

สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) และ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน เฟ้นหาสุดยอดทีมพัฒนาแผนธุรกิจสตาร์ตอัปที่มุ่งเน้นความยั่งยืน SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2023 ในรอบ Global Competition เปิดรับสมัครนิสิต-นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก ทุกสาขาจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก ที่มีไอเดียทางด้านนวัตกรรมและสุดยอดแผนธุรกิจเพื่อตอบโจทย์สังคมและความยั่งยืน ชิงถ้วยรางวัลพร้อมเงินสดรวมมูลค่ากว่า 42,000 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1,400,000 บาท
ทั้งนี้ SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin เป็นการแข่งขันวางแผนธุรกิจสตาร์ตอัปภาคภาษาอังกฤษที่จัดขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานที่สุดในเอเชีย โดยเปิดโอกาสให้นิสิต-นักศึกษาทั่วโลกมาแสดงความสามารถในการวางแผนธุรกิจของตนเอง และในปีนี้ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Growing Impactful Ventures” เน้นให้เกิดผลงานที่มีความสร้างสรรค์ในมุมมองใหม่ ๆ และผลักดันให้ทีมผู้เข้าแข่งขันทำธุรกิจที่เกิดความยั่งยืน ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน Global Competition ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2566 โดยงานแข่งขันรอบ Semi-final ถึงรอบ Final จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 24 มิถุนายน 2566 ที่ ศศินทร์ ร่วมชิงถ้วยรางวัลพร้อมเงินสด รวมทั้งโอกาสในการ networking กับทีมต่าง ๆ ทั่วโลก
มาร่วมเป็นหนึ่งในทีมนิสิต-นักศึกษาไทยที่ก้าวไกลสู่เวทีระดับโลก ด้วยไอเดียและนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ สมัครได้แล้ววันนี้ที่ https://bit.ly/apply2bbcgl2023 สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://bbc.sasin.edu/2023/ หรือ Facebook page: bangkokbusinesschallenge
นนทบุรี- บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินกู้สีเขียว ประมาณ 495 ล้านเหรียญออสเตรเลีย เพื่อปรับโครงสร้างหนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 3 แห่งในออสเตรเลีย ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเล็กเตอร์ ขนาดกำลังการผลิต 226.8 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมเมาท์เอเมอรัลด์ ขนาดกำลังการผลิต 180.5 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คอลลินส์วิลล์ ขนาดกำลังการผลิต 42.5 เมกะวัตต์ ธุรกรรมดังกล่าวดำเนินการผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมด คือ บริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) ซึ่งตั้งอยู่ในออสเตรเลีย ภายใต้กรอบการเงินสีเขียว (Green Finance Framework) ของ RAC ซึ่งสอดคล้องกับหลักการตราสารหนี้เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond Principle) ของ International Capital Market Association และหลักการการกู้ยืมสีเขียว (Green Loan Principle) ของ Loan Market Association
![]()
สำหรับบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าในออสเตรเลีย โดยพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1.2 กิกะวัตต์ ความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งแล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของ RAC ให้สามารถขยายการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
![]()
เงินกู้สีเขียวดังกล่าวนี้ ได้รับรางวัล IJGlobal Awards 2022 ประเภท “Refinance Deal of the Year – Portfolio” ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากเป็นธุรกรรมจัดหาเงินกู้เพื่อนำไปชำระคืนหนี้พอร์ตลงทุนโครงการพลังงานทดแทนและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีอันเป็นผลมาจากราช กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ RAC มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน-1 ประเทศอินโดนีเซีย กำลังการผลิตติดตั้ง 180 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 47.89 ยังได้รับรางวัล “Refinance Deal of the Year – Hydropower” จาก IJGlobal Awards 2022 ด้วย
