

TikTok ตอกย้ำการให้ควหามสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยและความถูกต้องของเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนจะได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ
ผ่านการนำเสนอเครื่องมือที่สามารถคัดกรองและตรวจสอบข้อมูลที่มีความบิดเบือนและไม่เป็นความจริง และการเตรียมการจัดหาแหล่งข้อมูลที่มีการตรวจสอบและมีความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งาน พร้อมสร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจสอบข้อมูล รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดภายใต้หลักเกณฑ์สำหรับชุมชน และเครื่องมือด้านความปลอดภัยที่มีการพัฒนาและนำมาใช้บนแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
การเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและมีความปลอดภัย
TikTok เป็นสถานที่ที่รวมผู้คนเข้าด้วยกันผ่านเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนาน ในขณะเดียวกันการทำให้แพลตฟอร์มเป็นพื้นที่ปลอดภัยถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด จึงทำให้ TikTok จำเป็นต้องป้องกันไม่ให้มีข้อมูลที่บิดเบือนความจริงและเป็นอันตราย รวมถึงเนื้อหาที่ละเมิดกฎของชุมชนเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์ม โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือการนำเสนอแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งาน ในสถานการณ์สำคัญต่างๆ ของสังคม
การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน
การทำให้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างให้ผู้ใช้งานได้แสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย TikTok จึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน (Community Guideline) เพื่อสร้างความเข้าใจ ให้ผู้ใช้งานได้รับรู้ว่าเนื้อหาแบบไหนที่ไม่อนุญาตให้เผยแพร่บนแพลตฟอร์ม TikTok โดยมีหัวข้อหลัก อาทิ การแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น เนื้อหาที่เป็นสแปม เนื้อหาที่เป็นเท็จและหลอกลวง หรือเนื้อหาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน บนแพลตฟอร์มในแง่มุมต่างๆ อย่างการสร้างความหวาดหลัว ความเกลียดชัง หรือสร้างอคติ เป็นต้น
![]()
การสร้างความปลอดภัยแบบเชิงรุก
TikTok มีการปฏิบัติการแบบเชิงรุกกับเนื้อหาที่ละเมิดหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน ผ่านระบบการจัดการเนื้อหา (Content Moderation) ที่มีการผสานการทำงานระหว่างเทคโนโลยีและทีมปฏิบัติงานของ TikTok ที่คอยตรวจสอบเนื้อหาบนแพลตฟอร์มตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานที่พบเห็นเนื้อหาที่ละเมิดหรือมีความเสี่ยง สามารถรายงานเนื้อหาดังกล่าว ส่งให้ทีมปฏิบัติงานของ TikTok ตรวจสอบและดำเนินการต่อไป
การประยุกต์ใช้เครื่องมือเพื่อเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูล
TikTok มีการพัฒนาเครื่องมือด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพและทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการ โดยมีทั้ง Information Hub ที่เครื่องมือทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบ ต่อสังคม เช่นในช่วง COVID-19 TikTok มีการนำข้อมูลจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 มาไว้บนแพลตฟอร์ม เพื่อ อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงเครื่องมืออย่าง Information Tag และ Live Banner ที่จะปรากฏอยู่บนวิดีโอหรือไลฟ์สตรีมมิ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการได้
คุณจิรภัทร หลี่ Product Policy Lead – Thailand, TikTok กล่าวว่า “เรามีความมุ่งมั่นที่จะจัดการกับเนื้อหาที่ มีความบิดเบือน เป็นอันตราย และเนื้อหาที่ละเมิดหลักเกณฑ์ของชุมชนในแง่มุมต่างๆ ออกไปจากแพลตฟอร์ม TikTok อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าจะได้รับความปลอดภัยเมื่ออยู่บนแพลตฟอร์มของเรา โดยจากข้อมูลรายงานการบังคับใช้หลักเกณฑ์สำหรับชุมชน (Community Guideline Enforcement Report) ครั้งล่าสุด ในระหว่าง เดือนกรกฏาคม - กันยายน ปี 2565 พบว่ามีการลบวิดีโอออกในเชิงรุกบนแพลตฟอร์มมากกว่า 96.5% การลบออกภายใน 24 ชั่วโมงถึง 92.7% และมีการลบออกก่อนมียอดเข้าชมถึง 89.5% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยี ทีมปฏิบัติงานและความร่วมมือจากผู้ใช้งาน TikTok ได้เป็นอย่างดี”
การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้แพลตฟอร์มอย่างถูกต้อง
บนแพลตฟอร์ม TikTok จะไม่มีการอนุญาตให้มีการโปรโมตหรือการทำโฆษณาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประเด็นทาง การเมืองโดยเด็ดขาด TikTok จึงได้มีการจัดประเภทของบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองให้เป็นบัญชีของรัฐบาล นักการเมือง และพรรคการเมือง (GPPPA: Government, Politician, and Political Party Account) เพื่อสร้างขอบเขตที่ชัดเจนในการไม่อนุญาตให้บัญชีประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ในทุกประเภทบนแพลตฟอร์ม TikTok
การสร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ
หลักเกณฑ์สำหรับชุมชนของ TikTok มีไว้เพื่อป้องกันเนื้อหาหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือมีการบิดเบือนความจริงที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การละเมิดสิทธิผู้อื่น พฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดความเกลียดชัง และแนวคิดที่สุดโต่งและรุนแรง โดย TikTok ได้มีการหารือกับนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและนำข้อเสนอแนะต่างๆ มาพัฒนานโยบายบนแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดเสวนาในรูปแบบ Roundtable ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการจัดอบรมเพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แพลตฟอร์มอย่างถูกต้อง ให้กับพรรคการเมืองและนักการเมืองต่างๆ
ในปีนี้ TikTok มีการกำหนดกลยุทธ์และวางแผนการทำงานเพื่อต่อต้านข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ความร่วมมือกับองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การสร้างแคมเปญสร้างการรับรู้ และการให้ความรู้เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ โดยมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบข้อมูล (Fact-Checking) ทั้งในระดับโลกและในประเทศ อาทิ สำนักข่าวต่างประเทศ อาช็องซ์ ฟร็องซ์ เปร็ส (Agence France-Presse) หรือ AFP และหน่วยงานอย่าง Lead Stories รวมถึงการทำแคมเปญร่วมกับ โคแฟค (COFACT) ในการสร้างศูนย์รวมข้อมูลการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ภายใต้แคมเปญ #พื้นที่ปลอดภัยในการไถฟีด
