

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารระดับภูมิภาคจาก Grab Holding Inc. นำโดย มร. อเล็กซ์ ฮันเกต ประธานบริษัทฯ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ในโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมและติดตามการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมร่วมหารือในประเด็นต่างๆ อาทิ โอกาสในการพัฒนาความร่วมมือในอนาคตเพื่อยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย การสานต่อความร่วมมือกับ depa ในการพัฒนาคอร์สอบรมออนไลน์ผ่านโครงการ GrabAcademy การส่งเสริมให้ธุรกิจแพลตฟอร์มดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรมเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการคนไทย ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสมตาม พ.ร.บ. เศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางในการบริหารธุรกิจแพลตฟอร์มในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนของ Grab ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ณ อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ (คนกลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) นำทัพออกบูธในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ตอกย้ำศักยภาพผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตของคนยุคใหม่ โชว์โซลูชั่นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (กรีนโปรดักส์) ทางเลือกผู้ประกอบการผู้ผลิตอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) ขนมหวาน และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) แก้เกมเศรษฐกิจโลกผันผวน และตรงโจทย์เมกะเทรนด์ความยั่งยืน – ฟู้ดเวลเนส (Food Wellness) ถ่ายภาพ ณ บูธ ‘EKA GLOBAL’ หมายเลข 1-UU68 อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้
สำหรับผู้ประกอบการผู้สนใจนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เพื่อยกระดับธุรกิจสู่มาตรฐานใหม่ระดับโลก ‘EKA GLOBAL’ เปิดให้คำปรึกษาฟรี ตลอดการจัดงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี+
นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วย นายนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นางสาวจริยจันทร์ จันทศาศวัต ผู้บริหาร บริษัท โตโยต้าจันทบุรี (1972) ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด และนางวรรณี บุญสวัสดิ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่ ร่วมเปิด “ศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 7” ณ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” จังหวัดจันทบุรี
“โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” เกิดจากการที่โตโยต้าเล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมุ่งหวังที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจชุมชนไทยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มพูนกำไร และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน จึงได้ดำเนินโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” มาโดยตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา และมีส่วนช่วยพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไปแล้วกว่า 39 ธุรกิจ ทั่วประเทศ
“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” จังหวัดจันทบุรี เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน มีผลิตภัณฑ์ทุเรียนทอดภายใต้ชื่อแบรนด์ “ป้าแกลบ” เป็นสินค้าขึ้นชื่อในจังหวัดจันทบุรี โดยมี คุณวรรณี บุญสวัสดิ์ เป็นผู้บริหาร ซึ่งทางวิสาหกิจฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรมปรับปรุงธุรกิจภายใต้โครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ในปี พ.ศ. 2565 โดยโตโยต้าได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือในลักษณะของการเป็น “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” ด้วยการนำแนวคิด “วิถีชุมชนพัฒน์ หรือ TSI Way” ผสมผสานร่วมกับภูมิปัญญาชุมชน ไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของวิสาหกิจฯ และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดียิ่งขึ้น
เริ่มจากการเข้าไปศึกษาดูกระบวนการทำงานจริงของวิสาหกิจฯ มองหาความสูญเปล่าในการดำเนินงานและปรึกษาหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน พร้อมแนะนำวิธีการปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำงานต่างๆ โดยใช้องค์ความรู้ด้านการผลิตของโตโยต้า ตลอดจนส่งเสริมการสร้างมาตรฐานเพื่อควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน 5 ด้านหลัก ทั้งในด้านผลิตภาพ (Productivity) คุณภาพ (Quality) การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา (Delivery) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) และต้นทุนในกระบวนการ (Work in process) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของวิสาหกิจฯ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งมุ่งหวังให้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดและพัฒนาอย่างยั่งยืน
![]()
“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” ได้นำแนวคิด “วิถีชุมชนพัฒน์ หรือ TSI Way” ของโตโยต้ามาปรับปรุงการดำเนินงานในธุรกิจทุเรียนทอดของตนเอง ดังนี้
1.) ปรับปรุงกระบวนการคัดแยกเกรดและผ่าแยกเปลือกทุเรียนดิบ
จากเดิมที่เคยประสบปัญหาการคัดแยกเกรดทุเรียน เนื่องจากมีปริมาณมากและมีหลายเกรดวางปะปนกัน จนทำให้พนักงานไม่สามารถแยกลำดับความสุกและลำดับการนำไปผ่าก่อน-หลังได้ จนทำให้มีจำนวนทุเรียนตกค้างเนื่องจากสุกเกินกว่าจะนำไปผ่าเพื่อทอดเป็นทุเรียนทอด ถือเป็นความสูญเปล่าด้านวัตถุดิบ ทางโตโยต้าจึงแนะนำการปรับปรุงโดยการนำเข่งแยกสีมาใส่ทุเรียนตามเกรดพร้อมกำหนดจุดวางแยกสีให้ชัดเจน (Visualization) เพื่อให้ในการนำไปผ่า สามารถเรียงลำดับตามเกรดได้อย่างชัดเจนตามสีของเข่ง ว่าทุเรียนชุดไหนควรนำไปผ่าก่อน-หลัง มีส่วนช่วยทำให้สามารถลดและป้องกันการตกค้างของทุเรียนได้ พนักงานสามารถคัดแยกทุเรียนที่ต้องนำไปผ่าได้ง่ายและทำงานสะดวกยิ่งยึ้น สามารถลดปริมาณของเสียลงได้ 70% ลดต้นทุนได้ 4.8 แสนบาทต่อปี
2.) ปรับปรุงกระบวนการผ่าแยกทุเรียนไปจนถึงกระบวนการสไลซ์แผ่นทุเรียน
จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องการยกเข่งทุเรียนเข้าสู่กระบวนการผ่าแยก ไปจนถึงกระบวนการสไลซ์ให้เป็นแผ่น ซึ่งทำให้พนักงานต้องเสียเวลาในการขนย้ายเข่งทุเรียนเป็นเวลา 2นาที ต่อเข่ง รวมแล้ว 160 นาที ต่อวัน ทางโตโยต้าเล็งเห็นถึงความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนย้ายตรงจุดนี้ จึงได้นำแนวคิด Just in time มาปรับปรุงโดยการปรับแผนผังการทำงานในแต่ละขั้นตอนให้มีความต่อเนื่องกัน (Continuous flow) พร้อมเสริมด้วยการนำกลไกคาราคูริ (KARAKURI) ในรูปแบบของรางเลื่อนมาใช้ทุ่นแรงในการขนย้ายเข่งทุเรียนแทนการที่พนักงานต้องยกและเดินไปตามจุดต่างๆด้วยตนเอง สามารถลดเวลาในการเดินลงได้100% พนักงานทำงานสบายขึ้น และช่วยให้ประสิทธิผลในกระบวนการนี้เพิ่มขึ้น 49% จาก 68 กิโลกรัม/คน/ชั่วโมง เป็น 102 กิโลกรัม/คน/ชั่วโมง
