

ฟาร์มพลังงานไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกกำลังจะสร้างขึ้นในประเทศโปแลนด์
ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่มีกำลังการผลิตรวม 205 เมกะวัตต์ โดยกำลังการผลิตต่อปีสามารถจ่ายไฟฟ้าให้แก่บ้านเรือนได้มากกว่า 100,000 ครัวเรือน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบ 160 ตัน ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้าดังกล่าว หัวเว่ย (Huawei) เตรียมจัดหาเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าแบบสตริง (สตริงอินเวอร์เตอร์) จำนวน 710 เครื่อง และสถานีหม้อแปลงไฟฟ้าอัจฉริยะ 23 สถานีให้แก่ฟาร์มพลังงานไฮบริดแห่งนี้ ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นที่เหมืองเก่าในเมืองเคลตเชฟ (Kleczew) จังหวัดวีแยลกอปอลสกา (Wielkopolska)
เคลตเชฟ โซลาร์ แอนด์ วินด์ (Kleczew Solar & Wind) ตั้งอยู่ในพื้นที่เหมืองเก่า และจะกลายเป็นอุทยานพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก อีกทั้งยังเป็นโครงการใหญ่โครงการแรกของโปแลนด์ที่มีการผสมผสานเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเข้าด้วยกัน สำหรับการก่อสร้างในเฟสแรกประกอบด้วยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 193 เมกะวัตต์พีค (MWp) และโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 12 เมกะวัตต์ (MW) โดยหัวเว่ยจะสนับสนุนด้วยสถานีหม้อแปลงไฟฟ้าอัจฉริยะ 23 สถานี และสตริงอินเวอร์เตอร์จำนวน 710 เครื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ กำลังการผลิตต่อปีจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 222 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) และของโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะอยู่ที่ราว 47 กิกะวัตต์ชั่วโมง ฟาร์มพลังงานไฮบริดแห่งนี้จะสามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของบ้านเรือนมากกว่า 100,000 ครัวเรือน
รีสซาร์ด ฮอร์ดีนสกี (Ryszard Hordynski) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และการสื่อสารของหัวเว่ย โปแลนด์ กล่าวว่า หัวเว่ยมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคส่วนพลังงานสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะมาเป็นระยะเวลาหลายปี ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เทคโนโลยีของเราสามารถสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งแวดล้อมเชิงรุกของโปแลนด์ในโครงการสำคัญ ๆ เช่น โรงไฟฟ้าไฮบริดในเมืองเคลตเชฟ นี่เป็นการลงทุนที่สำคัญมากบนเส้นทางสู่การลดคาร์บอนอย่างเต็มรูปแบบของเศรษฐกิจโปแลนด์ รวมถึงการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะอาด และคุ้มค่าให้แก่สังคม
ผู้ลงทุนในโครงการเคลตเชฟ โซลาร์ แอนด์ วินด์ คือบริษัทเลวันด์โพล กรุ๊ป (Lewandpol Group), ผู้จัดการทรัพย์สินคือบริษัทเออร์จี (Ergy), ผู้รับผิดชอบด้านการทำสัญญาทั่วไปคือบริษัทอิเล็กทรัม กรุ๊ป (Electrum Group) และผู้ดำเนินงานควบคุมกำลังไฟฟ้าจริง (Active Power) และกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (Reactive Power) คือบริษัทเรนีเดียม (Renedium)
มาร์ซิน คูเปรล (Marcin Kuprel) ซีอีโอของบริษัทเออร์จี กล่าวว่า โครงการนี้มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อการลดคาร์บอนของเศรษฐกิจโปแลนด์ ซัพพลายเออร์และผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานได้ผ่านการคัดเลือกมาอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในระหว่างและหลังจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เรามั่นใจว่าเรากำลังจะร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่ดีที่สุด และหนึ่งในนั้นคือหัวเว่ย ซึ่งเป็นที่รู้จักในตลาดโปแลนด์อยู่แล้วในฐานะซัพพลายเออร์อินเวอร์เตอร์ระดับไฮเอนด์ที่เชื่อถือได้
หัวเว่ยอาศัยจุดแข็งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (Power Electronics) และสร้างสรรค์นวัตกรรมในการผสานรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับเซลล์แสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงาน คลาวด์ และเทคโนโลยี AI โดยนำเสนอโซลูชันเซลล์แสงอาทิตย์+ระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ สำหรับสามสถานการณ์หลักในการผลิตไฟฟ้า การส่งกําลังไฟฟ้า การจ่ายไฟฟ้า และการใช้ไฟฟ้า ได้แก่ โซลูชันเซลล์แสงอาทิตย์อัจฉริยะระดับสาธารณูปโภค โซลูชันเซลล์แสงอาทิตย์อัจฉริยะเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม และโซลูชันเซลล์แสงอาทิตย์อัจฉริยะสำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งโซลูชันเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยปรับเฉลี่ย (LCOE) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดอายุการใช้งาน และช่วยยกระดับประสิทธิภาพโครงข่ายไฟฟ้า (กริด) ตลอดจนทำให้พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นแหล่งพลังงานหลัก
พาเวล สตราซซอลคาวสกี (Pawel Strzalkowski) ตัวแทนฝ่ายบัญชีอาวุโส ธุรกิจพลังงานดิจิทัลของหัวเว่ย โปแลนด์ กล่าวว่า การที่พันธมิตรทางธุรกิจเลือกอินเวอร์เตอร์และสถานีหม้อแปลงอัจฉริยะของเรา เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีของเราได้ดีที่สุด การลงทุนในโครงการเคลตเชฟ โซลาร์ แอนด์ วินด์ เป็นทั้งจุดสูงสุดของความร่วมมือทางธุรกิจแบบองค์รวมที่ดำเนินมานานหลายปี รวมถึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาโรงไฟฟ้าไฮบริดให้ก้าวหน้าต่อไป ความเชื่อมั่นของพันธมิตรทางธุรกิจทั้งเออร์จี อิเล็กทรัม และผู้ลงทุนอย่างเลวันด์โพล ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของเรา ทำให้เรามีความภาคภูมิใจและมีแรงทำงานต่อไปเพื่อพัฒนาแหล่งพลังงานที่ปราศจากมลพิษ และเป็นที่น่าจดจำว่าอินเวอร์เตอร์ของหัวเว่ยเป็นเจ้าแรกในโปแลนด์ที่ได้รับใบรับรองภาคบังคับแบบไม่มีกำหนด
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของโครงการเคลตเชฟ โซลาร์ แอนด์ วินด์ กำลังก่อสร้างด้วยความร่วมมือของบริษัทอิเล็กทรัม, จินโกะ โซลาร์ (Jinko Solar), บุดมัต (Budmat) และเตเล-โฟนิกา คาเบล (Tele-Fonika Kable)
ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยให้แข็งแกร่งพร้อมผลักดันให้เข้มแข็งและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น โดยประกาศผลรางวัลเกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจของเอสเอ็มอีไทย “Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 18 ยกย่อง 6 ผู้ประกอบการไทยที่ประสบความสำเร็จในมิติที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่เอสเอ็มอีรายอื่นๆ
ประกอบด้วย 6 บริษัทได้แก่ บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด บริษัท พี.วี.ที.แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด บริษัท ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จำกัด บริษัท ศิริบัญชา จำกัด บริษัท เอกราชอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด และ บริษัท เอ็มมีเน้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยมี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัล
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านหลังวิกฤติ Covid-19 ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เมกะเทรนด์โลกเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยปรับธุรกิจสู่การเป็น Digital Organization โดยสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นองค์กรดิจิทัลนั้นไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเทคโนโลยีเข้ามาทำธุรกิจแต่เทคโนโลยีที่นำมาใช้ต้องสร้างความได้เปรียบและสร้างความแตกต่างทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน ใครที่ปรับตัวได้ไวย่อมได้เปรียบเนื่องจากวิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมจากที่เคยปฏิบัติ ความสามารถในการปรับตัวของเอสเอ็มอีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะนำพาให้ธุรกิจอยู่รอดอย่างยั่งยืน สำหรับปี 2566 เทรนด์ที่กำลังมาแรงและทั่วโลกกำลังให้ความสนใจคือด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน รวมถึงคาร์บอนเครดิต ดังนั้นเอสเอ็มอีไทยต้องเดินหน้าธุรกิจด้วยแนวคิดการสร้างความยั่งยืนโดยการนำแนวคิด ESG มาเป็นกรอบการพัฒนาขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่มากกว่าเรื่องการเงิน ทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย การส่งเสริมความรู้ที่เป็นประโยชน์ผ่านโครงการอบรม สัมมนาต่าง ๆ รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการ ถ้ากลุ่มเอสเอ็มอีเข้มแข็งประเทศก็อยู่รอด เพราะเอสเอ็มอีไทยเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin นี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยให้สร้างความโดดเด่นและแตกต่างของสินค้าหรือบริการและพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับธุรกิจไทยรายอื่น ๆ ต่อไป
สำหรับการตัดสินรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในครั้งที่ 18 นี้ มีธุรกิจที่ได้รับรางวัล จำนวน 6 ราย นับเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยมีธุรกิจที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ดังนี้