การประยุกต์ใช้เครื่องมือในช่วงการเลือกตั้ง
นอกจากการรับมือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง TikTok ยังมีบทบาทสำคัญในการทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ผ่านการสร้างศูนย์ข้อมูลการเลือกตั้ง (Election Centre) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลที่เป็นทางการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทั้งขั้นตอนในการใช้สิทธิ์ ข้อมูลของพรรคการเมืองและนักการเมือง และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นบริการการประกาศเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ (Public Service Announcement) โดยมีการเชื่อมต่อข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งประเทศไทย หรือ กกต. หน่วยงานหลักที่ควมคุมดูแลการจัดการเลือกตั้งในประเทศไทยและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานส่งต่อเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องในช่วงของการเลือกตั้ง ก่อนที่ผู้ใช้งานจะกดยืนยัน ในการส่งต่อเนื้อหานั้นๆ จะมีข้อความขึ้นเตือนให้ผู้ใช้งานพิจารณาและตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสมอ และหากผู้ใช้งานเห็นว่าเนื้อหาดังกล่าวละเมิดหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนหรือเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ผู้ใช้งานสามารถใช้ปุ่ม Election Report Button หรือปุ่มรายงานเนื้อหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อรายงานเนื้อหาดังกล่าว
คุณชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy – Thailand, TikTok กล่าวว่า “TikTok ให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับทุกคน และยึดมั่นในจุดยืนของแพลตฟอร์มในช่วงของการเลือกตั้ง 2566 ในการต่อต้านข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและถูกบิดเบือนทุกประเภทให้ออกไปจากแพลตฟอร์มของเรา โดยเราได้มีการวางแผนดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการสร้างความร่วมมือกับองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสร้างการรับรู้และให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพราะ TikTok เชื่อว่าประเด็นการสร้างความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องและ มีประสิทธิภาพ (Digital Literacy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเลือกตั้ง จะทำให้ทุกภาคส่วนช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีบนสังคมออนไลน์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับผู้ใช้งานและชุมชนบนแพลตฟอร์มของเรา”
การสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีคลาวด์ในประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของหัวเว่ยเสมอมา
ในฐานะบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ให้บริการคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) ชั้นนำในประเทศไทย หัวเว่ยได้นำแพลตฟอร์มคลาวด์ระดับโลกมาช่วยให้องค์กรทุกขนาดในทุกภาคอุตสาหกรรมของไทย ประยุกต์ใช้เพื่อขยายศักยภาพธุรกิจไปสู่การเป็นผู้เล่นชั้นนำทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค หรือแม้แต่ในระดับโลก ด้วยการให้บริการคลาวด์ที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ มีประสิทธิภาพการใช้งานในระดับสูงจากการมีศูนย์ข้อมูลในประเทศ และยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมสนับสนุนลูกค้าในทุกด้าน ซึ่งในปี พ.ศ. 2566 นี้ คุณเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศถึงความพร้อมที่จะรุกขยายฐานการให้บริการคลาวด์ในไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลให้แก่ลูกค้าไทยจำนวนมากยิ่งกว่าเดิม ตามเจตจำนงของหัวเว่ยที่ประกาศอย่างชัดเจนว่า “จะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” และให้ความสำคัญกับธุรกิจท้องถิ่นทุกขนาดในประเทศเพื่อการมุ่งสู่ยุคดิจิทัล
นาย เดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลบนคลาวด์อย่างสมบูรณ์แบบ ว่า “เพื่อการวางรากฐานด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีของประเทศให้แข็งแกร่ง และเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐของไทยจะยืนหยัดสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง หัวเว่ยได้ลงทุนในกลุ่มธุรกิจคลาวด์อย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา หัวเว่ยเปิดตัวศูนย์ข้อมูลสำหรับให้บริการคลาวด์ (Availability Zone) ในประเทศไทยโดยเฉพาะ เป็นแห่งที่สามในกรุงเทพฯ ตอกย้ำจุดยืนผู้นำด้านการเป็น ผู้ให้บริการระบบคลาวด์เพียงรายเดียวที่มีศูนย์ข้อมูลของตนเองในไทย และเป็นรายเดียวที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ”
นอกจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หัวเว่ยยังลงทุนด้านการสร้างบุคลากรดิจิทัลสำหรับเทคโนโลยีคลาวด์ในไทยอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้จัดโครงการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022' สำหรับสตาร์ทอัพในประเทศไทยเพื่อพัฒนาศักยภาพ ต่อยอดไอเดียของตนจนสร้างนวัตกรรมชั้นยอดสู่ตลาดโลก โดยทีมผู้เข้าแข่งขันได้ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมไปถึงคลาวด์ของหัวเว่ยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้จัด HUAWEI CLOUD Developer Contest Thailand การแข่งขันนักพัฒนาเทคโนโลยีบนคลาวด์อย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2563 – 2564 เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากรไอซีทีไทยในทุกระดับ รวมถึงการจัดโครงการ Huawei Developer Competition 2022 เพื่อให้เหล่านักพัฒนาในไทยและจาก 5 ภูมิภาคทั่วโลกสร้างโซลูชันด้วยเทคโนโลยี และส่งเสริมการสร้างอีโคซิสเต็มของคลาวด์ที่แข็งแกร่ง จนถึงปัจจุบัน หัวเว่ยได้สนับสนุนให้สตาร์ทอัพในประเทศไทยให้เติบโตกว่า 1,700 รายด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ และยังให้บริการคลาวด์ที่มีความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือแก่องค์กรในประเทศไทยกว่า 1,200 แห่ง รวมทั้งสนับสนุนพันธมิตรในประเทศมากกว่า 300 ราย ใน 15 ภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ หัวเว่ยคลาวด์ยังปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายไทย เพื่อการปกป้องข้อมูลของลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด
ในปี พ.ศ. 2566 นี้ หัวเว่ยตั้งเป้าจะสร้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านต่างๆโดยเฉพาะด้านคลาวด์ในประเทศไทย 20,000 รายเข้าสู่ตลาด รวมถึงจะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคลาวด์, AI และ 5G ผ่านการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำ สมาคมและองค์กรต่าง ๆ มาช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มเอสเอ็มอี นอกจากนี้ หัวเว่ยจะเดินหน้าเสริมสร้างระบบนิเวศคลาวด์ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ผ่านกลยุทธ์ "Cloud First" และ “Everything as a Service” ด้วยการให้บริการคลาวด์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมให้กับทุกกลุ่มธุรกิจรวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ ขนานไปกับการสร้าง “นักพัฒนาด้านคลาวด์” ผ่านการจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาทักษะและสร้างประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง ทั้งในด้านคลาวด์ การบริหารจัดการเก็บข้อมูล (Storage), Big Data, AI และทักษะดิจิทัลต่าง ๆ ให้กับบุคลากรในพื้นที่ห่างไกล โดยหัวเว่ยตั้งเป้าหมายที่จะฝึกอบรมนักพัฒนาในประเทศไทยกว่า 50,000 คน ให้มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีคลาวด์ภายในระยะเวลา 3 ปี และเพื่อเป็นการต่อยอดโครงการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022' ในปีนี้ หัวเว่ยจะสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วประเทศ ผ่านการเชิญเข้าร่วมโครงการ และจะนำความชำนาญทางเทคโนโลยีมาเสริมความรู้ ทักษะ และสนับสนุนสตาร์ทอัพด้วยการให้คำแนะนำในการวางกลยุทธ์สู่ตลาดแบบตรงเป้าหมาย นำไปสู่การขยายตลาดและสร้างความสามารถทางการแข่งขันได้ในที่สุด
จากความมุ่งมั่นและเป้าหมายในการให้บริการคลาวด์เพื่อยกระดับมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที รวมถึงการพัฒนาทักษะบุคลากรในระดับท้องถิ่นของไทยให้มีปริมาณที่เพียงพอ และมีความสามารถทัดเทียมกับตลาดแรงงานในระดับภูมิภาค หัวเว่ยมั่นใจว่าจะสามารถสร้างอีโคซิสเต็มของคลาวด์ในประเทศไทยอย่างแข็งแกร่ง ช่วยขับเคลื่อนสู่การเป็น “ประเทศไทยอัจฉริยะ” ที่เชื่อมถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง
(กรุงเทพฯ ประเทศไทย) กุมภาพันธ์ 2566 – งานวิจัยฉบับใหม่* จากมินเทล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลตลาดระดับโลก ชี้ว่าการใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทำให้คน Gen Z** ให้ความสำคัญกับอนาคต หาความรู้ทางการเงินมากขึ้น และตัดสินใจอย่างชาญฉลาดขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย
หลังจากต้องประสบกับเหตุการระบาดใหญ่โควิด-19 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อสูง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคชาวไทยที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี มีความอยากใช้เงินลดลง โดยประมาณ 3 ใน 4 คน (75%) เลือกที่จะเก็บออมเพื่ออนาคตมากกว่าการใช้เงินไปกับการซื้อสิ่งของต่าง ๆ
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่คิดก่อนจ่ายเสมอ โดยคนรุ่นใหม่ประมาณ 4 ใน 5 คน (86%) อ่านรีวิวสินค้าก่อนซื้อ พวกเขายังยินดีมากขึ้นที่จะจ่ายเงินไปกับผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (53%) ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองที่น่าเชื่อถือ (39%) และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (36%)
แม้ว่าคน Gen Z ประมาณ 2 ใน 3 คน (60%) มีความพึงพอใจกับชีวิตของพวกเขาในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา (จนถึงเดือนมิถุนายน 2565) งานวิจัยจากมินเทลชี้ว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่รู้สึกเครียดและโดดเดี่ยว พวกเขาให้ความสำคัญกับสุขภาพองค์รวมและความเป็นอยู่ที่ดีในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ
คน Gen Z มองหาทางออกด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ง่าย แต่มากกว่า 2 ใน 3 คน (38%) จะตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็นของแท้และน่าเชื่อถือ โดยการกระทำนี้เห็นได้ชัดในการจับจ่ายไปกับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งคน Gen Z ใช้เงินกับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากที่สุด (65%)
แม้ว่าคน Gen Z จะพบเจอความท้าทายมากมาย ความมุ่งมั่นของพวกเขาที่มีต่อความยั่งยืนและประโยชน์ต่อสังคมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และพวกเขายังคาดหวังที่จะเห็นคุณค่าของตนเองสะท้อนออกมาจากแบรนด์ที่พวกเขาเลือก คน Gen Z จำนวนมากกว่า 3 ใน 4 คน (76%) ในประเทศไทย กล่าวว่าพวกเขาใช้ความพยายามมากกว่าเดิมในชีวิตประจำวันเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และประมาณ 25% คิดว่าการจ่ายเงินเพิ่มขึ้นให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนนั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
ช่องทางออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ในประเทศไทยใช้งานบ่อยที่สุด โดยมากกว่า 3 ใน 5 คน (65%) ระบุว่าพวกเขาอยากซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ และจำนวนใกล้เคียงกัน (64%) ระบุว่าพวกเขาเลื่อนดูสิ่งต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียเพื่อการผ่อนคลาย
ดร. วิลาสิณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา (ไข่มุก) นักวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์อาวุโส มินเทล รีพอร์ทส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริโภคอายุ 18-25 ปี มีจำนวนประมาณ 1 ใน 5 ของผู้บริโภคในประเทศไทยทั้งหมด พวกเขาเป็นตัวแทนของอนาคต แบรนด์จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงวิธีการที่จะเข้าหาผู้บริโภคกลุ่มนี้และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ตั้งแต่เนิ่น
“แต่แบรนด์จะพบกับความท้าทายเช่นกัน แม้ผู้บริโภค Gen Z ส่วนใหญ่ต้องการใช้เงินมากกว่าการเก็บออม แต่หลายคนก็ยังต้องพึ่งพาผู้ปกครองในด้านการเงินอยู่ และพวกเขาอาจไม่มีอิสระในการเลือกจับจ่ายใช้สอย
“แบรนด์สามารถเชื่อมต่อกับคน Gen Z ได้อย่างสำเร็จและมีประสิทธิภาพโดยการใช้ช่องทางดิจิทัล โดยการเสนอข้อมูลอย่างแท้จริง โปร่งใส และสนับสนุนในสิ่งที่ผู้บริโภค Gen Z ให้ความสนใจมากที่สุด แบรนด์สามารถใช้โอกาสนี้เพื่อช่วยลดความกังวลในการใช้เงิน โดยเพิ่มคุณค่าให้กับการใช้จ่ายของผู้บริโภครุ่นใหม่ และช่วยให้พวกเขาสามารถเก็บออมได้ดีมากขึ้นสำหรับอนาคต”
