หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) จัดแคมเปญออนไลน์ ดิลพิเศษ Gift-Giving Festival ขนขบวนสมาร์ทวอทช์ตอบโจทย์ทุกวัย ครอบคลุมทุกสายกิจกรรม เป็นไอเดียสำหรับใครที่กำลังมองหาของขวัญแทนความรักและความห่วงใยในเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ พร้อมให้ซื้อหาง่ายในหลากหลายช่องทางออนไลน์ของหัวเว่ย ทั้ง HUAWEI Store ทางร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยที่ Shopee และ Lazada ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 ถึง 5 มกราคม 2566 นี้

รวมสมาร์ทวอทช์รุ่นเด็ด ประหยัดสูงสุด 32%[1]

  • HUAWEI WATCH GT 3 SE สมาร์ทวอชท์รุ่นใหม่ล่าสุด น้ำหนักเบากระชับเพียง 6 กรัม[2] พร้อมโหมดตรวจจับการนอนหลับและการนอนกรนแบบจัดเต็ม ในราคาเพียง 6,499 บาท
  • HUAWEI WATCH GT 3 รุ่น 46mm Active Edition ตัวเรือนพลาสติก สายยางสังเคราะห์สีดำ มอบลุคสปอร์ต ราคาพิเศษ 7,490 บาท จากราคาปกติ 7,990 บาท และ Classic Edition ตัวเรือนสเตนเลสสตีล สายหนัง เหมาะกับลุคทำงาน ราคาพิเศษ 7,990 บาท จากราคาปกติ 8,490 บาท
  • HUAWEI WATCH GT 3 รุ่น 42mm พร้อมเอาใจสาวหลายสไตล์ด้วย Active Edition สายยางสังเคราะห์สีดำ เหมาะกับลุคสบายๆ ราคาพิเศษ 6,490 บาท จากราคาปกติ 7,990 บาท และ Elegant Edition สวยหรูด้วยสายสแตนเลสถักสี Light Gold ราคาพิเศษ 7,990 บาท จากราคาปกติ 9,490 บาท
  • HUAWEI WATCH GT Runner เอาใจสายฮาร์ดคอร์เรื่องการวิ่ง รองรับการออกแบบแผนฝึกซ้อมด้วย AI ในราคาเพียง 8,990 บาท จากราคาปกติ 9,990 บาท
  • HUAWEI WATCH GT 2 (Sport) สมาร์ทวอชท์ตอบโจทย์สายสปร์อตมาพร้อมโหมดกีฬาสุดชาญฉลาด ในราคาเพียง 3,899 จากราคาปกติ 6,490 บาท
  • HUAWEI WATCH FIT เต็มอิ่มกับหน้าจอ AMOLED สีสันสดใสหน้าปัดสมาร์ทวอทช์เป็นแบบพร้อมใช้งานตลอดเวลา (Always-On) ราคาพิเศษ 2,499 บาท จากราคาปกติ 3,499 บาท
  • HUAWEI WATCH FIT 2 สมาร์ทวอทช์สายแฟชั่น หน้าปัดหลากหลาย เข้าได้กับทุกสไตล์ ราคาพิเศษ 4,499 บาท จากราคาปกติ 4,990 บาท
  • HUAWEI Band 7 สมาร์ทวอชท์ความสามารถรอบด้าน หน้าจอใหญ่อ่านค่าง่าย แบตอึด โด่ดเด่นด้วยสีสันของสายรัดมีให้เลือกมากมาย ในราคาพิเศษ 1,299 บาท จากราคาปกติ 1,899 บาท

ช้อปเป็นคู่ คุ้มกว่า !!

  • ซื้อคู่คุ้มกว่า ซื้อ HUAWEI Band 7 สีใดก็ได้เป็นเครื่องแรก รับส่วนลด 3% เมื่อซื้อ HUAWEI Band 7 สีเขียวเป็นชิ้นที่ 2
  • จับคู่ซื้อ HUAWEI WATCH GT 3 42 mm Active Edition กับ HUAWEI FreeBuds Lipstick ในราคาพิเศษ 11,480 จากราคาปกติ 15,480 บาท
  • จับคู่ซื้อ HUAWEI WATCH GT 3 42mm Elegant Edition กับ HUAWEI FreeBuds Lipstick ในราคาพิเศษ 12,980 จากราคาปกติ 16,980 บาท
  • จับคู่ซื้อ HUAWEI WATCH GT 3 46mm Active Edition สี Matte Black กับ HUAWEI FreeBuds SE สีขาว ในราคาพิเศษ 4,898 จากราคาปกติ 8,389 บาท