1. บริษัท บีซีแอล 2002 จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ องค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business Practice) องค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) จากจุดเริ่มต้นธุรกิจโรงงานสิ่งทอ (OEM) ของครอบครัวซึ่งเริ่มเผชิญกับปริมาณคู่แข่งในตลาดที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่สร้างความแตกต่างให้ธุรกิจก็ยากที่จะพิชิตคู่แข่ง เมื่อมีโอกาสไปดูงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศและได้รับแรงบันดาลใจในการที่จะพัฒนาสินค้าไปสู่การผลิตสิ่งทอทางการแพทย์ พร้อมมองหาเทคโนโลยีที่จะมาสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเดิมที่มีอยู่จึงคิดค้นนวัตกรรมเส้นใย PERMA Nano Zinc ที่ช่วย Anti-Bacteria นำมาผลิตเป็นสิ่งทอทางการแพทย์ ได้แก่ ชุดบุคลากรทางการแพทย์ ชุดคนไข้ ผ้าพันแผล เสื้อกีฬา ถุงเท้า และผลิตภัณฑ์พลาสติกยับยั้งแบคทีเรีย โดยใช้เทคโนโลยีฝังนาโนซิงค์ในเส้นใยช่วยรักษาคุณสมบัติด้านการยับยั้งแบคทีเรียได้แบบถาวร และทำให้ไม่มีโลหะหนักหลุดลอกออกมาปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม ผ่านการทดสอบความปลอดภัยระดับสากลว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ในร่างกายมนุษย์ได้เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย
2. บริษัท พี.วี.ที. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ องค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) ด้วยแนวคิดนอกกรอบจากธุรกิจรุ่นพ่อในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสารถนอมอาหารสัตว์จากต่างประเทศ เริ่มมองเห็นว่าการพึ่งพาซัพพลายเออร์ไปตลอดอาจทำให้ธุรกิจเผชิญกับความเสี่ยงจึงมุ่งคิดค้นและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ของตนเองและสามารถพัฒนาสารถนอมคุณภาพอาหารสัตว์ซึ่งเป็นสารที่ใช้เติมในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ทำให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนได้สำเร็จ ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 GHP HACCP FAMI-QS ผลิตและจำหน่ายสารถนอมคุณภาพอาหารสัตว์ ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันเชื้อรา และแบคทีเรียที่จะก่อโรคในระบบทางเดินอาหารสัตว์และผลิตเครื่องจ่ายน้ำยาสำหรับใช้ในการถนอมอาหารสัตว์ ที่มีการจดสิทธิบัตรในระดับนานาชาติ
3. บริษัท ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) การสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) และองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) ด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการได้เล็งเห็นปัญหาด้านการผลิตอาหารของลูกค้าจึงตั้งใจแก้ปัญหาโดยพัฒนาระบบเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและเกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาธุรกิจและขยายกิจการเป็นศูนย์รวมเครื่องจักรแปรรูปอาหารสำหรับธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เช่น เครื่องสไลด์เนื้อ เครื่องลอกหนังปลา หนังวัว เครื่องขึ้นรูปเบอร์เกอร์ เครื่องถอนขนไก่ เครื่องจักรสำหรับโรงฆ่าสัตว์ ที่มีนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุในการใช้งานและลดปริมาณของเสียที่จะออกสู่สิ่งแวดล้อม และนับเป็นเจ้าแรกๆ ที่บุกเบิกตลาดออนไลน์ ร้านอาหารตามห้าง โรงงาน โรงแรม จนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น CP, Betagro, Makro เป็นต้น รวมทั้งเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ Solution นวัตกรรมการผลิตเครื่องจักรที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย รวมถึงมีบริการ After Service ให้กับลูกค้าครอบคลุมห่วงโซ่การผลิตและแปรรูปอาหารทั้งระบบอีกด้วย ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จึงนับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของยักษ์ใหญ่ในธุรกิจการแปรรูปอาหาร
4. บริษัท ศิริบัญชา จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) การบริหารจัดการด้านการสร้างตราสินค้าและการตลาด (Branding and Marketing) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) บริษัทผลิตและจำหน่ายเวชภัณฑ์แอลกอฮอล์ ภายใต้แบรนด์ ศิริบัญชา ต่อยอดความแข็งแกร่งของแบรนด์ให้ยืนหนึ่งในใจลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์การรักษาจุดยืนด้านคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ ดังสโลแกน “ศิริบัญชา คุณภาพที่คุณมั่นใจ” จึงทำให้เกิด Brand Trust ต่อลูกค้า เติบโตได้อย่างมั่นคง และสามารถปรับตัวให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ในหลากหลายมิติมากขึ้นโดยได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มผู้ใช้มายาวนานกว่า 70 ปี เป็นผู้ริเริ่มทำแอลกอฮอล์เป็นสีฟ้ารายแรก เพื่อสื่อถึงความสะอาด และสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำแบรนด์ได้ รวมถึงผลิตยาสมุนไพรแผนโบราณ ภายใต้แบรนด์ โยคี
5. บริษัท เอกราชอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) โดยบริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญการออกแบบและผลิตกล่องกระดาษ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์และกลุ่มผู้ส่งออกผลไม้ แต่เมื่อถึงช่วงสภาพเศรษฐกิจขาลงฐานลูกค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์เริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นส่วนกลุ่มส่งออกผลไม้ก็มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาลยอดซื้อที่เคยมีก็เริ่มหดหาย จึงแก้เกมส์ด้วยการปรับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงแทนที่จะโฟกัสเพียงตลาดใดตลาดหนึ่ง ลงมือศึกษาความต้องการของลูกค้าจนเล็งเห็น Pain-Points นำมาสร้างจุดเปลี่ยนของธุรกิจให้กลายเป็นผู้ให้คำปรึกษา รับออกแบบ และผลิตกล่องกระดาษครบวงจรโดยไม่จำกัดจำนวนผลิตขั้นต่ำ นับเป็นการสร้างความแตกต่างที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าออนไลน์ มีทั้งระบบการพิมพ์ Offset Inkjet และ Digital ได้แก่ กล่องกระดาษลัง กล่องกระดาษออฟเซ็ท กล่องกระดาษไร้สารตกค้าง กล่องทนน้ำและกันไฟ รวมถึงมีการสร้างแบรนด์กล่องกระดาษของตนเอง ภายใต้ชื่อ Click Boxes รองรับธุรกิจค้าขายออนไลน์
6. บริษัท เอ็มมีเน้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้รับรางวัลในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) การบริหารจัดการด้านบุคลากร (People Excellence) และการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) โดยบริษัททำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์มายาวนานกว่า 51 ปี เคยมีช่วงที่องค์กรมีปัญหาภายในและขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้าจึงตัดสินใจ Transform การบริหารองค์กรใหม่โดยเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจากเดิมที่ใช้ระบบ Centralized มาเป็น Decentralized เพื่อกระจายอำนาจและป้องกันความเสี่ยงให้กับธุรกิจ และสิ่งสำคัญคือการเน้นการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานมีความซื่อสัตย์ อยู่กันเป็นครอบครัว เพื่อให้มีความพร้อมที่จะดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดเช่นกัน โดยมีเป้าหมายที่จะนำนวัตกรรมทางการแพทย์มาสู่คนไทย เป็น Solution Provider ด้วยแนวคิดของการส่งต่อสุขภาพที่ดีให้คนไทย “The Promise of Health” เช่น เครื่องละลายพลาสม่า เครื่องพ่นละอองยา เครื่องนับเม็ดยา อุปกรณ์ด้านทันตกรรม ถุงเก็บโลหิต เครื่องวัดความดัน รวมถึงมีการผลิตสินค้าสำหรับผู้บริโภค ภายใต้แบรนด์ตนเองด้วย เช่น เครื่องล้างทำความสะอาดรีเทนเนอร์หรือฟันปลอมด้วยระบบอัลตราโซนิก และเม็ดฟู่ทำความความสะอาดตรา Furano
การพิจารณาตัดสินรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ประกอบด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายแขนง ผู้ประกอบการที่สมัครเข้ารับการพิจารณาไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์หรือศศินทร์ฯ สนใจสมัครหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.baipo-business-award.org หรือ 02-2184001-9 ต่อ 179
· ประกาศความเคลื่อนไหวในการปรับโฉมกลยุทธ์องค์กรเพื่อต่อยอดสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
· บุกเบิกความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ที่สร้างศักยภาพแบบทวีคูณให้กับเครือข่ายได้จริง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในอนาคตของเมตาเวิร์ส
· ภาพลักษณ์ใหม่ที่เผยออกมานี้เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลทั่วทั้งแวดวงอุตสาหกรรม
27 กุมภาพันธ์ 2566
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย - โนเกีย ประกาศความคืบหน้าขององค์กรและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี รวมถึงเผยโฉมภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ระยะยาวของโนเกีย ณ งานโมบายล์เวิลด์คองเกรส บาร์เซโลน่า ประจำปี 2023 (MWC Barcelona 2023)
