November 01, 2024

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค โชว์ผลงานคอนโดโครงการแรกในประเทศญี่ปุ่น “ยู คิโรโระ” ทํายอดขายได้แล้ว 1,800 ล้าน หรือกว่า 50% ของยูนิตขาย ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวเอเชียและไทยเกินคาด กําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จธันวาคมนี้ คาดปิดการขายได้ในปีหน้าโครงการอยู่ใจกลางฮอกไกโด บริเวณเดียวกับ “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทที่สงบเงียบ   พร้อมศูนย์กลางกิจกรรมและที่พักชั้นนําระดับโลก

 

นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จํากัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นว่า นอกเหนือจาก “ยู คิโรโระ” สกีรีสอร์ทที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว บริษัทฯ ยังได้มีการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก คือ “ยู คิโรโระ” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น บนพื้นที่ 3.88 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,880 ล้านบาท ความคืบหน้าโครงการขณะนี้มี ยอดขายแล้วกว่า 50% เป็นมูลค่า 1,800 ล้านบาท ถือเป็นยอดขายที่สูงเกินความคาดหมายสําหรับการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศโครงการแรกของบริษัท โดยกําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนธันวาคม 2562 คาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้ภายในปีหน้า

 

“โครงการตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ “คิโรโระ”  สกีรีสอร์ทใจกลางฮอกไกโด จึงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์อย่างมาก โดยห้องชุดขนาด 1-2 ห้องนอน ช่วงราคา 24-40 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นอกจากเพื่อพักอาศัย ยังเป็นการซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีเนื่องจากขณะนี้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นกําลังอยู่ในช่วงอ่อนตัว จึงมีกลุ่มนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเข้ามาจับจองตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการก่อสร้าง โดยเฉพาะนักลงทุนจากเอเชียซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของ ยู คิโรโระ ทั้งจากฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน เนื่องจากฮอกไกโดเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมสําหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เดินทางสะดวกด้วยเที่ยวบินตรงมากกว่า 30 เที่ยวบินจากหลากหลายประเทศในเอเชียที่ตรงมายังท่าอากาศยานนิวชิโตเสะ นอกจากนี้ยังมีกระแสตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวไทย ซึ่งเป็นจํานวนครึ่งหนึ่งของลูกค้าทั้งหมด ถือว่าได้รับการตอบรับจากคนไทยเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้”

 

“ยู คิโรโระ” ยังได้รับรางวัลการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดแห่งปี 2561 ของญี่ปุ่น ประกอบด้วยห้องพักหรูขนาด 1-3 ห้องนอนและเพนท์เฮ้าส์ รวม 108 ห้อง สําหรับแบบ 1 ห้องนอน 62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 24 ล้านบาท, ขนาด 2 ห้องนอน 84-127 ตร.ม. เริ่ม 35 ล้านบาท และ           ขนาด 3 ห้องนอน 127-140 ตร.ม. เริ่ม 50 ล้านบาท ทุกห้องตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที พร้อมบริการชั้นเลิศ อาทิ บริการรับฝากอุปกรณ์เล่นสกี, ออนเซนทั้งภายในอาคารและกลางแจ้ง, บริการคอนเซียร์จตลอด 24 ชม, ฟิตเนสและเลาจน์ และห้องอาหารที่ให้บริการตลอดทั้งวัน

 

“ยู คิโรโระ” มีจุดเด่นด้วยการเป็นที่พักอาศัยที่สามารถสกีเข้า-ออกได้จากด้านหน้าของอาคาร มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัว สามารถมาพักผ่อนได้ตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ภายใน “คิโรโระ” สกีรีสอร์ทบนภูเขาใจกลางของฮอกไกโด เงียบสงบ มีทิวทัศน์ที่คงความงดงามตามธรรมชาติ มีชั้นหิมะที่หนานุ่มและตกสะสมหนาถึง 20 เมตรต่อปีในช่วงฤดูหนาว พร้อมกิจกรรมสันทนาการที่ครบครันสําหรับช่วงฤดูร้อน คิโรโระจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กําลังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเดินทางทุกประเภทจากทวีปเอเชียอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้วางโรดแมปในการพัฒนา คิโรโระ รีสอร์ต อย่างเต็มศักยภาพ ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยมีมาสเตอร์  แพลนในการสร้างแหล่งท่องเที่ยวและที่พักอาศัยที่ครบวงจร โดยจะประกอบไปด้วย วิลล่าหรู ทาวน์โฮม และอพาร์ตเมนต์ ที่รายล้อมบริเวณทางเข้า และใกล้กับศูนย์สกีและคลับสกีชั้นนําแห่งแรกของฮอกไกโด ที่สามารถเดินทางจากที่พัก ไปร้านค้า ร้านอาหาร หน่วยบริการอื่น ๆ ด้วยการใช้สกี ในบริเวณรีสอร์ตยังมีร้านอาหารที่หลากหลาย ร้านค้าต่าง ๆ ศูนย์อุปกรณ์สําหรับกิจกรรมบนเขา และสามารถออกไปทํากิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ หรือเดินทางไปสถานที่ท่องเทียวใกล้เคียงได้อย่างสะดวก

สสว. ติวเข้มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro Enterprises) บุกตลาดต่างประเทศ ผ่าน Born Global Business Model พร้อมมั่นใจภายใน 5 ปี แผนส่งเสริมการใช้ดิจิทัลดันยอดส่งออกผู้เข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยว่าร้อยละ 25

ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Born Global Rising Star Demo Day ว่า กิจกรรมในวันนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง สสว. กับ ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นอีกแนวทางในการสรรหาช่องทางที่เหมาะสมในการนำผู้ประกอบการขนาดเล็กของไทย (Micro Enterprises) ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ภายใต้ปัจจัยและทรัพยากรที่ผู้ประกอบการแต่ละรายมี โดยจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการรายเล็กในการก้าวสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มประกอบธุรกิจ ด้วยเครื่องมือและการมีคู่มือ รวมถึงพี่เลี้ยงในการให้คำปรึกษาและค้นหาตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของตนเองตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะมีการติวเข้มผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 20 ราย จะได้รับการฝึกวิธีสร้างธุรกิจที่มีนวัตกรรม เรียนรู้และปฏิบัติในการกำหนดแผนและทำความเข้าใจกลุ่มคนที่จะมาเป็นลูกค้าหรือผู้ใช้สินค้าหรือบริการของตน

ดร.วิมลกานต์ เผยอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้ฝึกการมองปัญหาและการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และสามารถนำไปใช้ในการหา Customer pain point ซึ่งจะทำให้ออกแบบสร้างสินค้าหรือบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้าได้ โดยผู้ประกอบการจะได้ลงมือปฏิบัติและคิดเองทั้งหมด โดยโครงการนี้ยังได้รับเกียรติจาก Mr.Hassan Moosa ผู้ก่อตั้ง UtooCentral จากประเทศอินโดนีเซีย กูรูเรื่องการสร้างแบรนด์ในตลาดโลก มาให้ความรู้ในการทำแบรนด์ให้ปัง ดังไปทั่วโลก และภายหลังเสร็จสิ้นการอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ปฏิบัติจริงโดยจัดแสดงสินค้าและบริการของตนเอง (Business Show Case) พร้อมประกวดการนำเสนอไอเดียธุรกิจ (Pitching)   โดยไอเดียผู้ประกอบการรายใดน่าสนใจมากที่สุด จะมีรางวัล Born Global Rising Star Award มอบให้

รองผอ.สสว. กล่าวด้วยว่า นอกจาก Born Global Business Model จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่ม Micro Enterprises สามารถที่จะเปิดตลาดในต่างประเทศ ได้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นผู้ประกอบการแล้ว สสว.ยังส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งมีจำนวนมากกว่า 80 % ของผู้ประการทั้งหมดโดยถือเป็นสัดส่วนหลักในภาพรวมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและรายย่อยของไทย ทั้งนี้ สสว.มั่นใจว่าหากผู้ประกอบการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์และรูปแบบที่เตรียมไว้ จะสามารถเป็นผู้ส่งออกได้ตั้งแต่วันแรกหรือปีแรกที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจเลยทีเดียว โดยผู้ประกอบการแบบ Born Global Firm หมายถึง ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ที่เข้าสู่ตลาดต่างประเทศภายในระยะเวลา 2 – 5 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ และในขณะเดียวกันต้องมียอดส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 25

“ตลอดระยะเวลาการอบรมแบบเข้มข้นตลอด 5 วัน สสว. เชื่อว่า สิ่งผู้ประกอบการจะได้รับคือ โอกาสในการเสริมสร้างทักษะและการติดอาวุธทางความคิดให้แก่ตนเองในเรื่องการค้าและการต่างประเทศแบบเจาะลึก รวมถึงการสร้างแผนพัฒนาธุรกิจของตนเอง การสร้างกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์ตนเองในตลาดต่างประเทศเพื่อการบุกตลาดสากล ให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของ สสว. เพื่อผู้ประกอบการ”  ดร.วิมลกานต์ กล่าวในที่สุด

ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดงาน KMUTT Competitiveness Forum 2019” ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ อาคาร Knowledge Exchange for Innovation Center (KX) ถ.กรุงธนบุรี

โดย ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ หัวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์ฯ ได้แนะนำภารกิจของศูนย์ที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขันต่างๆ และสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและบริการวิชาการกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนให้คำปรึกษาทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับองค์กร อีกทั้งพัฒนาบุคลากรของภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถสร้างและขับเคลื่อนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันองค์กรได้

ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม” เพื่อเป็นการเผยแพร่แนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการสร้างความสามารถทางการแข่งขันองค์กรด้วยนวัตกรรมสู่สาธารณะ อันจะส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมและประเทศต่อไปในอนาคต 

ธนชาต เดินหน้ารักษาความเป็นธนาคารชั้นนำ ชูแนวคิด “ให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน : Your Everyday Progress” มุ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเป็นขุมพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตลูกค้า “ก้าวหน้า” และไปถึง “เป้าหมาย” ที่วางไว้ได้สำเร็จ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการตลอดเส้นทางชีวิต พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา “ก้าว” กำกับโดย ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง สะท้อนความมุ่งมั่น-ใส่ใจของพนักงานที่เป็นแรงสนับสนุน-ผลักดันให้ลูกค้าก้าวหน้าไปถึงเป้าหมายของชีวิต

นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามามอบความสะดวกสบายและความรวดเร็วให้กับผู้บริโภค ธนาคารธนชาตตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่ธนาคารควรมอบให้กับลูกค้า คำตอบที่พบคือ ไม่ว่าพฤติกรรมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอย่างไร แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันไม่เปลี่ยนคือ เป้าหมายที่วาดหวังไว้ และไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นแบบใด จะเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนมีค่า มีความสำคัญ และต้องการแรงเสริมเพื่อก้าวไปให้ถึงทั้งสิ้น ดังนั้น เป้าหมายของธนชาตที่จะมอบให้กับลูกค้าคือการเป็นแรงผลักดันส่งเสริมให้ชีวิตของลูกค้าก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายนั้นได้สำเร็จ

“เรามีความเชื่อว่า ก้าวเล็กๆ ในทุกวัน นำไปสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่เสมอ ก้าวสำคัญของธนชาตในวันนี้ จึงเป็นการนำพาให้ชีวิตของลูกค้าก้าวหน้าได้ทุกวันเพื่อให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยพลังสุดความสามารถของเรา ทั้งจากผลิตภัณฑ์ บริการ และพนักงาน เพราะในวันที่เราเห็นเป้าหมายของลูกค้าเป็นจริง นั่นคือวันที่ธนาคารธนชาตเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองเช่นกัน” นายประพันธ์กล่าว

จากรากฐานความเป็นธนชาตที่ “ริเริ่ม” ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อ “เติมเต็ม” ทุกความต้องการของลูกค้าด้วยนโยบายยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ธนาคารธนชาตเดินหน้าไปอีกก้าวเพื่อใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น และมุ่งมั่นที่จะมอบความก้าวหน้าให้กับลูกค้าในทุกเป้าหมายของชีวิต ในฐานะที่ธนชาต คือ ธนาคารที่มอบความก้าวหน้าให้ลูกค้าได้ทุกๆ วัน หรือ “Your Everyday Progress” ผ่านทางผลิตภัณฑ์และบริการด้านความก้าวหน้าต่างๆ อาทิ

  • Auto Loan – Drive Your Progress: บริการสินเชื่อรถยนต์ ที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้าได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการมอบความก้าวหน้าอีกขั้นของความสะดวกสบายในชีวิต หรือความก้าวหน้าทางธุรกิจในวันที่ลูกค้าต้องการปัจจัยให้ธุรกิจก้าวต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด
  • Saving/Investment – Invest for Progress: ผลิตภัณฑ์เงินฝาก/การลงทุนในหลักทรัพย์ ที่จะช่วยให้ทุกการลงทุนของลูกค้ามีกำไรงอกเงยก้าวหน้าได้ทุกวัน
  • Home Loan – Live with Progress: บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ลูกค้าได้เติมเต็มความอบอุ่นในชีวิตด้วยบ้านในฝัน โดยที่โอกาสความก้าวหน้าไม่ถูกปิดกั้นด้วยภาระผ่อนบ้าน
  • Personal Loan – Experience of Progress: ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต บัตรเดบิตและบัตรกดเงินสดที่ให้ทุกการใช้จ่ายคือประตูให้ลูกค้าก้าวไปสู่ประสบการณ์ใหม่ๆ ของชีวิต

ธนาคารธนชาต จะสื่อสารแนวคิด “ให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน : Your Everyday Progress” ในทุกช่องทางการสื่อสาร พร้อมถ่ายทอดความมุ่งมั่นและส่งผ่านความเข้าใจผ่านภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “ก้าว” ที่กำกับโดย ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาชื่อดัง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้ลูกค้าได้ “ก้าวหน้า” ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ โดยสามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณา “ก้าว” ได้ที่เว็บไซต์ www.thanachartbank.co.th เฟซบุ๊ก www.facebook.com/thanachartbank และยูทูบ Thanachart Bank

#ธนาคารธนชาตให้ชีวิตก้าวหน้าได้ทุกวัน #YourEverydayProgress

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ร่วมกับบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ร่วมจัดพิธีเปิดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ระดมผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานเกี่ยวกับสินค้าธรรมชาติทั้งในประเทศและระดับสากล เข้าร่วมออกบูธแสดงและจำหน่ายสินค้ามากกว่า 300 ราย หรือกว่า 400 บูธ พร้อมร่วมประชุมและการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) โชว์ศักยภาพไทยผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าระดับสากล ภายใต้แนวคิดการจัดงาน “Organic Gateway to Southeast Asia” ระหว่าง 11 - 14 กรกฎาคมนี้ ณ ฮอลล์ 7 - 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 เป็นงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งเป็นเวทีแห่งการเจรจาธุรกิจระดับสากล โดยภายในงานได้รวมเหล่าเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ประกอบการอินทรีย์ของไทยไว้มากที่สุด เสมือนเป็นตลาดการค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนครั้งที่ 2 โดยความร่วมมือพันธมิตรระหว่างผู้นำด้านการจัดงานแฟร์ออร์แกนิคใหญ่ระดับโลก บริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ภายใต้ความมุ่งหวังปลุกกระแสผู้บริโภคในปัจจุบันให้หันมาบริโภคสินค้าจากธรรมชาติและออร์แกนิคเพื่อสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นรากฐานเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ไทยให้มีรายได้เพิ่มรวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ งานในครั้งนี้ยังถือเป็นการยกระดับสินค้าอินทรีย์ให้ได้มาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังโชว์ศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยทั้งทางด้านการเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง และพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียนอย่างครบวงจร