ติดตามอัปเดตข่าวสารล่าสุดก่อนใครได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEI Mobile TH สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อสินค้า คอมมิวนิตี้ และบริการ ง่ายๆ ในคลิกเดียว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My HUAWEI ใน AppGallery


[1] เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

[2] ไม่รวมสาย

 

 

สั่งการรถบรรทุกเครื่องยนต์ไฟฟ้า ผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ 5G ในพื้นที่อุตสาหกรรม SCG แห่งแรกในไทย

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ร่วมจับมือกันในโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัล “Super AI Engineer Season 2” รอบตัดสิน

พร้อมประกาศผู้ชนะจากโครงการ ส่งมอบรางวัลเป็นคลาวด์เครดิตมูลค่า 150,000 บาท และต่อยอดความร่วมมือสู่ปีที่ 3 เพื่อความต่อเนื่องของแนวคิดการส่งเสริมอีโคซิสเต็มของนักพัฒนาไทย เพื่อบ่มเพาะบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และรองรับการก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของประเทศไทย

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงพิธีประกาศผู้ชนะในโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะดิจิทัล “Super AI Engineer Season 2” ครั้งนี้ว่า “ในนามของบริษัทหัวเว่ย ผมต้องขอขอบคุณพาร์ทเนอร์จากภาคการศึกษา รวมถึงสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ที่ได้ให้เกียรติหัวเว่ยในการเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรด้านดิจิทัลของประเทศไทย โดยหัวเว่ยได้สนับสนุนใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านการแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญในระดับโลก เพื่อช่วยยกระดับความสามารถและให้คำปรึกษาเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้แก่บุคลากรไทย อีกด้านคือเราได้สนับสนุนบริการหัวเว่ยคลาวด์ของเราให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโครงการฝึกอบรม เนื่องจากเทคโนโลยีคลาวด์มีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้พัฒนา AI และคลาวด์ของหัวเว่ยก็มีประสิทธิภาพสูงและมีมาตรฐานระดับโลก สามารถใช้ทำงานได้อย่างรวดเร็วด้วยค่าความหน่วง

เขากล่าวเสริมว่าการพัฒนาเทคโนโลยี AI เปรียบเสมือนการทดลองสร้างไอเดีย โดยเทคโนโลยีคลาวด์ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีค่า OPEX (ค่าใช้จ่ายที่จ่ายแล้วจ่ายเลยในครั้งเดียว) ที่ต่ำ ช่วยให้การทดลองสร้าง AI ในแต่ละครั้งมีต้นทุนต่ำ หากการทดลองประสบความสำเร็จก็จะสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่หากไอเดียดังกล่าวมีผลลัพธ์ที่ไม่สามารถไป ต่อได้ ต้นทุนที่เสียไปในการทดลองก็ค่อนข้างน้อย โดยทุกวันนี้ เทคโนโลยีถือเป็นพื้นฐานในทุกๆ ด้าน เทคโนโลยีคลาวด์ และ AI มีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะรองรับการนำไปพัฒนาต่อยอด โดยในแต่ละปี หัวเว่ยจัดงบประมาณการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยมีมูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาบุคลากร โดยหัวเว่ยพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนของประเทศไทยผ่านการสนับสนุนบุคลากรไทยให้นำไอเดียเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อสร้างให้เกิดตัวอย่างการใช้งานที่ประสบความสำเร็จในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Super AI Engineer ถือเป็นหนึ่งในพลังสำคัญและตรงกับพันธกิจของหัวเว่ยที่ต้องการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งภูมิภาค

นายเทพชัย ทรัพย์นิธิ อุปนายก สมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการ Super AI Engineer Season 2 ว่า “ในฐานะตัวแทนของสมาคม ผมต้องขอขอบคุณทางหัวเว่ยที่ช่วยสนับสนุนคลาวด์เซอร์วิสให้ผู้เข้าอบรมในการใช้ทำโจทย์ของโครงการทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ เทคโนโลยีคลาวด์ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับโครงการฝึกอบรมด้าน AI เพราะการประมวลผล AI ใช้ทรัพยากรมหาศาล จำเป็นต้องพึ่งการทำงานบนคลาวด์ เพื่อให้น้องๆ ในโครงการทำงานได้อย่างราบรื่น ที่สำคัญเทคโนโลยีคลาวด์ของหัวเว่ยยังใช้งานง่าย ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้เร็วมาก ทั้งยังมีค่าความหน่วง (Latency) ต่ำ ซึ่งถือว่าจำเป็นอย่างมากสำหรับการประยุกต์ใช้งานในภาคสาธารณสุขและภาคอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ การสนับสนุนหัวเว่ยเครดิตของบริการหัวเว่ย คลาวด์ มูลค่า 2.2 ล้านบาทให้แก่โครงการ และรางวัลแก่ผู้ชนะเป็นคลาวด์เครดิตมูลค่า 150,000 บาทยังช่วยทำให้พวกเขาสามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ทันที และช่วยประหยัดต้นทุนได้