มร.คาซึนาริ โอกาวะ (ที่3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จํากัด ปลื้มกระแสตอบรับจากโครงการ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ หลังจับมือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเหล่าพันธมิตรแบรนด์ ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด และบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปลุกกระแสการเทรดหุ้นออนไลน์ในไทย ผ่านรูปแบบการแข่งขันสไตล์เกมออนไลน์ e-sport หวังสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนในไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ช่วยให้กลุ่มนักลงทุนมือใหม่ได้เข้าใจขั้นตอนและช่องทางการเทรดหุ้นขั้นพื้นฐานแบบครบครัน โดยการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศได้จัดขึ้นที่ AIS eSports Studio ชั้น 2 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ของการแข่งขันโครงการ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ ในปีนี้ ได้แก่ คุณวัชรพงศ์ แก้วก่อศรี รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล ผู้สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbito.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/Sbithaionline/
บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง (Blue Ocean Plastic Recycling) สตาร์ตอัปด้านการจัดเก็บและรีไซเคิลขยะพลาสติกในทะเลเดินหน้าโครงการรีไซเคิลที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนบนเกาะสมุย เพื่อต่อสู้กับขยะพลาสติกในทะเลและตามแนวชายฝั่งควบคู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อประโยชน์ของชุมชนและธุรกิจในท้องถิ่น
โครงการนี้ทำงานร่วมกับพันธมิตร ไทด์ โอเชียน แมทีเรียล (Tide Ocean Material) เพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกที่มีการจัดเก็บมาเป็นพลาสติกรีไซเคิลที่ได้รับการรับรองด้านความยั่งยืน (sustainability-certified recycled plastic) ซึ่งนำไปใช้ผลิตสินค้าได้หลากหลายประเภท และสามารถตรวจสอบย้อนกลับเพื่อติดตามประวัติของผลิตภัณฑ์ได้ทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า เริ่มตั้งแต่คนเก็บขยะ คนรวบรวมขยะ ไปจนถึงบริษัทหรือแบรนด์ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ทั้งนี้ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ระบุว่า กระบวนการทั้งหมดควรได้รับการรับรองและตรวจสอบโดยองค์กรที่เป็นบุคคลที่ 3 เช่นเดียวกับโครงการที่เราได้ดำเนินไปแล้วในจังหวัดระนอง เพื่อให้มั่นใจว่าพลาสติกรีไซเคิลที่ผลิตได้นั้นมาจากการจัดเก็บขยะพลาสติกตามแนวทางที่ยั่งยืนและก่อเกิดเป็นรายได้กลับคืนสู่ชุมชนโดยตรง
ดร. มิเชล พาร์โดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ขึ้นในปี 2565 กล่าวว่า “โครงการรีไซเคิลแบบดั้งเดิมมักมองข้ามประเด็นของชุมชนและความโปร่งใส เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับเพื่อติดตามขยะพลาสติกหลังจากถูกขายให้กับโรงงานรีไซเคิล”
“บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง และพันธมิตรได้ร่วมกันปรับเปลี่ยนกระบวนการ โดยเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดเก็บขยะไปจนถึงการเปลี่ยนเป็นพลาสติก รีไซเคิล ผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชนต้นทาง ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงการรีไซเคิลขยะพลาสติกที่ยั่งยืนในระยะยาว ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการทำงานของโครงการ แสดงความเห็นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น จุดรวบรวมขยะในโรงเรียนและที่ตั้งของศูนย์รับขยะรอบเกาะ และตระหนักว่า บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง จะส่งมอบประโยชน์เชิงเศรษฐกิจโดยตรงต่อชุมชนได้อย่างไร” ดร. มิเชล กล่าว
บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากความสำเร็จของ โครงการวิสาหกิจชุมชนรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม จังหวัดระนอง (Ranong Recycle for Environment) ที่ได้รับการรับรองด้านขยะพลาสติกในทะเลจาก Ocean Bound Plastic และทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นชาวมอแกนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับท้องทะเล
เซคเคินด์มิวส์ (SecondMuse) ซึ่งเป็นบริษัทที่ส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกและนวัตกรรม ระบุว่า โครงการในจังหวัดระนอง เป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานของ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ในการดำเนินโครงการลักษณะเดียวกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านของชุมชนต่าง ๆ บนเกาะสมุย
นางสาว ซาราห์ ฟาน บูคเคาท์ ผู้จัดการโครงการเซคเคินด์มิวส์ กล่าวว่า “โครงการวิสาหกิจชุมชนรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมจังหวัดระนอง เป็นโมเดลที่แปลกใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางในภาคใต้ของไทย และการลดจำนวนพลาสติกที่รั่วไหลออกไปสู่สิ่งแวดล้อม เราประทับใจมากที่โครงการนี้ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชน โดยสนับสนุนให้ทุกคนเป็นผู้จัดเก็บขยะในห่วงโซ่อุปทานของพลาสติกรีไซเคิลแบบองค์รวม และเมื่อบลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง เสนอแผนงานการขยายโครงการสู่เกาะสมุย เราจึงรู้สึกยินดีและพร้อมให้การสนับสนุน”
ระหว่างปี 2562-2565 สมาชิกเก็บขยะของวิสาหกิจชุมชนรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อมจังหวัดระนอง ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งและเกาะต่าง ๆ ได้เก็บขยะในทะเลและนำมารีไซเคิลแล้วเป็นจำนวนกว่า 422 ตัน โดยกว่า
70% ของกำไรจากการดำเนินโครงการได้รับการส่งมอบกลับคืนสู่ชุมชนในรูปแบบของโครงการด้านการศึกษาตามโรงเรียนต่าง ๆ รวมถึงสวัสดิการทางสังคมของคนงาน1
นอกจากนี้ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ยังมุ่งมั่นลดความเชื่อผิด ๆ ทางสังคมเกี่ยวกับคนเก็บขยะนอกระบบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 750,000 – 1.5 ล้านคนในประเทศไทย “คนเก็บขยะนอกระบบมักถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเนื่องจากเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรกและไม่เป็นที่ต้องการ เราต้องการจะเปลี่ยนมุมมองดังกล่าวและแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและช่วยสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนให้แก่ทุกคนในประเทศไทย” ดร. มิเชล กล่าว
นายอนุศิษย์ ศรีษะย์ อายุ 29 ปี เป็นคนรับซื้อขยะจากโครงการเพื่อนำไปรีไซเคิล กล่าวว่า “เทียบกับโครงการอื่น ๆ ที่เคยเข้าร่วมก่อนหน้านี้ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากที่สุดและแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทต่อชุมชน”
“หลังจากเข้าร่วมโครงการ ผมมีมุมมองที่กว้างขึ้นต่อสิ่งที่ทำอยู่ ผมอยากเรียนและใช้ภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นและอยากเป็นคนซื้อขายพลาสติกหรือขยะระดับอินเตอร์ฯ”
ทั้งนี้ พลาสติกรีไซเคิลจากโครงการสามารถนำไปผลิตเป็นสินค้าคุณภาพสูง เช่น นาฬิกาข้อมือ รุ่น AIKON #tide ของ Maurice Lacroix ซึ่งสินค้าในลักษณะนี้ยังช่วยลดความเชื่อผิด ๆ ทางสังคมได้เช่นกัน
นางสาวกสิณี มะเย็ง และนายมูฮัมหมัด ผดุง สองสามีภรรยาที่รวบรวมขยะให้กับโครงการ กล่าวถึงศักยภาพของโครงการว่า “ตอนแรกเราขาดทุน เพราะยังไม่มีความรู้เรื่องการแยกขยะ แต่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกครั้งที่ซื้อขยะจากชุมชน หรือเอาขยะมาขายให้ร้านรีไซเคิล สุดท้ายนี่จะกลายเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ของเรา”
บริษัทต่าง ๆ ที่สนใจสามารถสนับสนุนการดำเนินงานของบลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง ได้ด้วยการรับซื้อสินค้าจากทางโครงการหรือให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานของคลังเก็บขยะ จุดรวบรวมขยะ และอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยจะได้รับพลาสติกเครดิตเพื่อหักกับปริมาณพลาสติกฟุตปรินท์ของบริษัท
