November 01, 2024

Airbnb แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก เผยผลการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจระบุว่า เจ้าของที่พักและผู้เข้าพัก Airbnb ในไทยได้สร้างรายได้มากกว่า 3.38 หมื่นล้านบาทสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นในปี 2561** นอกจาก
นั้นยังพบว่า ชุมชนเจ้าของที่พักและผู้เข้าพัก Airbnb ก่อให้เกิดรายได้รวมกว่า 1 แสนล้านบาทในกว่า 30 ประเทศใน
ช่วงปีที่ผ่านมา 

มิสเตอร์ไมค์ ออร์กิล ผู้จัดการทั่วไปประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน เปิดเผยว่า “ชุมชนเจ้าของที่พักและผู้ที่เข้าพักของ Airbnb มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งชุมชนเจ้าของที่พักและผู้ประกอบการธุรกิจด้านการบริการมีการเติบโตที่ดีจึงเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นทั่วประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น”

สิ่งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นคือ รูปแบบพื้นฐานชุมชนของ Airbnb ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจชุมชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
ก่อให้เกิดการแบ่งปันกันไม่ว่าจะเป็น ภายในครอบครัว ธุรกิจในท้องถิ่น และชุมชนต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงสถานที่หลายแห่งที่อาจถูกมองข้าม อีกทั้งผลการสำรวจเจ้าของที่พักและผู้เข้าพักในประเทศไทย ยังพบว่า เจ้าของที่พักราว 80% ระบุว่าพวกเขาแนะนำร้านอาหารและร้านคาเฟ่ให้กับผู้ที่เข้าพัก ขณะที่แขกผู้เข้าพักเผยว่ามีการใช้จ่ายเงินไปกับร้านต่างๆ ในละแวกที่พักเฉลี่ยประมาณ 46% เลยทีเดียว 

สำหรับผลสำรวจสำรวจด้านอื่นๆ ที่ได้จากเจ้าของที่พัก Airbnb ในไทยพบว่า

  • 52% ระบุว่าพวกเขาแนะนำกิจกรรมทางวัฒนธรรม อาทิ พิพิธภัณฑ์ เทศกาลต่างๆ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ให้กับผู้เข้าพัก
  • 46% ระบุว่า การเปิดให้เช่าที่พักทำให้พวกเขามีรายได้เพื่อจ่ายค่าบ้านของตัวเอง
  • 31% ระบุว่า Airbnb ทำให้พวกเขามีรายได้เสริมที่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย

ด้านข้อมูลสำคัญจากผู้เข้าพัก ระบุว่า

  • แพลตฟอร์ม Airbnb ส่งผลในการเข้าพักนานขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วผู้เข้าพักมีการเพิ่มวันเข้าพักอีก 1 วันต่อทริป
  • 62 % ระบุว่า เหตุผลทางด้านสิ่งแวดล้อมของการแบ่งปันที่พักคือส่วนสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเลือกพักกับ Airbnb
  • 95% ระบุว่า ความปลอดภัยในการชำระเงินคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเลือกพักกับ Airbnb

อย่างไรก็ดีภารกิจของ Airbnb ก็คือการสร้างสรรให้ทุกคนสามารถเดินทางไปแห่งใดก็ได้บนโลกและเพื่อที่จะทำให้ภารกิจนี้พัฒนาไปข้างหน้า Airbnb จึงมุ่งมั่นในการเปลี่ยนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวแบบเดิมด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวให้เป็นแบบครบวงจร ซึ่งได้รวมเอาสถานที่ที่คุณจะพัก กิจกรรมสิ่งที่จะทำ และทำอย่างไรถึงจะไปที่นั่นได้เอาไว้ในที่เดียว ในขณะที่ชุมชนของ Airbnb ได้เติบโตเพิ่มมากขึ้นและกำลังสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญให้กับเจ้าของที่พักและคนในชุมชนต่างๆต่อเนื่อง



นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี (ที่ 4 ขวา) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ให้การต้อนรับและร่วมประชุมกับ นายเผิง ฉุน ประธานกรรมการและประธานฝ่ายบริหาร บริษัท China Investment Corporation หรือ CIC (ที่ 3 ขวา) และคณะ ฯ ในโอกาสมาเยือนประเทศไทย เพื่อแนะนำการดำเนินกิจการของบริษัท รวมทั้งการหารือถึงแนวทางและโอกาสในการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักงาน อีอีซี เมื่อเร็วๆนี้

บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นายพุทธรักษ์ ทิพชัชวาลวงศ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานคณิตศาสตร์ประกันภัย (แถวกลาง ลำดับที่4จากซ้าย) นำทีมผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติครั้งที่ 20/2562  เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ สโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จัดการแข่งขันฟุตบอล “AIA Youth Cup 2019” ณ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 พร้อมด้วยความร่วมมือจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่  โรงเรียนวชิราลัย และจากพันธมิตรอย่าง บริษัทสิงห์ คอร์ปอเรชั่น ในการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนไทยที่มีใจรักทางด้านกีฬาฟุตบอล รวมถึงมอบโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์การแข่งขันจริงในมาตรฐานระดับสากล โดยตัวแทนทีมฟุตบอลจาก โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอลเยาวชน “AIA Youth Cup 2019” ไปครองได้สำเร็จ จากทีมฟุตบอลโรงเรียนที่เข้าร่วมทั้งหมด 49 โรงเรียน รวมจำนวนเยาวชนมากกว่า 750 คน นอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษให้กับโค้ชผู้ฝึกสอนของแต่ละโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ได้เข้าร่วมรับฟังประสบการณ์ตรงจากโค้ชสเปอร์สในหัวข้อ "การพัฒนาศักยภาพนักกีฬาฟุตบอล ในรูปแบบฮ็อตเสปอรส์เวย์ (Hotspur Way) อีกด้วย เพื่อนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปถ่ายทอดต่อให้กับนักฟุตบอลเยาวชนของแต่ละโรงเรียน ให้สามารถก้าวไปเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพในอนาคต

 

ทั้งนี้ ในการแข่งขันดังกล่าวยังได้มีการมอบรางวัล Wonder Kids แก่นักกีฬาฟุตบอลเยาวชนที่แสดงศักยภาพได้โดดเด่นเข้าตาโค้ชแอนตัน แบล็ควู้ด จากสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เพื่อไปร่วมแคมป์เก็บตัวฝึกทักษะฟุตบอล แบบมืออาชีพ โดยโค้ชผู้ฝึกสอนจากสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในโครงการ “AIA-Spurs Elite Football Training Camp 2019” ณ ศูนย์กีฬาธัญญะปุระ สปอร์ต แอนด์ เลเชอร์ คลับ จ.ภูเก็ต เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์เต็มในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้  ทั้งนี้ เยาวชนที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 8 คน ประกอบด้วย

เยาวชนจากทีมแชมป์ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ จำนวน 2 คน

ด.ช. ณภัทร ยิ่งสุข                ด.ช. กฤตนัย แก้วธรรม          

เยาวชนจากทีม โรงเรียนวชิราลัย จำนวน 4 คน

ด.ช. ตฤษนันท์ ตรีอนันต์         ด.ช. ภานุวัฒน์ เมทะโว         

ด.ช. ณัฐวุฒิ ทองคำมา          ด.ช. จักรรัตน์ เยาวเรศน์        

เยาวชนจากทีม โรงเรียนวารี อินเตอร์ เชียงใหม่ จำนวน 2 คน

ด.ช. สิรภพ ใจมั่น                 ด.ช. ภูมิใจ รางศรี               

โดยโครงการ “AIA-Spurs Elite Football Training Camp” เป็นโครงการสานต่อความฝันให้กับนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนไทย รวมถึงการสร้างโอกาสในการเพิ่มพูนประสบการณ์และพัฒนาทักษะความสามารถเพื่อยกระดับไปสู่การเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพในอนาคต และปลูกฝังพื้นฐานการมีสุขภาพดีตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึงระดับครอบครัวและชุมชน สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ในการสนับสนุนด้านกีฬาให้แก่เยาวชนไทย เพื่อให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