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์การตลาดของผู้บริโภค Gen Z และบทสัมภาษณ์นักวิเคราะห์ สามารถส่งคำขอได้ที่ Mintel Press Office
- จำนวนดังกล่าวยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด
- ความเชื่อมั่นในการเดินทางฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ เป็นผลจากการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและความอัดอั้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
- การยื่นคำร้องขอวีซ่าในปี 2565(1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 600% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2564 เป็นผลจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่คาดคิดจากการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในหลายเส้นทาง
- บริการพิเศษเฉพาะบุคคลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น การยื่นคำร้องแบบบริการพรีเมียม (บริการเสริม) เช่น การยื่นคำร้องขอวีซ่านอกสถานที่ (Visa at Your Doorstep - VAYD) มีจำนวนเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 2562
- ปลายทางที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร (ไม่ได้จัดรียงตามลำดับ)
ประเทศไทยสร้างปรากฎการณ์การยื่นคำร้องขอวีซ่าเพิ่มขึ้นห้าเท่าในปี 2565 สะท้อนถึงความมั่นใจในการเดินทางที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของวีเอฟเอส โกลบอล ผู้นำระดับโลกด้านบริการเอาต์ซอร์สและบริการเทคโนโลยีสำหรับรัฐบาลและคณะผู้แทนทางการทูต การยื่นคำร้องขอวีซ่าทุกประเภทในปี 2565 (1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม) เติบโตราว 576% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2564 เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่คาดคิดจากการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและการที่สายการบินระหว่างประเทศกลับมาให้บริการตามปกติในหลายเส้นทาง แต่จำนวนดังกล่าวยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด
"ปริมาณการยื่นคำร้องขอวีซ่าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักเดินทางที่ฟื้นกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ ฤดูท่องเที่ยวต่างประเทศช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดน่าจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม และเราเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผู้ที่วางแผนเดินทางออกนอกประเทศไทยต้องยื่นคำร้องขอวีซ่าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเร่งรีบก่อนถึงกำหนดเดินทาง" นายเกาซิค กอช หัวหน้าภูมิภาคออสเตราเลเซีย วีเอฟเอส โกลบอล กล่าว
ดังนั้นบริการพิเศษเฉพาะบุคคลจึงได้รับการตอบรับอย่างดีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการยื่นคำร้องขอวีซ่าในปี 2565 โดยวีเอฟเอส โกลบอล พบว่าบริการพิเศษ เช่น บริการยื่นคำร้องขอวีซ่านอกสถานที่ (Visa at Your Doorstep - VAYD) มี
ผู้ใช้บริการมากขึ้น เพราะทำให้ผู้ยื่นคำร้องสามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกสบายทั้งจากที่บ้านหรือสถานที่ใดก็ตามโดยครบถ้วนทุกขั้นตอนการยื่นคำร้องขอวีซ่า บริการพิเศษดังกล่าวรองรับการยื่นคำร้อง ลงทะเบียนข้อมูลไบโอเมตริก และจัดส่งหนังสือเดินทางกลับคืนถึงสถานที่ที่ต้องการ การจองบริการ VAYD ในปี 2565 (1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม) เพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 และเติบโตจากปี 2564 ถึง 27% ทั้งนี้บริการ VAYD พร้อมให้บริการสำหรับการเดินทางไปออสเตรีย โครเอเชีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และสหราชอาณาจักร
"จำนวนนักเดินทางที่ให้ความสนใจบริการพิเศษเฉพาะบุคคลแบบไร้การสัมผัสหลังสถานการณ์โรคระบาดมีเพิ่มมากขึ้น ความกังวลเรื่องสุขภาพกลายเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการเดินทางต่างประเทศ ผู้ยื่นคำร้องจำนวนมากจึงต้องการบริการอย่าง VAYD หรือห้องรับรองพิเศษที่มอบประสบการณ์ด้านการยื่นคำร้องขอวีซ่าที่สะดวกสบายโดยไม่ต้องยืนรอคิว ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการในยุคดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนรุดหน้าอย่างรวดเร็วทำให้เราคาดว่าบริการพรีเมียมดังกล่าวจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าที่ให้ความสำคัญต่อการเดินทางที่อย่างปลอดภัย" นายกอซ กล่าวเสริม
ทั้งนี้วีเอฟเอสโ กลบอล รับหน้าที่ให้บริการยื่นคำร้องอวีซ่าแก่รัฐบาล 23 ประเทศจากในประเทศไทย ประกอบด้วย ออสเตรเลีย ออสเตรีย แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อินเดีย อิตาลี เยอรมนี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สิงคโปร์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
คำแนะนำการเดินทางในฤดูการท่องเที่ยว
วีเอฟเอส โกลบอล แนะนำให้ผู้ใช้บริการยื่นคำร้องขอวีซ่าตั้งแต่ช่วงเดียวกับที่จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก ปัจจุบันหลายประเทศอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าล่วงหน้าได้ถึง 90 วัน (3 เดือน) ก่อนวันที่เดินทาง ขณะที่ระเบียบวีซ่าเชงเกนฉบับปรับปรุงที่มีผลเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 อนุญาตให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเชงเกนก่อนวันที่เดินทางได้ถึง 6 เดือน ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ผู้ยื่นคำร้องรีบดำเนินการขอวีซ่าเป็นการล่วงหน้าโดยเร็วที่สุดโดยเฉพาะในปีนี้ที่มีความต้องการเดินทางสูงและมีช่วงเวลานัดหมายที่จำกัด
ผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าควรระมัดระวังบุคคลที่คิดค่าธรรมเนียมลูกค้าในการนัดหมายหรือการให้บริการต่างๆ ทั้งที่แอบอ้างชื่อวีเอฟเอส โกลบอล หรือชื่ออื่นใดก็ดี เราไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมสำหรับการนัดหมายแต่อย่างใด หากต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดก็ตาม โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ของเราหรือส่งอีเมลมาที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สัมผัสกับบริการเสริมเพื่อความสะดวกสบายในการยื่นคำร้องขอวีซ่า ได้แก่
· ห้องรับรองพิเศษ: สัมผัสประสบการณ์ในการยื่นคำร้องขอวีซ่าแบบส่วนตัวที่ทั้งรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย
· บริการกรอกแบบฟอร์ม: ให้เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญคอยช่วยเหลือคุณกรอกคำร้องขอวีซ่าทางโทรศัพท์หรือ ณ ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า