วัตถุประสงค์การดำเนินงานของ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) ของรัฐบาลไทย ซึ่งตั้งเป้ารีไซเคิลหรือเปลี่ยนเส้นทางขยะที่เข้าสู่บ่อฝังกลบให้ได้ 100% และลดปริมาณขยะที่มีโอกาสรั่วไหลลงสู่ทะเลให้ได้ 50% ภายในปี 2570
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บลู โอเชียน พลาสติก รีไซคลิ่ง กรุณาติดต่อ ดร.มิเชล พาร์โดส
เมื่อเข้าเดือนเมษายน นอกจากคนไทยจะนึกถึงวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว เดือนเมษาฯ ยังถือเป็นช่วงพีคของฤดูร้อนบ้านเราอีกด้วย โดยหลายพื้นที่ในประเทศไทยอากาศ ร้อนจัดจนอุณหภูมิแตะ 42 องศาเซลเซียส ทำให้หลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดนาน ๆ เพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
นพ. ราชรัฐ ปวีณพงศ์ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลวิมุต ชวนมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคที่กำลังเป็นที่ผู้ถึงในวงกว้าง อย่าง ฮีตสโตรก (Heatstroke) หรือโรคลมแดด พร้อมชวนส่องกลุ่มเสี่ยง วิธีสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายเพื่อให้สามารถรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะภัยร้ายจากความร้อนนี้ เป็นอันตรายถึงชีวิต
“ฮีตสโตรก” คืออะไร ใครเสี่ยงบ้าง
“ฮีตสโตรก (Heatstroke) หรือโรคลมแดด เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทัน ทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อมีอาการจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากโรคนี้มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก” นพ. ราชรัฐ ปวีณพงศ์ อธิบาย โดยฮีตสโตรก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ) Classic Heatstroke คือ ลมแดดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลังกายหนัก แต่เป็นเพราะผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัดได้ ซึ่งมักพบในเด็กอายุน้อย หรือผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว เมื่อเจออุณหภูมิสูง ร่างกายก็อาจร้อนขึ้นมาโดยฉับพลัน 2.) Exertional Heatstroke คือ ลมแดดที่เกิดจากการออกแรงอย่างหนักเป็นเวลานาน บวกกับอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนหรืออากาศอบอ้าวไม่ถ่ายเท การสวมเสื้อผ้าที่หนาและอึดอัดเกินไป ทำให้ไม่มีการระบายความร้อน
สำหรับกลุ่มเสี่ยงและช่วงอายุที่ควรระมัดระวังการเกิดฮีตสโตรก นพ. ราชรัฐ กล่าวว่า “ฮีตสโตรกเกิดขึ้นได้กับ คนทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ ผู้มีภาวะอ้วน เป็นต้น โดยคนที่ออกกำลังกายน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ และมีภาวะขาดน้ำ อาจเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่ม ๆ อื่น นอกจากนี้ ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาจิตเวชบางกลุ่ม ยาเสพติดกลุ่ม Amphetamine และ Cocaine ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฮีตสโตรกได้ด้วย และที่สำคัญ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงมาก รวมถึงสถานที่ปิดซึ่งอากาศไม่ถ่ายเท ก็ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันจนเป็นอันตรายต่ออวัยวะสำคัญได้”
แพทย์เผยสัญญาณของฮีตสโตรก ทำไมเป็นแล้วถึงเสี่ยงต่อชีวิต
อาการที่บอกว่าเราอาจกำลังเป็นฮีตสโตรกจะมี 3 อาการหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่
1.) อุณหภูมิร่างกายสูงระดับ 40 องศาเซลเซส
2.) อาการทางสมอง ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป อาจมีอาการเพ้อ สับสน ชัก หรือหมดสติ
3.) เหงื่อออกมากสำหรับกลุ่ม Exertional heatstroke หรือ ตัวแดงแต่ผิวแห้ง สำหรับกลุ่ม Classic Heatstroke ส่วนอาการอื่น ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่มมีภาวะแทรกซ้อน คือ หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่ทัน แน่นหน้าอก ปัสสาวะสีเข้ม ปัสสาวะออกน้อย เป็นต้น โดย นพ. ราชรัฐ ปวีณพงศ์ อธิบายว่า “ตามที่กล่าวไปว่าฮีตสโตรก เมื่อเป็นแล้วเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง เพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นฉับพลันและระบายออกไม่ทัน จะส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญมากมาย เช่น สมองบวม ภาวะชัก ไตวายเฉียบพลันจากภาวะขาดน้ำ ตับวายจากภาวะขาดน้ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว ปอดอักเสบรุนแรง (ARDS) ภาวะเลือดออกง่ายหรือเกิดลิ่มเลือดทั่วร่างกาย (DIC) ตลอดจนกล้ามเนื้อสลาย และแขนขาอ่อนแรง” โดยฮีตสโตรก ยังอาจทำให้อาการโรคประจำตัวของผู้ป่วยแย่ลงได้ เช่น ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น