หลายบริษัททั่วทั้งอุตสาหกรรมกำลังมองหาลู่ทางในการปรับตัวสู่ความเป็นดิจิทัลเพื่อพัฒนาทั้งด้านประสิทธิภาพ ความสามารถในการยืดหยุ่น และผลิตภาพบนแนวทางของความยั่งยืน ซึ่งเครือข่ายถือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้ และโนเกียก็มีจุดยืนที่ชัดเจนที่มาพร้อมผลงานที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในระดับแถวหน้าในบรรดาเทคโนโลยีเครือข่ายทั้งแบบคงที่ แบบเคลื่อนที่ และระบบคลาวด์
เป็กก้า ลุนด์มาร์ก ประธานและซีอีโอของโนเกีย กล่าวว่า “เราเห็นศักยภาพของดิจิทัลในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ อุตสาหกรรม และสังคม ที่มาพร้อมโอกาสอย่างมีนัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิต ความยั่งยืน และการเข้าถึง เทคโนโลยีเครือข่ายชั้นนำที่ต้องการความแม่นยำสูงในตลาดของเรากำลังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะจากลูกค้าหรือคู่ค้าในทุกแวดวงอุตสาหกรรม เรามองเห็นอนาคตที่ซึ่งเครือข่ายไปได้ไกลกว่าการเชื่อมโยงผู้คนและสรรพสิ่ง เป็นเครือข่ายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เป็นอิสระ และสามารถใช้ได้จริง และยังเป็นเครือข่ายที่สามารถรู้สึก คิด และกระทำได้จริง พร้อมไปกับการเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลให้มากขึ้นอีกด้วย”
“วันนี้เราได้มาแบ่งปันความเคลื่อนไหวขององค์กรและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่เน้นความสำคัญด้านการปลดปล่อยศักยภาพแบบทวีคูณของเครือข่าย ซึ่งเป็นการกรุยทางสู่อนาคตที่เครือข่ายจะมาบรรจบกับระบบคลาวด์เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าเรากำลังปรับเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ซึ่งจะสะท้อนตัวตนของเราในปัจจุบัน ว่าโนเกียคือนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่ไม่ใช่โนเกียที่โลกเคยรู้จักมาก่อน”
กลยุทธ์พลิกโฉมแบรนด์
โนเกีย ต่อยอดกลยุทธ์ทั้งสามเฟสที่จะนำพาองค์กรสู่การเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนและสร้างผลกำไรได้ โดยการจะให้ช่วงการเริ่มต้นปรับเปลี่ยนดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ได้ โนเกียได้เร่งเดินหน้าในการวางรากฐานสำหรับระยะการปรับเปลี่ยนในฐานะของผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ไร้ที่ติ และยังคงมุ่งมั่นในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของโนเกียซึ่งมีการปรับใหม่ตามผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2565
กลยุทธ์การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ของโนเกีย ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จและเป็นรากฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ ประกอบด้วย 6 แกนหลัก ดังนี้
· เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดกับผู้ให้บริการ ที่ขับเคลื่อนด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
· ขยายสัดส่วนของลูกค้าองค์กรในอัตราส่วนของลูกค้าทั้งหมด
· ยังคงจัดการพอร์ตธุรกิจอย่างแข็งขันเพื่อสร้างความมั่นคงในการเป็นผู้นำในทุกเซ็กเมนต์ธุรกิจที่โนเกียตัดสินใจจะลงแข่งขัน
· คว้าโอกาสจากเซ็กเตอร์อื่นที่นอกเหนือจากอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อสร้างรายได้จาก IP ของโนเกีย และเดินหน้าลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเทคโนโลยีของโนเกียอย่างต่อเนื่อง
· ดำเนินกิจการตามโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น การให้บริการ as-a-Service ตลอดจน
· พัฒนาแนวทาง ESG ให้เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และกลายเป็นตัวเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับความไว้วางใจในแวดวงอุตสาหกรรม
สิ่งที่ช่วยให้โนเกียบรรลุเป้าหมายดังกล่าวประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ พัฒนาผู้มีศักยภาพต่ออุตสาหกรรมในอนาคต, ลงทุนในการวิจัยระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโดเมนหลัก เช่น 6G, ปรับการดำเนินกิจการสู่ความเป็นดิจิทัลเพื่อพัฒนาในด้านความคล่องตัวและผลิตภาพ, รวมถึงการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในครั้งนี้
กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี
กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีล่าสุดของโนเกียจะอธิบายถึงวิธีการที่เครือข่ายจำเป็นต้องมีวิวัฒนาการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของยุคเมตาเวิร์ส
ขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไปพึ่งพาการเชื่อมต่อมากขึ้น เครือข่ายจะกลายมาเป็นโครงสร้างที่สำคัญให้กับทุกเรื่องที่เป็นดิจิทัลที่ซึ่งศักยภาพของเครือข่ายและความสามารถในการใช้ได้จริงนั้นจะมีน้ำหนักและความสำคัญเท่ากัน คุณภาพของระบบเครือข่ายแบบดั้งเดิมจะต้องรวมกันได้กับความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับขนาดของระบบคลาวด์
เครือข่ายซึ่งรู้สึก คิด และกระทำเหล่านี้มีศักยภาพที่จะนำพาพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของระบบเครือข่ายไปสู่ทุกภาคอุตสาหกรรมได้
โนเกียอยู่ในจุดที่ดีที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ผ่านพอร์ตผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด รวมถึงการวิจัยที่พลิกวงการอุตสาหกรรมระดับแถวหน้าจาก Nokia Bell Labs วันนี้ที่งาน MWC โนเกียได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อแสดงให้เห็นและส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของบริษัท
การปรับภาพลักษณ์แบรนด์
เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กรที่เปลี่ยนไป โนเกีย จึงได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในครั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงตัวตนของโนเกียในปัจจุบัน นั่นคือ การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่สร้างเสริมศักยภาพด้านดิจิทัลในทุกแวดวงอุตสาหกรรมได้จริง แบรนด์รูปแบบใหม่นี้จะช่วยยืนยันให้เห็นถึงคุณค่าที่นำมาสู่ความเชี่ยวชาญด้านเครือข่าย ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี การบุกเบิกด้านนวัตกรรมและความร่วมมือ
โลโก้ใหม่ของโนเกียได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แสดงถึงพลัง ความไม่หยุดยั้งในการพัฒนา และความทันสมัย ที่แสดงถึงคุณค่าและเป้าหมายของแบรนด์เป็นสำคัญ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือซึ่งโนเกียเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างศักยภาพแบบทวีคูณให้กับเครือข่ายให้เป็นจริงได้ คือ การปลดล็อกผลตอบแทนในด้านความยั่งยืน ผลิตภาพ และการเข้าถึง
ร้อยละ 80 ขององค์กรไทยที่ว่าจ้างบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลขั้นสูงรายงานการเติบโตของรายได้ต่อปีที่สูงขึ้น แต่อีกร้อยละ 94 กำลังประสบกับปัญหาการจ้างงาน
อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ได้เผยแพร่การศึกษาล่าสุด ที่แสดงให้เห็นว่าบุคลากรในประเทศไทยที่ใช้ทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูง รวมถึงทักษะด้านสถาปัตยกรรมคลาวด์หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์ สร้างรายได้ประมาณ75,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือคิดเป็น 930,800 ล้านบาท) ให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศไทย เป็นผลมาจากบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลขั้นสูงซึ่งมีรายได้มากกว่าร้อยละ 57 ต่อปี มากกว่าผู้ที่มีระดับการศึกษาใกล้เคียงกันแต่ไม่ได้ใช้ทักษะดิจิทัลในการทำงาน
![]()
การศึกษาเกี่ยวกับทักษะด้านดิจิทัลในเอเชียแปซิฟิก: ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพนักงานที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี (Asia Pacific Digital Skills Study: The Economic Benefits of a Tech-Savvy Workforce) ของ AWS ที่ดำเนินการโดย Gallup ได้ศึกษาว่าการสร้างบุคลากรที่ใช้เทคโนโลยีมีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ทำงาน องค์กร และเศรษฐกิจอย่างไร มีการสํารวจผู้ทํางานมากกว่า 1,000 คน (1,296 คน) และนายจ้าง 359 รายในประเทศไทยในองค์กรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยได้จําแนกทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานที่พิจารณาความสามารถในการใช้อีเมล โปรแกรมประมวลผลคํา ซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่เพิ่มประสิทธิภาพในสำนักงาน และโซเชียลมีเดีย ทักษะดิจิทัลระดับกลาง ได้แก่ การออกแบบเว็บไซต์แบบลากและวาง (drag-and-drop website design) การแก้ไขปัญหาแอปพลิเคชัน (troubleshooting applications) และการวิเคราะห์ข้อมูล ทักษะด้านดิจิทัลระดับสูง ได้แก่ สถาปัตยกรรมคลาวด์หรือการบำรุงรักษาระบบคลาวด์ การพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง
ผลการศึกษาพบว่าบุคลากรที่ทำงานด้านดิจิทัลขั้นสูงในประเทศไทยได้รับประโยชน์มากกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ ร้อยละ 89 ของบุลากรที่ใช้ทักษะดิจิทัลขั้นสูงมีความพึงพอใจในการทำงานในระดับสูง เทียบกับร้อยละ 58 ของบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ บุคลากรที่มีทักษะด้านดิจิทัลยังได้รับผลประโยชน์ด้านอาชีพ โดยร้อยละ 93 ของบุคลากรในไทยที่สำเร็จการฝึกอบรมทักษะด้านดิจิทัลในปีที่ผ่านมา ได้รับประโยชน์เชิงบวกอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งที่เพิ่มขึ้น