เอสซีบี อบาคัส จับมือ Fastwork แหล่งรวมฟรีแลนซ์คุณภาพอันดับ 1 ของประเทศ พัฒนา “สินเชื่อแม่มณีศรีออนไลน์” แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล ซึ่งใช้ AI ในการประมวลผลเพื่อให้บริการสินเชื่อแก่ฟรีแลนซ์ที่ใช้บริการแพลตฟอร์มของ Fastwork โดยเฉพาะ โดยฟรีแลนซ์ใน Fastwork สามารถยื่นขอสินเชื่อผ่านทางเว็บไซต์ และรับเงินทันทีใน 24 ชม. ทันกับความต้องการ ย้ำความเป็นผู้นำของเอสซีบี อบาคัส ในฐานะผู้บุกเบิกแพลตฟอร์ม e-Lending ของไทยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้คนทำงานอิสระทุกคน เสริมขอบข่ายการให้บริการของ Fastwork ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น พร้อมช่วยผลักดันให้ฟรีแลนซ์รับงานและทำงานได้เต็มศักยภาพ

ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับ Fastwork ซึ่งเป็นแหล่งรวมฟรีแลนซ์รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย คือการนำความเชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นทางการเงิน “แม่มณีศรีออนไลน์” ของเรามาช่วยเสริมศักยภาพการบริการของ Fastwork ให้สามารถตอบโจทย์และลดข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของฟรีแลนซ์ด้วยสินเชื่อออนไลน์ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์และพิจารณาวงเงินสินเชื่อให้ตรงกับความต้องการเฉพาะเป็นรายบุคคล พร้อมทราบผลการอนุมัติทันที โดยไม่ต้องส่งเอกสารเพิ่มเติม จึงสามารถช่วยให้ฟรีแลนซ์บริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดข้อกังวลด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับคนทำงานอิสระที่มีศักยภาพทุกคน เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

วสะ สุภาโชค เอี่ยมสุรีย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารเว็บไซต์ Fastwork.co กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมฟรีแลนซ์ที่มีคุณภาพ เราจึงให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานของสมาชิก และพบว่าสภาพคล่องทางการเงินคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความสามารถในการรับงานและส่งมอบงานของฟรีแลนซ์ให้ตอบสนองความคาดหวังผู้จ้างได้อย่างมั่นใจ ทั้งการลงทุนซื้อหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ช่วยเสริมศักยภาพการทำงาน การบริหารจัดการกับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง เราจึงเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกับเอสซีบี อบาคัส ในการเปิดตัวบริการสินเชื่อออนไลน์บน Fastwork ส่งเสริมให้แพลตฟอร์มของเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้คนไทยได้ใช้ความสามารถและสิ่งที่ตนเองรักมาก่อให้เกิดเป็นอาชีพที่มั่นคงพร้อมมีสวัสดิการเหมือนพนักงานประจำ สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างชุมชนคนทำงานอิสระที่มีทั้งคุณภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข”

Fastwork คือแหล่งรวมฟรีแลนซ์อันดับ 1 ของไทย มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือซึ่งกันและกันระหว่างฟรีแลนซ์และผู้ว่าจ้าง มีบริการกว่า 60 หมวดงาน ด้วยโซลูชั่นเพื่อการว่าจ้างฟรีแลนซ์ที่ครบวงจร สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งร้านออนไลน์ ธุรกิจ หรือเอเจนซี่ที่ต้องการจ้างงานหรือเอาท์ซอร์สฟรีแลนซ์ที่มีคุณภาพ พร้อมบทรีวิวจากผู้ว่าจ้างจริง ทั้งนี้ บริการสินเชื่อแม่มณีศรีออนไลน์พร้อมขยายขอบเขตการให้บริการไปยังคนทำงานอิสระบนแพลตฟอร์มของ Fastwork ในเร็วๆ นี้