สำหรับการจัดแสดงสินค้าในปีนี้ มีจำนวนบูธทั้งสิ้นกว่า 400 บูธ ครอบคลุมสินค้าอินทรีย์ทุกกลุ่มเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ทั้งอาหาร ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เส้นผม และเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง, ภาชนะและบรรจุภัณฑ์, สารสกัดสะเดากำจัดแมลงศัตรูพืช, ปุ๋ยอินทรีย์, สินค้าไบโอออร์แกนิคสำหรับใช้ในบ้านแทนสารเคมี รวมทั้งบริการอินทรีย์ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ร้านสปา และสถานที่ท่องเที่ยว โดยปีนี้ได้แบ่งบูธและการจัดพื้นที่ออกเป็น 6 โซน ได้แก่ 1) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานสากล 2) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานภายในประเทศ 3) โซนสินค้าธรรมชาติ 4) โซนร้านอาหารอินทรีย์ เช่น Lemon Farm, รังสิตฟาร์ม, อริยะ ออร์แกนิค คาเฟ่, กินดีเฮลตี้ปิ่นโต, เพาะรักฟู้ดโปรดักส์, บจก.ฮาร์โมนี ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล และบจก.คิงด้อม ออร์แกนิค เนทเวิร์ค (ไทยแลนด์) โดยมาพร้อมกับเมนูเด็ด ได้แก่ น้ำพริกเผาลูกหม่อน, บะหมี่ผักโมโรเฮยะปรุงสำเร็จ, ข้าวเหนียวอัญชันหมูหลุมทอด, ขนมจีบ ซาลาเปา ออร์แกนิค, ข้าวอบธัญพืช, รวมทั้งเมนูมังสวิรัติและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกเพียบ 5) โซนคลินิกให้คำปรึกษาแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 10 หน่วยงาน และ 6) คูหาพิเศษ เช่น คูหามูลนิธิแก้วเกษตร, Organic Village ที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นจากชุมชนหมู่บ้าน, กรมการค้าต่างประเทศ, ASEAN Pavilion, Sacict เป็นต้น

นายบุณยฤทธิ์ กล่าวต่อว่า “ในปีนี้มีสินค้านวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ เช่น เส้นพาสต้า, สปาเก็ตตี้, น้ำนมข้าวยาคูออร์แกนิค, อาหารเสริมสำหรับเด็ก, น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำกะทิไขมันต่ำอินทรีย์, ซอสปรุงรสจากมะพร้าวอินทรีย์, เวชสำอางออร์แกนิคจาก สะเดาเพื่อรักษาอาการจากโรคผิวหนัง, ผลิตภัณฑ์ Superfood (ธัญพืชสกัด), Energy Gel (เจลให้พลังงานสกัดผลไม้ เช่น องุ่น, สตรอว์เบอร์รี), เครื่องสำอางออร์แกนิค และผลิตภัณฑ์จากกาบหมาก ภาชนะบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การสัมมนาทางวิชาการด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมหัวใจสำคัญของงาน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเครือข่ายการค้า และให้ความรู้ที่ทันสมัยด้านเกษตรอินทรีย์แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยมีหัวข้อที่น่าใจ เช่น ความท้าทายของธุรกิจออร์แกนิคในประเทศไทย, สถานการณ์ด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเพื่อความงามและสุขภาพในประเทศไทย เป็นต้น จากเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเกษตรอินทรีย์ทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีเวิร์คช้อปสร้างอาชีพเสริมรายได้ เช่น สาธิตการจัดทำมอสบอล (โคเคดามะ), จัดสวนขวด, กำยานออร์แกนิค, ลิปบาล์มออร์แกนิค, ยาย้อมผมสีผมออร์แกนิค, ถุงผ้ามัดย้อม เป็นต้น นอกจากนี้ เป็นอีกครั้งที่ภายในงานจัดให้มีวันเจรจาธุรกิจ (Trade day) สำหรับ  ผู้ที่สนใจธุรกิจออร์แกนิคอีกด้วย

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าออร์แกนิคโดยภาพรวมว่า “ปัจจุบันความนิยมในการบริโภคสินค้าออร์แกนิคจึงยิ่งแผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ตลาดออร์แกนิคโลกมีมูลค่าสูงถึง 104,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณปีละ 20% ยุโรปและอเมริกาเหนือ ถือเป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกันร้อยละ 90 โดยแบ่งเป็น ตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าประมาณ 45,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 44) รองลงมาคือ ตลาดเยอรมนี มีมูลค่าประมาณ 10,040 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 10) นอกจากนี้ยังมีตลาดโซนอื่นๆ เช่น เอเชีย จีน และออสเตรเลีย ส่วนตลาดสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะไทยมีมูลค่าตลาดภายในประเทศประมาณ 3,000 ล้านบาท และมูลค่าการส่งออกประมาณ 2.1 พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ต่อปี”

สำหรับพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยจากเดิม 357,091 ไร่ เพิ่มขึ้นมา 83% หรือคิดเป็น 0.652 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์มากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากอินโดนิเชีย และฟิลิปปินส์