· บริการจัดส่งเอกสาร: เรามีบริการจัดส่งหนังสือเดินทางและเอกสาร ที่ทั้งรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย
· ประกันภัยค่ารักษาพยาบาลระหว่างการเดินทาง: ขอรับความคุ้มครองจากการประกันภัยค่ารักษาพยาบาลระหว่างการเดินทางภาคบังคับซึ่งรวมถึงการครอบคลุมโควิด-19 จากผู้รับประกันภัยชั้นนำระดับโลก
· บริการแจ้งเตือนทาง SMS: แจ้งสถานะล่าสุดของการยื่นคำร้องขอวีซ่าของคุณ
โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: https://www.vfsglobal.com/en/individuals/solutions.html
นายวิทัย รัตนากร ผู้อ่านวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้นและกลับมามีกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว มี จ านวนนักท ่องเที ่ยวต ่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ ่มขึ้นอย ่างต ่อเนื ่อง ดังนั้น เพื ่อเป็นการกระตุ้น เศรษฐกิจและเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท ่องเที ่ยว สามารถด าเนินกิจการและให้บริการ อย่างราบรื่น คล่องตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนหรือสภาพคล่อง ธนาคารออมสินจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการ ธุรกิจโรงแรม และ Supply Chain ของโรงแรม ร้านอาหาร และกลุ่มผู้ประกอบการที่มีเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ ของท้องถิ่น ใช้บริการสินเชื่อ Soft Loan Re-Open อัตราดอกเบี้ยต่ ามาก 1.99% คงที่ 2 ปีแรก และสวนกระแส ของภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ โดยสามารถรับข้อเสนอและเงื่อนไขพิเศษได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 นี้เท่านั้น สินเชื่อ Soft Loan Re-Open เปิดให้กู้เพื ่อน าเงินไปปรับปรุง ซ่อมแซมสถานประกอบการ จัดซื้อ เครื่องมืออุปกรณ์ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง โดยผู้กู้ต้องเป็นผู้ประกอบการที่เป็น บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลที่มีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด ถึง 5 ล้านบาท และมีระยะเวลากู้ได้นาน 10 ปี สามารถใช้หลักทรัพย์ หรือ บสย. อย่างใดอย่างหนึ่งในการค้ าประกัน ได้เต็มวงเงินกู้ หรือจะเลือกใช้ทั้งหลักทรัพย์และ บสย. ร่วมกันค้ าประกันก็ได้ คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก เพียง 1.99% ต่อปี โดยปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ยตามประเภทหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ าประกัน และได้รับสิทธิพิเศษ ปลอดช าระเงินต้นเป็นเวลานานสูงสุดถึง 2 ปี ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB SME Call Center โทร. 02-2998899, GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society โดยธนาคารออมสินไม่มีนโยบายเชิญชวนให้ยื่นกู้ทางโซเชียล มีเดียหรือลิงก์ส่งทาง SMS แต่อย่างใด
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในบริษัทพลังงานเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ที่โดดเด่นในด้านการผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมและไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 20 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศอีก 35 โครงการ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งที่ 1/2566 คาดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกคงที่ 5.75% - 5.95% ต่อปี (โดยจะประกาศอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนให้ทราบอีกครั้ง) กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดก็ได้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้งตามดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุกๆ 5 ปี อ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ราคาเสนอขายอยู่ที่หน่วยละ 1,000 บาท คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2566 ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย และ บล.เกียรตินาคินภัทร
โดย BGRIM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “BBB+” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคง ศักยภาพ และความแข็งแกร่งของบริษัทฯ
สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้เป็นเงินลงทุนโครงการ จำนวน 2,000-4,000 ล้านบาท และใช้ชำระคืนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ จำนวน 1,000-2,000 ล้านบาท และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ จำนวน 2,000-3,000 ล้านบาท ภายในปี 2567
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ GreenLeap ที่พลิกโฉมการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก และผู้นำด้านการพัฒนา ด้านพลังงานที่ยั่งยืนและปลอดภัย โดยยังคงยึดมั่นบนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ภายใต้
“Robinhood” (โรบินฮู้ด) แอปเพื่อคนตัวเล็ก จับมือ “TrueMoney” (ทรูมันนี่) ขยายช่องทางการชำระเงินบนแอป Robinhood ผ่านทรูมันนี่ เพิ่มทางเลือกระบบชำระเงินที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เพื่อสร้างประสบการณ์การชำระเงินแบบไร้รอยต่อ (Seamless Customer Payment Experience)
ให้กับลูกค้าบนแอป Robinhood กว่า 3.2 ล้านคน พร้อมรองรับฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ในอนาคต พิเศษสุด สำหรับลูกค้า Robinhood เมื่อชำระค่าอาหาร และบริการอื่นๆ ผ่านทรูมันนี่ รับส่วนลดสูง 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 - 31 พฤษภาคม 2566 นี้เท่านั้น
นายศรัณย์ ชินสุวพลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “Robinhood เน้นการชำระเงินแบบไร้เงินสดด้วยระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลเพย์เมนต์ 100% ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกชำระค่าอาหาร หรือบริการอื่นๆ ของ Robinhood ผ่านการตัดบัญชีในโมบายแบงก์กิ้ง หรือตัดบัตรเครดิต บัตรเดบิต เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่เน้นใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก พร้อมทั้งช่วยผลักดันและสนับสนุนสังคมไร้เงินสดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การชำระเงินแบบไร้รอยต่อ (Seamless Customer Payment Experience) เราจึงได้ขยายวิธีการชำระเงินสู่กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Wallet) โดยได้ร่วมมือกับ “TrueMoney” (ทรูมันนี่) เพิ่มทางเลือกในการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้กับลูกค้า Robinhood ผ่านทรูมันนี่ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้านการชำระเงินในยุคดิจิทัลที่หลากหลายได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมดึงดูดกลุ่มผู้ใช้รายใหม่เข้ามายังแอปพลิเคชันของเรา”