TMB Analytics ประเมินว่าในปี 2562 ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งจะเติบโต 5% โดยธุรกิจค้าส่งคาดว่าเติบโตในระดับต่ำ ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกคาดว่าจะพอเติบโตได้ แต่การเติบโตกระจุกตัวอยู่ในช่องทางผ่านร้านโมเดิร์นเทรดและช่องทางออนไลน์ แนะหากต้องการอยู่รอดอย่างยั่งยืน ต้องเร่งปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้

ทุกวันนี้ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีสัดส่วนถึง 16% ของจีดีพี โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2551-2561) เติบโตเฉลี่ยกว่า 6.8% ต่อปี และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 15 ปีหลังจากมีการใช้อินเทอร์เน็ตในภาคธุรกิจ ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากโมเดลการค้าแบบดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เกิดช่องทางการตลาดที่ต้นทุนต่ำลง เนื่องจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทำให้การเชื่อมต่อผู้ผลิตไปยังผู้บริโภครายย่อยได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการค้าผ่านระบบ E-Commerce ซึ่งผู้บริโภคสามารถชำระค่าสินค้าผ่านระบบ E-Payment ได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ผู้ผลิตและผู้ค้ายังสามารถส่งสินค้าไปยังลูกค้ารายย่อยได้รวดเร็วและตรงเวลาผ่านการใช้บริการของบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ เทรนด์นี้ก่อให้เกิดการเติบโตของจำนวนร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้านมากขึ้น นอกจากนี้ในตัวธุรกิจเองก็มีการแข่งขันที่สูงพิจารณาจากจำนวนสาขาของร้านโมเดิร์นเทรดประเภทต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินว่าปี 2562 จีดีพีการค้าปลีกและการค้าส่งจะขยายตัว 5% ชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 8.5% โดยยอดขายธุรกิจค้าส่งจะเติบโตได้ต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง สินค้าที่เติบได้ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าไม่คงทนเป็นหลักได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร ยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ ในขณะยอดขายธุรกิจค้าปลีกคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3-5% โดยช่องทางค้าปลีกที่เติบโตจะอยู่ในร้านค้าโมเดิร์นเทรด ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีจุดเด่นเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าประเภทต่างๆ ให้ผู้บริโภคได้จับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกออนไลน์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เติบโตและเป็นที่นิยมสูงจากผู้บริโภคในยุคนี้

สำหรับร้านค้าปลีกที่คาดว่าจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างในอดีตคือ ร้านค้าปลีกดั้งเดิม รวมไปถึงร้านค้าปลีกสินค้าเฉพาะอย่าง อาทิเช่น ร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป นิยมซื้อของผ่านร้านโมเดิร์นเทรด หรือซื้อผ่านร้านค้าออนไลน์มากขึ้น

โดยรวมแล้ว แม้ปีนี้แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกและการค้าส่งภาพรวมจะพอขยายตัวได้บ้าง แต่หากแยกตามประเภทของผู้ค้าพบว่า แนวโน้มผู้ค้าส่งดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ข้อบ่งชี้ที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ การรุกทำตลาดของผู้ผลิตที่เริ่มใช้กลยุทธ์ลดสัดส่วนการขายผ่านผู้ค้าส่งหันไปขายผ่านร้านค้าปลีกรายย่อยแทน รวมไปถึงใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อเชื่อมกับผู้บริโภคออนไลน์เพิ่มขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ยอดขายผ่านการค้าส่งลดลงต่อเนื่อง และหากมองในแง่ของระดับการทำกำไรใน 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ในระดับทรงตัวอยู่ที่ 3.4-3.9% ในขณะที่ผู้ค้าปลีกก็มีกำไรสุทธิทรงตัวเช่นกันอยู่ที่ 4.7-4.8% แต่ยอดขายผู้ค้าปลีกยังขยายตัวได้อยู่