![]()
เป็นฮีตสโตรกแล้วหายได้ไหม รู้จักวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นและแนวทางการป้องกัน
“ฮีตสโตรกเป็นแล้วหายได้ หัวใจสำคัญคือรีบทำการรักษาอย่างเร่งด่วน และรีบลดอุณหภูมิร่างกายให้ เร็วที่สุด แนวทางการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ได้แก่ พาผู้ป่วยเข้าที่ร่มและอยู่ในที่เย็นและมีอากาศถ่ายเท ถอดเสื้อผ้าหนาและคลายเสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามร่างกาย นอนลงและยกขาสูงเพื่อเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ หากผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เมื่อถึงโรงพยาบาล ต้องแอดมิตเป็นผู้ป่วยที่ ICU เพื่อสังเกตอาการใกล้ชิด ให้น้ำเกลือ และปรับอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยเร็ว พร้อมติดตามสัญญาณชีพและการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ไต และสมอง จนผู้ป่วยเข้าสู่สภาวะปกติ ส่วนแนวทางป้องกันฮีตสโตรก คือการดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน สวมใส่เสื้อผ้า ที่โปร่งสบายและขับเหงื่อได้ดี หากต้องเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายนานกว่า 1 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนเหงื่อที่เสียไป หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสถานที่ร้อนจัดหรือมีแดดจัด นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสภาพอากาศร้อนจัด” นพ. ราชรัฐ ปวีณพงศ์ จากโรงพยาบาลวิมุต กล่าวทิ้งท้าย
ผู้ที่สนใจต้องการปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ ชั้น 6 ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ที่สามจากขวา) เป็นประธานในพิธีรับระบบห้องสมุดออนไลน์ไฮบรารี่ ร่วมกับ นายเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร (ที่สองจากขวา) นายสมบูรณ์ หอมนาน ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว (คนแรกจากซ้าย) นายรวิวร มะหะสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไฮเท็คซ์ อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด (ที่สามจากซ้าย) พร้อมด้วย นายพัฒนา พิลึกฤาเดช ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไฮเท็คซ์ อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด (ที่สองจากซ้าย) เพื่อใช้ในโครงการ “BKK X Hibrary อีบุ๊กฟรีอยู่เขตไหนอ่านได้ทุกที่” สำหรับประชาชนในเขตกรุงเทพฯ สามารถอ่านอีบุ๊กได้ฟรี ผู้สนใจสามารถสมัครได้เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Hibary ทาง App store หรือ Play Store กดสมัครสมาชิก เลือกห้องสมุด BKK X Hibrary หรือที่เว็บไซต์ bkk.hibrary.me
แกร็บมาร์ท แอปพลิเคชันสั่งสินค้าควิกคอมเมิร์ซยอดนิยมอันดับหนึ่งในไทย เผย 5 สินค้าที่ผู้ใช้บริการนิยมสั่งซื้อมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมส่งแคมเปญ “GrabMart สงกรานต์สาดโปร” สร้างสีสันในช่วงหน้าร้อน ผนึกกำลังร้านค้าพันธมิตรทั่วประเทศคัดสรรสินค้าคุณภาพเอาใจสายช้อป ทั้งผลไม้ยอดฮิตอย่างทุเรียน มะยงชิด และไอเทมสุดฮอตอย่างปืนฉีดน้ำ เสื้อลายดอก และกางเกงช้าง จัดเต็มส่วนลด-ดีลเด็ดกระตุ้นตลาดตลอดเดือนเมษายน
![]()
นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “สงกรานต์เป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ที่คนไทยให้ความสำคัญและส่งผลต่อพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวที่คนส่วนใหญ่ออกเดินทางเพื่อกลับภูมิลำเนาหรือไปท่องเที่ยวพักผ่อน โดยมักซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการสังสรรค์หรือเลี้ยงฉลอง รวมถึงเป็นของฝากสำหรับญาติผู้ใหญ่และคนในครอบครัว ซึ่งรวมถึงการช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดย 5 สินค้าที่คนไทยนิยมสั่งซื้อผ่านแกร็บมาร์ทมากที่สุดในช่วงสงกรานต์2 คือ พวงมาลัย กระเช้าเครื่องดื่มรังนก น้ำอบ-ดินสอพอง กระเช้าผลไม้ และ ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและอโรมา”