3.) ปรับปรุงกระบวนการคัดเกรดทุเรียนหลังการทอด
จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องการเสียเวลาอย่างมากในการร่อนคัดเกรดทุเรียน เนื่องจากมีขั้นตอนเยอะ อุปกรณ์ที่ใช้ร่อนทำได้ในปริมาณน้อย และสิ้นเปลืองกำลังคนที่ต้องใช้ในกระบวนการนี้ 3-4 คน จนเป็นปัญหาคอขวดในกระบวนการผลิต ทางโตโยต้าจึงช่วยออกแบบและสร้างเครื่องร่อนที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนกำลังคน มาทดลองติดตั้งใช้จริงในกระบวนการ จนสามารถร่อนคัดเกรดทุเรียนได้จำนวนเพิ่มขึ้น 4 เท่า
4.) ปรับปรุงกระบวนการสต็อกทุเรียนก่อนและหลังการอบ
จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องทุเรียนในสต็อกมีหลายเกรดวางปะปนกัน พนักงานไม่ทราบว่าในสต็อกมีทุเรียนแต่ละเกรดจำนวนเท่าไร จะใช้หมดเมื่อไร และจำเป็นต้องเติมสต็อกเมื่อไร ทำให้เสียเวลามากในการค้นหาเพื่อนำไปใช้ ทาง โตโยต้าจึงแนะนำการปรับแผนผังการจัดวางสต็อกใหม่ โดยกำหนดจุดวางและทำป้ายกำกับที่เห็นชัดเจน (Visualization) พร้อมทั้งนำแนวคิด Just in time มาทำการปรับจำนวนสต็อกให้สอดคล้องกับปริมาณการขายในแต่ละเดือน รวมถึงกำหนดมาตรฐานการนำเข้าและออกของทุเรียนในสต็อกเพื่อควบคุม FIFO (First in first out) และช่วยลดเวลาการทำงานและค้นหาสินค้าในสต็อกของพนักงานลงได้ 7%
5.) ปรับปรุงการวางแผนการบรรจุและการส่งมอบ
จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องออเดอร์ตกค้างและการบรรจุล่าช้า เนื่องจากมีออเดอร์ลูกค้าที่ส่งมาจากฝ่ายขายเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน โดยใบออเดอร์จะถูกนำมาวางปะปนกัน ไม่รู้ลำดับออเดอร์ก่อน-หลัง ขาดการวางแผนการบรรจุที่ดี ทางโตโยต้าจึงได้แนะนำการปรับปรุงโดยนำระบบควบคุมผ่านการมองเห็น หรือ Visual Control Board มาจัดทำเป็นบอร์ดวางแผนการบรรจุสินค้าให้พนักงานทุกคนได้รับทราบ โดยใบออเดอร์จากฝ่ายขายทุกใบ จะถูกนำมาเรียงลำดับในกล่องที่บอร์ดวางแผนการบรรจุ ช่วยให้ไม่เกิดสินค้าตกค้างจากออเดอร์ตกหล่นหรือหลงลืม พนักงานสามารถทราบยอด ออเดอร์และการส่งมอบในแต่ละวัน พร้อมทั้งสื่อสารและติดตามความคืบหน้าของงานในกระบวนการของแต่ละคนได้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามงานและสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ตรงเวลา 100%
![]()
โตโยต้าได้ส่งมอบโครงการแก่ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” ภายหลังการปรับปรุงเสร็จสิ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2565 และได้ติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พบว่า วิสาหกิจฯ ยังคงรักษาวัฒนธรรมการปรับปรุงและพัฒนาด้วยตนเองตามหลัก “วิถีชุมชนพัฒน์” อย่างต่อเนื่อง มีการจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงบริหารการดำเนินงานได้อย่างมืออาชีพ สามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา 100% นอกจากนี้ วิสาหกิจฯ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการปรับปรุงพื้นที่ดูงาน และการติดตั้งเครื่องร่อนคัดเกรดทุเรียน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานอีกด้วย
จากศักยภาพดังกล่าว บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศ จึงเห็นชอบในการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ “โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์” แห่งที่ 7 ต่อจากศูนย์การเรียนรู้ 6 แห่ง ที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดสงขลา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสระบุรี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการแบ่งปันประสบการณ์การปรับปรุงธุรกิจแก่ผู้ประกอบการที่สนใจในภาคตะวันออกและพื้นที่ใกล้เคียง ได้นำไปใช้ปรับปรุงธุรกิจของตนต่อไป
ทั้งนี้ โตโยต้ามุ่งหวังให้ศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดในการปรับปรุงธุรกิจ ส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กลุ่มธุรกิจชุมชนทั่วประเทศ สามารถนำไปต่อยอดในการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองและสร้างเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไป
“วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” ผู้นำด้านพลังงานลม เผยทิศทางธุรกิจปี 2568 ปั้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ เตรียมพร้อมเข้ายื่นประมูลกับภาครัฐ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นประมูลแล้วรวมกว่า 2,000 เมกะวัตต์ ตามแผนระยะยาวขยายพอร์ตธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2568 อายุ 2 ปี 7 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ [7.00-7.20] ต่อปี หนุนแผนลงทุนขยายธุรกิจ คาดปีนี้รับรู้รายได้รวมมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อเนื่องอีกปี
นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมอันดับ 1 ของไทย เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจปี 2568 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแห่งใหม่เพิ่มเติม เพื่อเตรียมความพร้อมในการยื่นประมูลกับภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจระยะยาว ที่ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 1,016 เมกะวัตต์ เป็น 2,000 เมกะวัตต์ และเพิ่มระดับรายได้รวมจากมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี สู่ระดับ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2580 ซึ่งสอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024)
“ปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า รวม 8 แห่ง ขนาด 717 เมกะวัตต์ โดยสามารถสร้างรายได้รวมมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลา 5 ปี รวมถึงมีกำไรสุทธิมากกว่า 5,000 ล้านบาท และกระแสเงินสดสุทธิสูงกว่า 9,000 ล้านบาท 4 ปี ต่อเนื่องกัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับสิทธิ์ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแห่งใหม่อีก 4 โครงการ รวมกำลังผลิต 299.1 เมกะวัตต์ จากการชนะการประมูลล่าสุด ซึ่งจะเริ่มทยอยดำเนินการและรับรู้รายได้ตั้งแต่ ปี 2570 – 2573 ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทฯ ในปัจจุบันอยู่ที่ 1,016.1 เมกะวัตต์ และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากโครงการในอนาคต”
นายณัฐพศิน กล่าวว่า WEH มีแผนเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 อายุ 2 ปี 7 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 7.00-7.20 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ คาดว่าเปิดจองซื้อวันที่ 17 – 19 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ลงทุนในโครงการอื่น ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน เพื่อขยายกิจการ และลงทุนในโครงการใหม่ เพื่อให้กู้ยืมเงิน หรือชำระหนี้ภายในกลุ่มบริษัท และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ รับรู้รายได้รวม 3,036 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,628 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 0.71 เท่า จาก 0.74 เท่า ณ สิ้นปี 2567 และ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4 เท่า บริษัทฯ คาดว่าผลประกอบการตลอดปี 2568 จะสามารถรับรู้รายได้รวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากความพร้อมด้านการผลิตไฟฟ้า และแนวโน้มปริมาณกระแสลมที่เอื้อต่อการดำเนินงาน ลักษณะรายได้ของบริษัทฯ สะท้อนความมั่งคงและไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ จึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและต่อเนื่องให้แก่ทั้งผู้ถือหุ้น และผู้ถือหุ้นกู้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ 8 แห่ง ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ WEH ครั้งที่ 1/2568 ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
รายงานของ Bain & Temasek คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ภายในปี 2070 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030 หรือประมาณ 5% ของ GDP รวมทั้งภูมิภาคเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ งาน Decarbonize Thailand Symposium 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2025 ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสตาร์ทอัพกว่า 30 รายจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแสดงนวัตกรรม Climate Tech ที่พร้อมใช้งานจริง
ภายในงาน มี 5 สตาร์ทอัพน่าจับตามอง ที่มีแนวทางเฉพาะในการลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืนพร้อมคำถามชวนคิดส่งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ คุณอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอะไร”
![]()
Helical Fusion สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นที่มุ่งไปถึงการสร้าง ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นพลังงานสะอาดสูงสุดแห่งอนาคต
“เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเหมือน ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นผลิตพลังงานแห่งอนาคต” Takaya Taguchi ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Helical Fusion เริ่มเล่าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันที่บริษัทกำลังพัฒนา เพื่อเป็นแหล่งพลังงานอนาคตที่ไม่ปล่อยคาร์บอน ไม่มีของเสียกัมมันตรังสีระดับสูง และใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงอันอุดมสมบูรณ์จากน้ำทะเล จุดเด่นคือการใช้เตาปฏิกรณ์แบบ Helical Stellarator ซึ่งควบคุมพลาสมาด้วยขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเกลียวคู่ที่สร้างสนามแม่เหล็กแรงสูงช่วยให้เดินเครื่องได้ต่อเนื่อง ปลอดภัย และบำรุงรักษาได้ง่าย บริษัทตั้งเป้าสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานฟิวชันแบบ steady-state แห่งแรกของโลกให้แล้วเสร็จภายในปี 2034 และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงทศวรรษ 2040
แม้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและการยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ Helical Fusion ยังคงมองหาเงินทุนเพิ่มเติมกว่า 300–400 ล้านดอลลาร์เพื่อเดินหน้าโครงการให้ถึงเป้าหมาย โดยเริ่มขยายความร่วมมือมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของการใช้พลังงานสะอาด
หากเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ Takaya บอกว่า “คาร์บอนเป็นพลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติมายาวนาน แต่ตอนนี้ ผมเชื่อว่าถึงเวลาที่จะจินตนาการใหม่ให้มันกลายเป็นสื่อแห่งการแสดงออกของมนุษย์ ด้วยพลังงานฟิวชัน เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญคาร์บอนอีกต่อไป ปลดปล่อยมันให้กลายเป็นแหล่งของความสร้างสรรค์แทน”
![]()
CHOSEN กับเทคโนโลยีบริหารจัดการพลังงาน เพื่อ EV Ecosystem ที่พร้อมรองรับอนาคต
ในยุคที่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตอย่างก้าวกระโดด CHOSEN สตาร์ทอัพสัญชาติไทยจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมรองรับการชาร์จจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ ใน 2 ด้าน คือ หนึ่ง พัฒนาแพลตฟอร์มจัดการสถานีชาร์จ EV ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายแบรนด์และจัดการผ่านระบบเดียวได้ง่าย และ สอง พัฒนาเทคโนโลยีควบคุมโหลดการชาร์จไฟฟ้า ช่วยลดความเสี่ยงของไฟฟ้าดับจากการใช้ปริมาณไฟเกิน โดยไม่ต้องลงทุนหม้อแปลงใหม่ “เราทำหน้าที่เหมือนคนจัดการจราจรของพลังงานไฟฟ้า” วรพจน์ รื่นเริงวงศ์ ผู้ก่อตั้ง CHOSEN กล่าว
นอกจากนี้ CHOSEN ยังมองไกลถึงระบบนิเวศของพลังงานในระดับภูมิภาค โดยมีแผนเชื่อมโยงการบริหารพลังงานข้ามประเทศในอาเซียน เพื่อรองรับอนาคตที่ผู้คนสามารถขับรถ EV ข้ามพรมแดนได้ ปัจจุบันได้มีการทดลองระบบร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดพลังงานได้สูงสุดถึง 70% พร้อมเริ่มขยายไปยังลาว มาเลเซีย และเวียดนาม หลังคว้ารางวัลนวัตกรรมจากหลายเวทีระดับนานาชาติ
วรพจน์ตอบคำถามชวนคิดทิ้งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนได้ ผมอยากให้กลายเป็นสิ่งที่สลายได้เองโดยไม่กระทบใคร ไม่ต้องเป็นภาระให้โลก”
![]()
Continewm นวัตกรรมญี่ปุ่นที่ช่วยให้แอร์เย็นเร็ว ประหยัดไฟ และลดคาร์บอนในขั้นตอนเดียว
“นี่คือนวัตกรรมที่ชาญฉลาดมากๆ อย่างที่คนญี่ปุ่นเท่านั้นที่สามารถคิดค้นได้” Thomas GAL ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Continewm กล่าวถึง นวัตกรรมแผ่นกรองอากาศเซรามิกฝังรังสีอินฟราเรดที่จดสิทธิบัตรจากญี่ปุ่น ซึ่งเพียงติดตั้งกับเครื่องปรับอากาศก็สามารถลดพลังงานได้ทันที “เมื่ออากาศไหลผ่านตาข่ายนี้ จะเกิดสองปฏิกิริยาคือ หนึ่ง ฟอกอากาศด้วยประจุลบ ช่วยลด PM 2.5 และ PM 10 และ สอง ช่วยประหยัดพลังงานจากการแตกโมเลกุลน้ำในอากาศให้เล็กลง เพิ่มพื้นที่สัมผัสกับคอยล์เย็น ทำให้เครื่องปรับอากาศเย็นเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง” Thomas อธิบาย พร้อมเสริมว่าบริษัทพิสูจน์ผลลัพธ์จากการวัดค่าการใช้พลังงานก่อน–หลังอย่างเป็นระบบ
เทคโนโลยีแผ่นกรองนี้เริ่มใช้ในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2011 และขยายสู่ไทยในปี 2015 โดยใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่โรงแรม โรงงาน สถานทูต ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ ยุโรป และสหรัฐฯ Thomas เชื่อว่าแนวทางสู่ Net Zero ต้องเริ่มจากการร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายมากกว่าการแข่งขัน โดยเน้นว่าการลดคาร์บอนต้องผนึกกำลังทำไปด้วยกันทั่วโลก เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นไม่มีพรมแดน และหากเปลี่ยนคาร์บอนได้ Thomas อยากให้คาร์บอนเกลายเป็น ‘เพชร’ “เพราะเพชรคือคาร์บอนที่ผ่านแรงอัดมหาศาล เหมือนเป็นการเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นสิ่ง หรือเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้นั่นเอง”
LOCOL สตาร์ทอัพไทยที่เปลี่ยนโกโก้ตกเกรดให้เป็นอาหารวัวลดมีเทน เพื่อปศุสัตว์ที่อยู่ร่วมกับโลกได้
เพราะวงการปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนในปริมาณมหาศาล และมีเทนคือก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่าในช่วง 20 ปีแรกที่อยู่ลอยในชั้นบรรยากาศ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ LOCOL พัฒนาอาหารเสริมสำหรับวัวที่สกัดจากผลโกโก้ตกเกรดเหลือทิ้งในประเทศไทย โดยมีการวิจัยรับรองว่าสามารถลดการปล่อยมีเทนจากระบบย่อยของวัวได้ถึง 44.52% “ที่สำคัญคือ โกโก้เหล่านี้ไม่ต้องปลูกเพิ่ม และไม่เพิ่มคาร์บอนฟุตพรินต์” หทัยธนิต ธงทอง ผู้ร่วมก่อตั้ง LOCOL อธิบายเพิ่มเติม ปัจจุบัน LOCOL มีผลิตภัณฑ์สองรูปแบบให้เกษตรกรเลือกใช้ คือ คือ Pre-Mix (ผสมในอาหาร) และ Lick Block (ก้อนแร่ธาตุให้วัวเลีย) โดยเริ่มจากการทดลองในจังหวัดน่าน และเตรียมขยายสู่พื้นที่อื่นในไทย
แม้ยังเป็นทีมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ LOCOL มีเป้าหมายไกลกว่าการลดก๊าซมีเทน พวกเขาอยากเปลี่ยนวิธีคิดของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในประเทศเขตร้อนผ่านโมเดลธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากท้องถิ่น และเตรียมวางระบบเก็บข้อมูลเพื่อรองรับการเคลมคาร์บอนเครดิตในอนาคต พร้อมต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่นที่มีของเสียคล้ายกัน
ถ้าสามารถเปลี่ยน “คาร์บอน” ให้เป็นอะไรก็ได้ หทัยธนิตอยากให้เปลี่ยนเป็น “เม็ดเงิน เพื่อนำไปลงทุนในโซลูชันดีๆ ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนให้หายไป”
![]()
VEKIN กับการเปลี่ยนคาร์บอนให้ตรวจสอบได้ด้วย AI และบล็อกเชน สู่การลดคาร์บอนที่ยั่งยืน
VEKIN คือสตาร์ทอัพไทยสาย Deep Tech ที่เริ่มต้นจากการเป็น ผู้ทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ก่อนต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI และบล็อกเชน เพื่อเปลี่ยนข้อมูลการปล่อยคาร์บอนที่ซับซ้อนให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริง “จากที่มีเอกสารหรือกระบวนการที่ซับซ้อน เราก็ใช้ AI มาทำงานซ้ำๆ แทน เพื่อประหยัดเวลา และช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ เข้าถึงการวัดคาร์บอนได้ง่ายและสะดวกขึ้น” วณัส คะเนเร็ว Business Development Manager ของ VEKIN กล่าว พร้อมเสริมว่าระบบทั้งหมดถูกออกแบบให้ปลอดภัยตามมาตรฐาน ISO เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้
นอกจากนี้ VEKIN ยังพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลที่ทำให้การลดคาร์บอนกลายเป็นเรื่องของทุกคน ตั้งแต่ CERO Carbon Wallet ที่เปรียบเหมือนกระเป๋าสตางค์สำหรับเก็บเครดิตคาร์บอนส่วนบุคคล ไปจนถึง Carbon Receipt ที่ยืนยันการชดเชยคาร์บอนในงานอีเวนต์ด้วยบล็อกเชน ล่าสุดยังพัฒนาฟีเจอร์ที่ให้ผู้ร่วมงานอีเวนต์สแกน QR Code เพื่อเลือกวิธีเดินทางและชดเชยคาร์บอนได้แบบเรียลไทม์
“ต่อไปเวลาคุณซื้อสนีกเกอร์ คุณอาจไม่ได้ดูแค่ดีไซน์หรือความสบาย แต่อาจอยากรู้ด้วยว่ารองเท้าคู่นี้ปล่อยคาร์บอนกี่กิโล” วณัสกล่าว ก่อนตอบคำถามทิ้งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนได้ อยากให้มันกลายเป็นเครดิตที่ตรวจสอบได้ เพราะทุกการกระทำควรมีข้อมูลรองรับเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน”
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์สานต่อความร่วมมือกับเคทีซีอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เปิดตัวแคมเปญ “Unique Korea, Experience Yours” เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยหลังพบสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางและออกแบบการท่องเที่ยวด้วยตัวเองโต 82% มอบประสบการณ์พิเศษท่องเที่ยวเส้นทางเมืองรอง เช่น ปูซาน เชจู แทกู และอุลซัน พิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยว 2 เมือง ราคาเดียว พร้อมแพ็กเกจ D.I.Y. Experience Yours ประสบการณ์ท่องเที่ยวเลือกได้ตามที่ต้องการ

นางคิม เซฮี รองผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) เปิดเผยว่า ในปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปเกาหลีประมาณ 323,000 คน ถือเป็นสัญญาณที่ดีบ่งบอกถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังจากการระบาดของโควิด-19 โดยเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีกว่า 82% ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระในการออกแบบการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง และตรงกับความสนใจเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยเสน่ห์ของเกาหลีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคือ การสัมผัสประสบการณ์จริงในทุกที่เช่น
⦁ K-pop การเข้าชมคอนเสิร์ต เยี่ยมชมบ้านเกิดของไอดอล
⦁ K-drama การเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำละครที่โด่งดัง
⦁ K-beauty โปรแกรมการแต่งหน้า และจัดแต่งทรงผมอย่างมืออาชีพ ประสบการณ์สุขภาพแบบดั้งเดิม เช่น ซาวน่า สปาสมุนไพร และบริการการท่องเที่ยวทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง
⦁ K-food ทัวร์อาหารที่เน้นรสชาติของแต่ละภูมิภาค
นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ของเกาหลียังคงมีเอกลักษณ์ที่ผสานความน่าสนใจในหลากหลายมิติ อาทิ ปูซาน เมืองริมทะเลที่มีทั้งความงามทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม ส่วนเมืองจอนจู มีชื่อเสียงในเรื่องหมู่บ้านฮาโนก และอาหารเกาหลีรสชาติดั้งเดิม ทำให้เกาหลีเป็นประเทศที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีไลฟ์สไตล์ความชอบที่แตกต่าง

นางสาวอริญชยา เลิศวัฒนชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) กล่าวว่า KTO ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการตลาดที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของนักเดินทาง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมออกแบบการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง และมองหาประสบการณ์เชิงลึกจากวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงได้ร่วมกับเคทีซีออกแคมเปญ “Unique Korea, Experience Yours” นำเสนอโปรโมชันพิเศษเพื่อให้คนไทยได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองอื่นๆ นอกเหนือจากกรุงโซล ด้วยสิทธิพิเศษเที่ยว 2 เมืองราคาเดียวให้สิทธิ์นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วเที่ยวบินเส้นทางกรุงเทพฯ - โซล เลือก บินภายในประเทศเมืองปูซาน เชจู แทกู หรือ อุลซัน นอกจากนี้ยังได้คัดสรรแพ็กเกจประสบการณ์เพื่อเป็นทางเลือกที่มากกว่าการท่องเที่ยว

ผศ.ดร.กมล บุษบรรณ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาเกาหลีศึกษาเพื่อการจัดการระหว่างประเทศ (Korean Studies for International Management (KSIM) คณะบัณฑิตวิทยาลัย และอาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเกาหลี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เกาหลีถือเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของการใช้ Soft Power หรือพลังทางวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านอุตสาหกรรมต่างๆเช่น อาหาร ความงาม และซีรีย์ ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกจนสามารถเชื่อมโยงไปสู่การเติบโตด้านการท่องเที่ยว และการศึกษา โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นวิธีการเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด ด้านการศึกษา สำหรับนักเรียนไทยที่มีความสนใจเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีควรเรียนรู้ภาษาเกาหลีควบคู่กับการเดินทางเพราะจะช่วยสร้างความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และควรเลือกหลักสูตรที่ผสมผสานตามความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือธุรกิจและนวัตกรรม รวมถึงหลักสูตรระยะสั้นด้านความงาม อาหาร แฟชั่น หรือการจัดการธุรกิจแบบเกาหลี ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีในฐานะพันธมิตรบัตรเครดิตรายแรก และรายเดียวที่ได้ร่วมงานกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) ในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดร่วมกันมาเป็นระยะเวลา 7 ปี และได้จัดแคมเปญเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวมากกว่า 30 แคมเปญ พร้อมมั่นใจว่าความร่วมมือกับ KTO จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทย และเกาหลี รวมทั้งจะช่วยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ สำหรับยอดการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เดินทางท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2568 โตขึ้นต่อเนื่องโดยยอดการใช้จ่ายในหมวดสุขภาพและความงาม เป็นอันดับหนึ่งที่มียอดการใช้จ่ายมากที่สุดโดยเฉพาะการเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงาม รองลงมาคือ หมวดช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า และแฟชั่นเสื้อผ้า นอกจากนี้ หมวดร้านค้าชั้นนำที่ขายผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ เติบโตทั้งยอดการใช้จ่าย จำนวนสมาชิกที่ใช้บริการ และจำนวนครั้งในการใช้จ่าย โดยเติบโตมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567
สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวเกาหลีสามารถจองผลิตภัณฑ์ผ่าน KTC World Travel Service ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 – วันที่10 ธันวาคม 2568 และเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 - วันที่ 31 ธันวาคม 2568 พร้อมรับสิทธิพิเศษดังนี้
1. โปรโมชันตั๋วเครื่องบินเส้นทางเกาหลี
⦁ จองตั๋วเครื่องบินสายการบิน Korean Air เส้นทางกรุงเทพฯ - โซล (ไป - กลับ) ชั้นประหยัด
แถมฟรี! ตั๋วเครื่องบินเส้นทางภายในประเทศ (ปูซาน เชจู แทกู หรือ อุลซัน)
⦁ จองเที่ยวบินระหว่างประเทศกับสายการบินไทย หรือ Asiana Airlines เส้นทางกรุงเทพฯ – โซล ชั้นประหยัดรับส่วนลด 4,000 บาท/ท่าน สำหรับจองตั๋วเส้นทางภายในประเทศ (ปูซาน เชจู แทกู หรือ อุลซัน)
⦁ จำกัด 50 สิทธิ์ ตลอดรายการ
2. เที่ยวเกาหลี 2 เมือง 4 วัน 3 คืน
⦁ แพ็กเกจโซล – ปูซาน เริ่มต้น 24,700 บาท/ท่าน บินสายการบิน Korean Air พักที่โรงแรม Lotte City Hotel Myeongdong (โซล) และ Avani Central Busan (ปูซาน) หรือเทียบเท่า 3 คืน ไม่รวมอาหารเช้า
⦁ แพ็กเกจโซล – เกาะเชจู เริ่มต้น 26,650 บาท/ท่าน บินสายการบิน Korean Air พักที่โรงแรม Lotte City Hotel Myeongdong (โซล) และ Lotte City Hotel Jeju (เกาะเชจู) หรือเทียบเท่า 3 คืน ไม่รวมอาหารเช้า
⦁ จำกัด 100 สิทธิ์ ตลอดรายการ
3. D.I.Y. Experience Yours – ประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเลือกได้ ราคาเดียวเพียง 3,999 บาท/ท่าน เลือกได้ 2 กิจกรรมที่เมืองโซล ปูซาน และเกาะเชจู เช่น Personal Color การทำอาหารเกาหลี ทัวร์ตลาดดั้งเดิม สปาเกาหลี โชว์ระดับโลก ตั๋วเข้าสวนสนุก และรถไฟ Sky Capsule เป็นต้น
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ktc.promo/uniquekorea2025 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทร 02 123 5050 หรือ ทักแชท https://ktc.cards/KWT-addline สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซี https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE 02 123 5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
การใช้ยาสูบยังคงเป็นหนึ่งในความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย โดยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึงกว่า 70,000 รายต่อปี และสร้างภาระค่าใช้จ่ายแก่ครัวเรือนไทยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี* แม้ว่าอัตราการสูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ 35 ในปี 2532 เหลือเพียงร้อยละ 17.4 ในปี 2564 แต่การเพิ่มขึ้นของการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากลับกลายเป็นความท้าทายใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้หญิง จากข้อมูลล่าสุดพบว่า อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2566 สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาสารเสพติดนิโคตินและผลกระทบที่ตามมา
เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลกประจำปี 2568 แอกซ่าประกันภัย ร่วมเดินหน้าสนับสนุนแนวคิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ภายใต้หัวข้อ “Unmask the Appeal” เพื่อตีแผ่กลยุทธ์ของอุตสาหกรรมยาสูบในการบิดเบือนการรับรู้ของสาธารณชนผ่านบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจและการตลาดที่ชวนให้เข้าใจผิด ซึ่งมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเปราะบางในสังคม
![]()
นางสาวปวีณา เขมะรังสรรค์ ผู้อำนวยการสายงานบริหารลูกค้า บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ที่แอกซ่าประกันภัยเราตระหนักดีว่าพฤติกรรมการใช้ยาสูบมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่น่ากังวล โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข เราต้องช่วยกันสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสังคม และนอกจากการให้ความรู้แล้ว เรายังเชื่อว่า การเข้าถึงความคุ้มครองด้านสุขภาพที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถตัดสินใจเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมั่นใจ แอกซ่าประกันภัยจึงได้ออกแบบแผนประกัน SmartCare Cancer เพื่อสนับสนุนให้ทุกครอบครัวไทยมีอนาคตที่มั่นคง เมื่อเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ”
ทั้งนี้ การใช้ยาสูบเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งถึงประมาณร้อยละ 22 ของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั่วโลกในแต่ละปี** และมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งมากกว่า 20 ชนิด โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับยาสูบราว 2.4 ล้านคนต่อปีทั่วโลก เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจขององค์กร แอกซ่าประกันภัยได้มอบความคุ้มครองด้านสุขภาพเชิงรุกผ่านแผนประกันโรคมะเร็ง SmartCare Cancer ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบความอุ่นใจในการรับมือกับโรคร้ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาสูบ โดยมีจุดเด่นดังนี้:
· "เจอ จ่าย จบ" จ่ายเงินก้อนทันทีที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 900,000 บาท
· เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง วันละ 3 บาท
· คุ้มครองมะเร็งทุกระยะ ลุกลาม ไม่ลุกลาม โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ
· รับกรมธรรม์ทางอีเมลได้ทันที
· สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
· เมื่อซื้อแผนครอบครัว รับฟรี ความคุ้มครองสำหรับบุตรที่อายุ 15 วัน - 22 ปีและยังไม่สมรส โดยไม่จำกัดจำนวน
แผนประกันนี้ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายเมื่อตรวจพบโรคมะเร็งครั้งแรก ช่วยให้ผู้เอาประกันและครอบครัวสามารถมุ่งเน้นไปที่การรักษาและฟื้นฟูสุขภาพอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ไม่คาดคิด
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันครอบครัวไทยจากความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ รวมถึงข้อมูลความคุ้มครองและเงื่อนไขการรับประกัน ได้ที่: https://www.axa.co.th/en/axa-smartcare-cancer และติดตามข่าวสารและข้อมูลอัปเดตจากแอกซ่าประกันภัยได้ที่ช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ เว็บไซต์: https://www.axa.co.th ศูนย์บริการลูกค้า: 02-118-8111 Facebook: AXA Thailand Official LINE account: @AXAThailand
ในยุคที่การแข่งขันบนตลาดอีคอมเมิร์ซไม่เพียงแต่ดุเดือดในแง่ของความ ‘ถูก’ แต่ยังรวมถึง ความ ‘คุ้ม’ และ ‘คอนเทนต์’ ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการมัดใจนักช้อปมือโปร
จากรายงานของ Thailand E-Commerce Trends 2025 คาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.07 ล้านล้านบาท และเติบโตถึง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน1สะท้อนถึงโอกาสทองที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจาะกลุ่ม Gen Z ที่มีประชากรถึง 20% ของประเทศ ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลบนสมรภูมิอีคอมเมิร์ซที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ผู้เล่นที่เข้าใจความต้องการของกลุ่มนี้และสามารถวางกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ของ Gen Z ได้ก่อน ก็จะมีโอกาสมัดใจและดึง กำลังซื้อจากกลุ่มนี้ไป ดังนั้นคำถามสำคัญไม่ใช่แค่ ‘จะขายอะไรให้ Gen Z?’ แต่เป็น ‘จะขายยังไงให้มัดใจ Gen Z ได้อยู่หมัด?’ ในวันที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าจากแค่ ‘ราคา’ อีกต่อไป
ล่าสุด Kantar (คันทาร์) บริษัทวิจัยชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก เผยผลวิจัยฉบับใหม่ ในหัวข้อ “From Watching to Buying: Why Gen Z Are Embracing Content-Driven Shopping” ที่เจาะลึกเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์ของกลุ่มผู้บริโภค Gen Z จากการสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z โดยงานวิจัยฉบับนี้เจาะลึกถึงบทบาทของคอนเทนต์และปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นที่กลุ่ม Gen Z อายุระหว่าง 18–24 ปี เพื่อเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์และนักการตลาดสามารถปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความคาดหวังของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
![]()
คอนเทนต์แบบ ‘Multi-Format’ กลายเป็นมาตรฐานใหม่ มัดใจผู้บริโภค Gen Z
จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เน้นความไว ส่งผลให้ Gen Z มองหารูปแบบคอนเทนต์ที่เข้าถึงได้ง่าย และ สามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและครีเอเตอร์ กลายเป็นรูปแบบความบันเทิงหลักที่ชาว Gen Z มองหา จึงเป็นผลให้คอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยสัดส่วน 71% ที่เน้นนำเสนอคอนเทนต์ที่สั้น กระชับ และเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์พฤติกรรมแบบเสพคอนเทนต์แบบ Mobile First ที่เน้น ‘ดูไว เข้าใจง่าย’
อย่างไรก็ตาม คอนเทนต์วิดีโอยาวก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดย 56% เลือกรับชมคอนเทนต์ที่มีความยาว เช่น วิดีโอสอนการใช้งาน (Tutorial) วิดีโอถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ (Vlog) และวิดีโอให้สาระ-ความรู้ (Documentary) ตอบโจทย์กลุ่มที่ต้องการศึกษาข้อมูลเชิงลึกในรายละเอียด ในขณะที่ ไลฟ์สตรีม เช่น เกมสตรีมมิ่ง ถือว่ามีสัดส่วนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย อยู่ที่ 32% แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภค Gen Z ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ดูที่ไหน-เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ (On-Demand) มากกว่าคอนเทนต์แบบเรียลไทม์
จากผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภค Gen Z เปิดรับสื่อวิดีโอที่หลากหลาย สั้น-ยาว สลับกันไปมา การใช้วิดีโอสั้นเข้ามาดึงดูดความสนใจเพื่อนำไปสู่การรับชมคอนเทนต์วิดีโอยาว กำลังจะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่ Gen Z มองหา นักการตลาดจึงควรวางกลยุทธ์ การสื่อสารที่ครอบคลุมรูปแบบของเนื้อหาและช่วงเวลาที่เหมาะสมและถ้าวัดกันด้วยเรื่องแพลตฟอร์มครองใจ YouTube ถือเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำที่รองรับรูปแบบเนื้อหาวิดีโอทั้งแบบสั้นและยาว โดยผู้บริโภค Gen Z ชื่นชอบถึง 78% รองลงมาคือ TikTok, Instagram, Facebook
โดยผู้บริโภค Gen Z เผยอีกว่าเลือกเสพคอนเทนต์จาก YouTube สำหรับวิดีโอยาวๆ เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง โดย 97% ของผู้บริโภค Gen Z ระบุว่า ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ โดยให้ความสำคัญกับรีวิวที่เชื่อถือได้โดยพิจารณาจากการรีวิวสินค้าจากความเชี่ยวชาญในฐานะผู้ใช้งานจริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีความเชื่อมโยงกับ YouTube อย่างเห็นได้ชัด นักการตลาดควรพิจารณาให้ดีว่า ควรให้ใครพูดแทนแบรนด์ถึงจะทำให้รีวิวนั้นน่าเชื่อถือมากพอ และคำถามถัดไปคือจะขายอะไรให้ผู้บริโภค Gen Z?