ด้านนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า ด้วยเป้าหมายแห่งการผลักดันออร์แกนิคไทยสู่ประตูการค้าโลก และมุ่งหวังในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน ทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2560 - 2564 โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ยุทธศาสตร์ อันได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์ 3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการอินทรีย์ และ 4) พัฒนาสร้างมูลค่าสินค้าและบริการอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าอินทรีย์ไทยให้มากขึ้น ดังนั้นการร่วมมือกับทางบริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี จัดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 งานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากแนวคิดการจัดงานในปี 2018 : Southeast Asia ; Home of Organic ที่ผ่านมา อีกทั้งไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ  และได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของประชากรโลก บวกกับความพร้อมด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งที่ดี จึงมีความได้เปรียบสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน ซึ่งด้วยองค์ประกอบดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่างทางด้านคุณภาพให้กับสินค้าออร์แกนิคของไทย และช่วยขยายตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าการส่งออกในทุกปีอย่างแน่นอน

ทั้งนี้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าตลอดระยะเวลา 4 วัน จะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 50,000 คน อีกทั้งจะสามารถสร้างมูลค่าการจำหน่ายสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97% ดังนั้นเพื่อเป็นการร่วมส่งเสริม ผลักดัน พร้อมร่วมเปิดโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปตลาดในภูมิภาคและทั่วโลก จึงขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถร่วมชมงาน “BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019” ได้ในระหว่างวันที่ 11 - 14 ก.ค. 62 ณ ฮอลล์ 7 - 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยวันเจรจาธุรกิจ B2B (Trade day) วันที่ 11 - 12 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 12.30 น. และสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป วันที่ 11 - 12 กรกฎาคม เวลา 12.30 - 20.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 20 .00 น. และวันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 10.00 - 19.00 น. สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ http://th.biofach-southeastasia.com หรือทาง Facebook Fanpage : Organic & Natural Expo หรือโทร.02-507-5723

ถอดบทเรียนจาก 5 ชุมชนในทุกภาค เตรียมยกทีมเดินสายแบบ Mobile Unit ถึงประตูบ้าน เพื่อช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างครบวงจร พร้อมเปิดตัว “คู่มือประกันภัย ฉบับประชาชน” เป็นครั้งแรก

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้จัด “โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน” ต่อเนื่องเป็นปี 3 โดยเป็นการนำภาคอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมลงพื้นที่รณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประกันภัยเชิงรุกแก่ชุมชนต่างๆทั่วประเทศ ขณะเดียวกันได้ถ่ายทำเพื่อจัดทำเป็นรายการซีรีย์ “คปภ. เพื่อชุมชน” นำไปเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้านประกันภัยในวงกว้าง ซึ่งปีนี้มีความแตกต่างไปจากปีที่ 1 และปีที่ 2 ด้วยการเรียนรู้ประโยชน์ของระบบประกันภัยจากการถอดบทเรียนประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงและความเสียหายในหลากหลายรูปแบบและสามารถใช้ระบบประกันภัยเข้าไปช่วยเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนทำให้ชาวชุมชนมีสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เป็นการต่อยอดความคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนถ่ายทอดส่งต่อองค์ความรู้ด้านการประกันภัยให้เกิดขึ้นภายในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการในระดับพื้นที่ (Bottom-Up) และทิศทางในภาพรวมของระดับประเทศ (Top-Down) ที่ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศของทุกภาคส่วนต่อไป สำหรับชุมชนที่ได้รับคัดเลือกในปีนี้ มีจำนวน 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนลำไยมัดปุ๊ก บ้านร้องขุด อำเภอสันป่าตองจังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนบ้านนาทับ-สะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ชุมชนตลาดน้ำบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ชุมชนบ้านโนนหอม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และชุมชนบ้านผาบ่อง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 3 ได้แถลงข่าวเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ณ ชุมชนบางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน  สมาคมการค้าผู้สำรวจภัยไทย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย รวมถึงกองทุนประกันชีวิต และกองทุนประกันวินาศภัย ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ และจะร่วมลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยแล้ว รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยอย่างครบวงจร ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันด้านประกันภัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอย่างแท้จริง

สำหรับในส่วนของสำนักงานคปภ. การลงพื้นที่ในโครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ Mobile Insurance Unit หรือศูนย์บริการประชาชนด้านการประกันภัยเคลื่อนที่แบบครบวงจรควบคู่กันไป เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านประกันภัย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่จำเป็นสำหรับชุมชน ศึกษาสภาพปัญหาด้านประกันภัยในชุมชน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือและรับเรื่องร้องเรียนเรื่องประกันภัยผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนในชุมชนได้รับความรู้และบริการด้านประกันภัยแบบครบวงจรในคราวเดียวกัน

“ในการเปิดตัวโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 3 ในวันนี้ ยังมีการเปิดตัว “คู่มือประกันภัย ฉบับประชาชน” ซึ่งถือเป็นคู่มือความรู้ด้านประกันภัยภาคประชาชน version ล่าสุดที่รวมข้อมูลที่จำเป็นในเรื่องประกันภัยที่คนไทยทุกคนควรทราบ อันเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านที่จะไขข้อข้องใจในเรื่องของประกันภัยในทุกมิติแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก สามารถพกพาได้สะดวก โดยสำนักงาน คปภ.แจกฟรี เพื่อให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของประเทศ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย และสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