ศูนย์วิเคราะห์ฯ ประเมินผลกระทบจากเทรนด์ดังกล่าว “ผู้ค้าส่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับกระทบสูงที่สุด” เนื่องจากผู้ผลิตเริ่มมองการปรับกลยุทธ์ขายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกมากขึ้น ด้าน “ผู้ค้าปลีกมีแนวโน้มที่จะถูกแข่งขันจากร้านค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ค้าปลีกออนไลน์ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก” ฉะนั้นโจทย์สำคัญของผู้ค้าปลีกและค้าส่ง คือ “จะทำอย่างไรให้ลูกค้าพึงพอใจในสินค้าและการบริการและเพิ่มช่องการขายออนไลน์มากขึ้นภายใต้ต้นทุนที่แข่งขันได้” เรามองว่ากลุ่มผู้ค้าส่งเป็นกลุ่มที่น่าห่วงที่สุด ต้องเร่งปรับตัวด้วยการอาศัยจุดแข็งความได้เปรียบด้านสถานที่ตั้ง มีสถานที่เก็บสินค้าของตนเอง และมีความเชี่ยวชาญในระบบขนส่งสินค้า ซึ่งสามารถต่อยอดด้วยการนำเทคโนโลยีระบบการจัดการสินค้าคงคลังมาใช้เพื่อบริหารจัดการปริมาณสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ผู้ค้าส่งอาจต้องพิจารณาเพิ่มช่องทางการขายปลีกของตนเองเพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดมากขึ้น จะเห็นว่าธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง ในวันนี้และพรุ่งนี้ “เป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และจำเป็นต้องเร่งปรับตัวด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้”

นางสาวเจนจิต ลัดพลี (ซ้าย) ผู้อำนวยการ – การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวและสันทนาการ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับนางสาววสุมน เนตรกิจเจริญ (ขวา) อุปนายก ฝ่ายการตลาดในประเทศ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) จัดโปรโมชั่นสำหรับสมาชิกบัตรเคทีซี กับโครงการท่องเที่ยวชุมชน Go Eco Go Local เที่ยวชุมชนสายไหน ก็เลือกได้เริ่มต้นเพียง 690 บาท/ท่าน พิเศษ!! สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถแลกรับส่วนลดเพิ่ม 12% เพียงใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดซื้อ พร้อมรับ e-coupon S&P มูลค่า 100 บาท ผ่านแอปฯ KTC Mobile เมื่อชำระค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวชุมชน 5,000 บาทขึ้นไป ต่อเซลล์สลิป กับบริษัทนำเที่ยวที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2562

แพ็คเกจท่องเที่ยวชุมชนฯ แบ่งเป็น 3 รูปแบบ เพื่อมุ่งสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและสร้างสรรค์ให้กับนักท่องเที่ยว อาทิ

  • แพ็คเกจ “Go Discover” ชมศิลป์เมืองธนกรุงเก่าและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าแห่ง 2 ชุมชมโบราณย่านหัวลำโพง จังหวัดกรุงเทพฯ
  • แพ็คเกจ “Go Experience” ตะลุยเที่ยว 8 ชนเผ่า ฟังเรื่องเล่าแห่งศรัทธา จังหวัดนครพนม
  • แพ็คเกจ “Go Adventure” กับทรีท๊อปแอดเวนเจอร์ (Tree Top Adventure) พร้อมที่พัก สไตล์ Boutique Log Cabin Home จังหวัดกาญจนบุรี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ริเวอร์แควโฟลเตล จำกัด โทร 02-642-5497 / บริษัท โกลบอล ฮอลิเดย์ จำกัด โทร 02-393-5855, 086-105-1262 / บริษัท นวทรรศน์ ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด โทร 095-943-9222 / Jumbo Travel & Event โทร 081-763-7413, 034-512-280 /  Win Win Smile โทร 042-192-964, 086-366-9708 และ บริษัท อินทรา แม่โขง จำกัด โทร  02-961-0855-9, 081-662-6501 หรือเว็บไซต์ www.ktcworld.co.th