![]()
“เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้น่าจะกลับมาคึกคักมากกว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลังผู้คนออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติ รวมถึงการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลังการเปิดประเทศ และเพื่อร่วมสร้างสีสันให้กับเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ แกร็บมาร์ทได้ร่วมกับพันธมิตรร้านค้าทั่วประเทศส่งแคมเปญ ‘GrabMart สงกรานต์สาดโปร’ โดยพาร์ทเนอร์ร้านค้าที่ร่วมแคมเปญพร้อมใจมอบส่วนลดสูงสุดถึง 20% และพิเศษ! สำหรับผู้ใช้บริการแกร็บมาร์ท
ที่ช้อปครบ 400 บาทขึ้นไป ยังได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 15% (สูงสุดไม่เกิน 100 บาท) เพียงใส่โค้ด SK100 พร้อมสิทธิ์ส่งฟรีทุกออเดอร์สำหรับผู้ใช้บริการ GrabUnlimited ตั้งแต่วันที่ 3 - 30 เมษายนนี้”
นอกจากนี้ แกร็บมาร์ทยังได้เพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายเพื่อต้อนรับหน้าร้อน ทั้งผลไม้หน้าร้อนอย่างทุเรียน มะม่วง มะยงชิด รวมไปถึงไอเทมเด็ดที่ทุกคนมองหาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็น ปืนฉีดน้ำ เสื้อลายดอก แว่นตาและซองกันน้ำ รวมถึงกางเกงช้างซึ่งถือเป็นไอเทมสุดฮอตที่กำลังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ
บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลก และ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและธุรกิจเคมีภัณฑ์ชั้นนำ สานต่อพลังความร่วมมือเพื่อสังคมกับกิจกรรม ‘CSR Day: Taking Action for a Brighter Future’ มอบถุงยังชีพจำนวน 2,000 ถุง ให้แก่กลุ่มเปราะบางในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต ผ่านโครงการ BKK Food Bank โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และตัวแทนจากทั้ง 50 เขต มารับมอบ
ทั้งนี้ พนักงานอาสาสมัครของ ทาเคดา และ คาโอ กว่า 60 คน พร้อมด้วย นางสาวกาญจนา ภูมิพัฒน์ผล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกันบรรจุสิ่งของในถุงยังชีพซึ่งประกอบไปด้วยอาหารและของใช้ที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของกลุ่มเปราะบางในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
![]()
นายปีเตอร์ สไตรเบิล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ขอขอบคุณ คาโอ พันธมิตรอันแข็งแกร่งของเรา ในการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีและสร้างชุมชนปลอดไข้เลือดออก ซึ่งการบริจาคถุงยังชีพให้กับโครงการ BKK Food Bank ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือครัวเรือนได้กว่า 2,000 แห่งทั่วกรุงเทพฯ แต่ยังสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชนที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมของเราอีกด้วย”
นายยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หัวใจของการดำเนินธุรกิจของคาโอ คือการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชน และนี่คือเหตุผลที่เรามุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านกิจกรรมที่ช่วยให้ชุมชนแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี”
![]()
ในปีที่ผ่านมา ทาเคดาและคาโอ ได้ลงนามความร่วมมือเพื่อสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ผ่านกิจกรรมให้ความรู้และการปฏิบัติจริงตามพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯ โดยมีแผนที่จะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ
แซ่บซี้ดยังไงให้ได้งานแห่งปี ต้องยกให้สาว โบกี้ไลอ้อน ที่ล่าสุดคว้าตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์ ยำยำ สูตรเด็ด โฉมใหม่ ก็ลงงานทันที โดยเดินหน้าชวนคนรักเส้นทั่วกรุงชิมความ แซ่บซี้ดเข้าเส้น เด็ดเกินต้าน ในกิจกรรม ยำยำ สูตรเด็ด เด็ดเดย์เด็ดTogether แซ่บซี้ดทั่วเมือง โดยยกขบวนส่งต่อ ยำยำ สูตรเด็ด โฉมใหม่ ให้แฟนๆ ได้ชิมกันตั้งแต่สยามยันอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ งานนี้สุข สนุก อิ่มท้องกันทั่วกรุง