นายบรรณยง นราสวัสดิ์ (แถวล่าง คนที่ 4 จากขวา) ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำตัวแทนคุณภาพของบริษัทฯเข้ารับรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ (TNQA) ครั้งที่ 36 ประจำปี 2562 จัดโดยสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณให้กับตัวแทนประกันชีวิตที่มีผลงานการขายและการบริการที่ยอดเยี่ยม ณ จูบิลี่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวพันธสัญญาใหม่ของแบรนด์ “Know You Can” เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันทุกช่วงชีวิต พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Know You Can”  จำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกได้เชิญนักเทนนิสหญิงฝีมือระดับโลก เซเรนา วิลเลียมส์ มาเป็นนักแสดงหลักในภาพยนตร์โฆษณา ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำภาพและสร้างแรงบันดาลใจแนวคิดความเชื่อมั่นในตนเอง Know You Can พร้อมทั้งสนับสนุนความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า  

นางแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวพันธสัญญาใหม่ของแบรนด์ Know You Can” - เรารู้ว่าคุณทำได้ ในวันนี้  ซึ่งเป็นพันธสัญญาเดียวกับกลุ่มแอกซ่า และทุกบริษัทของแอกซ่าทั่วโลก โดยถือเป็นสัญลักษณ์แทนคำสัญญาต่อลูกค้าคนสำคัญว่า เราจะอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนคู่คิด พร้อมสนับสนุนทุกความเชื่อมั่นว่าคุณก็ทำได้ – Know You Can ให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งทุกความเชื่อมั่นต้องเริ่มต้นจากความคิดของตัวเราเอง  และเพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้มีชีวิตที่ดีขึ้นตามใจปรารถนา เรามุ่งหวังว่าจากพันธสัญญาใหม่ของแบรนด์ Know You Can พร้อมด้วยความมุ่งมั่นในการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะทำให้ บริษัท กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นผู้นำของธุรกิจประกันชีวิต และประกันสุขภาพในประเทศไทยอย่างยั่งยืนยาว อีกทั้งประเทศไทย นับเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศของกลุ่มแอกซ่าทั่วโลก ที่ได้รับคัดเลือกให้มีแคมเปญโฆษณา Know You Can – เรารู้ว่าคุณทำได้ โดยแคมเปญนี้ได้มีการเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศเยอรมัน ฮ่องกง ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆในทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย และลาตินอเมริกา”

พันธสัญญาใหม่นี้ จะถูกนำไปใช้กับแคมเปญต่าง ๆ และภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของเรา ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้เป็นการแสดงออกถึงการประสบความสำเร็จ เพราะความเชื่อมั่นในตนเอง และส่งผลให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของค่านิยม และความมุ่งมั่นของกรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ จะเป็นหัวใจสำคัญในการสื่อสารผ่านทุกช่องทาง นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีอีกหนึ่งโฆษณา “Know You Can” ต่อเนื่องเป็นชุดที่ 2  ที่สื่อสารให้เห็นภาพว่า กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต จะอยู่เคียงข้างลูกค้าและพร้อมสนับสนุนให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองเพื่อก้าวเดินต่อในชีวิต สู่ความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

นอกจากแคมเปญโฆษณาดังกล่าวแล้ว  บริษัทฯ ยังได้มีการสื่อสารภายในกับพนักงาน และฝ่ายขาย ผ่านกิจกรรมที่ให้ทุกคนได้เล่าเรื่องราวที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในตัวเองและสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การดูแลลูกค้า หรือการทำตามความมุ่งมั่นและความฝันของตนเอง  ผ่านกิจกรรม “Know You Can Story” โดยพนักงานและฝ่ายขายสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของตัวเองมาได้ และเรื่องราวที่ได้รับเลือกจะถูกนำใช้ในสื่อสารในกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป  

นางภควิภา เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายลูกค้า กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต จะได้นำเสนอภาพยนตร์โฆษณาที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ของบริษัทฯ และพันธสัญญาใหม่ของแบรนด์อย่างชัดเจน โดยภาพยนตร์โฆษณาชุด Know You Can”  ทั้ง 2  ชุด จะมีการสื่อสารอย่างเต็มรูปแบบผ่านภาพยนตร์โฆษณาความยาว  30 วินาที  ซึ่งภาพยนตร์ชุดแรกที่มี เซเรนา วิลเลียมส์ แสดงในภาพยนตร์โฆษณานั้นจะเริ่มออกอากาศพร้อมกันในวันที่ 17 กรกฎาคม ศกนี้  ส่วนภาพยนตร์ชุดที่ 2 จะสื่อสารแนวคิด Know You Can”  และการเป็นเพื่อนคู่คิด เคียงข้างกับลูกค้าของเรา โดยจะเริ่มออกออกอากาศในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้  ซึ่งภาพยนตร์ทั้ง 2 ชุดดังกล่าวจะสื่อสารไปยังทุกกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อต่าง ๆ อาทิ สื่อโฆษณานอกบ้าน (Out of Home Media) สิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์”

“นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีกิจกรรม และแคมเปญมากมาย ทั้งสำหรับลูกค้า ฝ่ายขาย และพนักงานภายใต้พันธสัญญาของแบรนด์ใหม่ Know You Can อาทิ คอนเสิร์ต Know You Can”  ที่เราเพิ่งจัดให้ลูกค้ากว่า 10,000 คน ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา  รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพ เช่น งานวิ่งครั้งแรกกับ ก้อย รัชวิน  “ATiRa Womens Run 2019, Unlock Your Limit ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม งานวิ่งลิเวอร์พูล The Kop Run 2019, presented by AXA”  ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม รวมทั้ง งานวิ่ง Step Life” (Half-Marathon) ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนศกนี้