นายจ้างที่ใช้บุลากรที่มีทักษะดิจิทัลขั้นสูง เทคโนโลยีดิจิทัล และเทคโนโลยีคลาวด์ เห็นการเติบโตทางธุรกิจและนวัตกรรมที่สูงขึ้น ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 74 ขององค์กรในประเทศไทยที่ใช้คลาวด์เป็นหลักรายงานการ
เติบโตของรายได้ต่อปีที่ร้อยละ 10 หรือมากกว่านั้น เทียบกับร้อยละ 56 ขององค์กรที่ใช้คลาวด์บางส่วนหรือไม่ใช้เลย
หลายองค์กรกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการจ้างงานในอนาคต โดยการศึกษาของ Gallup ได้พิจารณาเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ 10 อย่าง ได้แก่ AI, edge และ quantum computing, blockchain และสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) ซึ่งร้อยละ 92 ของนายจ้างในประเทศไทยเชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอย่างมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจในอนาคต ทั้งนี้ 5G อยู่ในอันดับที่สูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ 75 ของนายจ้างเชื่อว่าพวกเขาจะนําเทคโนโลยีนี้มาใช้ในอนาคต
“ผู้คนในประเทศไทยกําลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วิธีการทํางานไปจนถึงการใช้ชีวิต การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าทักษะดิจิทัลมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งในระดับบุคคล องค์กร และเศรษฐกิจมหภาคเป็นอย่างมาก” ดร.โจนาธาน รอธเวลล์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Gallup กล่าว “เมื่อองค์กรต่าง ๆ ย้ายระบบไอทีไปยังระบบคลาวด์มากขึ้นในทศวรรษหน้า และมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้น การแปลงข้อมูลไปสู่รูปแบบดิจิทัลจะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานใหม่จํานวนมาก โอกาสที่ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น ขึ้นอยู่กับการมีบุคลากรที่แข็งแกร่งและมีทักษะสูงเพื่อรองรับนวัตกรรมต่าง ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐเพิ่มขึ้นทั่วโลก ความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในอีกหลายปีข้างหน้า ร้อยละ 90 ของนายจ้างในไทยที่ร่วมทำสำรวจพบว่าพวกเขากำลังมองหาบุคลากรที่ต้องใช้ทักษะดิจิทัล แต่ร้อยละ 94 ระบุว่าการหาบุคลากรที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งอุปสรรคอาจเกิดจากการที่องค์กรไทยร้อยละ 56 กำหนดให้ผู้สมัครงานมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีแม้แต่ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในระดับเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ องค์กรเริ่มตระหนักว่าการยอมรับใบรับรองวิชาชีพสามารถช่วยลดปัญหาในการจ้างงานได้ ทั้งนี้ ร้อยละ 92 ของนายจ้างกล่าวว่ามีการยอมรับใบรับรองทักษะด้านดิจิทัลหรือหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อใช้แทนวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีได้
จากผลการศึกษาของ Gallup แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสที่จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มหาศาลจากการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านคลาวด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของประเทศ AWS ทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) รวมถึงองค์กรชั้นนำอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหารและกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาช่องว่างด้านทักษะดิจิทัล นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาเราได้ฝึกอบรมบุคลากรกว่า 700,000 คนด้วยทักษะด้านคลาวด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และงานของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้” เอ็มมานูเอล พิลไล หัวหน้าฝ่ายการฝึกอบรมและการรับรอง AWS ภูมิภาคอาเซียนกล่าว
“ทักษะดิจิทัลขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์มหาศาลแก่บุคคล องค์กร และเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ AWS มุ่งมั่นที่จะขยายโปรแกรมการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลของเราสําหรับบุคลากรและนายจ้างทั่วประเทศไทย เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะสานต่อความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชนของไทย เพื่อช่วยเพิ่มและพัฒนาทักษะบุคลากรรวมถึงใช้ประโยชน์จากคลาวด์อย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจ ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และนวัตกรรม”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AWS ได้เปิดตัวโปรแกรม AWS Training and Certification หลายหลักสูตรในประเทศไทย เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีทักษะที่เหมาะสมในการเติบโตต่อไปในโลกดิจิทัล ซึ่งรวมถึง AWS Skill Builder ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบดิจิทัลที่ให้การฝึกอบรมทักษะระบบคลาวด์ตามความต้องการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายกว่า 600 หลักสูตร รวมถึง 62 หลักสูตรที่มีให้บริการเป็นภาษาไทย นอกจากนี้ยังมี AWS Educate ที่ให้การฝึกอบรมหลายร้อยชั่วโมงแบบเรียนรู้ด้วยตนเองสำหรับผู้เรียนที่เพิ่งเริ่มใช้งานระบบคลาวด์ และ AWS Academy ที่ให้การฝึกอบรมแก่สถาบันอุดมศึกษาด้วยหลักสูตรการประมวลผลบนระบบคลาวด์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการรับรองที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมและเป็นที่ต้องการของสายงานด้านคลาวด์
AWS ให้การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลแก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดยในปี 2565 เราได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ของไทย เพื่อเร่งพัฒนาทักษะการทํางานของบุคลากรภาครัฐ ความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาทักษะของ AWS เพื่อให้การฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์แก่บุคลากรภาครัฐมากกว่า 1,200 คน เพื่อนําเทคโนโลยีคลาวด์ไปใช้ในวงกว้าง ช่วยให้การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลดียิ่งขึ้น และสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ มี่มอบผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสําหรับประชาชนทั่วประเทศ
เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) ของไทยได้ประกาศความร่วมมือด้านทักษะดิจิทัลกับ AWS “MHESI และ AWS มีเป้าหมายร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทักษะดิจิทัลในประเทศไทย และพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลของประเทศ" ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า “การศึกษาของ Gallup ช่วยตอกย้ำถึงพันธกิจของ MHESI ในการเตรียมความพร้อมด้านทักษะคลาวด์ที่จําเป็นให้กับบุคลากรภาครัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์จากโปรแกรมการฝึกอบรมของ AWS เราตั้งเป้าที่จะยกระดับทักษะให้กับบุคลากรในการใช้ AWS Cloud ในสถาบันการศึกษากว่า 200 แห่งและหน่วยงานวิจัยและการศึกษาที่อยู่ภายใต้ MHESI กว่า 20 แห่งทั่วประเทศไทยภายในต้นปี 2569”
AWS ได้ร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) เปิดสอนหลักสูตร AWS Educate และ AWS Academy เพื่อยกระดับบุคลากรของไทยในอนาคต และด้วยความร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย มหาวิทยาลัยได้จัดบูตแคมป์และงานแฟร์สําหรับนักศึกษากว่า 200 คนเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาสําหรับการทำงานด้านดิจิทัล
“เมื่อประเทศไทยเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนบุคลากรด้านดิจิทัล” ผศ. ดร.รัชนี กุลยานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) “การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าบุคลากรด้านคลาวด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีทักษะดิจิทัลขั้นสูง เช่น สถาปัตยกรรมคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ เป็นที่ต้องการสูงในทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งความต้องการบุคลากรยังมีมากกว่าจำนวนผู้สําเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาในด้านนี้ ดังนั้น สจล. จึงแก้ไขปัญหานี้ด้วยการใช้ประโยชน์จากโปรแกรมการศึกษาของ AWS เพื่อมอบเนื้อหาด้านคลาวด์ที่เข้าถึงได้ง่ายและน่าสนใจสำหรับนักเรียนในการทดลองใช้เทคโนโลยีคลาวด์และพัฒนาโซลูชันที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้จริง เราหวังว่าจะทำให้ผู้สําเร็จการศึกษาสนใจที่จะพัฒนาทักษะด้านคลาวด์ต่อไปเพื่อเป็นบุคลากรในอนาคตของในประเทศไทย
“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกําลังเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการมีบุคลากรด้านดิจิทัลที่มีทักษะสูงเป็นกุญแจสําคัญในการพัฒนาอย่างรอบด้านและยั่งยืนในทุก ๆ ประเทศ” รูปา จันดา ผู้อํานวยการฝ่ายการค้า การลงทุน และนวัตกรรมขององค์การสหประชาชาติ ESCAP กล่าว “โปรแกรมฝึกอบรมทักษะด้านดิจิทัลเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเท่าเทียมกันทางดิจิทัลในอนาคต ให้โอกาสการเรียนรู้ที่เท่าเทียมแก่ผู้คนจากทุกภูมิหลัง และขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ”