ด้าน นายกรวุฒิ ปวิตรปก ผู้อำนวยการฝ่ายทางพาณิชย์ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ที่ผ่านมา ทรูมันนี่ ได้พัฒนานวัตกรรมและฟีเจอร์ใหม่อยู่ตลอดเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ทั้งยังมุ่งมั่นขยายพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทรูมันนี่เป็นแพลตฟอร์มทางการเงินที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นด้านความบันเทิง ช้อปปิ้งสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงใช้จ่ายในร้านอาหารต่างๆ ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ดังนั้นการร่วมมือกับ Robinhood ในครั้งนี้ นับเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค และเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานด้วยช่องทางการชำระเงินที่รวดเร็ว และปลอดภัย สอดรับกับกระแสสังคมไร้เงินสดในประเทศไทยที่กำลังเติบโตขึ้นอีกด้วย”
รายละเอียดสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Robinhood เมื่อใช้จ่ายผ่านทรูมันนี่
Robinhood Food
· ลูกค้าใหม่ Robinhood รับส่วนลดพิเศษ 50 บาท เพียงกรอกโค้ด HITMW50 เมื่อสั่งซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มขั้นต่ำ 150 บาท (จำกัดจำนวน 10,000 สิทธิ์ 1 ท่าน/ 1 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาแคมเปญ)
· ลูกค้าปัจจุบัน Robinhood รับส่วนลดพิเศษ 50 บาท เพียงกรอกโค้ด RBHTMW50 เมื่อสั่งซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มขั้นต่ำ 250 บาท (จำกัดจำนวน 10,000 สิทธิ์ 1 ท่าน/ 1 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาแคมเปญ)
Robinhood Mart
· ลูกค้าปัจจุบัน Robinhood รับส่วนลดพิเศษ 100 บาท เพียงกรอกโค้ด RBHMTMW100 เมื่อสั่งของขั้นต่ำ 300 บาท (จำกัดจำนวน 3,000 สิทธิ์ จำกัด 1,000 สิทธิ์/ เดือน และ 1 ท่าน/ 1 สิทธิ์/ เดือน สูงสุด 3 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาแคมเปญ)
โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (Koko Global Hospitality) บริษัทรับบริหารโรงแรมครบวงจรสัญชาติญี่ปุ่น เปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบพร้อมวางโครงสร้างธุรกิจใหม่ ให้บริการบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์ โคโคเทล (Kokotel), วิฟเทล (VIVTEL), บาย โคโค (by Koko)
และภายใต้แบรนด์เจ้าของโรงแรมเอง ด้วยโมเดล Centralized Operation พร้อมมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘โคโค รีวอร์ด (Koko Rewards)’ ลอยัลตี้โปรแกรม ช่วยมอบความสุขและมอบสิทธิประโยชน์กลับคืนให้ทั้งแขกผู้เข้าพักและเจ้าของโรงแรม ขับเคลื่อนการทำงานด้วยพันธกิจ ‘F+O+W -> GL บริหารจัดการงานแบบเพื่อนแบบครอบครัวด้วยความจริงใจและจริงจังอย่างมืออาชีพ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ว้าวและคุ้มค่า สู่การเติบโตอย่างมั่นคงในฐานะ ‘Professional Operating Firm’ บริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมมืออาชีพในอุตสาหกรรมโรงแรม เตรียมพร้อมเป็นแบรนด์บริหารโรงแรมระดับสากล ใน 6 ทวีป 10 ประเทศ และมีโรงแรมในเครือรวม 1,000 แห่ง
เรย์ มัทสึดะ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด เผยว่า บริษัทเริ่มต้นธุรกิจขึ้นในปี 2558 จากการบริหารโรงแรมแบรนด์ ‘โคโคเทล’ และมีการต่อยอดขยายธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งในส่วนงานบริหารโรงแรมแบบครบวงจร ด้วยระบบการจัดการโรงแรมจากส่วนกลาง (Centralized and Property Operation Management) รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม อาทิ Sales & Marketing, Branding และอื่น ๆ ก่อนมีการเติบโตและพัฒนาแบรนด์โรงแรมใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของโรงแรมในทุกเซกเม้นต์
จากความสำเร็จนั้น ทำให้ในปัจจุบันบริษัทได้ขยายการให้บริการและมีโรงแรมที่บริหารในมือมากกว่า 20 แห่งในประเทศไทย จนเกิดการต่อยอดครั้งสำคัญนำมาสู่การยกระดับจากเดิมที่เป็นเพียงแบรนด์โรงแรม ไปสู่การจัดตั้งบริษัทรับบริหารโรงแรมครบวงจรอย่างเต็มตัว ในชื่อ ‘บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด’ (Koko Global Hospitality) พร้อมวางโครงสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งประกอบด้วยบริการบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ ดังต่อไปนี้
● โคโคเทล (Kokotel) แบรนด์โรงแรม 3 ดาว ในคอนเซปต์ Bed & Café สำหรับลูกค้ากลุ่มเพื่อนและครอบครัว
● วิฟเทล (VIVTEL) แบรนด์โรงแรมพรีเมียมไลฟ์สไตล์ 4 ดาว ที่ออกแบบในไอเดีย Our Space สร้างพื้นที่ที่คำนึงถึงทุกความต้องการสำหรับคู่รัก และมีล็อบบี้ที่ดีไซน์ด้วยธีม Wine Bar
● บาย โคโค (by Koko) บริการบริหารจัดการโรงแรมแบบครบวงจร โดยบริหารภายใต้แบรนด์ของเจ้าของโรงแรมและแขกผู้เข้าพักยังสามารถเข้าร่วมลอยัลตี้โปรแกรม ‘โคโค รีวอร์ด (Koko Rewards)’ ที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ด้วย
● บริการบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเจ้าของโรงแรมเอง
“แนวทางการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา คือการยกระดับธุรกิจไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมในอุตสาหกรรมโรงแรม เราสร้างพันธกิจของตัวเองขึ้นมาตามแนวคิด ‘F+O+W -> GL’ โดยเริ่มจากการบริหารโรงแรมแบบเป็นเพื่อน เป็นคนในครอบครัว บริหารจัดการงานด้วยความจริงใจและจริงจังอย่างมืออาชีพ และในฝั่งเจ้าของโรงแรมก็จะได้ว้าวกับผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งในท้ายที่สุดบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคงไปสู่ระดับโลกและได้รับการยอมรับในฐานะ ‘Professional Operating Firm’ ของธุรกิจโรงแรม”
เรย์ เสริมว่า เพื่อให้บริษัทมีมาตรฐานการบริหารโรงแรมและให้คำปรึกษาได้อย่างมืออาชีพ เราจึงได้ออกแบบโมเดลธุรกิจที่เรียกว่าการบริหารโรงแรมแบบจัดการจากส่วนกลาง หรือ Centralized and Property Operation Management ซึ่งจะรวมการจัดการไว้ที่สำนักงานใหญ่ (Headquarter) ไม่ว่าจะเป็นแผนกการขาย แผนกสำรองห้องพัก แผนกการตลาด แผนกจัดการรายได้ แผนกจัดซื้อ แผนกบัญชี และแผนกไอที เพื่อบริหารโรงแรมในเครือทั้งหมด
