

ไมโครซอฟท์ เผยข้อมูลล่าสุดจากรายงานวิจัย Work Trend Index ฉบับปี 2025 มุ่งเน้นให้เห็นทิศทางการปรับตัวขององค์กรในประเทศไทยและทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่สถานะ “Frontier Firm” หรือองค์กรระดับแนวหน้าด้านนวัตกรรม ผสานการทำงานของ AI และการสร้างทีมงานรูปแบบใหม่ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีพนักงานที่เป็นมนุษย์นำทีม และให้ทีมงานดิจิทัลอย่าง AI agent เป็นผู้ช่วยทำงานต่างๆ อย่างอัตโนมัติ
รายงาน Work Trend Index ฉบับ 2025 นี้ รวบรวมข้อมูลผลสำรวจผู้บริหารและพนักงานรวม 31,000 คน จาก 31 ประเทศทั่วโลก ควบคู่ไปกับข้อมูลความเคลื่อนไหวในตลาดแรงงานโลกจาก LinkedIn รวมถึงข้อมูลจากการใช้งานจริงของกลุ่มผู้ใช้งาน Microsoft 365 ระดับองค์กร โดยในปีนี้ มีข้อมูลใหม่มาเพิ่มเติมจากกลุ่มสตาร์ทอัพสาย AI นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิจัยอีกจำนวนหนึ่ง
![]()
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เผยว่า “ผลสำรวจประจำปีนี้บอกเราว่าผู้บริหารในไทยตื่นตัวกันมากในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลักขององค์กร โดยมีถึง 93% ที่มองว่าจะต้องคิดใหม่ วางทิศทางใหม่ให้ได้ในปีนี้ และเมื่อมองผลสำรวจในระดับโลก เห็นได้ชัดเจนว่าองค์กรชั้นนำกำลังลงมือปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน ยกระดับ AI จากเครื่องมือใช้งานทั่วไปให้กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ และส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI agent อย่างลงตัว ซึ่งองค์กรเหล่านี้เองที่กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ด้านนวัตกรรมในฐานะ ‘Frontier Firm’ เพื่อการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป”
ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ Work Trend Index 2025 มีดังต่อไปนี้
1. “ความชาญฉลาดแบบพร้อมใช้” เป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้
ในอดีต ความชาญฉลาดหรือศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และเสริมสร้างฐานความรู้ขององค์กร เป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการทำงาน แรงกาย หรือแรงใจ แต่ในยุค AI นี้ องค์กรระดับ Frontier Firm เริ่มมองเห็นแล้วว่าการมีเครื่องมือ AI หรือมีระบบ AI agent ทำงานแบบอัตโนมัติอยู่ภายในองค์กร นับเป็นการเติมเต็มช่องว่างด้านขีดความสามารถขององค์กร เพิ่มศักยภาพการทำงานอัจฉริยะ ช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างคล่องตัวกว่าในอดีต
ผลสำรวจเผยว่าผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 90% (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 82%) มีแผนที่จะนำ AI agent เข้ามาทำงานเคียงข้างพนักงานในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า เนื่องจาก AI agent สามารถทำความเข้าใจในเนื้องาน วางแผนงาน และทำงานบางส่วนโดยอัตโนมัติด้วยตัวเอง โดยมีพนักงานเป็นผู้ดูแลและตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนที่สำคัญ หรือเท่ากับว่ามีแผนที่จะขยายองค์กรด้วย “ทีมงานดิจิทัล” ผ่าน AI นั่นเอง
แนวทางการสร้างทีมรูปแบบใหม่นี้ช่วยปลดล็อคศักยภาพ และข้อจำกัดต่างๆ ในการเพิ่มปริมาณงานที่ทุกองค์กรทั่วโลกต่างเผชิญมาโดยตลอด สอดคล้องกับผลการสำรวจที่บอกว่า 75% ของผู้บริหารไทย (เฉลี่ยทั่วโลก 53%) ต้องการให้องค์กรทำงานได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน พนักงานในองค์กรไทยถึง 88% (เฉลี่ยทั่วโลก 80%) รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะจัดการกับงานที่มีอยู่ล้นมือ
2. เตรียมพลิกผังองค์กร เมื่อพนักงานจับมือ AI ทำงานเป็นทีม
ผู้บริหารองค์กรไทยราว 68% (เฉลี่ยทั่วโลก 46%) บอกกับเราว่าองค์กรของพวกเขาเริ่มนำ AI agent เข้ามาเปลี่ยนกระบวนการการทำงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติเต็มตัวแล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในทั้ง 31 ประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจ โดยเมื่อมองไปที่ภาพรวมระดับโลกแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์กรเริ่มมีทีมงานลูกผสมระหว่างพนักงานและ AI มากขึ้น โดยเฉพาะในสายงานบริการลูกค้า การตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
เมื่อเราหันไปสอบถามพนักงานว่าพวกเขาเลือกขอความช่วยเหลือจาก AI ด้วยเหตุผลอะไรบ้าง พบว่าพนักงานไทยมีมุมมองแตกต่างจากคนทำงานทั่วโลกเล็กน้อย โดยเหตุผลอันดับหนึ่งคือสามารถเรียกใช้งาน AI ได้ทุกเวลา แต่พนักงานไทยเล็งเห็นคุณค่าของ AI ในการนำเสนอไอเดียและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ขณะที่คนทำงานในประเทศอื่นๆ ให้ความสำคัญกับความเร็วและคุณภาพของผลงานจาก AI มากกว่าความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อย
อัตราส่วนการใช้งาน AI agent ขององค์กรไทยที่สูงกว่าชาติอื่นๆ ยังสะท้อนออกมาในรูปของมุมมองที่พนักงานมีต่อ AI อีกด้วย โดย 56% ของพนักงานไทยมอง AI เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่แชร์ไอเดียกันในเวลาทำงาน ขณะที่ 43% มอง AI เป็นเครื่องมือที่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น (เฉลี่ยทั่วโลก 46% และ 52% ตามลำดับ)
3. พนักงานทุกคนเป็นหัวหน้างานได้ ด้วยลูกน้องพลัง AI
ข้อมูลทั้งหมดในสองประเด็นที่ผ่านมาล้วนแสดงให้เห็นว่าการใช้งาน AI agent ในองค์กรมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า ผู้บริหารไทยมองว่าทีมงานในองค์กรจะต้องมีบทบาทหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในงานประจำวันด้วย:
· การออกแบบระบบงานใหม่ด้วย AI (51%)
· การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน โดยมี AI agent หลายตัวทำงานร่วมกัน (51%)
· การฝึกสอน AI agent ให้เข้าใจเนื้องาน (56%)
· การบริหารจัดการ AI agent ในภารกิจต่างๆ (46%)
![]()
ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น พนักงานยังคงต้องการแรงสนับสนุนในด้านทักษะและความเชี่ยวชาญ โดยผู้บริหาร ตอบว่าคุ้นเคยกับแนวคิดและการใช้งาน AI agentเป็นอย่างดี (ไทย 78% และทั่วโลก 67%) มากกว่าพนักงาน (ไทย 53% และ ทั่วโลก 40%) แต่องค์กรส่วนใหญ่ก็เข้าใจในความจำเป็นตรงจุดนี้แล้ว และยกให้การเสริมสร้างทักษะของพนักงานเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดขององค์กรในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
เผยฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ตอบโจทย์องค์กรยุค AI agent
ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่มากมายใน Microsoft 365 Copilot ที่จะเปิดโอกาสให้องค์กรทั่วโลกได้เข้าถึง AI agent ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น พร้อมด้วยโมเดล AI ที่มีความสามารถมากขึ้นในหลายด้าน
· Researcher และ Analyst เป็นสอง AI agent ใหม่ที่สามารถช่วยงานด้านการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลได้ ด้วยความสามารถจากโมเดล AI ระดับ deep reasoning ของ OpenAI โดย agent ทั้งสองตัวจะเปิดให้ลูกค้าองค์กรบางรายได้ทดลองใช้ก่อนในระยะแรก นอกจากนี้ เรายังเปิดตัว Agent Store ที่รวบรวมสารพัด AI agent จากพันธมิตรของไมโครซอฟท์อย่าง Jira, Monday.com, Miro หรือแม้แต่ agent ที่แต่ละองค์กรพัฒนาขึ้นเอง มาไว้ในที่เดียวให้เรียกใช้งานได้ง่ายๆ
· ฟังก์ชัน Create ใน Copilot สามารถสร้างสรรค์ภาพต่างๆ ได้ด้วยโมเดล GPT-4o ของ OpenAI จึงพร้อมเป็นผู้ช่วยงานออกแบบและกราฟฟิกของทุกคน สามารถรับมือได้ทั้งการปรับแก้ภาพเพื่อใช้งาน การสร้างภาพใหม่ๆ ที่ตรงกับแนวทางด้านภาพลักษณ์แบรนด์ขององค์กร หรือแม้แต่การเขียนข้อความประกอบ สร้างโพสต์สำหรับโซเชียลมีเดีย วิดีโอ และอื่นๆ อีกมาก
· Copilot Notebooks เปลี่ยนเอกสาร โน้ต และห้องแชทต่างๆ ในมือคุณให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดย Copilot สามารถดึงข้อมูลทั้งหมดนี้มาวิเคราะห์ แยกแยะตามความสำคัญ และให้คำแนะนำในการทำงานได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ทั้งยังสามารถอัปเดตคำแนะนำดังกล่าวตามข้อมูลใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาได้อีกด้วย
· Copilot Search ช่วยหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลทั่วทั้งองค์กรให้กับคำถามและข้อสงสัยของผู้ใช้งาน โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้มากมาย ทั้งระบบสนับสนุนงาน IT อย่าง ServiceNow ข้อมูลใน Google Drive ห้องแชทใน Slack แหล่งความรู้จาก Confluence หรือสถานะโปรเจคจาก Jira
· Copilot Control System เสริมทางเลือกใหม่ให้องค์กรสามารถเลือกเปิด ปิด หรือบล็อกการใช้งาน AI agent ในองค์กรได้โดยละเอียด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีทางเลือกการใช้งาน AI agent ที่เหมาะสมกับเนื้องานของพวกเขา และลดความผิดพลาดหรือสับสนไปพร้อมกัน
“รายงาน Work Trend Index ประจำปีนี้ ชี้ให้เห็นว่าองค์กรทั่วโลกกำลังก้าวไปอีกขั้น จากการทดลองใช้ AI สู่การใช้งานจริงและการปรับโครงสร้างองค์กรให้เข้ากับยุค AI มากยิ่งขึ้น” นายธนวัฒน์กล่าวเสริม “เราเชื่อว่าองค์กรและประเทศที่ปรับตัวให้ทำงานแบบ AI-first ได้ จะสามารถผสมผสานความสามารถของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตสู่ความสำเร็จได้มากกว่าที่เคย โดยไมโครซอฟท์เองก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกับทุกองค์กร ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกและคำแนะนำที่ตอบโจทย์ในโลกยุค AI”
ผู้สนใจสามารถอ่านรายงาน Work Trend Index 2025 ฉบับเต็มได้ ที่นี่ หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot สำหรับองค์กร
SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ค่าเงิน และตลาดหุ้นไทย หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC, SCB Finance Market, SCB CIO และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ลูกค้าได้รับทราบอย่างทันท่วงทีภายหลังการประกาศผลการประชุมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.75%ต่อปี พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนเพื่อให้ลูกค้าได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย SCB EIC มอง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยสะท้อนมุมมองเศรษฐกิจเริ่มสอดคล้องภาคเอกชน คาดว่ายังมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้าน SCB Finance Market ประเมินเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น และกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปลายปีที่ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทย แต่ยังไม่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แม้หากถูกปรับลดในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade ด้าน InnovestX มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. แต่อาจเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ดีเท่ากับภูมิภาค ขณะที่ กองทุนThai EGSX จะช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้ ส่วน SCB CIO เผย ธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมสนับสนุนการขาย 4 กองทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์ IPO 2 – 8 พ.ค. นี้ หลังจากนั้นจะเปิดขายพร้อมรับสับเปลี่ยน LTF หลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC เปิดเผยว่า จากผลการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.00% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี สะท้อนว่า กนง. เริ่มมีมุมมองเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเริ่มมองเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากมุมมองเดิมหลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษีนำเข้า และ กนง. ได้ประเมินมุมมองเศรษฐกิจไทยออกมาเป็นฉากทัศน์อ้างอิง (Reference Scenario) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.0% ในปีนี้ และ 1.8% ในปี 2569 และฉากทัศน์ทางเลือก (Alternative Scenario) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.3% ในปีนี้ และ 1.0% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ด้วย นอกจากนี้ กนง. ยังกล่าวถึงภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัว ดูจากสินเชื่อที่หดตัวและ NPL ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ มุมมองต่อเศรษฐกิจของ SCB EIC และ กนง. ไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุมมองล่าสุด SCB EIC ณ เดือน เม.ย. มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเหลือ 1.5% ในกรณีฐาน บนสมมติฐานที่ว่า ไทยจะต่อรองลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ได้แค่ครึ่งเดียว ถึงแม้สหรัฐฯ จะชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไปชั่วคราว 90 วัน ผลกดดันต่อการส่งออกไทยจะเริ่มเห็นในช่วงครึ่งหลัง แต่สำหรับความเชื่อมั่นในการลงทุนของธุรกิจไทยน่าจะถูกกระทบตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้แล้ว ผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้มองว่าการลงทุนเอกชนปีนี้จะยังไม่ฟื้นจากที่เคยหดตัวในปีที่แล้ว ภาคการท่องเที่ยวเองก็อาจจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่มากอย่างที่เคยคาดไว้ หากดูทิศทางเศรษฐกิจรายไตรมาสจะเห็นว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำลงเรื่อยๆ จากไตรมาสแรกที่จะยังเห็นเติบโตได้ 3% ไตรมาส 2 จะขยายตัวลดลงเหลือ 2.2% และลดลงเหลือเพียง 0.7% ในไตรมาสที่ 3 และ 0.3% ในไตรมาสที่ 4
SCB EIC จึงยังคงมุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตามเดิม โดยมองว่า จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 อย่างละ 1 ครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่ำไม่ถึง 2% ต่อเนื่องไปปีหน้า และความไม่แน่นอนยังสูงมาก หลังจากนี้คงต้องอยู่ที่ภาครัฐว่าจะเจรจาต่อรองลดภาษีสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ภาคธุรกิจและประชาชนจะเตรียมปรับตัวจากสถานการณ์ข้างหน้าที่มองเห็นแบบนี้อย่างไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาระทางการเงินลูกหนี้และช่วยดูแลเศรษฐกิจได้ ส่วนภาครัฐอาจอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอีกทาง
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการประชุม กนง. ที่ออกมาถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 2 ปี และ 10 ปี ทรงตัว ส่วนประเด็นที่ Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทยนั้น เนื่องจากเป็นเพียงการปรับมุมมอง แต่ยังไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอันดับความน่าเชื่อถือของไทยยังอยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตขั้นต่ำของระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ดังนั้น แม้จะถูกปรับลดลงในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade จึงยังไม่เห็นความเสี่ยงของการเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยออกมา
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า ในระยะสั้น ไตรมาสที่ 2 ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าได้ โดยอยู่ในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า ที่สหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้นภาษีตอบโต้บางส่วน หลังผ่านช่วงเวลา 90 วัน ที่ชะลอการเก็บภาษีชั่วคราว ซึ่งจะทำให้เงินเอเชีย รวมถึงเงินบาทอาจอ่อนค่า โดยที่ธนาคารกลางต่างๆ อาจยอมให้ค่าเงินอ่อนค่าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจกลับมาแข็งค่าบ้าง นอกจากนี้ยังมาจาก เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง กนง. มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อในปีนี้ รวมทั้งเป็นผลจากในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่บริษัทข้ามชาติจะส่งเงินกลับไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศ (Dividend payout) รวมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง
สำหรับระยะยาว คาดว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้ โดยมอบกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.50-33.50 บาท ในช่วงสิ้นปี 2568 เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง มีการนำเงินออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่สกุลเงินหลักอื่น เช่น เงินยูโร เยน และสวิสฟรังก์ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินยูโร มีแนวโน้มแข็งค่า จากเงินทุนไหลกลับเข้ายุโรป ส่วนเงินเยน อาจแข็งค่าขึ้นต่อตามการขึ้นดอกเบี้ยและกลุ่มประกันที่นำเงินกลับเข้าญี่ปุ่น
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า โดยปกติตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองได้ดีกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไป 0.25% จะให้ประโยชน์ 1.3% ของกำไรต่อหุ้น (EPS) ทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 20-25 จุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะตลาดหมี ดังนั้น จึงอาจปรับขึ้นได้ในช่วงสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับในภูมิภาค ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า ค้าปลีก และขนส่ง
ส่วนกรณีการปรับลดมุมมองเครดิตของไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบระยะยาว โดยในปี 2565 ไทยก็เคยถูกปรับลดเครดิตของกลุ่มธนาคารมาแล้ว เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการปรับลดมุมมองเครดิตทั้งหมด สะท้อนถึงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ชะลอตัวลง อัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP และอัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อรายได้ ปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับที่เคยมีอยู่ ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเรื่องการเปิดให้ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai EGSX) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้
นายสรรค์ชัย สกุลสุรเอกพงศ์ ผู้จัดการ Investment Product Selection and Partnership, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB WEALTH พร้อมส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นตลาดทุนไทย โดยธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนการจำหน่ายกองทุน Thai ESGX ที่จัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่มีหลากหลายสไตล์การลงทุนให้เลือก จำนวน 4 กองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท หน่วยลงทุนละ 10 บาท ผ่านสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EASY ประกอบด้วย
1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBT70X) มีความเสี่ยงระดับ 5 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พื้นฐานดี ไม่เกิน 70% และตราสารหนี้ที่เด่น ESG 2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAPX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พร้อมกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงไม่เกิน 20% 3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืนไม่น้อยกว่า 80% และใช้กลยุทธ์คัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุน เพื่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาด และ 4) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTS100X) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี 100 บริษัทที่คำนวณอยู่ในดัชนี SET100FF ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นเงินลงทุนใหม่ โดยสามารถลงทุนได้ในช่วง IPO และหลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ส่วนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน โดยจะต้องถือครองหน่วยลงทุน 5 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน
ส่วนที่สอง สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีหน่วยลงทุนอยู่ ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน Thai ESGX และไม่ได้ดำเนินการสับเปลี่ยนหรือขายหน่วยลงทุนที่ถือไว้ นับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นมา ส่วนนี้สามารถดำเนินการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทุกหน่วยลงทุน จากทุก บลจ. มายังกองทุน Thai ESGX ได้ นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้ง 4 กองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะเริ่มรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568 โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และเงินส่วนที่เหลือใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในสัดส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างปี 2569-2572 สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท
สำหรับ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF มายัง Thai EGSX จะช่วยให้นักลงทุนได้ต่อยอดสิทธิลดหย่อนภาษี โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนใหม่ ทำให้ไม่ต้องรีบขายขาดทุนหน่วยลงทุน LTF ที่ขาดทุนอยู่ ขณะที่ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรเน้นคัดเลือกหุ้นมากขึ้น ซึ่งการลงทุนใน Thai ESGX เป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นการลงทุนในบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ด้วย
เมื่อนับรวมวงเงินสำหรับการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ หากใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนครบทุกรูปแบบ จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมสูงสุดที่ 1,400,000 บาท แบ่งเป็น กองทุนรวม Thai ESGX ส่วนเงินลงทุนใหม่ สูงสุดไม่เกิน 300,0000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน, Thai ESGX ส่วนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF สูงสุด 300,000 บาท, กองทุนรวม Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และ การลงทุนเพื่อการเกษียณรวมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันบำนาญ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด
คำเตือน
· เอกสารนี้จัดทำขึ้นโดย SCB CIO ณ วันที่ 2 พ.ค. 2568 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง
· กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
· โปรดศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดโครงการของกองทุนรวม Thai ESGX และคู่มือภาษีจากบริษัทจัดการลงทุน และศึกษาเงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนดต่อไป
· เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด
· เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและชุมชนที่ขาดแคลน โดยนางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (ซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เป็นตัวแทนส่งมอบเงินบริจาค เพื่อสมทบทุนเข้าโครงการอุปการะเด็กของมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย โดยการบริจาคครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยน้ำใจของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมกันใช้จ่ายผ่านบัตร และใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER แลกเปลี่ยนเป็นเงินบริจาค โดยทุก ๆ 1000 คะแนน สามารถแลกเป็นเงินบริจาคมูลค่า 100 บาท ซึ่งมียอดใช้จ่ายบัตรเครดิตที่เข้าร่วมโครงการรวมกว่า 29,625,629 บาท เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก ครอบครัว และชุมชนที่เผชิญความยากลำบาก ช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษา และสนับสนุนการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน โดยมีนางรสลิน โกแวร์ (ขวา) ผู้อำนวยการ มูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นผู้รับมอบ ณ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
นางสาวสิรีรัตน์ กล่าวว่า "เคทีซีต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้เด็ก ๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ขอขอบคุณสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมแบ่งปันน้ำใจและมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพื่อให้เด็กไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถก้าวสู่อนาคตที่สดใสได้อย่างมั่นคง"
นางรสลิน กล่าว “มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งเน้นการพัฒนา และการรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความยุติธรรมทางสังคม โดยทำงานร่วมกับครอบครัวและชุมชนในการมีส่วนช่วยขจัดปัญหาความยากจน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ ปัจจุบันมูลนิธิฯ มีพื้นที่ดำเนินงานด้านโครงการพัฒนา 56 แห่ง ใน 35 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมดูแลเด็กในโครงการกว่า 38,000 คน โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศ เชื้อชาติ ภาษา และศาสนา ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังแห่งการให้ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็ก ๆ และชุมชนให้ดีขึ้น ขอขอบคุณสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืนค่ะ”
ตอกย้ำสถานีข่าวคุณภาพที่ “ทันโลก ทันเศรษฐกิจ ทันทุกความจริง” TNN ช่อง 16 จัดงานดินเนอร์ทอล์คครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี ในหัวข้อ “Mission Thailand: ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ” เพื่อเปิดเวทีให้ทุกท่านได้รับทราบทิศทางการบริหารเศรษฐกิจจากผู้นำสูงสุดของรัฐบาล และรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ รวมทั้งเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ร่วมตีโจทย์เศรษฐกิจไทย ฝ่าด่านความท้าทายเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมาตรการภาษีระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ตลอดจนแนวทางส่งเสริมการส่งออก การท่องเที่ยว และการพัฒนาอุตสาหกรรม งานจัดขึ้น ณ ห้องแมกโนเลียบอลรูม โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย โดยมี นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด เป็นประธานเปิดงานและกล่าวต้อนรับ
ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ แสดงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์สำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเน้นย้ำถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเปิดเวทีเจาะลึกลงรายละเอียดกับ 4 กระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจ และตัวแทนองค์กรภาคเอกชนชั้นนำ ที่จัดขึ้นในรูป “เอกชนถาม ภาครัฐตอบ” นับเป็นครั้งแรกที่ให้ภาคเอกชนถาม ภาครัฐกันสด ๆ บนเวที โดยมีผู้นำและบุคคลสำคัญในวงการเศรษฐกิจเข้าร่วมงาน อาทิ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มเดอะมอลล์ คุณสุทธิภัค จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงตัวแทนจากภาคเอกชนอีกมากมาย
![]()
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง “กรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยจากระดับ “มีเสถียรภาพ”เป็น “เชิงลบ” การปรับลดดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงความขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย แต่เป็นการประเมินของมูดีส์ เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2008 และประเทศไทยสามารถฟื้นฟูสถานะกลับมาเป็น “มีเสถียรภาพ” ได้อย่างรวดเร็ว”
ในช่วงเวที “เอกชนถาม ภาครัฐตอบ” ระหว่าง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้หารือในหัวข้อสำคัญ “แผนปั้นจีดีพีไทย ฝ่าด่านภาษีทรัมป์” ทางด้าน คุณเกรียงไกร เผยว่า “ภาคเอกชนมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าและมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ได้รับภาษีในอัตราสูง โดยมีอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบถึง 24 กลุ่มจากทั้งหมด 47 กลุ่ม พร้อมตั้งคำถามถึงภาครัฐเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงและส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน” ด้านรองนายกรัฐมนตรีพิชัย กล่าวว่า “รัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการเพื่อปรับสมดุลทางการค้า หนึ่งในแนวทางที่สำคัญคือการส่งเสริมการนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานจากสหรัฐฯ พร้อมจัดการปัญหาการผ่านสินค้าจากประเทศที่สาม ภายใต้กรอบ “5 Pillars” เพื่อสร้างความมั่นคงและสมดุลทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”
สำหรับหัวข้อ “ดันส่งออกไทย พลิกเกมการค้าโลก” ระหว่าง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดย ดร.พจน์ กล่าวถึง “ผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้ส่งออกไทย ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 18 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าไปยังจีน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร” นายพิชัย ยืนยันว่า “การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน โดยมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้การส่งออกจะเติบโตร้อยละ 3 โดยตัวเลขส่งออกในช่วง 3 เดือนแรกเติบโตร้อยละ 15.2 นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเข้มงวดในการป้องกันปัญหาสวมสิทธิ์การส่งออก และดำเนินการ
จับกุมนอมินีแล้วกว่า 856 บริษัท คิดเป็นเงินจดทะเบียนกว่า 15,000 ล้านบาท พร้อมย้ำว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว”

ต่อด้วยหัวข้อ “ทางรอดอุตสาหกรรมไทย ในสมรภูมิรบการค้าโลก” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต เน้นย้ำความสำคัญของการจัดการปัญหาอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ โดยกระทรวงมีมาตรการตรวจสอบและดำเนินคดีต่อโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่ก่อมลพิษ เช่น เหล็กเตาอินดักชั่น พร้อมผลักดันร่างกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรม เพื่อควบคุมการทิ้งของเสียอันตรายอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ปลอดภัย และแข่งขันได้ในระดับสากล
ปิดท้ายสัมมนาในหัวข้อ “ปั๊มหัวใจท่องเที่ยวไทย ดูดรายได้ต่างชาติ” จากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) เผยถึงความกังวลเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง โดยเวียดนามแซงหน้าไทยในตัวเลขล่าสุด กระทรวงฯ เร่งมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยวด้วย การสื่อสารความปลอดภัยผ่าน KOL ชาวจีน และเชิญรัฐมนตรีท่องเที่ยวจีนมาเยือนไทย พร้อมพิจารณามาตรการจูงใจ เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยว อีกทั้งยังสนับสนุนแนวคิดสร้างสถานบันเทิงครบวงจรในจังหวัดรอง เพื่อกระจายรายได้สู่ภูมิภาค และขอความร่วมมือภาคเอกชนดูแลค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความประทับใจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทย
งานดินเนอร์ทอล์คครั้งนี้ ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี ทั้งจากผู้เข้าร่วมงานและผู้ชมถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ TNN2 ทรูวิชั่นส์ ช่อง 784 และช่องทางออนไลน์ Facebook, YouTube และ Tiktok เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้สามารถติดตามข่าวสาร กิจกรรมที่น่าสนใจได้ทาง TNN ช่อง 16 และทุกแพลตฟอร์มออนไลน์
ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประสบความสำเร็จในการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยแบบเซลล์บรอดแคสต์ (Cell Broadcast Service) เต็มรูปแบบระดับเล็กเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยครอบคลุมพื้นที่ทดสอบ 5 จังหวัดทั่วประเทศ ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสงขลา และ กรุงเทพฯ ที่ อาคารศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ (อาคาร A, B) สร้างมิติใหม่ด้านความปลอดภัยที่พร้อมในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่ประสบภัยโดยตรงในทันที
ความพิเศษของระบบ Cell Broadcast คือ ความสามารถในการส่งข้อความและเสียงแจ้งเตือนภัยไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงได้พร้อมกันในทันที โดยไม่จำเป็นต้องระบุหมายเลขที่อยู่ในพื้นที่ต้องการแจ้งภัย และไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ระบบนี้สามารถทำงานได้กับทั้งมือถือระบบ Android และ iOS บนเครือข่าย 4G หรือ 5G
![]()
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า "จากการทดสอบร่วมกับทรู คอร์ปอเรชั่น เราพบว่าระบบ Cell Broadcast มีประสิทธิภาพสูง แม่นยำ สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เฉพาะเจาะจงได้ทันที โดยไม่มีข้อจำกัดด้านปริมาณการส่ง ซึ่งเหนือกว่าระบบการส่ง SMS แบบเดิม ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงจะได้รับการแจ้งเตือนอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย"
ปภ. เป็นหน่วยงานหลักด้านความปลอดภัยของประชาชน มุ่งป้องกันภัยก่อนเกิดเหตุและช่วยเหลือเมื่อเกิดภัย มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน
จุดเปลี่ยนสำคัญในการป้องกันภัยพิบัติของไทย
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ความสำเร็จในการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ระดับเล็กร่วมกับ ปภ. ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับระบบเตือนภัยให้ทัดเทียมนานาชาติ โดยเฉพาะในยุคที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งเราพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทำงานแบบ
บูรณาการร่วมกันอย่างใกล้ชิด เราให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าในทุกสถานการณ์ ทั้งการป้องกัน เตรียมความพร้อมและดูแลในช่วงเกิดภัยพิบัติ โดย ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นรายแรกที่ได้เร่งติดตั้งระบบ CBS ครบทุกสถานีฐาน 4G และ 5G ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อย ทำให้พร้อมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามระเบียบปฏิบัติประจำที่ทุกหน่วยงานกำหนดร่วมกัน"
การทดสอบครั้งแรกในวันที่ 2 พ.ค. ได้ดำเนินการใน 5 พื้นที่พร้อมกัน ได้แก่
1. ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
2. ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี
3. ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี
4. ศาลากลางจังหวัดสงขลา
5. อาคารศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ (อาคาร A, B) กรุงเทพฯ
แผนการทดสอบต่อเนื่องครอบคลุมทั่วประเทศ
ความสำเร็จในการทดสอบระดับเล็กนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ปภ. ได้วางแผนการทดสอบระบบต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 2: การทดสอบระดับกลาง (ระดับอำเภอ) - วันที่ 7 พ.ค. 68 เวลา 13.00 น.
1. อำเภอเมืองลำปาง
2. อำเภอเมืองนครราชสีมา
3. อำเภอเมืองนครสวรรค์
4. อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
5. เขตดินแดง กรุงเทพฯ
ครั้งที่ 3: การทดสอบระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด) - วันที่ 13 พ.ค. 68 เวลา 13.00 น.
1. จังหวัดเชียงใหม่
2. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3. จังหวัดอุดรธานี
4. จังหวัดนครศรีธรรมราช
5. กรุงเทพมหานคร
สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ทดสอบ จะได้รับข้อความพร้อมเสียงเตือนภัยบนหน้าจอมือถือ ดังนี้
ภาษาไทย: "ทดสอบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก"
ภาษาอังกฤษ: "This is test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM) No action required"
ระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ของทรู คอร์ปอเรชั่น ทำงานได้แล้วบนโทรศัพท์ทุกรุ่นที่ใช้ 4G หรือ 5G โดยไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่ม โดยรองรับมือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 11 ขึ้นไป และ iPhone ที่ติดตั้ง iOS 18 ขึ้นไป สำหรับผู้ใช้ iPhone สามารถเปิดรับการแจ้งเตือนได้ที่ เมนูการตั้งค่า > การแจ้งเตือน > เลือกเปิด Amber Alerts และ Emergency Alerts หากใช้ Apple Watch ข้อความแจ้งเตือนก็จะปรากฏบนหน้าจอนาฬิกาด้วย
"นี่คือก้าวสำคัญของการยกระดับความปลอดภัยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วยระบบที่มีความแม่นยำสูง สามารถกำหนดพื้นที่แจ้งเตือนได้ตั้งแต่ระดับพื้นที่เฉพาะจุด ไปจนถึงระดับจังหวัด ระดับภาค หรือครอบคลุมทั้งประเทศ ทำให้การแจ้งเตือนภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด เราพร้อมเดินหน้าขยายการทดสอบให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมเปิดใช้งานจริงในอนาคตอันใกล้" นายจักรกฤษณ์ กล่าวในที่สุด
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ พลตำรวจเอก ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการ กสทช. (ด้านกฏหมาย) และภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน พร้อมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับ แนวทางการป้องกันและปราบปรามการหลอกลวง ทางออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย และบริการโทรคมนาคม และการบังคับใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ในเวทีเสวนาแนวทางการป้องกันและปราบปรามการหลอกลวง ทางออนไลน์ฯ จัดโดยคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ร่วมกับ คณะอนุกรรมาธิการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
![]()
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนมาตรการต่างๆของภาครัฐเพื่อป้องกันภัยมิจฉาชีพออนไลน์ ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคม นอกจากการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามที่ พ.ร.ก.ฉบับใหม่ออกมามีผลบังคับใช้แล้ว ทรูยังมีหน้าที่ในการดูแลลูกค้าผู้ใช้บริการให้มีความปลอดภัย โดยที่ผ่านมาทรูได้มีมาตรการต่างๆ ทั้งการเข้าไปควบคุมเสาสัญญาณไม่ให้ล้ำแดนเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้ช่องโหว่เรื่องของสัญญาณในการนำมาใช้โทรหลอกลวงคนไทย ส่วนการให้บริการอินเทอร์เน็ต ทรูได้มอนิเตอร์การใช้งาน หากพบว่าใช้งานมากผิดปกติ ก็จะเข้าไปดูข้อมูลย้อนหลัง รวมถึงการลงทะเบียนซิม ซึ่ง พ.ร.ก. ฉบับใหม่ให้อำนาจกับบริษัทผู้ประกอบการปรับระบบการลงทะเบียน ให้ครบถ้วน ไม่ใช่แค่การใช้บัตรประชาชนมายื่นเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ทรูยังพัฒนาระบบ True CyberSafe ป้องกันระดับเน็ตเวิร์ก สำหรับลูกค้าทรูและดีแทค โดยนำข้อมูลที่เป็น data จากศูนย์ AOC และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงจากลูกค้าของทรูและดีแทค ที่โทรแจ้งเข้ามา หากพบว่าเป็นเบอร์ของมิจฉาชีพ ก็จะมีการแจ้งเตือน และบล็อคลิงค์ข้อความทันที ซึ่งตั้งแต่เริ่มให้บริการ 3 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 สามารถปกป้องลูกค้าจากการคลิกลิงก์แปลกปลอมได้แล้วถึง 819 ล้านครั้ง (โดยเฉลี่ย 7 ล้านครั้งต่อวัน) คิดเป็น 98.7% ซึ่งขณะนี้มีลิงก์สุ่มเสี่ยงในระบบ True CyberSafe มากกว่า 165,000 ลิงก์ และจะเพิ่มต่อเนื่อง สำหรับส่วนที่ยังเหลืออีกเกือบ 2 % ยังต้องมีการสร้างความรู้และความเข้าใจร่วมกัน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ”
“อย่างไรก็ตาม สำหรับพ.ร.ก.ฉบับใหม่นี้ ทรู มองว่า สิ่งที่ยังถือเป็นความท้าทายในวันนี้ คือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมา กับเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร เพื่อช่วยป้องกันประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ และไม่ให้กระทบกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม” นายจักรกฤษณ์ กล่าวสรุป
แกร็บฟู้ด แอปสั่งอาหารชั้นนำในประเทศไทย1 เผย 5 เทรนด์อาหารที่น่าจับตามองในปี 2025 ผ่านรายงาน “เจาะลึกธุรกิจและเทรนด์ร้านอาหารปี 2025” (A Comprehensive Guide for 2025 Restaurateurs) ซึ่งเปิดตัวในงานประกาศรางวัล #GrabThumbsUp Awards 2025 พบดาวรุ่งดวงใหม่อย่าง ‘สาเก’ มาแรงกับการแพริ่งกับอาหารที่ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น
ขณะที่เทรนด์สแน็กรองท้อง และอาหารเพื่อสุขภาพยังคงเติบโตในวงกว้างโดยเฉพาะกระแส ‘โปรตีน-ซูเปอร์ฟู้ดฟีเวอร์’ นอกจากนี้ เมนูไวรัลที่มาจากต่างประเทศยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่พร้อมเปิดรับความแปลกใหม่ มองหาความเซอร์ไพรส์ และต้องการอยู่ในกระแสเสมอ (FOMO) โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างกระแส และผลักดันแบรนด์และเมนูให้แจ้งเกิดในวงกว้าง

“สาเก” วัตถุดิบเปลี่ยนเกม ที่วงการอาหารต้องจับตา
ด้วยอิทธิพลของกระแส Asianization ที่มาแรงในช่วงปีที่ผ่านมา “สาเก” ได้กลายเป็นดาวรุ่งที่วงการอาหารทั่วโลกให้ความสนใจ เมื่อผนวกกับความนิยมในอาหารญี่ปุ่นของคนไทย สาเกจึงพร้อมขึ้นแท่นไฮไลต์ที่น่าจับตามองของปีนี้ โดยเฉพาะการนำไปแพริ่ง (Pairing) หรือจับคู่กับอาหาร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่พบมากขึ้นในร้านอาหารสไตล์แคชวลไดนิ่ง (Casaul Dining) จึงเป็นที่คาดว่าปีนี้จะได้เห็นเทรนด์ร้านอาหารแนว Sake Bar เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้กระแสเนเชอรัลไวน์ (Natural Wine) ที่เคยร้อนแรงก่อนหน้านี้ ร้านอาหารและบาร์ที่นำเสนอประสบการณ์สาเกในมุมที่แปลกใหม่ จะยิ่งมีโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Early Adopter ได้ก่อน
“Snackification” ของกินเล่นแทนมื้อหลัก
จากไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของผู้บริโภคยุคใหม่ การรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้ออาจไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนจึงมองหาเมนูที่เน้น ‘กินไว กินง่าย ได้ประโยชน์’ ส่งผลให้เทรนด์ “Snackification” หรือการทานของว่างแทนมื้อหลัก กลายเป็นกระแสที่มาแรง ผู้บริโภคมองหาเมนูขนาดพอดีคำ (Bite-size) ที่สะดวกและให้พลังงานเพียงพอ สามารถรองท้องได้ในแต่ละช่วงของวัน หลายแบรนด์จึงจับเทรนด์นี้ด้วยการนำเสนอเมนูแนว Grab & Go ที่ตอบโจทย์ชีวิตแบบพร้อมเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น บาร์ธัญพืช โอนิกิริ สลัดแร็ป หรือแม้แต่เส้นหมี่ไก่ฉีก พร้อมชูจุดขายเรื่องวัตถุดิบที่ให้พลังงานสูง ดีต่อสุขภาพ และแพคเกจจิ้งที่หยิบกินง่าย กลายเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ร้านค้าและแบรนด์สามารถใช้เข้าถึงกลุ่มคนเมืองยุคใหม่ได้
![]()
โปรตีน-ซูเปอร์ฟู้ดฟีเวอร์
ไลฟ์สไตล์รักสุขภาพยังคงเติบโตในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย การชูจุดขายเรื่องวัตถุดิบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงเป็นเทรนด์ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม หนึ่งในกระแสที่มาแรงคือ “โปรตีนฟีเวอร์” สะท้อนผ่านข้อมูลจากร้านน้ำผลไม้สเปเชียลตี้แห่งปีอย่าง PASH Juices ที่พบว่า ‘เวย์โปรตีน’ เป็นท็อปปิ้งยอดนิยมอันดับหนึ่งของเครื่องดื่มสมูทตี้ ขณะเดียวกัน วัตถุดิบที่ให้โปรตีนสูงอย่างเต้าหู้ กรีกโยเกิร์ต และถั่วต่างๆ ล้วนได้รับความนิยมในการนำมาใช้ประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน สอดคล้องกับมูลค่าตลาดของโปรตีนทางเลือกที่เติบโตขึ้นจากปีก่อน2 รวมถึง “ซูเปอร์ฟู้ด” นานาชนิด อาทิ สาหร่ายสไปรูลิน่า ส่วนผสมในสมูทตี้สีฟ้าสุดฮิต หรือ Sea Moss Gel เจลสาหร่ายทะเลสีแดงที่กำลังเป็นไวรัล ดังนั้น การเพิ่มเมนูหรือตัวเลือกส่วนผสมเพื่อสุขภาพในรูปแบบที่น่าสนใจ จะเป็นแต้มต่อที่ช่วยดึงดูดลูกค้าสายเฮลตี้อย่างแน่นอน
“Swavory” ผสมผสานรสหวาน-คาว
เทรนด์ “Swavory” หรือการผสมผสานรสชาติหวาน (Sweet) และคาว (Savory) กำลังเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะในฝั่งของขนมและเครื่องดื่มที่เห็นการสร้างสรรค์เมนูทวิสต์ใหม่ๆ ด้วยการเติมคาแรกเตอร์ของคาวเข้าไป เช่น สมูทตี้โบวล์หน้ายำผลไม้สไตล์ไทยรสแซ่บอย่างเมนู ‘Yum Fruit Zaap! Bowl’ จากแบรนด์ Acai Story หรือน้ำแข็งใสสไตล์เม็กซิกันที่ตัดรสด้วยซอสพริกอย่างเมนู ‘คากิโกริแมงโก้นาดาซอสศรีราชา’ จาก After You เทรนด์นี้ยังเปิดโอกาสให้แบรนด์ต่างวงการได้คอลแลบร่วมกันเพื่อสร้างความเซอร์ไพรส์ให้ตลาด เช่นเดียวกับวงการค็อกเทลไทย ที่นำวัตถุดิบอาหารคาวมาผสมผสานในเมนูเครื่องดื่มที่แปลกใหม่ การชูรสเค็ม-หวานแบบไทยๆ ไม่เพียงแต่สร้างความแตกต่างในตลาด แต่ยังช่วยยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นและถ่ายทอดวัฒนธรรมอาหารไทยในมุมมองที่ทันสมัย ดึงดูดทั้งนักชิมชาวไทยและต่างชาติที่แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ
จับกระแสต่างแดน สร้างจุดเด่นต่อยอดความปัง
ในปีที่ผ่านมา เมนูไวรัลในไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ โดยมักเริ่มจากความนิยมเฉพาะกลุ่ม ก่อนที่จะกลายเป็นกระแสเมนสตรีมที่ขับเคลื่อนโดยแบรนด์ใหญ่และโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็น “Dupe Culture” ในวงการอาหาร เช่น เมนูสมูทตี้สีฟ้า หรือกระแสช็อกโกแลตดูไบที่ฮิตติดลมบน อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ เทรนด์เมนูจากต่างแดนยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง อย่างกระแส ‘ชิโอะปัง’ หรือขนมปังเกลือ ที่มียอดค้นหาบนแกร็บฟู้ดพุ่งสูงขึ้นถึง 66 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ รวมถึง ‘ทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกง’ และอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองคือการกลับมาของ ‘โยเกิร์ตซอฟเสิร์ฟ’ ร้านที่ติดตามกระแสและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จะมีโอกาสสร้างจุดเด่นและเติบโตในตลาดที่แข่งขันสูงได้
หลังจากเริ่มให้บริการเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อเมซ ซูเปอร์แอป (Amaze Super App) แอปช้อปปิ้งคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เปลี่ยนทุกพอยท์ของคุณเป็นพลังช้อปจากเครือซีพี ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยความคืบหน้าล่าสุดและโปรโมชั่นสุดคุ้มที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและร้านค้าไทยยุคใหม่ โดยได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากผู้ใช้งานจริงถึงความสะดวกในการรวมพอยท์จากหลายแหล่ง ทั้งจากโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพี อาทิ ALL POINT, My Lotus's, Makro PRO POINT และ True Point รวมถึงพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น KrungSri, FirstChoice, POINTX, UOB, BBL, GSB และ KBank เพื่อให้ผู้ใช้ อเมซ ซูเปอร์แอป สามารถรวมพอยท์ทั้งหมดไว้ในกระเป๋าพอยท์เดียว หมดกังวลเรื่องพอยท์กระจัดกระจายและหมดอายุ ทั้งยังสามารถสะสมและใช้พอยท์แทนเงินสดได้สะดวกและคุ้มค่ายิ่งขึ้นแบบไม่มีขั้นต่ำ
![]()
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยถึงการเปิดตัว Amaze Super App ว่า “Amaze เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างสิทธิประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้า โดยนำเอาผู้ผลิตมาพบกับผู้บริโภคในเครือข่ายฐานลูกค้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีมากกว่า 100 ล้านผู้ใช้งานทั่วประเทศ นี่คือก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ที่เรากำลังดำเนินการ”
“หัวใจสำคัญของ Amaze คือการมุ่งนำเอาประโยชน์สูงสุดกลับไปสู่ผู้บริโภคและสมาชิก ด้วยการใช้ข้อมูลที่ดี ถูกต้อง และแม่นยำ ทำให้เราสามารถเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อยอดด้วยจุดแข็งของการเป็นบริษัทไทยที่มีความโดดเด่นด้านบริการหลังการขายและการรับประกันคุณภาพ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการระดับโลก” คุณศุภชัยกล่าว
นอกจากนี้ คุณศุภชัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “Amaze คือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สร้างโดยคนไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการในยุคดิจิทัล และผลักดันให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว”
![]()
คุณธรินทร์ ธนียวัน ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มด้านอีคอมเมิร์ซ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า Amaze Super App เป็นแพลตฟอร์ม Loyalt E-Commerce และเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยที่เครือซีพีตั้งใจวางรากฐานให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ด้วยการเชื่อมโยงแต้มสะสมจากหลายแหล่งให้กลายเป็นมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน ผ่านระบบที่ปลอดภัย โปร่งใส และขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทย
แนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในวันนี้ ต้องไม่หยุดเพียงแค่การค้าขายออนไลน์ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data) อย่างมีประสิทธิภาพ เคารพสิทธิของผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด ในขณะเดียวกันก็วางพื้นฐานสำหรับการทำ Personalized Commerce และ Retail Media อย่างครบวงจรในอนาคต
ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร กรรมการผู้จัดการ Amaze Super App บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า “อเมซ ซูเปอร์แอป ไม่ได้เป็นแค่แอปที่รวมพอยท์จากหลายแหล่งมาไว้ในที่เดียว แต่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติโครงสร้างการใช้พอยท์ในประเทศไทย เรามองเห็นศักยภาพของพอยท์ที่คนไทยมีอยู่แต่ยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงพัฒนา อเมซ ซูเปอร์แอป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรวมพอยท์นำไปใช้จ่ายได้ง่าย คุ้มค่ากว่าเดิม และเกิดมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน
โอกาสนี้หน่วยธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร ด้านธุรกิจข้อมูลและลูกค้าองค์กร ทรู คอร์เปอร์เรชั้น เปิดเผยว่า “Amaze เป็นระบบ CRM ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากว่า 40 ล้านบัญชีของทรูมากที่สุด ซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์ของทรูที่มีเป้าหมายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความสะดวกสบายของผู้บริโภค“
ด้านนายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มสายงานการพาณิชย์สินค้า CP AXTRA เปิดเผยว่า “Amaze สามารถทำให้ลูกค้าของ CP AXTRA ใช้พอยท์ Earn และ Burn ง่ายขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยให้สิทธิประโยชน์ของแต่ละกลุ่มธุรกิจเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ”
เช่นเดียวกับนายณัฏฐ์วุฒิ อยู่ปราโมทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนัก Online Sales & Marketing CP ALL ระบุว่า “Amaze เป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าของ CP ALL ที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ให้สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกระดับ เปลี่ยนจาก Daily life Shopping สู่การเป็น Lifestyle Shopping มากขึ้น”
ขณะที่นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ศักยภาพด้านการผลิตสินค้าอาหาร จะสามารถร่วมมือกับ Amaze ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอาหารของผู้บริโภคที่จะทำให้สะดวกสบายมากยิ่งข้น
สำหรับสิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับสมาชิก อเมซ ซูเปอร์แอป ที่จะยกระดับทุกประสบการณ์การช้อป เริ่มจากความสะดวกในการรวมพอยท์จากหลายแหล่งมาเป็น อเมซพอยท์ ได้ในแอปเดียว ใช้จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้าแบบไม่มีขั้นต่ำ พร้อมสินค้าที่มีให้เลือกมากมายกว่า 100,000 รายการ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้พอยท์สั่งสินค้า 7-Eleven และ Lotus’s ได้ง่าย ๆ พร้อมบริการจัดส่งถึงมือภายใน 1–3 ชั่วโมง และยังได้รับโปรโมชั่นเดียวกับหน้าร้านอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริโภคยังสามารถเลือกช้อปสินค้าแท้จากแบรนด์ดังได้ที่ อเมซมอลล์ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของปลอม พร้อมดีลสุดคุ้มมากมาย อีกทั้งทุกครั้งที่ช้อป ยังได้รับ อเมซพอยท์ สะสมไว้ใช้จ่ายในครั้งต่อไปแบบสบาย ๆ
พิเศษสุดจาก อเมซมอลล์ สำหรับช่วงเปิดตัว รับดีลและข้อเสนอเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ได้แก่
● รับฟรีทันที 2,000 อเมซพอยท์ (มูลค่า 20 บาท) ใช้ซื้อสินค้าที่ 7-Eleven, Lotus's และสินค้าแบรนด์ดังในอเมซมอลล์ พร้อมรับคูปองส่วนลดและสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำมากมาย ทั้ง 7-Eleven, Lotus's, Makro, TRUE, TRUE Money และแบรนด์ดังจากอเมซมอลล์ มูลค่ารวมสูงสุดถึง 10,000 บาท!