![]()
This Is Me: ช้อปปิ้งสะท้อนอัตลักษณ์ เพราะนี่คือ ‘ฉัน’
ประเภทสินค้าที่ผู้บริโภค Gen Z ทั่วไปให้ความสนใจ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง (36%) อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นผู้หญิง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น แต่เมื่อเจาะไปที่ผู้บริโภคหญิง Gen Z มีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่หลากหลายมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บริโภคชาย Gen Z นั่นหมายถึง ผู้หญิง นิยมซื้อสินค้าประเภทแฟชั่นผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคหญิง Gen Z ให้ความสำคัญกับสินค้าที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจน นักการตลาดอาจต้องทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อมองให้ลึกถึงการพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ตัวตนและส่งเสริมภาพลักษณ์ในแบบที่ผู้หญิง Gen Z ให้ความสนใจ ในขณะที่ผู้ชายนิยมซื้อสินค้าประเภทแฟชั่นผู้ชาย และอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
เมื่อรู้ว่าสินค้าหมวดหมู่ใดที่ผู้บริโภค Gen Z สนใจแล้ว นักการตลาดจะนำเสนอสินค้าเข้าไปอยู่ในสายตาของพวกเขาได้อย่างไร ให้สอดคล้องไปกับพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’?
จากผลการวิจัยพบว่าเมื่อผู้บริโภค Gen Z ได้ตระหนักถึงปัจจัยดังกล่าวแล้วนั้น ก็มองหาช่องทางที่ตอบโจทย์ที่สุดในการเลือกซื้อสินค้า โดยรายงานระบุว่า Shopee เป็นแพลตฟอร์มอันดับแรกที่ Gen Z ใช้ทั้งในการค้นหาไอเดียและตัดสินใจซื้อสินค้า รองลงมาคือ TikTok Shop และ Lazada
![]()
‘ส่งฟรี’ ครองแชมป์ทุกสมัย: เพราะราคา ‘ถูก’ ไม่ใช่ปัจจัย แต่คุ้ม ‘ถูกใจ’ ต่างหากที่ Gen Z ตามหา
แม้จะอยู่ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ผู้บริโภค Gen Z ตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ กลับไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘ราคา’ เท่านั้น แต่คือความรู้สึก ‘คุ้มค่า’ ที่สามารถจับต้องได้จริง โดย 3 ปัจจัยกระตุ้นสูงสุดที่เป็นแรงสนับสนุนพฤติกรรมการจับจ่ายบนโลกออนไลน์ของผู้บริโภค Gen Z นั่นคือ การส่งฟรี (40%) โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) และส่วนลดที่คุ้มค่า (28%) พฤติกรรมนี้อาจจะกำลังบอกนักการตลาดว่า การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้เล่นที่ ‘ราคาถูกที่สุด’ อาจไม่ใช่วิธีที่เวิร์ค เสมอไป แต่ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าในแง่ของประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นสำคัญ และเมื่อพูดถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์ พบว่า ผู้บริโภค Gen Z มีการใช้จ่ายผ่านทั้งโซเชียลคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
ด้านความนิยมของแพลตฟอร์มสำหรับการจับจ่ายใช้สอย พบว่า Shopee ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ครองใจผู้บริโภค Gen Z มากกว่าครึ่ง (52%) โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญด้าน UX/UI ที่ใช้งานง่าย โปรโมชั่นและส่วนลดที่น่าดึงดูดใจ รวมไปถึงประสบการณ์ด้านขนส่งที่น่าเชื่อถือ จึงกลายเป็น Go-To แพลตฟอร์มเมื่อคิดจะซื้อสินค้าออนไลน์ อันดับถัดมาคือ Lazada (22%) TikTok (16%) และ Facebook (8%)
กลุ่มผู้บริโภค Gen Z ถือว่าเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม หากคิดจะขายสินค้าให้กับผู้บริโภคกลุ่มนี้ นักการตลาดจะคิดแค่เรื่องการพัฒนา ‘สินค้าที่ดีที่สุด’ และ ‘ราคาที่ถูกที่สุด’ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป แบรนด์และนักการตลาดจำเป็นต้องเข้าใจถึงภาพรวมของพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค Gen Z และคำนึงถึงการส่งมอบ ‘ความคุ้มค่า’ พร้อม ‘ประสบการณ์ที่ดีที่สุด’ ควบคู่ไปกับการนำเสนอ ‘คอนเทนต์ที่ถูกใจ’ และ ‘วางสินค้าให้ถูกจุด’ เหมือนอย่าง Shopee ที่เฟ้นหา กลยุทธ์ในการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค Gen Z เพื่อเชื่อมโยงสินค้าเข้าไว้กับไลฟ์สไตล์และ Touch Point ของการจับจ่าย สร้างประสบการณ์ที่นำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคกลุ่มนี้ จนกลายเป็น Brand Loyalty ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างทันสถานการณ์ในยุคดิจิทัล
แกร็บ ซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยข้อมูลและตัวเลขที่สะท้อนความสำเร็จของการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมา ผ่าน “รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567” (ESG Report 2024) โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเปิดโอกาสให้คนขับและผู้ประกอบการร้านค้า-ร้านอาหารสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มแกร็บรวมกว่า 1.28 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.2 แสนล้านบาท ) อีกทั้งมีการการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและคนขับรวมกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท) และมีการผลักดันการใช้ยานยนต์พลังงานสะอาดซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 128,000 ตัน รวมถึงการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกกว่า 936,000 ตันผ่านการจัดซื้อคาร์บอนเครดิต
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีที่ผ่านมา แกร็บมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลใน 3 มิติหลัก อันได้แก่ ธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามพันธกิจ GrabForGood หรือ ‘แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ สำหรับในประเทศไทย นอกจากเราจะมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว แกร็บยังได้ริเริ่มและต่อยอดโครงการสำคัญต่างๆ โดยมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อร่วมผลักดันนโยบายลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐ โดยปัจจุบันมีคนขับที่ให้บริการด้วย EV บนแพลตฟอร์มแกร็บแล้วกว่า 10,000 คัน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในประเทศไทยด้วยการปลูกป่าไปแล้วกว่า 200,000 ต้นจากเงินบริจาคที่ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในโครงการชดเชยคาร์บอน ตลอดจนการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วยการใช้แพลตฟอร์มของเราเพื่อสร้างโอกาสและรายได้ให้กับคนไทย ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.79 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1% ของ GDP ประเทศไทย1 ทั้งนี้ เรายังคงเดินหน้าผลักดันโครงการต่างๆ เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรธุรกิจเพื่อร่วมส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง”