ทำให้พนักงานที่อยู่ประจำที่โรงแรมจึงเป็นพนักงานที่เกี่ยวข้องกับงานส่วนปฏิบัติการเท่านั้น อาทิ แม่บ้าน เชฟ ช่างซ่อมบำรุง พนักงานต้อนรับ โดยจะมี Resident Master ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างสำนักงานใหญ่ (Headquarter) จึงเรียกได้ว่าโมเดลธุรกิจ Centralized and Property Operation Management สามารถช่วยลดต้นทุนจากการว่าจ้างพนักงานและสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับเจ้าของโรงแรม ตอบโจทย์โรงแรมขนาดกลาง ที่มีจำนวนห้องพักอยู่ระหว่าง 50-200 ห้อง ซึ่งแตกต่างจากการบริหารโดยแบรนด์โรงแรมขนาดใหญ่ที่มีค่าบริการส่วนบริหารงานและมีค่าต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) จากการว่าจ้างพนักงานประจำในโรงแรมสูง
ทั้งนี้ การรวมแบรนด์โรงแรมทั้ง 3 มาไว้ในบริษัทเดียวกัน ทำให้บริษัทสามารถสร้างอีกความว้าวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแขกผู้มาใช้บริการ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘โคโค รีวอร์ด’ (Koko Rewards) ลอยัลตี้โปรแกรมที่ให้ทุกแบรนด์ภายใต้การบริหารของโคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ สามารถเข้าร่วมได้ทั้งหมด โดยแขกผู้เข้าพักจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการเข้าพักโรงแรมในเครือกว่า 2,000 ห้อง ในขณะที่เจ้าของโรงแรมจะได้รับกลุ่มลูกค้า Repetition Guest เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่าแพลตฟอร์มนี้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเพิ่มรายได้ให้กับเจ้าของโรงแรม อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการทำตลาดได้อย่างมหาศาลอีกด้วย โดยโคโค รีวอร์ด จะมีแผนจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้นี้
ด้านของ โยชิคัตสึ ทามุระ ผู้อำนวยการ บริษัท Relo Group, Inc. หนึ่งในนักลงทุนของ โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และด้วยการยกระดับนโยบายเดินหน้าเปิดประเทศของภาครัฐได้ช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยเติบโตทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง สร้างผลดีต่อธุรกิจโรงแรม อีกทั้งโรงแรมขนาดกลาง จำนวนห้องพัก 50-200 ห้อง ยังเป็นตลาดที่ไม่มีกลุ่มทุนโรงแรมขนาดใหญ่เข้ามาแข่งขัน ซึ่งโมเดลธุรกิจ Centralized and Property Operation Management เป็นโมเดลที่สามารถแก้ไขอุปสรรคด้าน
ค่าใช้จ่ายและช่วยสนับสนุนเจ้าของโรงแรมกลุ่มนี้ได้ ทำให้มีช่องว่างในการเติบโตค่อนข้างมาก Relo Group จึงตัดสินใจร่วมลงทุนในบริษัทและเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะเติบโตเป็นบริษัทรับบริหารโรงแรมในระดับโลกต่อไป
เรย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือบริษัทมองว่าความสำเร็จของเจ้าของโรงแรมคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด บริษัท จึงได้ตั้งแนวคิดให้บุคลากรทุกคนรู้คุณค่าของตัวเอง และนำคุณค่านั้นมาปฏิบัติต่อลูกค้าในทุก ๆ ด้าน อาทิ การชี้ถึงจุดที่ต้องพัฒนาร่วมกัน การเชื่อในความสามารถของอีกฝ่าย ทำงานร่วมกันด้วยความจริงใจและเคารพกัน รวมถึงความตั้งใจทำทุกหน้าที่ให้สำเร็จและติดตามผลอยู่เสมอ
“ความจริงใจเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บริษัทมีให้เจ้าของทุกโรงแรมที่เข้าไปบริหารเพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงจากการไม่มีความรู้ในการบริหารสู่การบริหารที่ชำนาญ ให้โรงแรมโตเองได้แม้ไม่มีเวลาบริหาร และได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ”
บ้านปู เน็กซ์ ร่วมผลักดันแผนความร่วมมือระหว่าง “บียอนด์ กรีน” ผู้นำธุรกิจรถไฟฟ้าเอนกประสงค์ครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย และ “มหาวิทยาลัยขอนแก่น” ในโครงการผลิตและประยุกต์ใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออนและโซเดียมไอออนสำหรับรถกอล์ฟไฟฟ้า เดินหน้านำแบตฯ ลิเธียมไอออนไปใช้กับรถกอล์ฟไฟฟ้าของ บียอนด์ กรีน ประมาณ 2,000 ชุดต่อปี และสนับสนุนการพัฒนาแบตฯ โซเดียมไอออนจากแร่เกลือหินในภาคอีสานของไทย ตั้งเป้าขยายแบตเตอรี่ไทยไปสู่ตลาดโลก
บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทลูกของบ้านปู และบียอนด์ กรีน เครือข่ายพันธมิตรที่บ้านปู เน็กซ์เข้าไปร่วมลงทุน ต่างมีความมุ่งมั่นและเป้าหมายเดียวกันคือ ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิก ดังนั้น การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) ระหว่างบียอนด์ กรีนและ มหาวิทยาลัยขอนแก่นในโครงการผลิตและประยุกต์ใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออนและโซเดียมไอออนสำหรับรถกอล์ฟไฟฟ้า จะเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงช่วยรองรับดีมานต์การใช้แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย Meticulous Research คาดการณ์ว่าตลาดแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีอัตราการเติบโต (CAGR) อยู่ที่ 23.3% ในช่วงปี 2565-2572* นอกจากนี้ การผนึกกำลังของทั้ง 2 องค์กร ยังช่วยต่อยอดความแข็งแกร่งให้ธุรกิจแบตเตอรี่ของบ้านปู เน็กซ์ ให้สามารถนำเสนอโซลูชันที่หลากหลายและครบวงจรยิ่งขึ้นให้กับกลุ่มลูกค้า
บียอนด์ กรีน เป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าเอนกประสงค์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ปัจจุบันมีรถกอล์ฟไฟฟ้าในตลาดประมาณ 20,000 คัน ซึ่งเป็นของบียอนด์ กรีน 5,000 คัน โดยในแต่ละปีบริษัทจะมีความต้องการใช้แบตเตอรี่สูงถึง 2,000 ชุด จึงมองหาพาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้กับรถกอล์ฟไฟฟ้าของบริษัท ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นมีโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูง ปลอดภัย และได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) รวมถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ยังได้คิดค้นและพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจากแร่เกลือหินที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสานได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในอาเซียน ซึ่งบียอนด์ กรีนเล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศ จึงเกิดเป็นความร่วมมือครั้งนี้ โดยมุ่งเน้น 2 เรื่อง คือ 1. นำแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูง แบรนด์ kkUVolts ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปทดลองใช้กับรถกอล์ฟไฟฟ้าของบียอนด์ กรีนในประเทศไทย จำนวน 2,000 ชุด 2. สนับสนุนการพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออน พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการนำไปใช้กับรถกอล์ฟไฟฟ้าในเครือข่ายธุรกิจของบียอนด์ กรีนในอนาคต