ทั้งนี้  อุปนายก สมาคมปัญญาประดิษฐ์ ฯ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าทางสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่างการหารือกับหัวเว่ยเพื่อต่อยอดความร่วมมือสำหรับโครงการฝึกอบรม Super AI Engineer ปีที่ 3 โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าฝึกอบรมในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทางสมาคมจะต่อยอดการสนับสนุนทางด้านบุคลากรและองค์ความรู้จากหัวเว่ย เพื่อให้ช่วยฝึกอบรมด้านการประยุกต์ใช้งานปัญญาประดิษฐ์ในระดับโลกให้แก่บุคลากรด้านไอทีในประเทศไทย โดยปัจจุบัน บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI ในประเทศไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แม้จะมีการเติบโตในกลุ่มสาขา Data Science ในอุตสาหกรรมการเงิน ด้าน Image Processing และด้าน NLP สำหรับการพัฒนาแชทบอท แต่บุคลากรด้านนี้ก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อย

สำหรับผู้ชนะเลิศในโครงการ Super AI Engineer Season 2 ได้แก่นายพรระติชัย ไวโรจนะพุทธะ ซีอีโอของสตาร์ทอัพ Indezy โดยโครงการที่ชนะการประกวดคือการออกแบบระบบ AI ของหุ่นยนต์ส่งสินค้าสำหรับคอยเติมสินค้าที่ขาด บนชั้นวางจำหน่ายสินค้าในร้าน True Shop โดยเขายังให้ข้อมูลว่าเทคโนโลยีคลาวด์ของหัวเว่ยมีจุดแข็งในด้านความเร็วและ ความง่ายในการใช้งานที่เหนือกว่าบริการคลาวด์ของแบรนด์อื่นๆ เขายังกล่าวขอบคุณหัวเว่ยที่ช่วยสนับสนุนให้คอมมูนิตี้

เทคโนโลยี Machine learning และ AI ในประเทศไทยให้ก้าวไปได้ไกลขึ้น ทำให้อีโคซิสเต็มของคอมมูนิตี้แข็งแกร่งขึ้น และทำให้นักพัฒนาในไทยมีแรงบันดาลใจที่จะออกมาตามหาความฝันต่อไป

โครงการฝึกอบรม Super AI Engineer มีจำนวนผู้เข้าฝึกอบรมเป็นจำนวน 2,500 คนในปีแรก และในปีนี้ (ซีซั่น 2) มีจำนวนผู้เข้าฝึกอบรมและแข่งขันทั้งหมด 5,700 คน ซึ่งหลังจากการประกาศรับสมัคร ผู้เข้าร่วมโครงการจะถูกคัดเลือกเหลือเพียง 200 คน จากนั้นจะเหลือ 10 คนเพื่อแข่งขันแบบเรียลลิตี้ และค้นหาผู้ชนะการแข่งขัน 1 คนสุดท้าย โดยค่ายการอบรมแรกเป็นการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ ค่ายที่สองเป็นการฝึกอบรมนอกสถานที่ซึ่งจะมีโจทย์มาให้ทำไม่ซ้ำกันทุกสัปดาห์ จากทางสมาคมและบริษัทเอกชน ส่วนค่ายการฝึกอบรมที่สามจะเป็นการส่งตัวแทนเข้าไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชนเพื่อ สั่งสมประสบการณ์การทำงานในสถานการณ์จริง

งานประชุม Ultra-Broadband Forum 2022 ได้เปิดฉากขึ้นที่กรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคม นี้  โดยนาย เดวิด หวัง กรรมการบริหารและประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันไอซีที ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘ก้าวอย่างมั่นคงสู่ยุคอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G’ และกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะเกิดขึ้นในหลายภาคส่วนภายในปีพ.ศ. 2573 เช่น ที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ แคมปัสอัจฉริยะ และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสำหรับภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าเทคโนโลยีอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G จะเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่โลกอัจฉริยะและจุดประกายให้อุตสาหกรรมดำเนินการในสี่ขั้นตอนสำคัญเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังผลักดันผู้เล่นในอุตสาหกรรมร่วมมือกันเพื่อก้าวสู่ยุคอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G ได้เร็วยิ่งขึ้น