“Asia Internet Coalition (สมาพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชีย) เห็นด้วยกับผลการศึกษาที่ยืนยันถึงคุณค่าและความสำคัญของทักษะด้านดิจิทัลที่มีต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก เป็นการเน้นย้ำถึงความจําเป็นที่ภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ต้องทํางานร่วมกันอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มความรู้ด้านดิจิทัลและสนับสนุนการยกระดับทักษะทั่วทั้งภูมิภาค เศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาหลังจากสถานการณ์โควิด การเชื่อมช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลจะช่วยเร่งการรวมดิจิทัลและการสร้างระบบนิเวศ ที่จะขับเคลื่อนการฟื้นตัวโดยรวมของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้” เจฟฟ์ พายน์ กรรมการผู้จัดการ Asia Internet Coalition กล่าว
AWS มีแผนการลงทุนโดยประมาณมากกว่า 190,000 ล้านบาท (5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 15 ปี ด้วยการเปิดตัว AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ในเดือนตุลาคม 2565
ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการลงทุนหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อฝึกอบรมทักษะระบบคลาวด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ผู้คน 29 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568 ณ ปัจจุบัน AWS ได้ฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้แก่บุคลากรไปแล้วมากกว่า 13 ล้านคน สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกอบรมด้านคลาวด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายของ AWS สามารถดูได้ที่ AboutAmazon.com/29million
ดาวน์โหลด “Asia Pacific Digital Skills Study: The Economic Benefits of a Tech-Savvy Thai Workforce”
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) จับโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนหลังการยุตินโยบายโควิด-19เป็นศูนย์ (Zero Covid-19) เปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคเคพี ไชน่า เฮดจ์ (KKP CHINA-H) กองทุนที่บริหารแบบ Passive เพื่อให้ผลดำเนินงานเป็นไปตามดัชนี MSCI CHINA ALL SHARES ที่ครอบคลุมการเติบโตของหุ้นจีนทุกตลาด ทั้ง Onshore และ Offshore โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21 ก.พ. – 1 มี.ค. 2566 เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท
นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2566 โดยเฉพาะการเปิดเมืองของจีนอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นปี 2566 และการที่ภาคครัวเรือนมีอัตราการออมสะสมสูงกว่าปกติจากการปิดเมืองในช่วงที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่สำคัญ ประกอบกับ รัฐบาลจีนทยอยออกมาตรการมุ่งเน้นแก้ปัญหาสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ ช่วยให้หลายบริษัทเพิ่มทุนได้สำเร็จและเพิ่มความมั่นใจของประชาชนที่ต้องการซื้อบ้าน รวมถึงโอกาสที่นโยบายของรัฐบาลจะสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นหาก หลี่เฉียง ซึ่งมีวิสัยทัศน์เปิดกว้างและสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชนได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากหลี่เค่อเฉียงในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ มูลค่าของตลาดหุ้นจีน MSCI China All Shares มี Forward P/E ratio ที่ 14.4 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 15.3 เท่า (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566) ด้วยเหตุนี้ ทางบลจ.เกียรตินาคินภัทรจึงได้นำเสนอกองทุน KKP CHINA-H เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน
สำหรับ กองทุน KKP CHINA-H ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Fund of Funds ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจและหรือได้รับประโยชน์จากการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน จุดเด่นของกองทุน KKP CHINA-H คือ การลงทุนในหุ้นจีนครอบคลุมทุกตลาด ทั้ง A-Shares / B-Shares / H-Shares / Red-Chips / P-Chips / ADRs ผ่านการลงทุนใน ETFs หลายกองทุน โดยเป็นกองทุนหุ้นจีน Passive กองทุนแรกที่มุ่งหวังให้ผลการดำเนินงานของกองทุนเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี MSCI China All Shares Index ซึ่งสะท้อนการเติบโตของหุ้นจีนในทุกตลาดตามสัดส่วนอย่างแท้จริง โดยกองทุน KKP CHINA-H จะทำการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 305 9559 หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง
ข้อมูลกองทุน KKP CHINA-H FUND :
· เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 21 ก.พ. – 1 มี.ค. 2566
· มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท
คำเตือน
· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
· ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
· กองทุนนี้เป็นกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศหลายกองทุน (Fund of Funds) ทั้งนี้ กองทุนนี้ไม่ได้เป็นกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น และมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในต่างประเทศ
· กองทุนนี้จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยกองทุนจะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมด คือ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
· โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง
โลกใหม่ของการใช้พอยท์ สนุกกับการใช้พอยท์แทนเงินสด “PointX” (พอยท์เอกซ์) แพลตฟอร์มที่รวมทุกคะแนนสะสมไว้ในที่เดียว เปลี่ยนประสบการณ์การใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด พัฒนาโดย “เอสซีบี เทคเอกซ์” (SCB TechX) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ล่าสุดส่งแคมเปญสุดพิเศษเอาใจสายลักชู (รี่) “PointX #ใช้พอยท์ซื้อทอง มีแต่ได้กับได้” ยิ่งช้อป ยิ่งรับพอยท์คืนสุดคุ้มกับ PointX เมื่อชำระค่าสินค้าและบริการด้วย PointX แทนเงินสด ผ่านฟีเจอร์สแกนจ่ายผ่าน QR Code (Scan & Pay) ที่ 4 ร้านทองชื่อดัง ได้แก่ ห้างเพชรทองออโรร่า ห้างทองแม่ทองสุก ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ และร้านทอง YLG ทุกสาขาที่ร่วมรายการ รับพอยท์คืน 2 ต่อ รวมสูงสุด 11,000 PointX ต่อที่ 1 เมื่อชำระค่าสินค้าและบริการทุก 10,000 PointX ต่อรายการใช้จ่าย รับคืน 1,000 PointX จำกัดพอยท์คืนสูงสุด 3,000 PointX/ท่าน/เดือน และสูงสุด 9,000 PointX ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย รวมทุกร้านค้า จำกัดจำนวน 100 สิทธิ์ ต่อเดือน ต่อที่ 2 เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมตั้งแต่ 100,000 PointX ขึ้นไป รับคืนเพิ่ม 2,000 PointX รวมทุกร้านค้า ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 – 12 เมษายน 2566 (รายการส่งเสริมการขาย เดือนที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 – 12 มีนาคม 2566 เดือนที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2566 – 12 เมษายน 2566 และเดือนที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2566 – 12 พฤษภาคม 2566) เริ่มต้นอิสระแห่งการใช้พอยท์ ได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777 หรือเว็บไซต์ https://www.pointx.scb/gold-campaign/
สำหรับผู้ที่สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “PointX” โลกใหม่ของการใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ · ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด https://www.pointx.scb/get/
· QR Code สำหรับดาวน์โหลด
![]()
· รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.pointx.scb/
เคทีซียืนหนึ่งบัตรเครดิตสำหรับสายช้อปออนไลน์ สานต่อความร่วมมือกับช้อปปี้ ผู้นำ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ประเดิมส่งมอบความคุ้มค่า ให้สมาชิกเคทีซีผ่าน 2 แคมเปญใหญ่ ต้อนรับมหกรรมช้อปปิ้งสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของปี ‘Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี’ มอบโค้ดส่วนลดพิเศษสูงสุด 750 บาท ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง 3 มีนาคม 2566 และ ‘แคมเปญแฟลชเซล (FLASH SALE)’ ลดคะแนนสูงสุด 70% เมื่อแลกรับโค้ดส่วนลด Shopee ผ่านแอปฯ KTC Mobile ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 – 3 มีนาคม 2566
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาการช้อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในหมวดหมู่การจับจ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีที่ครองสัดส่วนและมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแอปฯ ช้อปปี้ ซึ่งหมวดใช้จ่ายที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้าน (Home & Living) ความงามและของใช้ส่วนตัว (Beauty & Personal Care) อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Health & Wellness) เป็น 3 หมวดสินค้าหลักที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักช้อปออนไลน์”
“เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำบัตรเครดิตเคทีซีในการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ และมุ่งหวังที่จะขยายอัตราการเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น เราจึงได้สานต่อความร่วมมือกับช้อปปี้ พันธมิตรอีคอมเมิร์ซชั้นนำของไทย จัดแคมเปญการตลาดร่วมกันตลอดทั้งปี เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของนักช้อป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงแคมเปญดับเบิ้ลเดท (Double Date) ที่ลูกค้ามีความตื่นตัว และให้การตอบรับที่ดีมากในปีที่ผ่านๆ มา”
“สำหรับมหกรรม Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นนี้ สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี จะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย เมื่อช้อปออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Shopee ดังนี้ รับส่วนลด 150 บาท เมื่อช้อปครบ 1,200 บาทต่อรายการ พร้อมใส่โค้ด “33SPKTCMCPRE” และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง 2 มีนาคม 2566 พิเศษเฉพาะวันดีเดย์ (3 มีนาคม 2566) รับส่วนลด 750 บาท เมื่อช้อปครบ 8,000 บาทต่อรายการ พร้อมใส่โค้ด “33SPKTCMCH” และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด รับส่วนลด 330 บาท เมื่อช้อปครบ 2,299 บาทต่อรายการ พร้อมใส่โค้ด “33SPKTCMC” และ
ชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด รับส่วนลด 290 บาท เมื่อช้อปครบ 2,299 บาทต่อรายการ พร้อมใส่โค้ด “33SPKTC” และชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี-วีซ่า หรือบัตรเครดิตเคทีซี-มาสเตอร์การ์ด หรือบัตรเครดิตเคทีซี-เจซีบี”
![]()
“นอกจากนี้ เคทีซียังจัด ‘แคมเปญแฟลชเซล (FLASH SALE)’ ลดคะแนนสูงสุด 70% เมื่อแลกรับโค้ดส่วนลด Shopee ผ่านแอปฯ KTC Mobile ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 – 3 มีนาคม 2566 โดยมีรายละเอียดดังนี้ แลกรับโค้ดส่วนลด Shopee มูลค่า 200 บาท เพียงใช้ 999 คะแนน (ลดคะแนน 50%) สำหรับนำไปช้อปขั้นต่ำ 500 บาทต่อรายการ แลกรับโค้ดส่วนลด Shopee มูลค่า 500 บาท เพียงใช้ 1,699 คะแนน (ลดคะแนน 66%) สำหรับนำไปช้อปขั้นต่ำ 2,500 บาทต่อรายการ แลกรับโค้ดส่วนลด Shopee มูลค่า 2,000 บาท เพียงใช้ 5,999 คะแนน (ลดคะแนน 70%) สำหรับนำไปช้อปขั้นต่ำ 9,999 บาทต่อรายการ”
นางสาวสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จของแคมเปญดับเบิ้ลเดทที่ผ่านมานั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากการสนับสนุนที่ดีจาก พันธมิตรธุรกิจชั้นนำ ช้อปปี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เคทีซีให้เกียรติเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในมหกรรมช้อปปิ้ง สุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของปีอย่าง ‘Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี’ ที่กำลังจะเริ่มต้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ โดยช้อปปี้เชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยสร้างสีสัน และยกระดับประสบการณ์การ ช้อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบ ให้นักช้อปได้เพลิดเพลินและเต็มอิ่มไปกับการจับจ่ายซื้อสินค้าที่ครอบคลุมและ หลากหลาย ภายใต้แนวคิดช้อปคุ้ม ช้อปเลือกได้ ช้อปเลยที่ช้อปปี้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถกรอกเก็บโค้ดได้ที่หน้าแอปพลิเคชันช้อปปี้ ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 โดยไปที่หน้า ‘ฉัน’ > ‘โค้ดส่วนลดของฉัน’ จากนั้นใส่ชื่อโค้ด และกดเก็บโค้ด แล้วนำไปช้อปพร้อมกันในมหกรรม Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี โดยอย่าลืม! กดเลือกโค้ดส่วนลดก่อนการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเคทีซีทุกครั้ง เพื่อรับประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดคุ้มค่า และสามารถดูรายละเอียดโปรโมชันของเคทีซี ได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/Shopee สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิต เคทีซีทุกประเภท สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์นี้ https://www.ktc.co.th/apply/credit-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อ KTC Phone โทร. 0-2123-5000
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจล้วนเป็นปัจจัยที่ ท้าทายผู้ให้บริการทางสาธารณสุขทั่วโลกในการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานและคิดค้นรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยใหม่ๆ ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ได้หันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ตลอดจนความจำเป็นในการลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมเพื่อการรักษาสุขภาพของโลกเช่นกัน เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายข้างต้น ฟิลิปส์จึงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่คาดว่าจะมาแรงในปี ค.ศ. 2023 นี้
1. การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ (Workflow Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่าปัญหาด้านบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกๆ ของผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ และหากไม่จัดการกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ภาวะหมดไฟและการขาดแคลนบุคลากรจะส่งผลให้ระบบสาธารณสุขอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในด้านรังสีวิทยา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า นักรังสีวิทยาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะเหนื่อยล้าจากการทำงาน และทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง [1] ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ทั่วโลกจะขาด
แคลนเจ้าหน้าที่พยาบาลถึง 13 ล้านคนภายในปีค.ศ. 2030 [2] นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องเผชิญกับงานค้างจากการรักษาปกติที่ถูกพักไว้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดยิ่งทำให้เกิดภาวะตึงเครียดมากกว่าปกติ ซึ่งจากปัญหานี้ จะเห็นว่าผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขได้นำระบบการทำงานอัตโนมัติที่มีเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์
ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) เป็นเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดภาระงานด้านเอกสารให้กับแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์น้อยลงและมีเวลาอยู่กับผู้ป่วยมากขึ้น นั่นหมายถึงการปรับปรุงกระบวนการทำงานขั้นพื้นฐานที่ให้ผลลัพธ์สูง เช่น การเปิดใช้งานระบบส่งต่อข้อมูลตรวจติดตามผู้ป่วยเข้าสู่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้
![]()
2. การเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลผ่านการฝึกอบรมและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ระบบการทำงานอัตโนมัติสามารถช่วยลดภาระงานที่มากเกินไปในแต่ละแผนกของโรงพยาบาลได้ แต่บุคลากรทางการแพทย์ยังจำเป็นต้องได้รับความรู้และการฝึกอบรมที่เหมาะสมเพื่อให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยพบว่า 1 ใน 5 ของบุคลากรทางการแพทย์ลาออกจากสายงานนี้ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 [3] การฝึกอบรมบุคลากรใหม่ๆ อย่างเพียงพอจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อความต่อเนื่องในการทำงาน ความปลอดภัยและคุณภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วย และในอนาคต เราจะเห็นความต้องการ ‘บริการด้านการศึกษา’ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นด้านดิจิทัลในวงการเฮลท์แคร์
![]()
3. การปฏิบัติงานทางไกล (Remote Operations) ผ่านการทำงานร่วมกันออนไลน์ (Virtual Collaboration)
นี่เป็นหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจุบันได้กลายเป็นเทคโนโลยีหลักในวงการเฮลท์แคร์ เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น
การทำงานร่วมกันแบบทางไกลยังมีประโยชน์ด้านการแพทย์อื่นๆ เช่น การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน อย่างระบบ Tele-ICU (เทเล-ไอซียู) ช่วยส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยวิกฤติถึงข้างเตียงผ่านการใช้เทคโนโลยีไม่ว่าสถานพยาบาลนั้นจะตั้งอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากส่วนกลางสามารถตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) แบบทางไกล ได้สูงสุดถึง 500 เตียงเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมบุคลากรในพื้นที่ โดยผสานเทคโนโลยีแสดงภาพและเสียง (Audio-visual technology), เทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive analytics) และการแสดงผลข้อมูล (Data visualization) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเมื่อจำเป็น
![]()
4. โซลูชันด้านสารสนเทศ (Informatics solutions) ที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้
เนื่องจากระบบสาธารณสุขมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันจำเป็นต้องสามารถ 'เชื่อมต่อ' ถึงกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ตามปกติ โรงพยาบาลจะจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์จากหลากหลายแบรนด์ ซึ่งมักส่งผลต่อการกระจัดกระจายของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ส่งผลต่อประสบการณ์ด้านสาธารณสุขที่ไม่เชื่อมต่อกัน แนวทางในการแก้ปัญหาคือ การนำโซลูชันด้านสารสนเทศที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้มาใช้มากขึ้นใน ปีค.ศ. 2023 และในอนาคต
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินและในระยะฟื้นฟู แพลตฟอร์มเชื่อมต่อเครื่องมือแพทย์แบบเป็นกลาง สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครือข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันเพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงลึกและการแจ้งเตือนที่สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น และแพลตฟอร์มดังกล่าวยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) ของโรงพยาบาล รวมถึงเครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือทางคลินิกได้อีกด้วย ส่งผลให้บุคลากรในโรงพยาบาลสามารถเห็นภาพรวมเกี่ยวกับอาการและปัจจัยด้านสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละรายได้ เมื่อการส่งต่อข้อมูลระหว่างระบบและอุปกรณ์ง่ายขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการดึงข้อมูลผู้ป่วยจากไซต์และแผนกต่าง ๆ อีกต่อไป
![]()
5. เฮลท์แคร์กำลังย้ายไปอยู่บนคลาวด์ (Cloud)
คลาวด์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญในการเชื่อมต่อและบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้านเฮลท์แคร์ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องมีความปลอดภัยระดับสูงและสามารถรองรับข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล ก่อนหน้านี้การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์ถือว่าล้าหลังมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับมากขึ้น
และน่าจะได้เห็นการนำคลาวด์ไปใช้ทั่วทุกมุมโลกในปี 2023 นี้ และน่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของโซลูชัน software-as-a-service (SaaS) ที่ส่งผ่านระบบคลาวด์ตามมา
![]()
6. การติดตามอาการผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อทั้งในและนอกโรงพยาบาล การใช้งานโซลูชันดิจิทัลบนคลาวด์ในวงการสาธารณสุขจะช่วยสนับสนุนการแชร์ข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นและสร้างรากฐานของระบบสาธารณสุขที่สามารถเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลไปสู่บ้านผู้ป่วยและชุมชน จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่า ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์เล็งเห็นว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ต้องหันมาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ รองจากความพึงพอใจและการรักษาบุคลากรทางการแพทย์ในองค์กร การให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้องในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้ป่วยได้
![]()
7. มุ่งเน้นที่การส่งมอบบริการทางสาธารณสุขที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านเฮลท์แคร์เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ชนบท การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางบางกลุ่ม และทำให้ช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ความไม่
เท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุขทั้งภายในและระหว่างประเทศอาทิ อัตราการเจ็บป่วยที่สูงกว่าในบางเชื้อชาติและบางกลุ่มชาติพันธุ์กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น [4] ทำให้ทั่วโลกพยายามหาทางออกในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในระบบสาธารณสุข [5] จากการรายงาน Future Health Index 2022 report เผยว่าผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ของสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญด้านความเท่าเทียมทางสาธารณสุขเป็นอันดับแรก
ต่อจากนี้ สังคมคาดหวังให้องค์กรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพและเป็นพันธมิตรทางด้านการเงินในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียม แพลตฟอร์ม อย่าง Digital Connected Care Coalition สามารถเชื่อมต่อองค์กรภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยผลักดันให้โครงการดิจิทัลเฮลท์ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับโซลูชันด้านเฮลท์แคร์เทคโนโลยีในอนาคต ต้องช่วยให้เกิดการส่งมอบด้านสาธารณสุขที่เท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรืออาศัยอยู่ที่ใด เราต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและได้รับความร่วมมือในการให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการทางนวัตกรรม และนั่นหมายถึงการรับฟังและทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางสาธารณสุขที่มีอยู่
![]()
8. การหมุนเวียน คือ กลยุทธ์ในการลดผลกระทบต่อสภาพอากาศของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข
การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุและอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรัง ทำให้โมเดลด้านสาธารณสุขอย่างยั่งยืนเป็นที่ต้องการอย่างมาก รวมถึงปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งอุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นร้อยละ 4 ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินหรือการขนส่งอีก และยังทำให้เกิดขยะจำนวนมากอีกด้วย ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน จึงมองหาเทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนี้ได้
ในเทคโนโลยีเฮลท์แคร์ 'การหมุนเวียน' เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์ แต่การประยุกต์ใช้เครื่องมือด้านสมาร์ทดิจิทัลก็ยังสามารถช่วยให้ระบบการดูแลสุขภาพสามารถลดการใช้ทรัพยากรการผลิต ' เพื่อส่งมอบประโยชน์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น การสนับสนุนให้เปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกทางคลินิกที่ใช้ทรัพยากรมากไปสู่การใช้เครือข่ายที่เชื่อมต่อได้จากที่บ้านซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า และเทรนด์การใช้โซลูชั่นบนคลาวด์ โซลูชั่นบริการ และโซลูชั่นด้านซอฟต์แวร์นั้น จะช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรสำหรับเครื่องมือทางการแพทย์ และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
![]()
9. ลดคาร์บอนในวงการเฮลท์แคร์ให้สอดคล้องกับการตั้งเป้าตามหลัก science-based
ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก และพยายามลงมือทำบางอย่างเพื่อรับผิดชอบต่อปัญหาดังกล่าว โดยบริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์มีการตั้งเป้ากำหนดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามหลัก science-basedตัวอย่างเช่น รัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศให้บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปต้องกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนภายในปีค.ศ. 2025 โดยมี Science Based Targets initiative (SBTi)เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนให้องค์กรต่างๆ กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซอย่างชัดเจนว่าจะสามารถลดผลกระทบได้มากและเร็วเท่าใดเพื่อลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ในปีค.ศ. 2022 องค์กรมากกว่า 2,200 แห่ง ซึ่งมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลกได้ทำงานร่วมกับองค์กร SBTi
สำหรับองค์กรด้านเฮลท์แคร์ได้มีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยการลดการใช้พลังงานทางตรงผ่าน
การนำเสนอเทคโนโลยีด้านด้านเฮลท์แคร์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และทางอ้อม ด้วยการลดการปล่อยมลพิษผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
![]()
10. สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพของประชากร จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค Centers for Disease Control and Prevention (CDC) เผยว่าอุณหภูมิและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผลกระทบด้านสภาพอากาศ ส่งผลต่อสุขภาพประชากรในด้านต่างๆบริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน มลพิษ การบริโภค และการปล่อยก๊าซพิษ ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเห็นแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในวงการเฮลท์แคร์ ด้านการ ‘ประเมินต้นทุนทางธรรมชาติ’ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรจากข้อมูลของ World Economic Forum พบว่าการป้องกันและฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติสามารถช่วยลดต้นทุนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 37 ซึ่งจำเป็นภายในปีค.ศ. 2030 เพื่อรักษาภาวะโลกร้อนให้ลดลง 2 องศาเซลเซียสอีกทั้งยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้มีความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต [7]
“บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด” (InnovestX Securities Co., Ltd.) เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินการลงทุนแห่งอนาคตอย่างต่อเนื่อง ร่วมสนับสนุนโครงการแข่งขัน “2022-2023 CFA Institute Research Challenge” ซึ่งจัดขึ้น โดย สมาคม ซีเอฟเอ ไทยแลนด์ (CFA Society Thailand) เวทีเฟ้นหา ‘Thailand Winner’ สุดยอดทีมนักศึกษาดาวรุ่งคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ ความสามารถโดดเด่น
ภายใต้การแข่งขันทดสอบความสามารถ ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างเข้มข้น โดยผู้ชนะในปีนี้ ได้แก่ ทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรบริหารธุรกิจ (นานาชาติ) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติที่มีผู้เข้าแข่งขันจากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก นับเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่ม Talent ได้พัฒนาขีดความสามารถและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการเงิน การลงทุนอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่สายอาชีพต่อไปในอนาคต
นายพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ Assistant Managing Director และ Head of Private Fund Management บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) มุ่งมั่นในการวางรากฐาน และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินการลงทุนแห่งอนาคตอย่างครบวงจรในประเทศไทย โดยหนึ่งในกลไกที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการเงินการลงทุนคือบุคลากรที่มีคุณภาพ เราจึงให้ความสำคัญและส่งเสริมความรู้ด้านการเงินการลงทุน เพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ และมีทักษะที่สามารถรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจึงได้ร่วมสนับสนุนโครงการ “2022-2023 CFA Institute Research Challenge” เวทีทดสอบความสามารถในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ผลักดันนักศึกษาดาวรุ่งนักการเงินการลงทุนรุ่นใหม่ระดับแนวหน้าของประเทศ ด้วยการสนับสนุนเงินรางวัลแก่ทีมที่เข้ารอบสุดท้าย รวมถึงทีมผู้ชนะ มูลค่ารวม 100,000 บาท พร้อมให้ความรู้ คำแนะนำ แบ่งปันประสบการณ์ให้กับน้อง ๆ โดยนักศึกษาในโครงการจะได้รับการฝึกฝน และการทำวิจัยผ่าน ประสบการณ์จริง ได้โอกาสในการเรียนรู้แบบใกล้ชิดจากกูรูแถวหน้าจากบริษัทมหาชนชั้นนำ และจากที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการเงินการลงทุน รวมถึงโอกาสในการแข่งขันร่วมกับทีมระดับท็อปในเวทีโลกที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา”
“เรามุ่งหวังว่าการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการสนับสนุนและผลักดันนักการเงินการลงทุนรุ่นใหม่ในครั้งนี้ จะสามารถช่วยสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและมีศักยภาพ ในตลาดทุนที่มีความซับซ้อน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการวางรากฐานและร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนแห่งอนาคตที่แข็งแกร่ง และยั่งยืนให้กับประเทศไทย ต่อไป” นายพสุวุฒิ กล่าวเสริม
สถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คาดการณ์ทิศทางความยั่งยืนของภาคธุรกิจไทย ปี 66 จุดกระแส ESG (Environmental, Social and Governance) จากที่เป็นปัจจัยความเสี่ยงขององค์กร สู่ปัจจัยที่ใช้เป็นโอกาสทางธุรกิจเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนของกิจการตามทิศทางกระแสโลก
ปัจจุบัน ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจอย่างเข้มข้น และกระทบกับกิจการในทุกขนาด ทุกสาขา ESG ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกบรรจุเป็นหลักเกณฑ์ในการขอสินเชื่อของธนาคาร พัฒนาเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบของผู้ลงทุนสถาบัน เป็นปัจจัยใหม่ในการตัดสินใจจับจ่ายของลูกค้า และกลายมาเป็นข้อพิจารณาในการสมัครเข้าทำงานของบุคลากร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ เป็นต้น
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ได้กล่าวในงานแถลงทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 ที่จัดขึ้นวันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2566) ว่า “ปัจจุบัน ESG มิได้เข้ามามีบทบาทเพียงในแง่ของความเสี่ยงที่กระทบกับธุรกิจ หรือถูกมองว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายทางเดียว แต่ยังเป็นผลกระทบที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจ และถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ช่วยเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนของกิจการ ซึ่งหากธุรกิจสามารถจับกระแสในเรื่องนี้ แล้วแปลงมาเป็นโจทย์ทางธุรกิจได้ ก็จะทำให้กิจการได้ประโยชน์จากเรื่อง ESG ในฐานะที่เป็นใบเบิกทาง (Enabler) สู่ตลาดใหม่ ๆ”
ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้ประมวลแนวโน้มการขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจไทย ไว้เป็น 3 ธีมสำคัญ ได้แก่ LEAN รับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย CLEAN เพื่อสังคมที่มีสุขภาวะ และ GREEN ที่มากกว่าคำมั่นสัญญา
พร้อมกับการประเมินทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 ใน 6 ทิศทางสำคัญ ได้แก่
1) ESG as an Enabler
2) Industry-specific Taxonomy
3) Double Materiality
4) Climate Action
5) Lean Operation
6) Proof of Governance
สำหรับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจที่จะใช้ ESG เป็นกรอบในการขับเคลื่อน สามารถนำไปเป็นข้อมูลนำเข้าและใช้พัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของกิจการให้มีความครอบคลุมอย่างรอบด้าน
ในงานแถลงทิศทางความยั่งยืนปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ยังได้จัดให้มีการเสวนาเรื่อง ESG Footprint: The Supplier Journey แนะนำการดำเนินการด้าน ESG กับผู้ส่งมอบ (Suppliers) ตามมาตรฐาน GRI1 ที่ทั่วโลกยอมรับ สำหรับขยายบทบาทด้าน ESG ของกิจการ จากที่ทำได้สมบูรณ์แล้วภายในองค์กร ไปสู่คู่ค้าในสายอุปทานเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้ามีการดำเนินงานโดยคำนึงถึง ESG ในทิศทางที่กิจการคาดหวัง โดยในงานยังเปิดโอกาสให้กิจการที่สนใจสมัครเข้าร่วมดำเนินการด้าน ESG กับผู้ส่งมอบ โดยใช้ประโยชน์จากโครงการ ESG Footprint ด้วย
นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “ในปี 2566 นี้ ภาคเอกชนที่ต้องการขยายบทบาทการดำเนินการด้าน ESG กับคู่ค้า/ผู้ส่งมอบในสายอุปทานของตน เพื่อตอบโจทย์การสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน (The Ecosystem of Sustainability) สามารถนำเกณฑ์ชี้วัดที่เป็นสากล อาทิ GRI 308 (Supplier Environmental Assessment) และ GRI 414 (Supplier Social Assessment) มาใช้ในการประเมิน ESG Footprint และเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ ผ่านรายงานความยั่งยืนของกิจการ”
การประเมิน ESG Footprint สามารถใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงาน (GRI 302) น้ำและน้ำทิ้ง (GRI 303) มลอากาศ (GRI 305) และเกณฑ์ด้านสังคม อาทิ การจ้างงาน (GRI 401) อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (GRI 403) แรงงานเด็ก (GRI 408) แรงงานเกณฑ์และแรงงานบังคับ (GRI 409) มาใช้กับคู่ค้า เพื่อรับทราบสถานะความยั่งยืนในสายอุปทานตามประเด็น ESG ที่องค์กรได้ดำเนินการและที่ควรดำเนินการ (Gap)
นายฌานสิทธิ์ ยอดพฤติการณ์ กรรมการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “เพื่อช่วยภาคเอกชนในการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ได้ก่อตั้ง ESG Sandbox โดยนำโครงการที่อยู่ในระหว่างริเริ่ม อาทิ ESG Meter มาตรวัดความยั่งยืนขององค์กร, ESG Footprint รอยเท้าความยั่งยืนในสายอุปทาน, ChatESG สื่อความยั่งยืนด้วยฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาทำงานร่วมกับองค์กรที่สนใจในวงจำกัด โดยสามารถนำไปทดลองใช้ก่อนที่จะเผยแพร่ในวงกว้าง”
ESG Sandbox เป็นความริเริ่มของสถาบันไทยพัฒน์ เพื่อใช้เป็นแพลตฟอร์มทำงานร่วมกับภาคเอกชน ในการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาโครงการที่ใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งมีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดความพลิกผัน (Disruption) ด้านความยั่งยืนในอนาคต โดยเปิดโอกาสให้องค์กรที่เข้าร่วมสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการที่อยู่ใน Sandbox ก่อนองค์กรอื่น ๆ ทั้งในรูปแบบที่เป็นองค์กรสมาชิก (Member) ผู้อุปถัมภ์ (Sponsor) และผู้ให้ทุน (Funder) โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามระดับ
หน่วยงานที่ต้องการใช้ประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ ใน ESG Sandbox ของสถาบันฯ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ www.thaipat.org ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป