December 17, 2025

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ สร้างปรากฏการณ์ด้วยการจัดงาน “Vietjet Fair 2025” ภายใต้ธีม “Funtastic Terminal” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ระหว่างวันที่ 16 – 18 พฤษภาคม 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 20,000 คน ตลอดระยะเวลา 3 วัน ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ที่หลงไหลในการบิน และลูกค้าทั่วไป ต่างเข้ามาสัมผัสประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานความสนุก ความคุ้มค่า และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สะท้อนถึงค่านิยมหลักของสายการบินฯ ในการให้บริการด้วยความ “สนุกสนานและเป็นมิตร” และ “ราคาที่เข้าถึงได้”

ภายในงาน เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ร่วมกับ สกายฟัน ได้นำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย อาทิ บัตรโดยสารสำหรับเส้นทางบินระหว่างประเทศ ราคาเริ่มต้น 0 บาท (ไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) และเที่ยวบินภายในประเทศแบบไป – กลับ เริ่มต้นเพียง 1,299 บาท (ราคารวมภาษีและค่าธรรมเนียม) พร้อมแพ็กเกจท่องเที่ยวหลากหลายรายการในราคาพิเศษ รวมถึง Vietjet Power Pack ที่เปิดโอกาสให้ผู้โดยสารล็อกราคาบัตรโดยสารในวันนี้เพื่อเก็บไว้ใช้เดินทางล่วงหน้าได้นานสูงสุดถึง 3 ปี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อย โปรโมชั่นเหล่านี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ดึงดูดผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากจนเกิดแถวยาวบริเวณบูธจำหน่ายและมีผู้โดยสารรอคิวเพื่อจองที่นั่งอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งงาน

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลาย อาทิ เกม VZ-E Sport: Sky Gift ที่ผู้ชนะคว้ารางวัลใหญ่จากเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ฯ ช่วงถาม – ตอบกับพนักงานของสายการบินฯ พร้อมแจกของรางวัลสำหรับผู้ที่ตอบคำถามถูกต้อง รวมถึงการพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจจากบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวและพันธมิตรของสายการบินฯ ที่มาแบ่งปันเคล็ดลับการเดินทางและแนะนำจุดหมายปลายทางน่าสนใจต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มจาก Sky Café ซึ่งเป็นเมนูที่เสิร์ฟบนเที่ยวบินของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ยกมาเสิร์ฟให้ลิ้มลองภายในงาน พร้อมด้วยการแสดงดนตรีสดและมินิคอนเสิร์ต ที่สร้างบรรยากาศสนุกสนานและความสุขให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกเพศทุกวัย

 

ความสำเร็จของงานในครั้งนี้ยังเกิดขึ้นได้ด้วยการสนับสนุนของพันธมิตรที่หลากหลายซึ่งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดพิเศษในงาน Vietjet Travel Fair 2025 ไม่ว่าจะเป็น KTC ที่มอบสิทธิพิเศษในการแลกคะแนน KTC FOREVER เพื่อรับเครดิตเงินคืน 15% เมื่อใช้จ่ายภายในงาน MEGA CLINIC ที่เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานลุ้นรับของสมนาคุณสุด Exclusive เพียงแสดงใบเสร็จจากงาน BLU MONKEY ที่มอบส่วนลดพิเศษสำหรับการจองห้องพักภายในงาน และ MAJOR CINEPLEX ที่มาร่วมสร้างบรรยากาศสุดประทับใจด้วยการแจกป๊อบคอร์นให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ความร่วมมือจากพันธมิตรเหล่านี้ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ในงานให้ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยว ความสนุก ความบันเทิง และความงามได้อย่างลงตัว

งาน Vietjet Fair 2025 ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ในการทำให้การเดินทางเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ สนุกสนาน และคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดโอกาสให้เราได้กระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า และต้อนรับผู้โดยสารใหม่เข้าสู่ครอบครัวเวียตเจ็ทไทยแลนด์ เราขอขอบคุณพันธมิตรทุกท่านที่ร่วมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับผู้เข้าร่วมงาน ความร่วมมือของทุกฝ่ายเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้งานครั้งนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับทุกท่านอีกครั้งในงานครั้งต่อไป ที่จะกลับมาในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจกว่าที่เคย” นายปิ่นยศ พิบูลสงคราม รองประธานฝ่ายการพาณิชย์และลูกค้าสัมพันธ์ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ กล่าว

การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนถึงค่านิยมของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ในการให้บริการขนส่งทางอากาศในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมด้วยสนุกสนานและเป็นมิตร รวมถึงจุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้คนออกเดินทาง ผ่านโปรโมชั่นพิเศษและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านท่องเที่ยว ซึ่งช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน เวียตเจ็ทไทยแลนด์ขอขอบคุณทุกความสนใจและแรงสนับสนุนจากผู้ร่วมงาน และขอสัญญาว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้งในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจกว่าเดิม ผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมดี ๆ และโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ www.vietjetair.com

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (ที่สองจากซ้าย) ร่วมงานเสวนา “เราพร้อมเป็นผู้นำของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกหรือยัง” ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคม สปาไทย พร้อมจับมือนายสุนัย วชิรวราการ นายกสมาคมสปาไทย (ที่สามจากซ้าย) ในการเป็นพันธมิตรและสนับสนุนการจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2025 โดยมีนายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort (ที่สองจากขวา) นายวินย์ โรจนเสถียร คณะกรรมการบริหาร ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท (คนแรกขวา) และ นายพอล ฮอว์โค ผู้อำนวยการบริหารระดับโลกด้านสุขภาวะองค์รวม กลุ่มบริษัทบันยัน (Banyan Group) (คนแรกซ้าย) ร่วมในการเสวนาฯ เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2025 ชั้น G ฮอลล์ 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจข้อมูลการจัดงานฯ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

“มิตซูโคชิ เดปาจิกะ” (MITSUKOSHI DEPACHIKA) ซูเปอร์มาร์เก็ต และ ฟู้ด เดสติเนชั่นระดับเวิลด์คลาสใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบแล้ววันนี้ กับหลากหลายผลิตภัณฑ์โกรเซอรี่และศูนย์รวมอาหารระดับพรีเมียมที่คัดสรรมาอย่างครบครัน ในโอกาสนี้ ได้เปิดตัวแคมเปญ “一緒に食べよう (อิชโชนิ ทาเบะโย) Let’s Feast!” เชิญชวนทุกท่านมาร่วมเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาของการชอปปิงพร้อมร่วมลิ้มลองอาหารและสัมผัสการบริการสไตล์ญี่ปุ่นต้นตำรับไปด้วยกัน ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม ถึง 18 มิถุนายน 2568

มร. โอโนะ มาซาโตะ ผู้จัดการทั่วไปของ มิตซูโคชิ เดปาจิกะ กล่าวว่า “นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทย มิตซูโคชิ เดปาจิกะ มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ชอปปิงในซูเปอร์มาร์เก็ต-ฟู้ดฮอลล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ ๆ ให้กับคนกรุงเทพฯ และในวันนี้ เราพร้อมแล้วที่จะยกระดับไปอีกขั้นด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และอาหารคุณภาพสูงจากภูมิภาคต่าง ๆ ของญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับสินค้าท้องถิ่นชั้นเยี่ยมที่คัดสรรมาจากทั่วประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มาให้เลือกสรรกันอย่างครบครันมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดยจากนี้ไปเราจะมุ่งขยายไลน์สินค้า ร้านค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ มิตซูโคชิ เดปาจิกะ ยังคงเป็นหมุดหมายที่ทุกคนนึกถึงเมื่อต้องการค้นพบรสชาติและไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ในทุก ๆ วัน”

สัมผัสประสบการณ์ ในแบบฉบับ “เดปาจิกะ”

มิตซูโคชิ เดปาจิกะ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง วัน แบงค็อก และอิเซตัน มิตซูโคชิ โฮลดิ้ง (Isetan Mitsukoshi Holdings) นับเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต-ฟู้ดฮอลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่นำเสนอคอนเซ็ปต์ “เดปาจิกะ” อันหมายถึงศูนย์รวมโกรเซอรี่และอาหารระดับไฮเอนด์ที่ตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติ มิตซูโคชิ เดปาจิกะ โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางกรุงเทพฯ ที่ผสมผสานรูปแบบของซูเปอร์มาร์เก็ตและฟู้ดฮอลล์ระดับพรีเมียมเข้ากันได้อย่างลงตัว ที่นี่ ลูกค้าและฟู้ดเลิฟเวอร์จะได้เพลิดเพลิน และสรรหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันมาอย่างดีที่สุด พร้อมสัมผัสประสบการณ์ Grocerant ที่ไร้รอยต่อ รวมถึงการบริการในแบบฉบับของ “มิตซูโคชิ” ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การชอปปิงอาหารและโกรเซอรี่ในกรุงเทพฯ ให้เหนือชั้นไปอีกขั้น

มิตซูโคชิ เดปาจิกะ แบ่งออกเป็นสองโซน โดยแต่ละโซนนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างหากแต่มุ่งเติมเต็มเพื่อกันและกัน โดยทั้งสองโซนประกอบด้วย

· โซนอาหาร (MITSUKOSHI Gourmet Zone): เพลิดเพลินกับของกินและร้านอาหารระดับพรีเมียมที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก "Yokosho" ตรอกร้านอาหารในญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยร้านค้ากว่า 20 ร้าน โดยกว่า 10 ร้าน เป็นร้านที่มีเฉพาะที่ มิตซูโคชิ เดปาจิกะ เท่านั้น ครอบคลุมตั้งแต่ขนมหวานญี่ปุ่นยอดนิยมไปจนถึงอาหารนานาชาติ ตอบสนองทุกความชื่นชอบ รวมถึงร้านอาหารที่เปิดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เช่น Warabimochi Kamakura, Shodai Bio Nature, Takeshi Shibata, Ponpocotei, Gin Sara, Yaorin และ Chaya Ganyudo นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารชื่อดังที่มาเปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นครั้งแรก อาทิ Gateau Lien และ Pala Pizza Romana & Bistrot

· โซนซูเปอร์มาร์เก็ต (MITSUKOSHI Supermarket Zone): แหล่งรวมสินค้าและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวันกว่า 10,000 รายการ ทั้งจากประเทศไทย นำเข้าจากญี่ปุ่น และจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยคอนเซปต์ Grocerant ที่ผสมผสานประสบการณ์การรับประทานอาหารและการเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ไฮไลท์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ผักและผลไม้สดตามฤดูกาล ส่งตรงจากเครือข่ายเกษตรกรที่มีคุณภาพของมิตซูโคชิในญี่ปุ่น, Japanese Wagyu Destination พบเนื้อวากิวระดับพรีเมียม และบริการจาก Meat Master ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการ cooking เพื่อรับประทานในร้าน, Seafood Experience from Japan อาหารทะเลพิเศษตามฤดูกาลส่งตรงจากญี่ปุ่น พร้อมซูชิและซาชิมิหลากหลายชนิด, MITSUKOSHI Selections Corner คอลเลกชั่นสินค้า "Only at MITSUKOSHI" สินค้าจากญี่ปุ่นที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม มีจำหน่ายแค่ที่นี่เท่านั้น, โกรเซอรี่ระดับพรีเมี่ยม ครบครันด้วยสารพันสินค้าในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ส่วนผสมเครื่องปรุงอาหารญี่ปุ่น ไปจนผลิตภัณฑ์บำรุงต่าง ๆ รวมทั้ง มุมผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงามนำเข้าจากญี่ปุ่นและเกาหลี, Murahata Fruit Parlor ร้านผลไม้ชื่อดังของญี่ปุ่น, Deli Bar อาหารพร้อมรับประทานที่ปรุงสดใหม่ทุกวัน และ Specialty Stores ร้านสินค้าเฉพาะทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตั้งแต่มิโซะสดจาก Kuranoya ไปจนถึง Jalux ร้านจำหน่ายขนมและของที่ระลึกมากมายจากญี่ปุ่นแท้ ๆ

แคมเปญ Let's Feast! โปรโมชันแห่งปีพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ

เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า มิตซูโคชิ เดปาจิกะ เปิดตัวแคมเปญ "一緒に食べよう Let's Feast!" โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม ถึง 18 มิถุนายน 2568 กับโปรโมชันที่พลาดไม่ได้และอีเวนต์อาหารสุดพิเศษมากมาย

· ห้ามพลาด “LUCKY DAYS 3 วันเท่านั้น” ตั้งแต่ 23 – 25 พฤษภาคม 2568

o เฉพาะวันที่ 23 พฤษภาคม 2568: สมาชิก 100 ท่านแรกที่ใช้จ่าย 1,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดฟรี 500 บาท

o รับคะแนน 10 เท่า: รับคะแนนสมาชิก 10 เท่าสำหรับทุกยอดซื้อ

o ถุงนำโชค Fukubukuro: ลดสูงสุด 50% (จำนวนจำกัด)

o Tsume-hōdai: เลือกสินค้าใส่ถุงได้ไม่จำกัดและจ่ายในราคาเดียว

o Lucky Set และ โปรโมชันร้านค้าต่าง ๆ ใน MITSUKOSHI gourmet zone

· ไฮไลท์สุดพิเศษตลอดช่วงแคมเปญ

o Weekend Lucky Draw: ลุ้นรับรางวัลมากมายพร้อมร่วมรับประทานอาหารฟรี ทุกวันเสาร์ อาทิตย์

o Dining Delights: ลิ้มลองอาหารจานพิเศษพร้อมส่วนลด 50%

o Exclusive Cooler Bag: รับกระเป๋าเก็บความเย็นฟรี เมื่อใช้จ่าย 2,500 บาทในโซน ซูเปอร์มาร์เก็ต และ Gourmet ภายในวันเดียวกัน

o Top Spender Prize: ลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดในช่วงเดือนของแคมเปญ รับฟรีแพ็คเกจห้องพักสุดหรูจากโรงแรม The Ritz-Carlton, Bangkok

สัมผัสสุดยอดประสบการณ์ชอปและชิมเต็มรูปแบบได้แล้วที่ มิตซูโคชิ เดปาจิกะ ศูนย์รวมสินค้าและอาหารชั้นเลิศ พร้อมบริการและการต้อนรับที่อบอุ่นแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ใจกลางกรุงเทพฯ ที่ ชั้น B1 โซน พาเหรด วัน แบงค็อก ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.onebangkokmitsukoshi.com/.

เทรนด์สุขภาพและความงามกำลังมาแรง! “NUT” หุ้น IPO น้องใหม่ นำโดยหัวเรือใหญ่ “ภาคิณ กิตติภานุวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย “พุทธิวัฒน์ กิตติภานุวัฒน์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ศิริพร ฉุดพิมาย” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) เดินหน้าเตรียมเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เร็ว ๆ นี้ โดยมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 37 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 30.83 ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท พร้อมปิดท้ายโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลบริษัทให้แก่นักลงทุน ควงคู่ที่ปรึกษาทางการเงิน “วิชา โตมานะ” กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ในวันที่ 21 พ.ค. 2568 เวลา 10.00–12.00 น. ณ ห้องประชุมเสรี จินตนเสรี ชั้น 7 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ฮับแห่งใหม่สำหรับวงการครีเอทีฟ พัฒนาโดย MQDC บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ประกาศแต่งตั้งนายพอล สิริสันต์ ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทัพสร้าง Creative Destination พร้อมระบบนิเวศสำหรับนักสร้างสรรค์ หรือ Creative Ecosystem ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นศูนย์กลางครีเอเตอร์ทุกแขนงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับการเติบโตของตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์มูลค่า 45,000 ล้านบาท

"ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Cloud 11 ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าที่นี่จะเป็นศูนย์กลางของครีเอเตอร์ทุกแขนง” นายพอล กล่าว "เรากำลังสร้างระบบนิเวศของครีเอเตอร์ที่สมบูรณ์แบบ และพร้อมจะสนับสนุนทุกความคิดสร้างสรรค์ ดึงดูดความร่วมมือจากทั่วโลก เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยก้าวสู่ระดับโลก"

การแต่งตั้งนายพอล สิริสันต์ ถือเป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับโครงการ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ครอบคลุมทั้งวงการดนตรีที่เคยเป็นผู้บริหารค่ายเพลงสากลระดับโลกในไทย รวมถึงเป็นนักการตลาด และผู้บริหารธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในบทบาทผู้บริหารจากมุมมองของนักสร้างสรรค์

โครงการ Cloud 11 คือพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของครีเอเตอร์ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร อาทิ สตูดิโอผลิตงาน ห้องตัดต่อ ห้องบันทึกเสียง โรงภาพยนตร์ โรงละคร และพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ นอกจากนี้ Cloud 11 ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมและโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของครีเอเตอร์

ทั้งนี้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยและอาเซียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีมูลค่าตลาดรวมกันหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่มีอัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ย 20-30% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Cloud 11 ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับนักสร้างสรรค์ (Creative Ecosystem) เพื่อผลักดันให้ Cloud 11 เป็นศูนย์รวมโครงสร้างพื้นฐานแห่งใหม่ที่ครบวงจรของวงการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในเอเชีย

ทั้งนี้นายพอล สิริสันต์ เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เพื่อร่วมนำทีมพัฒนา Creative Destination ของเอเชีย และเป็นระบบนิเวศแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ออกแบบมาเสริมพลังให้กับศิลปิน บริษัทโปรดักชั่น และสถาบันสร้างสรรค์ระดับโลกจะมีการพัฒนา Cloud 11 ให้แข็งแกร่งเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้วงการครีเอเตอร์ไทยก้าวสู่เวทีโลกต่อไป

“ในโลกดิจิทัลการมีคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับทุกองค์กร ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ การตลาด การสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นหลายบริษัทจึงมองหาช่องทางเพื่อเข้าถึงการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงและรวดเร็ว Cloud 11 จึงเป็นโซลูชั่นที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราเป็นทั้งพื้นที่สำนักงานและมีระบบนิเวศของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ที่ครบวงจร ผู้เช่าพื้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการใช้สตูดิโอและสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกพื้นที่ของโครงการสำหรับผลิตผลงานแบบมืออาชีพ เปรียบเสมือนมีกำลังการผลิตสื่ออยู่ในมือที่ใกล้แค่เอื้อม” นายพอล กล่าวปิดท้าย

โครงการ Cloud 11 ได้ดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าแล้วเสร็จ 80% โดยมีนายองศา จรรยาประเสริฐ ดำรงตำแหน่ง Project Director หรือผู้อำนวยการโครงการควบคู่กับ คุณพอล สิริสันต์ มีหน้าที่ในการบริหารโครงการ และการหาผู้เช่า รวมทั้งร่วมมือกับผู้ที่เป็นครีเอเตอร์ จนถึงในแวดวงเอนเตอร์เทนเมนต์ ที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ ใช้พื้นที่ของ Cloud 11 ต่อไป

โดยก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับ Cloud 11 นายพอล สิริสันต์ ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Universal Music Group (UMG) และเป็นผู้ก่อตั้ง Def Jam Thailand

“เอกา โกลบอล” ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต ตอกย้ำศักยภาพยกขบวนแพ็กเกจจิ้งช่วยยืดอายุอาหาร – กรีนโปรดักส์ ร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ชูนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้เกมตลาดผันผวน ตอบโจทย์ผู้บริโภครับกระแสเมกะเทรนด์ความยั่งยืนและฟู้ดเวลเนส พบกับ ‘EKA GLOBAL’ บูธหมายเลข 1-UU68 ได้ที่งานฯ ระหว่าง 27 – 31 พ.ค. นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่กำลังมีอิทธิพลสำคัญในการขับเคลื่อนเทรนด์อาหารโลก สะท้อนจากตัวเลขส่วนแบ่งตลาดของการท่องเที่ยวเชิงอาหารทั่วโลกที่อาหารเอเชียแปซิฟิกมีสัดส่วนส่วนกว่า 37.8% และมีแนวโน้มจะเติบโตถึง 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 ขณะที่เทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกยังให้ความสำคัญกับเมกะเทรนด์แห่งความยั่งยืน ทำให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ หรือการกิน – อยู่ – เพื่อสุขภาพที่ดี (Food Wellness) เป็นราคาที่ผู้บริโภคยอมจ่ายให้กับตัวเองและสัตว์เลี้ยง

ทั้งนี้ “เอกา โกลบอล” ตอกย้ำศักยภาพของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เตรียมยกขบวนบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (กรีนโปรดักส์) ทั้งกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ออกบูธในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกและครบวงจรที่สุดในเอเชีย THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 เปิดให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังมองหาโซลูชั่นเพื่อยกระดับศัยกภาพธุรกิจก้าวสู่ตลาดโลก ภายใต้สภาวะการณ์ความไม่นอนของเศรษฐกิจ เยี่ยมชมนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร พร้อมรับคำปรึกษาฟรี ได้ที่บูธ EKA GLOBAL หมายเลข 1-UU68 ระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

“ในงานปีนี้ เอกา โกลบอล ยังคงมุ่งเน้นโซลูชั่นบรรจุภัณฑ์ด้าน Sustainable เพราะทั่วโลก ทั้งยุโรปและอเมริกาที่เป็นคู่ค้าหลักต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ประกอบกับเรื่องภาษีที่ผู้นำอเมริกาเพิ่งประกาศเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่จัดส่งจากประเทศไทย รวมถึงคู่แข่งจากจีนที่เข้ามาเปิดตลาดในไทย เป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง ในส่วนของตลาดอินเดีย น่าจะเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” นายชัยวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

ไม่มีใครวางแผนที่จะเป็นหนี้ และไม่มีใครที่อยากจะเริ่มต้นใหม่ตอนอายุเกือบ 50 แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เรามีเวลาตั้งตัวเสมอไป สำหรับบางคน วันที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน และไม่มีใครให้พึ่งพิง คือวันที่พวกเขาต้องเลือกว่าจะ “ยอมแพ้” หรือ “ลุกขึ้น” แต่สำหรับ พี่ฮาท และ พี่อ้อ พวกเขาเลือกที่จะลุกขึ้น แม้ไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยก็ตาม นอกจากความตั้งใจและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

เริ่มจากศูนย์ สู่เทพแห่งเดลิเวอรี

พงษ์ศักดิ์ คันธโชติ หรือ “พี่ฮาท” คนขับ GrabFood วัย 50 ปี จากโคราช ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เขาคือหัวหน้าครอบครัวที่เคยต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่หนักหนาในชีวิต โดยก่อนหน้านี้ พี่ฮาทเคยทำงานในต่างประเทศ ทั้งลาวและเกาหลีใต้ มีรายได้ประมาณ 45,000 ต่อเดือน ซึ่งเพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่ลำบาก แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 รายได้ที่เคยมีกลับหยุดชะงัก ในช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินมากที่สุดในชีวิต กับการส่งลูกสาวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงไม่ใช่น้อย

“ตอนนั้นผมเครียดมากเลยครับ รายได้หายไปหมด ไม่มีเงินเข้ามาเลย ในขณะที่รายจ่ายยังรออยู่เต็มไปหมด ตอนนั้นคิดแค่ว่า จะทำอะไรก็ได้ให้มีรายได้เข้ามาก่อน” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มขับแกร็บตามคำแนะนำจากคนใกล้ตัว

“ผมเริ่มขับแกร็บครั้งแรกในวันครอบครัว (14 เมษายน) ยังจำออเดอร์แรกได้ไม่เคยลืม ต้มเลือดหมูเจ๊บ๊วย แถวสี่แยกคลองเตย ซึ่งจากตอนแรกคิดแค่ว่าจะลองขับเล่นๆ แต่สุดท้ายการขับแกร็บกลับกลายเป็นอาชีพหลักในการหารายได้ที่สามารถช่วยให้เราหาเลี้ยงครอบครัวได้จริง” พี่ฮาทกล่าวด้วยรอยยิ้ม

พอเริ่มขับแกร็บ รายได้ก็เริ่มเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่มากในช่วงแรก แต่ก็พอให้พี่ฮาทตั้งหลักได้ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของลูกก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้ พี่ฮาทจึงได้ลองมองหาทางกู้เงินมาเสริม แต่ก็เจอแต่ปัญหาเดิมๆ อย่าง ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ ไม่มีสลิปเงินเดือนตามที่ธนาคารต้องการ จะหันหน้าไปพึ่งพาญาติและคนรู้จักก็รู้สึกลำบากใจ จนสุดท้ายเขาได้รู้จักกับ “Grabการเงิน” ที่ให้คนขับอย่างเขามีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากมีข้อมูลการให้บริการอยู่แล้วในระบบ

“ไม่ถึง 5 นาที เงินก็เข้าเลยครับ ไม่ต้องมีเอกสารอะไรเพิ่ม เพราะแกร็บมีประวัติของเราครบถ้วนอยู่แล้ว” เขาได้รับสินเชื่อเงินสดกว่า 40,000 บาท ซึ่งกลายมาเป็นทุนหมุนเวียนใช้ในการทำงาน จ่ายค่าเทอมลูก ค่าครองชีพรายเดือน และเป็นทุนสำรองยามฉุกเฉิน

พี่ฮาทไม่เคยปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับงานอย่างสม่ำเสมอ วิ่งงานเต็มที่ทุกวัน และตั้งใจให้บริการให้ดีที่สุด จนสามารถไต่ระดับเป็น “เทพแกร็บไบค์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูงสุด) ซึ่งทำให้เขาได้สิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ทั้งส่วนลดอัตราดอกเบี้ยจาก Grabการเงิน ประกันรถมอเตอร์ไซค์ และประกันอุบัติเหตุ รวมไปสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย ที่มาคอยช่วยสนับสนุนคนขับ

"ขอแค่เรามีวินัย ขยัน และวิ่งงานให้สม่ำเสมอ อยู่ให้ถูกจุด ถูกที่ ถูกเวลา ออเดอร์ก็จะเยอะขึ้น และเป้าหมายก็จะชัดเจนขึ้นเอง” พี่ฮาทเล่าอย่างภาคภูมิใจพร้อมทิ้งท้ายว่า

“ตอนนี้ลูกผมเรียนจบหมอแล้วครับ สำหรับคนเป็นพ่อ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

 ขับลุยทุกเส้นทาง เพื่อให้บ้านมีรอยยิ้ม

อีกหนึ่งเรื่องราวจาก ชุติกาญจน์ เผ่าผาง หรือ “พี่อ้อ” วัย 45 ปี คุณแม่ลูกหนึ่งจากกรุงเทพฯ ที่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อครอบครัวในวันที่ชีวิตเริ่มติดขัด ภาระค่าใช้จ่ายในบ้านสูงขึ้น งานประจำไม่มั่นคง และหนี้นอกระบบเริ่มก่อตัว สิ่งเดียวที่เธอเชื่อในตอนนั้น คือ เธอต้องลุกขึ้นมา “เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเอง”

ก่อนหน้านี้ พี่อ้อเคยทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านทองมานานกว่า 10 ปี แต่เมื่อกิจการเริ่มขาดทุน ร้านจำเป็นต้องปลดพนักงานเกือบทั้งหมด เธอจึงผันตัวมารับงานบัญชีแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งพอเลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังไม่พอสำหรับบ้านที่มีทั้งคุณแม่ พี่ชาย และลูกชายคนเดียวของเธอ

“รายได้ประจำไม่พอแน่ค่ะ ทั้งค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว บางเดือนถึงกับต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบมาใช้จ่าย” พี่อ้อกล่าว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มขับแกร็บเป็นอาชีพเสริมในช่วงปลายปี 2566 เพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เชื่อถือได้ และสามารถจัดสรรเวลาทำงานเองได้หมด รายได้จากการวิ่งงานช่วยให้พี่อ้อสามารถประคองสถานการณ์ด้านการเงินในแต่ละเดือนได้มากขึ้น แต่พอถึงช่วงเปิดเทอม พี่อ้อรู้ทันทีว่ารายได้ตอนนี้อาจไม่พอรับมือกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่กำลังมาถึง อีกทั้งยังมีหนี้นอกระบบราว 50,000 บาท ที่ยังต้องจ่ายค่อยดอกเบี้ยอีก พี่อ้อเลยตัดสินใจขอสินเชื่อกับ Grabการเงิน “เรามั่นใจว่าเราผ่อนได้แน่ๆ เพราะเราขับแกร็บอยู่แล้ว และเนื่องจากมีระบบแบบหักรายวัน เราจึงเชื่อว่าเราใช้หนี้หมดได้แน่นอน”

การขับแกร็บควบคู่กับงานบัญชี ช่วยให้พี่อ้อสามารถปลดหนี้นอกระบบได้หมดภายใน 3-4 เดือน ความคล่องตัวทางการเงินก็กลับคืนมา โดยมีรายได้จากแกร็บเป็นแรงหนุนหลักที่ช่วยให้บ้านหลังนี้ผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ มาได้ พี่อ้อแบ่งเวลาจากงานบัญชีฟรีแลนซ์มาขับแกร็บทุกวัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึงราวบ่ายโมงของทุกวัน จากนั้นจึงกลับไปทำงานบัญชีต่อในช่วงบ่ายถึงค่ำ ด้วยวินัยและการวางแผนที่ชัดเจน ทำให้พี่อ้อสามารถจัดการทั้งเรื่องรายได้และเวลาได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการไต่ระดับผู้ขับขี่เป็น “เซียนแกร็บคาร์” (คนขับแกร็บที่ทำรอบขับในระดับสูง) ได้สำเร็จ พี่อ้อยังได้พูดถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจากการเป็นเซียนแกร็บคาร์ ที่รวมทั้งบัตรเติมน้ำมันฟรี หรือการผ่อนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ “การขับแกร็บช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้เสริมและมีสิทธิประโยชน์ที่ดี อีกทั้งยังถือเป็นอาชีพที่ปลอดภัยมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างเรา” พี่อ้อกล่าว

จากวันที่เคยกังวลว่าจะเลี้ยงครอบครัวไหวไหม วันนี้พี่อ้อมีคำตอบแล้วว่า...ไหว และไปต่อได้อีก “อยากบอกทุกคนที่มองหาอาชีพเสริม หรือรายได้ที่มั่นคง ว่าการขับแกร็บคือโอกาสที่เราสามารถคว้าไว้และจัดการได้ด้วยตัวเอง

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนและการซื้อขายพลังงานในญี่ปุ่น พร้อมเดินหน้าแผนการลด การปล่อย CO2 อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งในจีน (Biomass Co-firing) ประกอบกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs) เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเดินหน้าขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) ผ่าน Banpu NEXT ทั้งในจีนและญี่ปุ่น เพื่อสร้างรายได้เพิ่มและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization Journey)

 

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า “ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกยังเผชิญความผันผวนและมีการปรับขึ้นภาษีทางการค้าระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา แต่ BPP ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโต ด้วย จุดแข็งจากการกระจายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่สมดุล และเลือกลงทุนในภูมิภาคที่มีการเติบโตมั่นคง โดยเน้นการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในตลาดภายในประเทศเป็นหลัก (Domestic market) ควบคู่กับความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น เพื่อเสริมความยืดหยุ่นใน การดำเนินธุรกิจ และสนับสนุนเป้าหมายพลังงานของแต่ละประเทศอย่างมีประสิทธิผล เราเชื่อว่าความหลากหลายของโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งพลังงานความร้อน (Thermal Energy) และพลังงานหมุนเวียนรวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเป็นฐานสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

 โดยผลดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 574 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 1,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 286 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้ดี และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งประสบความสำเร็จในการใช้ชีวมวลสัดส่วน 10% ร่วมกับเชื้อเพลิงหลัก ขณะที่โครงการที่โรงไฟฟ้าโจวผิงอยู่ระหว่างขั้นตอนทดสอบระบบก่อนเปิดดำเนินการ และโรงไฟฟ้าหลวนหนานอยู่ในขั้นตอนการประมูล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายท่อส่งไอน้ำในจีน สำหรับธุรกิจ Renewables+ ได้ลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์ม จินหู เฉียนเฟิง (Jinhu Qianfeng Solar Farm) ตั้งอยู่ที่มณฑลเจียงชู ในจีน มีกำลังผลิต 120 เมกะวัตต์ เป็นโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ผสมผสานกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquavoltaic) โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการพลังงานสูง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการ เชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2569 ด้านโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 81 ทั้งสองแห่ง ขณะที่ในญี่ปุ่น ธุรกิจซื้อขายพลังงานมีผลการดำเนินงานโดดเด่น ด้วยปริมาณซื้อขายรวม 2,020 กิกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาสแรก พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ (Grid-Scale BESS) แห่งแรกในกรุงโตเกียว ผ่านการดำเนินงานของ Banpu NEXT มีกำลังการกักเก็บ 8 เมกะวัตต์ชั่วโมง เพื่อสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เสริมเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า และตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เติบโตต่อเนื่องในท้องถิ่น

ส่วนในสหรัฐฯ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ในตลาดพลังงานเสรี ERCOT มีแนวโน้มลดลงภายใน 2569 จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาไฟฟ้าในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นส่งผลเชิงบวกต่อการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่ง

“BPP ยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของเราที่ถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่น และการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่หลากหลาย เพื่อรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานในแต่ละตลาด ประกอบกับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและมีเป้าหมายชัดเจนใน การสร้างอนาคตพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” นายอิศรา นิโรภาส กล่าวเสริม

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ BPP ได้ที่  www.banpupower.com

 

The Ocean Cleanup ร่วมกับเหล่าพันธมิตร ฉลองโอกาสครบรอบ 1 ปีแห่งความร่วมมือในการติดตั้งเรือ Interceptor™ ลำแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงวิจัยเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษจากขยะพลาสติกในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีการสัญจรมากที่สุดสายหนึ่งของโลก โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของพันธมิตรจากหลายภาคส่วน ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรุงเทพมหานคร, กรมเจ้าท่า, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย, สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย, บริษัท อีโคมารีน จำกัด, บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ โคคา-โคล่า ประเทศไทย เพื่อศึกษาปัญหามลพิษจากขยะพลาสติกที่ส่งผลต่อแม่น้ำและลำคลองสายต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ

Interceptor 019 ที่ติดตั้งในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเรือที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์และมาพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีของ The Ocean Cleanup ในการช่วยดักจับขยะในแม่น้ำ เพื่อช่วยสกัดขยะพลาสติกก่อนที่จะถูกพัดพาลงสู่มหาสมุทร  นอกจาก Interceptor 019 จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยขยะพลาสติกแล้ว ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมายังสามารถดักจับขยะได้มากกว่า 150 ตัน สร้างงาน 13 ตำแหน่ง และมีผู้เยี่ยมชมมากกว่า 450 คน ซึ่งรวมถึงหน่วยงานภาครัฐและนักเรียน นักศึกษาแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของผู้คนและชุมชนมายาวนาน เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 11 ล้านคน และนับเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของเอเชีย

โครงการนี้ได้ติดตั้ง Interceptor 019 ที่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณหน้าสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ซึ่งเป็นช่วง 16 กิโลเมตรสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีลำคลองจำนวน 61 สายไหลมาบรรจบในช่วงนี้ ทำให้มีโอกาสที่ขยะพลาสติกจะถูกพัดพามาจากที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ได้มีการเก็บข้อมูลของขยะที่ Interceptor 019 ดักจับได้ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจประเภทของขยะพลาสติก และมุ่งศึกษาวิธีการสกัดและดักจับขยะพลาสติกก่อนที่จะไหลเข้าสู่ช่วง 50 กิโลเมตรสุดท้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะบรรจบกับอ่าวไทยและพัดพาขยะพลาสติกไปยังมหาสมุทร

โบแยน สแลต ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง The Ocean Cleanup กล่าวว่า “พันธกิจของ The Ocean Cleanup คือการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทรทั่วโลก และเราเชื่อว่าการแก้ปัญหาจากต้นทาง ซึ่งก็คือแม่น้ำ เป็นสิ่งสำคัญ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญระดับโลกของเรา มาผนวกกับความรู้และการดำเนินงานในพื้นที่ ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนให้กับกรุงเทพฯ และที่อื่นๆ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการป้องกันขยะพลาสติกไม่ให้ไหลลงสู่มหาสมุทร และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเราผสานนวัตกรรมเข้ากับความร่วมมือของพันธมิตรในพื้นที่ สามารถยกระดับการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกในระดับโลกได้"

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า "ความสำเร็จของ Interceptor 019 แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าสำคัญของเราในการปกป้องทะเลและชายฝั่งของไทยอย่างต่อเนื่อง เราตระหนักดีว่าพลาสติกในแม่น้ำส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศทางทะเล ความร่วมมือกับ The Ocean Cleanup ทำให้เราได้ข้อมูลวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการวางนโยบายและแผนอนุรักษ์ทะเลโดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสามารถดักจับขยะก่อนที่จะไหลลงสู่อ่าวไทยได้ถึง 184,000 กิโลกรัม ซึ่งพิสูจน์ว่าการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี สอดประสานกับกับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้”

“เราเชื่อว่าความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก จะช่วยลดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ซึ่งรวมถึงการปกป้องสัตว์ทะเลหายาก แนวปะการัง และระบบนิเวศทางทะเลโดยรวม นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมให้ประชาชนรู้สึกอยากมีส่วนในการปกป้องมหาสมุทรร่วมกัน"

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า "โครงการติดตั้ง Interceptor 019 ของ The Ocean Cleanup กลายเป็นส่วนสำคัญในแผนการจัดการขยะแบบครบวงจรในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำที่สำคัญในการพัฒนาและการเชื่อมต่อเมืองของเรา ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว กรุงเทพมหานคร กำลังปรับปรุงระบบการจัดการขยะในทุกระดับ นับตั้งแต่การส่งเสริมการคัดแยกขยะในครัวเรือน ไปจนถึงการกำจัดขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาโดยใช้เทคโนโลยี ซึ่งรวมถึง Interceptor 019 ที่เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการดูแลแม่น้ำลำคลองอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ปัจจุบัน กทม. สนับสนุนการปฏิบัติงานที่จำเป็นด้านการขนถ่ายและจัดการคัดแยกขยะ นอกเหนือจากขยะพลาสติกที่ Interceptor ดักจับได้ ทาง กทม. ยังสามารถจัดการขยะในแม่น้ำได้ราว 3,400 ตันต่อปี และยังรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหามลพิษให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง"

 นอกจาก Interceptor 019 จะดักจับขยะได้กว่า 150 ตันแล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อให้ความรู้แก่ชุมชน โดยมีผู้เยี่ยมชมมากกว่า 450 คน ซึ่งรวมถึงนักเรียน นักศึกษา ซึ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันมลพิษในแม่น้ำ โครงการนี้มีส่วนสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง เพื่อทำให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่ผู้คนใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และทำให้เมืองสามารถพัฒนาเดินหน้าควบคู่กับการดูแลรักษาแม่น้ำลำคลองให้ใสสะอาดได้

รีติมา รัคยัน ผู้จัดการทั่วไป และรองประธานฝ่ายธุรกิจแฟรนไชส์ โคคา-โคล่า ประเทศไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา กล่าวว่า "โคคา-โคล่า ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระดับภูมิภาคของเรากับ The Ocean Cleanup ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ขยะพลาสติกเล็ดลอดสู่มหาสมุทร นอกจากประเทศไทยแล้ว เรายังสนับสนุนการติดตั้ง Interceptor ในมาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย และทีมงาน โคคา-โคล่า ในแต่ละพื้นที่ยังสนับสนุน The Ocean Cleanup ในการดำเนินงานต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วย”

ความสำเร็จครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ในการบูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากร ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐหลักกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานระหว่าง The Ocean Cleanup และหน่วยงานราชการอื่น ๆ พร้อมทั้งดูแลมาตรฐานการทำงานของเทคโนโลยี Interceptor ส่วน กรุงเทพมหานคร ดูแลรับผิดชอบการจัดเก็บและคัดแยกขยะที่ดักจับได้ ซึ่งในแต่ละปีกรุงเทพมหานครมีการจัดการขยะจากแม่น้ำลำคลองเฉลี่ย 3,400 ตัน เพื่อนำพลาสติกกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และกำจัดขยะอื่น ๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในการไม่ทิ้งขยะลงสู่แหล่งน้ำ กรมเจ้าท่า กำกับดูแลด้านข้อกำหนดและมาตรฐานความปลอดภัย ส่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย สนับสนุนการเข้าถึงพื้นที่ติดตั้ง Interceptor 019

ผู้ดำเนินงานและพันธมิตรด้านองค์ความรู้  ประกอบด้วยบริษัท อีโคมารีน จำกัด และ บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบการติดตั้งและปฏิบัติการของเรือ Interceptor 019 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนด้านการวิจัยขยะพลาสติกที่ดักจับได้ เพื่อนำไปต่อยอดการจัดการปัญหาขยะในแม่น้ำลำคลองในประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย มีส่วนในการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปีของ Interceptor 019 ในแม่น้ำเจ้าพระยา

ในส่วนของผู้สนับสนุนทางการเงินนั้น โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากมูลนิธิ YP และมูลนิธิ Pathway ซึ่งให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาและติดตั้ง Interceptor 019 ร่วมกับ เดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกับ The Ocean Cleanup ในการสนับสนุนการดำเนินพันธกิจในระดับโลก

กรุงเทพฯ / 16 พฤษภาคม 2568 – บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน แถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ “BDMS PREVENTIVE VACCINE” สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ณ BDMS Connect Center ถนนวิทยุ

แคมเปญนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ BDMS ในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขเชิงป้องกันให้เป็นรูปธรรม โดยเน้นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวัคซีนในราคาพิเศษสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย พร้อมวางรากฐานสู่ระบบสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนทั้งในด้านการแพทย์และประกันสุขภาพ

นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งให้การสนับสนุนการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมาโดยตลอด กล่าวว่า “แคมเปญ BDMS PREVENTIVE VACCINE สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ BDMS ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งจะช่วยลดภาระค่ารักษาในระยะยาว และเป็นการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืน”

“การรณรงค์การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค จะช่วยบริหารจัดการต้นทุนค่ารักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเอื้อประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ทั้งผู้เอาประกัน สถานพยาบาล และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งนี้ ผู้ถือกรมธรรม์สุขภาพจะได้รับสิทธิ์ฉีดวัคซีนในราคาพิเศษ ณ โรงพยาบาลในเครือ BDMS”

ภายในงานจัดให้มีการเสวนาแพทย์ผู้ชำนาญการในหัวข้อ “บทบาทของวัคซีนกับการป้องกันโรคติดเชื้อในปัจจุบัน” โดย แพทย์หญิงเมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ นายแพทย์อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการแพทย์ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล นายแพทย์วสุ กำชัยเสถียร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมให้ความรู้ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีน เพื่อการป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ รวมถึงวัคซีนในเด็ก ซึ่งจะช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุขไทย และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนทุกช่วงวัย เนื้อหาการเสวนาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีน ทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนปอดอักเสบ วัคซีนงูสวัด และวัคซีนไข้เลือดออก ซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระต่อระบบสาธารณสุข และเสริมภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว

 

จากนั้นเป็นช่วงเสวนา “บทบาทของภาคประกันชีวิตกับการส่งเสริมการป้องกันโรค” นำโดย นายแพทย์มนต์สรร อัศวนพเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์และโครงสร้างราคา BDMS พร้อมด้วย ตัวแทนจาก 7 บริษัทประกันชีวิตชั้นนำ ได้แก่ เอไอเอ ประเทศไทย, อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทย ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมหารือถึงแนวทางสนับสนุนด้านสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าในการเข้ารับวัคซีน การใช้เครดิตวัคซีนในกลุ่มพนักงาน และการขยายเครือข่ายบริการทางการแพทย์

แคมเปญ BDMS PREVENTIVE VACCINE นี้ครอบคลุมวัคซีนใน 4 กลุ่มโรคหลัก ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ สำหรับผู้ใหญ่ราคา 500 บาท และเด็ก ราคา 700 บาท บาท วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ ราคา 3,500 บาท วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก (2 เข็ม) รวมราคา 3,900 บาท และวัคซีนป้องกันโรควัคซีนงูสวัด (2 เข็ม) รวมราคา 11,500 บาท โดยผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพสามารถแสดงหลักฐานเพื่อเข้ารับบริการได้ ณ โรงพยาบาลในเครือ BDMS ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568

โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างภาคการแพทย์และภาคการประกันชีวิต ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการเข้าถึงการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะมีผู้รับบริการวัคซีนมากกว่า 36,000 คนทั่วประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพเชิงป้องกันของไทยให้เป็นรูปธรรมต่อไป

X

Right Click

No right click