ขณะที่เรามุ่งหน้าสู่โลกอัจฉริยะในปี พ.ศ. 2573 ความเร็วเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะสูงถึง 10 Gbit/s ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากความเร็วปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 1 Gbit/s นอกจากนี้ ที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ถึง 20 เครื่อง และจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเพราะเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมจะได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้สถิติอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเพิ่มขึ้นถึง 150 ถึง 200 เครื่อง ดังนั้นในอนาคตทุกส่วนของบ้านจะต้องเข้าถึงเทคโนโลยีไฟเบอร์

ภายในปี พ.ศ. 2573 เครือข่าย Wi-Fi สำหรับแคมปัสขนาดกลางและขนาดใหญ่จะมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ความเร็ว 10 Gbit/s และจะต้องรองรับการดำเนินการและการจัดการที่ชาญฉลาด องค์กรต่าง ๆ จะต้องมีเครือข่าย Wi-Fi ที่มอบแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่ ประสบการณ์ระดับพรีเมียมและบริการอินทราเน็ตแบบครบวงจร ในขณะที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสำหรับภาคอุตสาหกรรมจะต้องการแบนด์วิดท์ที่สูงกว่า 10 Gbit/s และค่าความหน่วงที่ต่ำกว่าหนึ่งมิลลิวินาที องค์กรต่าง ๆ จะประยุกต์ใช้กลยุทธ์มัลติคลาวด์ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รองรับการกำหนดและเปลี่ยนแปลงเส้นทางแบบไดนามิก และเราจะบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 10 เท่า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การดำเนินการ และการบำรุงรักษาเครือข่าย ด้วยแนวคิดการพัฒนาเครือข่ายด้วยระบบอัตโนมัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อัลตราบรอดแบนด์ 5.5G จะเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่โลกอัจฉริยะ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรม รวมถึงองค์กรที่กำหนดมาตรฐานการใช้งาน หน่วยงานกำกับดูแล ผู้ปฏิบัติงาน และผู้จำหน่ายอุปกรณ์ จะต้องร่วมมือกันผลักดันเทคโนโลยีอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G สร้างเครือข่าย 5.5G และพัฒนาอีโคซิสเต็ม 5.5G ที่แข็งแกร่งไปพร้อมกัน เราจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าและมุ่งหน้าอย่างมั่นคงสู่ยุคอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G ร่วมกัน” นายเดวิด หวัง กล่าวย้ำ

ทั้งนี้ สี่ปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมต้องดำเนินการร่วมกันเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G  จะประกอบไปด้วย

ประการแรก การกำหนดมาตรฐานใหม่และบรรลุฉันทามติทั่วทั้งอุตสาหกรรม

สถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมยุโรป (ETSI) เริ่มสร้างมาตรฐานของ F5G Advanced ด้วยมาตรฐาน Release 3 และสมุดปกขาว ETSI: Fixed 5th Generation Advanced and Beyond ที่ได้รับการปรับปรุงโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใยแก้วนำแสงถูกเผยแพร่ในเดือนกันยายนพ.ศ. 2565 และภายในปีพ.ศ. 2568 ที่อยู่อาศัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ใยแก้วนำแสงจะได้รับการปรับตามมาตรฐาน

ในส่วนของอุตสาหกรรมการเชื่อมต่อข้อมูล (IP) หัวเว่ยเผยแพร่สมุดปกขาว Net5.5G ระหว่างการประชุมครั้งนี้ โดยมีแนวคิดว่าภายในปี พ.ศ. 2566 Net5.5G จะเพิ่มอัตราการรับส่งข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี SRv6 แบบครบวงจร และภายใน พ.ศ. 2568 เครือข่าย IP น่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการประมวลผลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะมอบประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายและการรับประกันบริการที่ดีขึ้นสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม

ประการที่สอง ร่วมส่งเสริมมาตรฐานการใช้งานตลอดการใช้งานผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การใช้งาน และการดำเนินงาน