ล่าสุด แกร็บได้เผยแพร่ “รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567” ซึ่งนำเสนอภาพรวมความสำเร็จในรอบปี พร้อมรายงานความคืบหน้าของโครงการและกิจกรรมด้านความยั่งยืนในหลากหลายมิติ อันได้แก่ การส่งเสริมและสร้างโอกาสให้กับคนในวงจรธุรกิจ (Partner) การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับความปลอดภัยและสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคน (Platform) รวมถึงการดูแลและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม (Planet) โดยมีไฮไลท์สำคัญ ดังนี้

PARTNER: การส่งเสริมและสร้างโอกาสให้กับคนในวงจรธุรกิจ
· คนขับและผู้ประกอบการร้านค้า-ร้านอาหารสามารถสร้างรายได้รวมผ่านแพลตฟอร์มของแกร็บมากกว่า 12.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.2 แสนล้านบาท)* เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า
· คนขับกว่า 99% ทั่วทั้งภูมิภาคมีรายได้ต่อชั่วโมงจากการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มของแกร็บเท่ากับหรือสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงของแต่ละประเทศ
· มีผู้ประกอบการรายย่อยหน้าใหม่กว่า 600,000 รายเข้าร่วมให้บริการบนแพลตฟอร์มแกร็บ โดยผู้ประกอบการเหล่านี้มีส่วนสร้างมูลค่าคำสั่งซื้อรวม (Gross Merchandise Value) ของ บริการ GrabFood และ GrabMart คิดเป็นสัดส่วนถึง 67%
· คนขับและผู้ประกอบการรายย่อยได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากแกร็บรวมกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท)* เพิ่มขึ้นถึง 46% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

PLATFORM: การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับความปลอดภัยและสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคน
· 99.9% ของการให้บริการผ่านแกร็บเป็นไปอย่างปลอดภัย โดยไม่มีรายงานอุบัติเหตุเกิดขึ้น
· แกร็บจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้ความคุ้มครองกับคนขับทุกคนในระหว่างการให้บริการ
· ฟีเจอร์ AudioProtect ที่ช่วยบันทึกเสียงระหว่างการเดินทาง มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2.4เท่า (เปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคมและธันวาคมของปีเดียวกัน)
· คนขับที่เป็นผู้หญิงกว่าครึ่งเลือกใช้ฟีเจอร์ “รับผู้โดยสารหญิงเป็นหลัก” (Women Passenger Preferred) นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปี 2567
![]()
PLANET: การดูแลและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม
· ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 128,000 ตันจากการส่งเสริมให้คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์คาร์บอนต่ำหรือคาร์บอนเป็นศูนย์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด
· เงินบริจาคจากโครงการชดเชยคาร์บอนถูกนำไปใช้ในการปลูกต้นไม้กว่า 600,000 ต้น และจัดซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมอีกกว่า 936,000 ตัน
· ฟีเจอร์ “งดรับช้อนส้อมพลาสติก” ช่วยลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวไปแล้วกว่า 929 ล้านชุด หรือเทียบเท่าการลดขยะพลาสติกได้มากถึง 8,363 ตัน
· ร่วมมือกับพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อมในการรวบรวมขยะรีไซเคิลจำนวน 384,519 ชิ้น เพื่อเข้าสู่กระบวนการจัดการอย่างถูกต้องและยั่งยืน
และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกประจำปี 2568 แกร็บ ประเทศไทย ยังได้เดินหน้าสานต่อกิจกรรม “GrabForGood” เพื่อส่งเสริมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “From Waste to Wow” เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้การจัดการขยะอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรม เวิร์กชอปที่ตอกย้ำว่า “ขยะ” สามารถกลายเป็น “ทรัพยากรที่มีค่า” ได้ หากได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี โดยได้ร่วมกับกลุ่ม “Paklad Zero Waste” ณ ชุมชนปากลัด อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชุมชนต้นแบบด้านการคัดแยกและรีไซเคิลขยะที่แข็งแกร่ง มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะในชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมจัดเวิร์กชอปแปรรูปกระดาษใช้แล้วให้กลายเป็นประติมากรรมกระดาษที่สามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้จริง นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับกลุ่ม “ผักDone” วิสาหกิจเพื่อสังคมที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะอินทรีย์ มาร่วมแนะนำวิธีเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยหมักอินทรีย์ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ที่บ้านได้ด้วยตนเอง
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น "Most Honored Company” จาก Extel (หรือเดิมชื่อ Institutional Investor Research) Asia Executive Team Rankings ประจำปี 2025 โดยได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารกองทุน และนักวิเคราะห์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กว่า 6,000 ราย ที่เข้าร่วมในการลงคะแนนผ่านผลสำรวจนี้
BDMS ได้รับการยกย่องให้เป็น Most Honored Company ใน 2 หมวดหมู่ โดย BDMS ได้อันดับหนึ่งในกลุ่มธุรกิจ Healthcare, Pharma & Biotech Sector ของกลุ่มประเทศ Rest of Asia (ex-China and Japan) และอันดับหนึ่งในประเทศไทย รวมในทุกภาคธุรกิจทั่วประเทศ ผลการสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงานของ CEO CFO ผู้บริหารระดับสูง ทีมนักลงทุนสัมพันธ์ ด้าน ESG ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (Environment, Social, และ Governance) โดยผู้บริหารสามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถตอบคำถามนักลงทุน เพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้องในการลงทุนในบริษัท รวมถึงได้รับการยอมรับอยู่ในระดับสากลจากทั้งผู้บริหารกองทุน และนักวิเคราะห์
![]()
นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน BDMS กล่าวว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดครั้งนี้ รางวัล Extel Awards เป็นเครื่องยืนยันความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของ BDMS ในฐานะผู้นำในตลาดเฮลท์แคร์ รวมถึงเป็นการสร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพขององค์กร"