นอกจากนี้ ด้านกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัทฯ ยังได้ผสานแนวคิด Know You Can” ผนวกเข้ากับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นตลอดปี อาทิ  โครงการ “Know You Can Save Our Environment” โดยเป็นความร่วมมือร่วมใจของทั้งพนักงานและฝ่ายขายในการช่วยลดการใช้กระดาษ แล้วมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อนำไปซื้อต้นไม้มาปลูกร่วมกัน นับเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และตอกย้ำความเชื่อมั่นที่ว่าทุกคนทำได้”

สำหรับท่านใดที่สนใจแคมเปญดี ๆ และกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ของ กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต สามารถติดตามได้ที่ Line Official Account หรือ www.krungthai-axa.co.th และสอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 ตลอด 24 ชั่วโมง

สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin Graduate Institute of Business Administration of Chulalongkorn University)  เปิดตัวหลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงในหลักสูตร Senior Executive Program” หรือ SEP-33 โดย ผศ. ดร. ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ ผู้ดูแลหลักสูตร รวมสุดยอดวิทยากรจากสถาบันชั้นนำทั่วโลก อาทิ ศาสตราจารย์ ราวี อรอน (Professor Ravi Aron) จากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์, แครี่ บิสสิเนส สคูล (Johns Hopkins University, Carey Business School) และ ศาสตราจารย์ สตีฟ มิรันดา (Professor Steve Miranda) อดีตอาจารย์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลที่ปัจจุบันเป็นรองผู้อำนวยการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve USA) โดยผู้ที่เข้าเรียนจะได้ใบรับรอง 2 ใบ ของจากทั้งของศศินทร์ และสถาบัน เซ็นเตอร์ ออฟ ครีเอทีฟ ลีดเดอร์ชิพ (Center of Creative Leadership)

ผศ. ดร. ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมหลักสูตรอสังหาริมทรัพย์ (Residential program) สำหรับผู้บริหารระดับสูงในหลักสูตร “Senior Executive Program” ในระหว่างวันที่ 5 - 9 สิงหาคม 2562 ณ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระหว่างวันที่ 19 - 23 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมอนันตรา หัวหิน ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ http://info.sasin.edu/ee-lp1-sep/ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.02-218-4001-7 Ext.162-167 หรือ Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. พิเศษ! หากสมัครก่อนวันที่ 12 กรกฏาคม 2562 จะได้รับส่วนลด 5% สมัครด่วน! รับจำนวนจำกัด

 

ทีเอ็มบี เปิดตัว “TMB ABSOLUTE” Visa Signature บัตรเครดิตระดับบน ที่    มาพร้อมเอกสิทธิ์เหนือกว่าบัตรอื่น ได้พอยท์ไว 10 บาท = 1 คะแนน  ไม่เสียค่าธรรมเนียมรูดใช้ในต่างประเทศ พร้อมประกันอุบัติเหตุการเดินทาง นับเป็นบัตรเครดิตใบแรกของไทยที่สามารถใช้รูดต่างประเทศได้ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเปลี่ยนแปลงสกุลเงิน (FX) 2.5%   และรับมากขึ้นโดยรับคะแนนสะสม ทีเอ็มบี รีวอร์ด พลัส 2 เท่า เมื่อใช้จ่ายออนไลน์ทุกยอดใช้จ่าย 10 บาทเท่ากับ 2 คะแนนหรือ 12.5 บาทเท่ากับ 1 ROP ไมล์ ทำให้สามารถใช้คะแนนจากบัตรแลกไฟล์ทได้เร็วขึ้น   อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์ในการคุ้มครองอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางสูงสุด 16 ล้านบาท และรับบริการห้องรับรองพิเศษที่สนามบินทั่วโลก 2 สิทธิ์ต่อปี พร้อมสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย

นายจเร เจียรธนะกานนท์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “บัตรเครดิต ทีเอ็มบี แอบโซลูท (TMB ABSOLUTE) เกิดขึ้นจากการศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งพบว่าปัจจุบัน รูปแบบพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยแบ่งออกเป็นประเภทอย่างชัดเจน ได้แก่ การจับจ่ายซื้อของ การท่องเที่ยว และ การกินดื่ม เป็นหลัก  ซึ่งการจับจ่ายซื้อของโดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ ภาพรวมการใช้จ่ายในตลาดออนไลน์หรือ eCommerce ในประเทศไทยนี้คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 860,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14% จากปี 2560 และเมื่อจำแนกออกมาเราพบว่ายอดใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของกลุ่มลูกค้าระดับบนเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 49%  โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดนี้คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วสูงถึง 204,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 17% สำหรับการท่องเที่ยวคนไทยเที่ยวต่างประเทศ เฉลี่ย 3.9 ทริปต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.7 ทริปต่อปี   โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมทุกช่องทางคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 4-6% ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าระดับบนมียอดใช้จ่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 24% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในต่างประเทศคิดเป็นมูลค่ารวม ประมาณ 120,000 บาท ซึ่งเติบโตขึ้น 8% จากปี 2560 ในขณะที่การกิน ดื่ม ถือเป็น ไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คนไทยทานอาหาร วันละ 7 มื้อ ได้แก่ เช้า สาย เที่ยง บ่าย บ่ายแก่ เย็น และ ดึก โดยมีมูลค่ารวมทางการตลาด 400,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3-5% มูลค่ารวมในการใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดนี้ ประมาณ 48,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12%”

