้งเพื่อเป็นการ Upskills ให้กับผู้เข้าอบรม และเพื่อเป็นการลดช่องว่างด้านทักษะ (Skill Gap) ด้านการรักษาความปลอดภัยให้น้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมสามารถเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเรียนกับผู้ให้การอบรม การฝึกอบรมผ่านเวอร์ชวล รวมถึงการเรียนผ่านห้องปฏิบัติการ (Labs) ด้านต่างๆ อีกด้วย” ภัคธภา กล่าว จากรายงานผลการวิจัย 2023 Global Cybersecurity Skills Gap Report ของฟอร์ติเน็ต พบว่า ผลของการขาดผู้ดูแลตำแหน่งงานไอทีเนื่องมาจากการขาดแคลนทักษะด้านไซเบอร์ ทำให้องค์กรกว่า 68% ทั่วโลก ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP Energy) กลุ่มบริษัทพลังงานครบวงจรและผู้จัดจำหน่ายก๊าซ LPG ภายใต้แบรนด์ เวิลด์แก๊ส ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงกับ Hato Hub ระบบจัดการร้านอาหารและดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ด้วยระบบ CRM, ระบบสั่งอาหาร รวมถึงการเดลิเวอร์ลี่ เพื่อเตรียมลงทุนด้วยการเข้าซื้อหุ้น บริษัท อินดี้ ดิช จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Hato Hub รวมทั้งร่วมมือกันพัฒนา New Business model ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เป็นการขยายฐานลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
![]()
นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ มุ่งมั่นขยายความเป็นไปได้ของธุรกิจเราให้เติบโตไปในหลายช่องทาง เราริเริ่ม และก้าวเดินไปกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจมากมายในหลายแวดวงอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ด้านการแพทย์ การศึกษา และล่าสุดกับแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อร้านอาหารที่มีระบบ CRM ครบวงจรอย่าง ‘Hato Hub’ โดยดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จะร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ Hato Hub เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้าในอนาคต รวมถึงนำเสนอแก๊สหุงต้มราคาพิเศษให้กับร้านค้าที่ใช้บริการ Hato Hub เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อันนำไปสู่การร่วมทุนในโปรเจ็กต์อื่นๆ สำหรับอนาคตด้วย”
ด้านคุณดาริน สุทธพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินดี้ ดิช จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Hato Hub เผยว่า “Hato Hub คือ ระบบซอฟแวร์ที่จะเชื่อมต่อและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง เราเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2020 ภายใต้แนวคิดที่ว่า ต้องการช่วยร้านอาหารให้เติบโตและต้องการเป็นเครื่องมือให้ร้านอาหารได้สร้างความเข้มแข็งทางการตลาดด้วยตัวเองโดยการใช้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งอย่างดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จึงช่วยเติมเต็มจุดประสงค์ดังกล่าวได้ นอกจากจะมีการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลลูกค้าแล้ว เราจะนำซอฟต์แวร์ของ Hato Hub ไปเสนอให้ลูกค้ากลุ่มร้านอาหารของดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ เป็นการขยายช่องทางการตลาด เพิ่มการรับรู้ให้ Hato Hub ได้ในวงกว้างขึ้น ทั้งยังเป็นการนำร่องก่อนไปสู่ความร่วมมือในโอกาสต่อไประหว่างเราทั้งสองฝ่ายอีกด้วย”
ทีมผู้บริหารพร้อมด้วยพนักงานไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) กว่า 200 คน ร่วมกิจกรรมจิตอาสา รวมพลังทำความดีเพื่อทำตามจุดมุ่งหมายขององค์กร CARE BEYOND SKIN ด้วยการคืนประโยชน์ให้สังคม โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ โรงเรียนวัดมงคลโคธาวาส จังหวัดสมุทรปราการ สถานศึกษาประจำท้องถิ่นที่มีอายุกว่า 96 ปี ด้วยการลงมือซ่อมแซมและปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบให้น่าอยู่และสดใส เพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้และเสริมทักษะของเด็กนักเรียนและเยาวชนในชุมชนให้ดียิ่งขึ้น โดยกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ที่ได้แสดงพลังแห่งความสามัคคีร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ให้แก่สังคม ที่เป็นไปตามพันธกิจในการเป็นองค์กรที่ให้การดูแลมากกว่าแค่ผิวพรรณ
![]()
พนักงานจิตอาสาไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ทำป้ายความรู้ให้แก่โรงเรียนวัดมงคลโคธาวาส จังหวัดสมุทรปราการ