การร่วมผลักดันความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จและมีส่วนช่วยเสริมให้บ้านปู เน็กซ์ มีพันธมิตรที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของทีมนักวิจัยไทยที่สามารถพัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่พลังงานยุคใหม่ที่มีคุณภาพระดับสากล ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่จากพลังงานทางเลือกของโลกในอนาคต ขณะเดียวกันยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งในอนาคต บียอนด์ กรีนจะเดินหน้าขยายความร่วมมือนำแบตเตอรี่ทั้ง 2 ชนิดไปใช้กับรถกอล์ฟไฟฟ้าในเครือข่ายธุรกิจ รวมถึงต่อยอดไปใช้กับรถไฟฟ้าเอนกประสงค์อื่น ๆ อีกด้วย
*ข้อมูลจาก Asia-Pacific EV Battery Market
ผลวิจัยล่าสุดจากทีม Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report เผยหลักฐานสนับสนุนสำคัญแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSPs) ทั่วโลก ซึ่งชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของการนำ 5G มาปรับใช้และการเติบโตของรายได้
การเติบโตของรายได้เป็นความท้าทายของผู้ให้บริการทั่วโลกที่มักส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนด้านเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจของพวกเขาหรือเรียกว่า 'การสร้างรายได้ (Monetization)' ในอุตสาหกรรม
รายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษที่เรียกว่า Business Review edition นำเสนอโอกาสต่าง ๆ สำหรับการสร้างรายได้จากบริการ 5G
โดยรายงานนี้เน้นย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตของรายได้แง่บวกตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2020 ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 แห่ง* คิดเป็น 85% ของยอดผู้ใช้บริการ 5G ทั้งหมดทั่วโลก และสัมพันธ์กับยอดผู้ใช้บริการ 5G ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในตลาดเหล่านี้

รายงานฉบับนี้พบว่า:
· โมเดลการกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า (Tiered Pricing) เป็นกุญแจสำคัญของผู้ให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของแต่ละลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องระยะยาว
· ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 แห่ง พบว่ามีประสิทธิภาพเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลัง 5G เปิดให้บริการ
· เส้นกราฟรายได้จากบริการเครือข่ายไร้สายจะพุ่งขึ้นอีกครั้งในตลาด 5G ชั้นนำเหล่านี้ หลังจากช่วงเติบโตช้าหรือไม่มีการเติบโต ซึ่งสัมพันธ์กับยอดการขยายตัวของผู้ใช้บริการ 5G
เฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าเครือข่ายของอีริคสันกล่าวว่า "การรับมือกับความท้าทายของลูกค้าคือหัวใจสำคัญของความมุ่งมั่นพยายามในด้านการวิจัยและพัฒนาในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ของอีริคสัน โดยความเชื่อมโยงระหว่างการนำเครือข่าย 5G มาปรับใช้และการเติบโตของรายได้ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 อันดับแรก ตอกย้ำให้เราเห็นว่าเครือข่าย 5G ไม่เพียงแต่เป็น Game Changer เท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์แก่ผู้นำไปใช้ระยะแรกอีกด้วย แม้ว่า 5G จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มีการเติบโตรวดเร็วจากกรณีการใช้งานที่ได้รับการยืนยันแล้ว และยังมีแผนการสร้างกรณีการใช้งานทั้งในระยะกลางและระยะยาวที่ชัดเจน”
ตามที่คาดไว้ บริการ Enhanced Mobile Broadband (eMBB) จะเป็นการใช้งานหลักของเครือข่าย 5G ในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนมาจากความต้องการเพิ่มความครอบคลุมสัญญาณทางด้านภูมิศาสตร์และมอบข้อเสนอที่แตกต่าง ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งาน 5G มากกว่าหนึ่งพันล้านรายอยู่บนเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ที่เปิดให้บริการอยู่ 230 เครือข่ายทั่วโลก โดยบริการ 5G eMBB มอบโอกาสในการสร้างรายได้ที่รวดเร็วที่สุดสำหรับ 5G เนื่องจากเป็นบริการส่วนขยายจากธุรกิจที่มีอยู่เดิมของผู้ให้บริการ อาศัยโมเดลธุรกิจและใช้กระบวนการแบบเดียวกัน แม้แต่ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 อันดับแรก ก็ยังมีผู้บริโภคประมาณ 80% ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ 5G นับว่าเป็นตัวชี้ชัดสำคัญถึงศักยภาพในการเติบโตของรายได้
![]()
ตามที่ระบุไว้ในรายงาน Ericsson Mobility ฉบับเดือนพฤศจิกายนปีก่อนว่าบริการ Fixed Wireless Access (FWA) จะมีกรณีการใช้งาน 5G ในช่วงแรกขนาดใหญ่ที่สุดเป็นลำดับสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ยังไม่มีตลาดบรอดแบนด์และผู้บริโภคยังเข้าไม่ถึงบริการดังกล่าว สำหรับบริการ FWA นั้นมีศักยภาพการเติบโตของรายได้ที่น่าสนใจสำหรับ CSPs เนื่องจากใช้ศักยภาพของบรอดแบนด์มือถือเป็นส่วนใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการเชื่อมต่อ FWA สูงถึง 300 ล้านครั้งภายในหกปี
นอกเหนือจากผู้บริโภคที่ใช้บริการ 5G แล้ว ยังมีโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้นจากการนำเครือข่าย 5G ไปใช้ในระดับองค์กรและภาครัฐทั่วโลก
5G ช่วยทำให้เกิดคุณค่าสำคัญสำหรับองค์กร ด้วยเครือข่าย 5G แบบส่วนตัวและเครือข่ายไร้สายที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างที่นำมาใช้ในองค์กรและในภาคอุตสาหกรรม
การอัปเกรดเครือข่าย 4G ที่มีอยู่เดิมให้เป็นเครือข่าย 5G ที่มีศักยภาพมากกว่าถึง 10 เท่า และลดปริมาณการใช้พลังงานได้มากกว่า 30% ช่วยเพิ่มรายได้พร้อมลดต้นทุนและยังสอดรับกับความยั่งยืน
“การเติบโตของรายได้และความยั่งยืนเป็นหัวข้อสนทนาประจำระหว่างเรากับลูกค้า โดยรายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษนี้ เราได้สำรวจวิธีที่ผู้ให้บริการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 5G และเห็นสัญญาณเริ่มต้นของการเติบโตของรายได้ในตลาด 5G ชั้นนำ จากการขยายความครอบคลุมของสัญญาณที่กว้างขวางและการมอบข้อเสนอด้านบริการที่แตกต่าง โดยยังมีด้านที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือสามารถสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนและช่วยจัดการกับการเติบโตด้านข้อมูลที่มีผลต่อการขับเคลื่อนรายได้ในอนาคต ตอกย้ำให้เห็นว่าเครือข่าย 5G เป็นตัวเร่งการเติบโตที่ตลาดรอคอย” เฟรดริก เจดลิง กล่าวเพิ่มเติม
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ Ericsson Mobility Report Business Review Edition report