ลูกค้าของ TMB ABSOLUTE ถือเป็นกลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูง มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง  มีความสนใจสิ่งรอบตัว และมีความใส่ใจในตัวเอง มีวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่น มีการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่หลากหลาย และมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเองเพื่อไปสู่ความสำเร็จ

“ทีเอ็มบีตั้งเป้าที่จะขยายกลุ่มลูกค้าบัตรใหม่รวมทุกประเภท 200,000 ใบ โดยบัตร TMB ABSOLUTE จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าระดับบนซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ 40,000 ใบ ผ่านรูปแบบการตลาดที่ใช้สื่อออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่ไปกับการโปรโมทสิทธิพิเศษและเอกสิทธิ์ที่เหนือกว่าของบัตรเครดิต TMB ABSOLUTE ผ่านภาพยนตร์โฆษณาที่พร้อมเผยแพร่อย่างแพร่หลายแล้วในชื่อ Perfect Life กับความยาว 60 วินาที สะท้อนความเชื่อของทีเอ็มบีที่ว่า สิ่งที่บ่งบอกฐานะและความสำเร็จของคนยุคนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ทรัพย์สินเท่านั้น หากแต่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีกว่า ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ โดยจะเล่าผ่านชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ ได้ครบสมบูรณ์แบบ ทั้งในและต่างประเทศ และสิ่งที่เติมเต็มชีวิตเขาได้ทุกด้านแบบนี้ก็คือเอกสิทธิ์มากมายจากบัตร TMB ABSOLUTE นั่นเอง”

TMB ABSOLUTE Visa Signature เป็นบัตรเครดิตใบแรกที่มาพร้อมกับเอกสิทธิ์สุดพิเศษ อาทิ

  • ฟรีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินต่างประเทศ 2.5% สำหรับการใช้จ่ายด้วยสกุลเงินต่างประเทศ โดยไม่จำกัดช่องทางการใช้จ่าย และสกุลเงินต่างประเทศ สบายใจกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกเทียบเท่าร้านรับแลกเงินและยังได้คะแนนสะสม ทีเอ็มบี รีวอร์ด พลัส (TMB Rewards Plus)
  • รับคะแนนสะสม 2 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรทางออนไลน์ จากยอดใช้จ่ายทุกๆ 10 บาท (10 บาทเท่ากับ 2 คะแนน หรือ เทียบเท่า 12.5 บาท = 1 ROP) ยกเว้นการทำรายการใช้จ่ายหรือเติมเงินผ่านทาง e-wallet, Direct debit หรือ Bill payment และรายการซื้อประกันผ่านช่องทางออนไลน์
  • ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไปผ่านบัตรเครดิต TMB ABSOLUTE  หากว่าของหายหรือได้รับของไม่ตรงสเปค ยังได้รับเงินชดเชยตามมูลค่าของสินค้าสูงสุด 5,000 บาท/ครั้ง หรือ 10,000บาท/ปี

นอกจากนี้ ทีเอ็มบี รีวอร์ด พลัส ยังมีบริการพิเศษด้านการท่องเที่ยวกับสิทธิพิเศษอื่นๆ อาทิ บริการห้องรับรองพิเศษ (Airport Lounge) โดย LoungeKey ณ สนามบินทั่วโลกกว่า 1,000 แห่ง สำหรับผู้ถือบัตรและผู้ติดตามจำนวนรวม 2 สิทธิ์ต่อปี ประกันภัยการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ให้ความคุ้มครองทั้งครอบครัวด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 16,000,000 บาท บริการ Visa Concierge บริการฉุกเฉินกรณีประสบปัญหาระหว่างการเดินทางในต่างประเทศ (Worldwide Emergency) ตลอด 24 ชั่วโมง

“สิ่งที่ทีเอ็มบีได้มุ่งเน้นมาโดยตลอด คือเรามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่าง Make THE Difference ด้วยการทำให้ลูกค้าทุกกลุ่มได้รับมากกว่าในทุกๆ มิติ โดยเฉพาะบัตรเครดิต TMB ABSOLUTE Visa Signature ที่นับเป็นประสบการณ์ใหม่ของการใช้บัตรเครดิตที่ไม่เพียงแค่การใช้จ่ายได้อย่างคล่องตัวสะดวกสบายเท่านั้น แต่พร้อมให้สิทธิประโยชน์ที่ยังไม่เคยมีบัตรใบไหนให้ได้ครบสมบูรณ์แบบเช่นนี้  สะท้อนถึงมาตรฐานการบริการของทีเอ็มบีที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นอันดับแรก รวมทั้งยังสอดรับกับแนวคิด Get MORE with TMB  ลูกค้าทีเอ็มบีต้องได้รับมากกว่าอีกด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังว่าผลิตภัณฑ์ TMB ABSOLUTE นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้ทีเอ็มบีก้าวสู่เป้าหมายในการเป็นธนาคารที่ลูกค้ารักจนต้องบอกต่อได้ตามเป้าหมาย” นายจเร กล่าวทิ้งท้าย

X

Right Click

No right click