กิจกรรมวันจิตอาสานี้ เป็นกิจกรรมที่จัดภายใต้ชื่อ CARE BEYOND SKIN (CBS) DAY ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ ไบเออร์สด๊อรฟ รณรงค์จัดขึ้นทั่วโลก เพราะต้องการส่งเสริมพันธกิจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์สังคมแห่งความเสมอภาคและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 พนักงานของไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลกจะใช้วันทำงานหนึ่งวันเต็ม เพื่อทำจิตอาสาร่วมกับหน่วยงานเพื่อการกุศลในท้องถิ่น โดยในประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิอโชก้า ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อสังคม (ประเทศไทย) และโครงการร้อยพลังการศึกษา โดย
มูลนิธิยุวพัฒน์ จัดเจ็ดกิจกรรมเพื่อให้พนักงานได้ร่วมกันทำความดีในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูปและทาสีกำแพง ซ่อมสะพานไม้และที่นั่ง ซึ่งเชื่อมต่อภูมิทัศน์ระหว่างโรงเรียนและป่าชายเลน มีการเขียนป้ายเสริมสร้างความรู้ติดทั่วบริเวณโรงเรียน ตลอดจนการทาสีรั้ว และปลูกต้นไม้โดยรอบ สร้างสนามเด็กเล่น และทาสีลานอเนกประสงค์ นอกจากนี้ พนักงานยังสร้างเสียงหัวเราะให้กับน้อง ๆ นักเรียนด้วยการเล่นเกมด้วยกัน และทำกิจกรรมรักการอ่านกับน้องที่ห้องสมุดของโรงเรียน ปิดท้ายด้วยการเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันแสนอร่อยแก่น้อง ๆ อีกด้วย
![]()
พนักงานจิตอาสาไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ทำสนามเด็กเล่นใหม่ให้แก่โรงเรียนวัดมงคลโคธาวาส จังหวัดสมุทรปราการ

นางสาวสเตฟานี แบร์โรล รองประธานกรรมการอาวุโส ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ กล่าวว่า “กิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่คนของไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ได้ร่วมกันทำสิ่งดี ๆ ให้แก่ชุมชนที่ยังต้องการแรงสนับสนุนเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม ซึ่งประเทศไทยโรงเรียนถือเป็นศูนย์กลางชุมชนท้องถิ่นที่สำคัญในการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิต ที่เรามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมและเศรษฐกิจให้กับชุมชนอย่างแท้จริง และกิจกรรมวันจิตอาสานี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการทำตามคำมั่นสัญญาและพันธกิจด้านความยั่งยืนอย่าง “CARE BEYOND SKIN” ของเราที่ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในด้านความเสมอภาคในสังคม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอีกบทบาทของเรานอกเหนือจากการดูแลผิวพรรณให้ผู้คนผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ”
สเตฟานี แบร์โรล รองประธานกรรมการอาวุโส ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ
“เรารู้สึกยินดีที่ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจของพนักงานกว่า 200 คนของเราในประเทศไทยทำกิจกรรมจิตอาสาที่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์และวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันในการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยรอบอย่างแท้จริง และขอขอบคุณพันธมิตรของเราอย่าง มูลนิธิอโชก้า ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อสังคม (ประเทศไทย) และโครงการร้อยพลังการศึกษา โดยมูลนิธิยุวพัฒน์ เป็นอย่างมากที่ทำให้กิจกรรมดี ๆ ในครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี” นางสาวสเตฟานี กล่าวเสริม
รายงาน Gold Demand Trends ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) เผยทองคำได้รับอานิสงส์จากการซื้อของธนาคารกลางในช่วงครึ่งปีแรกและแรงหนุนจากตลาดการลงทุนที่แข็งแกร่งและความต้องการซื้อเครื่องประดับที่ฟื้นตัว
ความต้องการทองคำทั่วโลก (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) ลดลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 921 ตัน ในช่วงไตรมาสที่ 2 แม้ว่าดีมานด์โดยรวม (รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) จะเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสะท้อนถึงตลาดทองคำที่แข็งแกร่งทั่วโลก
ในประเทศไทย ดีมานด์ทองคำของผู้บริโภคลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 7.6 ตัน จาก 8.5 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 การตกลงมานี้เป็นผลจากความต้องการเครื่องประดับที่ลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 1.7 ตัน จาก 1.9 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำโดยรวมลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 5.9 ตัน จาก 6.6 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565
Mr. Shaokai Fan หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ราคาทองคำที่สูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ผันผวนรวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทยเป็นเหตุที่ส่งผลให้ดีมานด์ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี รวมทั้งควมต้องการซื้อเครื่องประดับทองคำลดลงเหลือน้อยกว่า 2 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคเลือกขายคืนเครื่องประดับทองคำมากกว่าซื้อใหม่”
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทั่วโลก ความต้องการของธนาคารกลางในไตรมาสที่ 2 ลดลงมาอยู่ที่ 103 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนหลักจากยอดขายสุทธิในตุรกีตามดีมานด์ทองคำที่คับคั่งในประเทศ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางได้ซื้อทองคำจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรกที่ 387 ตัน และอุปสงค์รายไตรมาสเป็นไปตามแนวโน้มเชิงบวกในระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ว่าการซื้อในหน่วยงานภาครัฐ ธนาคารกลาง และองค์กรต่างประเทศ (Official sector buying) จะแข็งแกร่งไปตลอดทั้งปี
ในด้านของการลงทุนในทองคำ ดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็น 277 ตัน ในไตรมาสที่ 2 และจบรวมที่ 582 ตัน ในครึ่งปีแรก จากการเติบโตของตลาดสำคัญ อันรวมไปถึงสหรัฐอเมริกาและตุรกี อีกทั้งการไหลออกของเงินทุนในกองทุน ETF ทองคำ ซึ่งอยู่ที่ 21 ตันในไตรมาสที่ 2 น้อยกว่าในไตรมาสเดียวกันของปี 2565 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอยู่ที่ 47 ตัน ทำให้การไหลออกสุทธิอยู่ที่ 50 ตันในช่วงครึ่งแรกของปี
ด้านการบริโภคเครื่องประดับยังคงฟื้นตัวแม้เผชิญกับราคาที่สูง โดยเพิ่มขึ้น 3% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมียอดรวมครึ่งปีแรกที่ 951 ตัน การฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศจีน และการซื้อของผู้บริโภคในตุรกีที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งช่วยหนุนการบริโภคในไตรมาสที่ 2
โดยสรุป ดีมานด์ทองคำรวมทั่วโลกสูงขึ้น 7% มาอยู่ที่ 1,255 ตัน ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าการผลิตจากเหมืองแร่จะทุบสถิติสูงสุดสำหรับครึ่งปีแรกที่ 1,781 ตัน
![]()
Ms. Louise Street นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสประจำสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ความต้องการที่สูงเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำในช่วงปีที่ผ่านมา แม้จะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 แต่แนวโน้มนี้ขีดเส้นใต้ความสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องทั่วโลก”
“เมื่อพิจารณาช่วงครึ่งหลังของปี 2566 การหดตัวทางเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดการดีดตัวของทองคำเพิ่มเติม ถือเป็นการเน้นย้ำบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยขึ้นอีกขั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ทองคำได้รับแรงหนุนจากความต้องการของนักลงทุนและธนาคารกลาง ซึ่งมาช่วยชดเชยความต้องการที่ลดลงสำหรับเครื่องประดับและเทคโนโลยีจากการประหยัดของผู้บริโภค”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 เชิญผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และผู้สนใจ ร่วมสัมมนาพิเศษ หัวข้อ “โอกาสในการเติบโตของธุรกิจอาหารออร์แกนิกและความเป็นคลังอาหารของประเทศไทย” (Thailand’s Culinary Treasures: Unlocking the Power of Organic Food in Hospitality and Dining)
รวมถึงการพัฒนาและสร้างศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เพื่อเผยแพร่ Soft Power อาหารไทยผ่านมุมมองธรุกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจกาแฟ
การสัมมนาฯ ครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก คุณฉันททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), คุณอลิสา ศิวยาธร โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ, เชฟโจ้ วรวุฒิ ตริยเสนวรรธน์, ร้านซาหมวยแอนด์ซัน อุดรธานี และ คุณลี อายุ จือปา กาแฟอาข่าอามา เชียงใหม่
โดยการสัมมนาฯ จะจัดขึ้นในงาน Food & Hospitality Thailand 2023 วันที่ 25 สิงหาคม 2566 เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ Seminar Stage 2 ฮอลล์ 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาสามารถลงทะเบียนได้ฟรี ที่ https://bit.ly/FHT2023_TAT
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณจตุรงค์ โทร.0-2030-0500#753 E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สำหรับงาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์