ซีอีโอซีพีเอฟ เผยทิศทางนำบริษัทเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์องค์กรสู่ “ครัวของโลก” โดยเน้นเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างสรรค์นวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการของกระแสโลกทั้งในเชิงธุรกิจและสังคม ควบคู่การบริหารจัดการภายในองค์กรที่เน้นการสร้างคนภายใต้บรรยากาศ Leadership at all level  

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ  ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า“ซีพีเอฟมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ครัวของโลก ภายใต้ความท้าทายใหม่ๆในการบริหารธุรกิจยุค Digital ซึ่งจะต้องเลือกใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยปรัชญา 3 ประโยชน์เช่นที่ผ่านมา”

ทั้งนี้ กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรยุค 4.0 คือการนำแนวคิดนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน (Innovation towards Sustainability) เข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและทุกๆผลิตภัณฑ์ของซีพีเอฟ  โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) คลาวด์ (Cloud Computing) บิ๊กดาต้า(Big Data) ไอโอที (Internet of Thing : IOT) ตลอดจนระบบอัตโนมัติ มาใช้ในการยกระดับและเชื่อมโยงกระบวนการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่ เช่น การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ-โรงงานอัจฉริยะ (Smart Farm-Smart Factory) หรือ ระบบการตลาดดิจิทัลและช่องทางการจำหน่ายสินค้า e-Commerce ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพธุรกิจ สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า และรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภค

 

“นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้แก่ซีพีเอฟทั้งในประเทศไทยและในเวทีโลกได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในการวิจัยพัฒนานวัตกรรมอาหารสัตว์-พันธุ์สัตว์-อาหารเพื่อการบริโภค  สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารครั้งใหม่ของโลก เช่น ไก่เบญจาได้สำเร็จ รวมถึงคิดค้นอาหารสุขภาพ กลุ่ม Smart อาทิ อาหารเพื่อผู้ป่วยและผู้สูงวัยอย่าง Smart Soup, อาหารมังสวิรัติ Smart Meal และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ Smart Drink อาหารและเครื่องดื่มจากนวัตกรรมเหล่านี้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว  และด้วยประสิทธิภาพของศูนย์ RD Center มาตรฐานระดับโลกของเราจะทำให้ซีพีเอฟสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารสู่ตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง”นายประสิทธิ์กล่าว 

 

ขณะที่ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่สังคมโลกให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ซีพีเอฟจึงนำแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ Circular Economy เข้ามาใช้ในการผลักดันความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด รวมถึงการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ตลอดกระบวนการผลิต เพื่อให้การทำธุรกิจของซีพีเอฟสร้างผลกระทบแก่ทรัพยากรโลกให้น้อยที่สุด ดังเช่น โครงการจัดหาวัตถุดิบยั่งยืน โครงการ Solar Rooftop โครงการ CPF Coal Free 2022  โครงการฟาร์มสีเขียว หรือการประกาศใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน เพื่อร่วมบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

 

สำหรับการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ซีพีเอฟจะยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา“คน” โดยสร้างบรรยากาศให้พนักงานทุกคนมีความกล้าแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ กล้าพูด กล้าทำ และลงมือทำในสิ่งใหม่ๆที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวเอง ลูกค้า ชุมชน ฯลฯ อันจะช่วยส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีความเป็นผู้นำ ภายใต้บรรยากาศการทำงานที่เรียกว่า Leadership at all level ซึ่งจะสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า พร้อมจะนำองค์กรให้เติบโตต่อไป

 

ด้วยความแข็งแกร่งของกระบวนการผลิตอาหารปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ๋การผลิต ทั้งFeed-Farm-Food ผนวกกับการที่ซีพีเอฟมีการลงทุนใน 17 ประเทศและส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เมื่อเสริมกลยุทธ์ด้านการบริหารยุคดิจิตอลเข้าด้วยกัน เชื่อว่าจะสนับสนุนให้ซีพีเอฟก้าวสู่ “ครัวของโลก” ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