![]()
ซึ่ง โบกี้ไลอ้อน ได้เผยความลับระหว่างการจัดกิจกรรมว่า จริงๆแล้วตัวเองเป็นเด็กเส้นของจริง เพราะชอบกินอาหารประเภทเส้นมาก โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยำยำ สูตรเด็ด นี่ต้องบอกเลยว่าเป็นแฟนตัวยงมาแต่ไหนแต่ไร ถูกใจอย่างแรง เรียกว่าแทบจะไม่ทานอย่างอื่นเลย ต้องมีเบาๆบ้างบางเวลา ถ้าถามว่าชอบตรงไหนของ ยำยำ สูตรเด็ด คงต้องตอบว่าเป็นที่เส้น เพราะจะมีความพิเศษกว่าอย่างอื่น คือ เส้นใหญ่ เหนียวนุ่ม ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง รสที่ใช่นี่คือ ยำยำ สูตรเด็ด สไปซี่ล็อบสเตอร์ แต่อยากให้ลองชิมรสใหม่กัน ยำยำ สูตรเด็ด เห็ดทรัฟเฟิลซอสครีมปู คือมันสุดจริงๆค่ะ
![]()
ส่วนความรู้สึกที่ได้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยำยำ สูตรเด็ด โฉมใหม่ โบกี้ไลอ้อน บอกว่าเป็นอะไรที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ดีใจมาก เพราะเป็นของที่เราชอบอยู่แล้ว เราเป็นแฟนเส้นตัวจริง งานนี้เลยเต็มที่ ยิ่ง ยำยำ สูตรเด็ด จัดกิจกรรม เด็ดเดย์เด็ดTogether แซ่บซี้ดเข้าเส้นกันทั่วเมือง นี่ยิ่งมันส์ใหญ่เลยค่ะ เราเป็นคนชอบชวนคนอื่นกินของอร่อยอยู่แล้ว ก็เลยบันเทิงร่วมไปกับเขาด้วย ยังไงก็ฝากทุกคนให้มาลอง ยำยำ สูตรเด็ด โฉมใหม่กัน แซ่บซี้ดเข้าเส้น เด็ดเกินต้านทุกรส ถูกปากทุกคำอย่างแน่นอน
ภายหลังจาก มหาวิทยาลัยรังสิต ผนึกกำลัง บ.นารีฟาร์มากรุ๊ป จำกัด ชูความสำเร็จงานวิจัย เรื่อง “การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็งในหลอดทดลองของสมุนไพรไทยสูตรผสม” ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ (Quartile Score, Q1) พร้อมเปิดรับอาสาสมัครร่วมโครงการวิจัย “การศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา ในผู้ที่มีภาวะลองโควิด” พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดห้องวิจัยโชว์ผลงานวิจัยทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา โดยมี ผศ.ดร.เภสัชกร ธนภัทร ทรงศักดิ์ คณบดีวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, อ.ดร.เภสัชกรหญิงนลินี ประดับญาติ ทีมคณะวิจัย อ.ประจำหมวดเภสัชวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต และ คุณพิมส์นารี นรรพสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นารีฟาร์มากรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ให้ข้อมูลและนำชมทุกขั้นตอนการวิจัยสุดยอดสมุนไพรของไทย 5 ชนิด ข่า มะนาว ใบย่านาง พริกไทย และ ใบกัญชา ณ ห้องวิจัย ตึกคณะเภสัชศาตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ผศ.ดร.เภสัชกร ธนภัทร ทรงศักดิ์ คณบดีวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยรังสิตเป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งมั่นในการส่งเสริมการศึกษาและวิจัยในหลายสาขาวิชาอย่างต่อเนื่อง โดยวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตได้ร่วมมือกับบริษัท นารีฟาร์มากรุ๊ป จำกัด เพื่อสนับสนุนทั้งด้านวิชาการและการวิจัยทางด้านเภสัชศาสตร์ เพื่อต่อยอดให้กับผลิตภัณฑ์ CLEARS-BELONG PLUS (เคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา) รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับคนไทยภายใต้ปณิธานที่จะมุ่งสร้างสรรค์สิ่งที่ดีสู่สังคม ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้ มีเป้าประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนทั้งด้านวิชาการและการวิจัย โดยเฉพาะในด้านการวิจัยทางด้านเภสัชศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่มีความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย โดยวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนายาและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเภสัชวิทยาปริวรรตและสถาบันวิจัยกัญชาเพื่อการแพทย์ ซึ่งศูนย์เหล่านี้ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาและนักวิจัยได้มีแหล่งค้นคว้าศึกษา วิจัย และฝึกปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานจริง
ศูนย์วิจัยและพัฒนายาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมจากสมุนไพรที่จำเป็นต่อสังคมไทย โดยทีมวิจัยที่ศูนย์นี้มีการศึกษาและวิจัยด้านสมุนไพรที่หลากหลาย เช่น การวิจัยวิธีการสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรด้วยวิธีการต่าง ๆ วิจัยและพัฒนาตำรับยาและเภสัชภัณฑ์รูปแบบใหม่ ศูนย์ความเป็น
เลิศด้านเภสัชวิทยาปริวรรต เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการวิจัยทางด้านเภสัชวิทยาและการวิจัยทางการแพทย์ วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อศึกษาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจากการทดลองไปสู่เภสัชวิทยาคลินิก โดยมีเป้าหมายที่จะนำผลการวิจัยทางเภสัชวิทยาระดับโมเลกุลขยายไปสู่ระดับ ผู้ป่วย ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การศึกษา วิจัยและพัฒนายาใหม่ที่สัมพันธ์กับความจำเป็นและความต้องการของผู้ป่วย สถาบันวิจัยกัญชาเพื่อการแพทย์ ซึ่งเป็นสถาบันแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยกัญชาทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต้นแบบ เพื่อสร้างโอกาสทางการรักษาและเพื่อให้ผู้ที่ใช้กัญชาทางการแพทย์มีการใช้อย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน และเกิดประสิทธิภาพ นอกจาก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ CLEARS-BELONG PLUS (เคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา) วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และบริษัท นารีฟาร์มากรุ๊ป จำกัด ยังมีแผนในการขับเคลื่อนองค์ความรู้เพื่อนำสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ทางการแพทย์มาพัฒนาให้เกิดคุณค่าทางการแพทย์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อวงการสมุนไพรไทยและเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย
![]()
![]()
ทางด้าน คุณพิมส์นารี นรรพสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท นารีฟาร์มากรุ๊ป จำกัด เผยว่า “นับจากที่ มหาวิทยาลัยรังสิต และ บริษัท นารีฟาร์มากรุ๊ป จำกัด ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพสมุนไพรไทย ตั้งแต่กลางปี 2565 ที่ผ่านมา กระทั่งได้รับการการันตีผลการวิจัยเผยแพร่ลงวารสารวิชาการ ระดับนานาชาติ (Quartile Score, Q1) ซึ่งเป็นวารสารวิชาการ ติดลำดับ top 10 ใน สาขา Complementary and Alternative Medicine ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกอย่าง BMC Complementary Medicine and Therapies นับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของงานวิจัยสมุนไพรไทยสูตรผสมที่ทุกบ้านรู้จักดีทั้ง 5 ชนิด ข่า มะนาว ใบย่านาง พริกไทย และ ใบกัญชา บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของสมุนไพรไทย ผลิตผลธรรมชาติที่มีในประเทศ สามารถช่วยทดแทนการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพจากต่างประเทศ ความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการใช้สมุนไพรมากขึ้น ต้องขอบคุณทีมนักวิจัย มหาวิทยาลัยรังสิตทุกท่าน ที่ทุ่มเทเวลาค้นคว้าวิจัยละเอียดทุกขั้นตอน คำนึงถึงผู้บริโภค และประสิทธิภาพของสมุนไพรทางการแพทย์ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อชูสมุนไพรให้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกค่ะ"

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา ปกติจะมีจำหน่ายอยู่ที่ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมเปิดรับผู้แทนจำหน่ายในสถานประกอบการ โรงพยาบาล, คลินิกรักษาโรค, ร้านขายยาชั้นนำทั่วประเทศแล้วเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค
สำหรับผู้สนใจเป็นอาสาสมัครในการศึกษาผู้ที่มีภาวะลองโควิด ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เคลียร์-บีลอง พลัส ผสมใบกัญชา สามารถติดต่อได้ที่ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ หรือ Facebook : วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ ม.รังสิต , Facebook : Clears belong plus หรือ LineID : @nareepharma