● โอนพอยท์บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ มาเป็นอเมซพอยท์ครั้งแรก รับอเมซพอยท์เพิ่มสูงสุด 150,000 พอยท์ (มูลค่า 1,500 บาท) ต่อ 1 ธนาคาร ยิ่งถือบัตรเครดิตหลายธนาคาร ยิ่งได้รับสิทธิเยอะ
● ช้อปสินค้าดังกับดีลเด็ด ลดสูงสุดถึง 90% กับ Amaze Mall Day ทุกวันพุธ ทุบราคาเริ่มต้นแค่ 9 บาท แถมพอยท์คืน สูงสุด 15%
● สุดคุ้มสำหรับสายตุน - ทุกวันเสาร์ เหมาเซเว่น - รับพอยท์เพิ่ม 11 เท่า เมื่อช้อปอาหารพร้อมทาน เครื่องดื่ม และสินค้าที่เข้าร่วมจาก 7-Eleven ผ่านแอปอเมซ ขั้นต่ำ 300 บาท และใช้คูปองลดเพิ่ม 30 บาท
● ช้อปสินค้า Lotus's ผ่านแอปอเมซครั้งแรก รับทันที คูปองส่วนลด 20 บาท เมื่อซื้อครบ 99 บาท พร้อมรับพอยท์เพิ่ม 10 เท่า ไม่มีขั้นต่ำ
● สามารถดาวน์โหลดอเมซและสมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้ ทั้งบนระบบ iOS และ Android เพียงค้นหา ‘Amaze Super App’
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสานต่อโครงการปันความรู้ KTC Knowledge Sharing ที่เปิดโอกาสให้บุคลากรภายในองค์กรได้แลกเปลี่ยนความรู้จากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของตนเอง เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการทำงานทั้งทักษะด้านความรู้ (Hard Skill) ควบคู่กับทักษะด้านอารมณ์ (Soft Skill) พร้อมจุดประกายให้บุคลากรมุ่งพัฒนาตนเองต่อไปอย่างไร้ขีดจำกัด
ล่าสุด นางสาวเจนจิต ลัดพลี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์องค์กร “เคทีซี” ได้ร่วมเป็นวิทยากรในโครงการปันความรู้กับหลักสูตร Mastering Social Etiquette for Sales Success ให้กับทีมงาน Bank Relations จำนวน 50 คน เพื่อแนะนำเรื่องการเสริมภาพลักษณ์ด้านการสื่อสารอย่างมืออาชีพ รวมถึงเทคนิคการแต่งกาย การเสริมบุคลิกภาพ การวางตัว และมารยาททางสังคม
นางสาวเจนจิตเปิดเผยว่า Social Etiquette คือมารยาททางสังคมที่สะท้อนความใส่ใจ ความเคารพ และความเข้าใจในบริบทต่าง ๆ ของแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การทักทาย หรือแม้แต่มารยาทในการรับประทานอาหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์โดยรวมของบุคลากร ซึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการเห็นคุณค่าและเคารพในตัวเอง เพราะเมื่อเรามั่นใจ คนอื่นก็จะสัมผัสได้ถึงคุณค่านั้นเช่นกัน
ทั้งนี้ การจัดอบรมดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเคทีซี ในการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรเพื่อการบริการอย่างมีระดับและให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจมากที่สุด
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นโลก บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา Finding the Right Gems in Global Stocks แนะนำ 5 หุ้นต่างประเทศคุณภาพสูงที่น่าจับตา ได้แก่ Netflix, MUFG, Rheinmetall, Mastercard และ Microsoft ซึ่งล้วนมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อเนื่องและได้เปรียบทางการแข่งขันในระดับโลก จากการคัดสรรโดยทีม Equity Solutions พร้อมเตรียมเปิดตัว DR06 ผลิตภัณฑ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศภายในการดูแลของ บล.เกียรตินาคินภัทร ณ โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568
นายฟิลิป ฟินช์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน (Equity Solutions) เผยว่าเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายกำแพงภาษี (Tariff) ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงมาใกล้แตะ 5,000 จุด อย่างไรก็ตาม ทีม Equity Solutions อยากเน้นย้ำความสำคัญของการ ‘มองหาโอกาสเมื่อทุกคนตื่นตระหนก’ เพราะแม้ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาก็มีสิ่งที่ทำให้ต้องหวาดกลัวอยู่เสมอ ไม่ว่าวิกฤติสงครามหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่การลงทุนอย่างต่อเนื่องและจัดการกับอารมณ์มักจะให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่าการพยายามจับจังหวะตลาดในช่วงเวลาที่ผันผวน
“การเลือกหุ้นแบบจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up) ซึ่งเน้นการวิเคราะห์เจาะลึกข้อมูลของหุ้นแต่ละบริษัท ไม่ใช่เพียงวัฏจักรเศรษฐกิจมหภาคและตลาด มีความสำคัญมากในสถานการณ์เช่นนี้ โดยทีม Equity Solutions ได้คัดสรรหุ้นคุณภาพสูง 5 ตัว ได้แก่ 1) Netflix ซึ่งกำลังเดินหน้ากลายเป็นบริการที่แพร่หลายและพบเห็นได้ทั่วไปเทียบเท่าทีวี 2) MUFG ที่จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของญี่ปุ่น 3) Rheinmetall ได้ประโยชน์จากการเสริมสร้างกองทัพยุโรป ตลอดจน 4) Mastercard และ 5) Microsoft ซึ่งยังคงเป็นผู้นำโลกในอุตสาหกรรมของตน ยิ่งกว่านั้น ในวันนี้นักลงทุนยังสามารถลงทุนผ่าน Depositary Receipts (DR) ที่สามารถซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อีกด้วย การเข้าถึงหุ้นเหล่านี้จึงเป็นไปได้อย่างสะดวก”
ทีม Equity Solutions ของบล.เกียรตินาคินภัทร ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2566 เพื่อนำเสนอมุมมองการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ผ่านการผสานความเชี่ยวชาญของนักวิเคราะห์ระดับสากล นักกลยุทธ์จากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำทั่วโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน ภายใต้การนำของนายฟิลิป ฟินช์ ผู้มีประสบการณ์ในตลาดทุนมากว่า 25 ปี โดยทีม Equity Solutions มีแนวทางการลงทุนที่เน้นบริษัทคุณภาพสูง ได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งกำไรเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น ภายใต้วินัยทางการลงทุนที่ดี โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งทีมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 ผลตอบแทนของพอร์ตอยู่ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนรวมของหุ้นโลกถึง 20%
นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ ประธานสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล กล่าวถึงบทบาทของทีม Equity Solutions ต่อการสนับสนุนนักลงทุนไทยว่า “การลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นประตูสู่โอกาสการเติบโตจากธุรกิจระดับโลก และช่วยกระจายความเสี่ยงจากทั้งวัฏจักรเศรษฐกิจและประเภทอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทีม Equity Solutions ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงข้อมูลและโอกาสนี้ได้ง่ายขึ้น พร้อมยังสนับสนุนด้วยข้อมูลคุณภาพ และผลิตภัณฑ์ลงทุนที่เหมาะสม เช่น DR ที่ช่วยลดภาระภาษีจากการลงทุนต่างประเทศ”
ในการนี้ บล.เกียรตินาคินภัทร ได้เตรียมเปิดตัว DR ชุดแรกจำนวน 10 รุ่น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ตอกย้ำจุดแข็งของบล.เกียรตินาคินภัทรในการเชื่อมต่อโอกาสจากตลาดทุนโลกสู่นักลงทุนไทย ภายใต้ความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างสภาพคล่องให้กับ DR แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดต่างประเทศปิดทำการ การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน และความเชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นจากตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อนำเสนอบริการด้านการลงทุนต่างประเทศอย่างครบวงจร