นายประสิทธิ์กล่าวอีกว่า ซีพีเอฟจะยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา “3 ประโยชน์” ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ยึดมั่นปฏิบัติมาโดยตลอดร่วมศตวรรษ นั่นคือ การคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของประชาชน และสุดท้ายคือประโยชน์ของบริษัท โดยมุ่งมั่นที่จะนำองค์กรให้เติบโตต่อเนื่องในเวทีโลกอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม โปร่งใสและ มีธรรมาภิบาล ซึ่งจะเอื้อให้ซีพีเอฟยืนหยัดในสังคมโลกได้อย่างสง่างามเช่นที่ผ่านมา

บริษัท โกลบอล เอ็กซิบิชั่น แอนด์ คอนเวนชั่น เซอร์วิส จำกัด หรือ GECS ร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ มช. จัดงานนวัตกรรมเกษตรแห่งเอเชีย หรือ AGRI-INNO ASIA 2019 ระหว่างวันที่ 7-11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เชียงใหม่ 

นางลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลบอล เอ็กซิบิชั่น แอนด์ คอนเวนชั่น เซอร์วิส จำกัด หรือ GECS และ รศ.ดร.ณัฐา โพธาภรณ์ คณบดี คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ลงนามความร่วมมือจัดงาน AGRI-INNO ASIA 2019 เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีเกษตรแห่งเอเชีย ท่ามกลางสักขีพยาน สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย สมาคมผู้ค้าอุปกรณ์การเลี้ยงสัตว์ไทย และบริษัท เทวดา คอร์ป จำกัด

 

นางลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลบอล เอ็กซิบิชั่น แอนด์ คอนเวนชั่น เซอร์วิส จำกัด บริษัทชั้นนำด้านการจัดงานแสดงสินค้า การประชุม และสัมมนาในกลุ่มประเทศ CLMV เปิดเผยว่า งาน AGRI-INNO ASIA 2019 เป็นงานแสดงสินค้า บริการ นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำ อาทิ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การเตรียมพื้นที่ การเพาะปลูก จนถึงปลายน้ำ การแปรรูป การตลาด การขนส่ง จนเป็น อาหารที่มีคุณภาพเสิร์ฟบนจานของผู้บริโภค รวมทั้งให้บริการจับคู่ธุรกิจ การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ และกิจกรรมเยี่ยมชมฟาร์มสาธิต โดยจัดร่วมกับงานเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 9 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ภายในศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ตลอดระยะเวลาการจัดงาน 5 วัน วันที่ 7-11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562  คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานประมาณ 80,000 คน จากประเทศ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม จีน และไทย

 

รศ.ดร.ณัฐา โพธาภรณ์ คณบดี คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงการร่วมจัดงานครั้งนี้ว่า เป็นการเสริมศักยภาพการจัดงานเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 9 ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านวิชาการและด้านพัฒนาภาคธุรกิจ ขณะเดียวกัน เป็นการเฉลิมฉลองในวาระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครบรอบ 55 ปี โดยมีเป้าหมายสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ การผลิตด้านการเกษตร การพัฒนาเกษตรที่สูง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีชีวภาพวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว ธุรกิจเกษตร การส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กับนักเรียน นักศึกษา เกษตรกร นักวิชาการและประชาชนทั่วไป

 

นายศราวุธ ฉันทจิตปรีชา นักวิชาการเกษตร สถานเอกอัคราชทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวถึงอนาคตแห่งนวัตกรรมการเกษตรและอาหารว่า “จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารจากการผลิตภาคการเกษตรก็เพิ่มขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรมีจำกัด ดังนั้น นวัตกรรมการเกษตรที่คำนึงถึงระบบนิเวศน์ (Ecologically Oriented Innovation Agriculture) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเลือกนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับฟาร์ม พื้นที่ ชนิดของพืชสัตว์ ทั้งนี้ เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการพัฒนาเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรอย่างต่อเนื่อง อาจเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบในเรื่องของการเกษตรแห่งอนาคต (Homebased for Future Agriculture) ยินดีให้การสนับสนุน งาน AGRI-INNO ASIA 2019 เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรสำหรับเกษตรกรและผู้สนใจในเขตภาคเหนือของไทยตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพสำหรับทุกคน

 

นายธีรพงษ์ กาญจนกันติกุล บริษัท เทวดา คอร์ป จํากัด กล่าวถึงความสำคัญของนวัตกรรมต่อภาคการเกษตรว่า “การนำนวัตกรรมมาใช้ในภาคเกษตรกรรมของไทยเป็นสิ่งจำเป็นมากในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดรน ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องแรงงานขาดแคลน ลดต้นทุนในการใช้ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ อาทิ ใช้หว่านเมล็ดพันธุ์ ฉีดพ่นปุ๋ย สารกำจัดวัชพืช รวมทั้ง ยังช่วยในการสำรวจพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการแปลงปลูกได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ปัจจุบัน โดรน มีต้นทุนเฉลี่ยเพียง 80-100 บาทต่อไร่ และยังช่วยลดปริมาณการปุ๋ยหรือสารกำจัดวัชพืชลง เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการฉีดพ่น และขจัดปัญหาการเหยียบย่ำทำลายพืชปลูกได้ดีมากกว่าแรงงงานมนุษย์”

 

นายแดงน้อย พหลทัพ ประธานสมาคมผู้ค้าอุปกรณ์การเลี้ยงสัตว์ไทย กล่าวเสริมว่า “นอกจากปัญหาแรงงานแล้ว เกษตรกรยังมีปัญหาเรื่องหนี้สิน เงินทุน ขาดความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี โรคระบาดในฟาร์มปศุสัตว์ และพื้นที่ฟาร์มขนาดใหญ่ลดลง เพราะการเติบโตของชุมชน อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ส่งผลให้ต้องย้ายฟาร์มออกไปไกลขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตในที่สุด ดังนั้น แนวทางสำคัญในการจัดการปัญหาคือ การนำระบบ จัดเก็บข้อมูลและบริหารต้นทุน เพื่อบริหารจัดการฟาร์มและขนส่ง ควบคู่ไปกับ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีการเลี้ยงเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของปศุสัตว์ ช่วยให้เกษตรกรสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

 

นายสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. กล่าวว่า งาน AGRI-INNO ASIA 2019 เป็นเวทีของการแสดงสินค้าและบริการสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร การแปรรูป และการตลาดอย่างครบวงจร เปิดโอกาสทางการค้าและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในภาคการเกษตรและอาหาร ขณะเดียวกันเป็นช่องทางที่ทำให้นักเดินทางกลุ่มไมซ์ได้เข้ามาสัมผัสมาตรฐานการผลิต บริการและศักยภาพความพร้อมของประเทศไทย โดยในปี พ.ศ. 2562 สสปน. ตั้งเป้าดึงนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 35 ล้านราย และสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศประมาณ 2.2 แสนล้านบาท คาดเป็นกลุ่มไมซ์ต่างประเทศ 1.3 ล้านราย สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1 แสนล้านบาท และกลุ่มไมซ์ในประเทศ 34 ล้านราย สร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 1.2 แสนล้านบาท

“การจัดงาน AGRI-INNO ASIA 2019  จะช่วยผลักดันภาคเกษตรกรรมด้วยนวัตกรรม ให้เกษตรกรมีผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ รวมทั้ง ต้นทุนการผลิตลดลง สร้างผลกำไรได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน เป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทย ให้สามารถเติบโตในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน” นางลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ กล่าวสรุป

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมออกร้านหรือเข้าร่วมชมงาน สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ 02-026-3583 อีเมล  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือเว็บไซต์ https://www.agri-asia.com/

X

Right Click

No right click