เทคโนโลยี GPON, 10G PON และ 50G PON Combo จะรองรับเครือข่าย ODN ของผู้ให้บริการ และทำให้การอัปเกรดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สถาปัตยกรรม C-WAN จะสามารถนำมาใช้งานได้บนเครือข่าย FTTR ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความเร็วระดับกิกะบิต Gbit/s ให้เสถียรทั่วทั้งบ้าน และลดเวลาบริการข้ามเครือข่ายให้น้อยกว่า 20 มิลลิวินาที

ในการส่งสัญญาณด้วยใยแก้วนำแสง สเปกตรัมสำหรับเครือข่าย 400G WDM จะเพิ่มขึ้นจาก 8 THz เป็น 12 THz โดยเพิ่มความยาวคลื่นมากขึ้นถึง 50% และทำให้ศักยภาพการส่งสัญญาณสูงถึง 100T ในส่วนของเทคโนโลยี metro WDM ซึ่งเป็นเทคโนโลยี WDM ใหม่ที่รวมความยาวคลื่นไว้ด้วยกัน จะเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการใช้งานได้อย่างมาก และสนับสนุนการทำงานของเทคโนโลยี WDM ที่ไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ

ในด้าน IP Wi-Fi 7 เทคโนโลยี CO-SR และ CO-OFDMA จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานระหว่างจุดเชื่อมต่อต่างๆ และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานทั้งเครือข่าย ซึ่งจะต้องการการสนับสนุนจากเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น UL OFDMA และ UL MU-MIMO เพื่อให้การเชื่อมต่อมีเสถียรภาพ เทคโนโลยี APN6 และ SRv6 ยังช่วยตรวจจับประสิทธิภาพการประมวลผลและข้อกำหนดการใช้งานและประมวลทรัพยากรระบบคลาวด์ เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยี IP แบบ deterministic จะช่วยลดการรบกวนระหว่างการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก และลดความล่าช้าของสัญญาณบนเครือข่าย IP ให้เหลือน้อยกว่า 20 ไมโครวินาที

ประการที่สาม เปิดตัวการใช้งานอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G อย่างรวดเร็วขึ้น โดยการพัฒนานโยบายและเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

มาตรฐานและเทคโนโลยีใหม่สามารถสร้างมูลค่าได้รวดเร็วขึ้นเมื่อมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลควรปรับใช้นโยบายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการออกกลยุทธ์ด้านเครือข่ายในระดับประเทศ นโยบายเทคโนโลยีใยแก้วนำแสงและมาตรฐานการก่อสร้าง เพื่อเร่งการใช้งานเครือข่ายกิกะบิต FTTH จะทำให้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตใยแก้วสามารถเข้าถึงทุกห้องในบ้านทุกหลัง

ผู้ให้บริการก็มีบทบาทสำคัญในการร่วมผลักดันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ด้วยการกำหนดสถาปัตยกรรมเครือข่ายเป้าหมายสำหรับปีพ.ศ. 2568 และ พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ยังต้องเร่งการเปิดตัวเครือข่าย FTTH และ FTTR, เปิดใช้งานเทคโนโลยี metro WDM เพื่อเข้าถึงไซต์, อัปเกรดเครือข่าย IP เป็นเครือข่าย SRv6 และการใช้งานเทคโนโลยี 400G และ 800G สำหรับการส่งข้อมูลและเครือข่าย IP

ประการที่สี่ ค้นหาการประยุกต์ใช้งานใหม่ ๆ และฟูมฟักอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่ง

ผู้เล่นในอุตสาหกรรมและพันธมิตรในอีโคซิสเต็มต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาศักยภาพสูงสุดของอัลตราบรอดแบนด์ 5.5G เพราะเทคโนโลยีนี้จะสามารถรองรับศักยภาพการใช้งานที่เหนือระดับ และเมื่อบรรลุความเร็วระดับ 10 กิกะบิตต่อวินาที (10 Gbit/s) ทุกหนทุกแห่ง การเล่นเกมบน MetaVerse และการโต้ตอบแบบเรียลไทม์จะได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ การสำรวจหานวัตกรรมจะดำเนินต่อไปสำหรับสถานการณ์การใช้งานในแคมปัส เช่น สำนักงานเสมือนจริงและสำนักงานที่มาพร้อมเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และบริการสำหรับองค์กรขนาดเล็ก เช่น เครือข่าย Wi-Fi แบบครบวงจร หัวเว่ยเน้นการสร้างพันธมิตรระหว่างอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและบริษัทอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเครือข่ายเชิงกำหนด และการเชื่อมต่อที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัวในอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยฟูมฟักการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมแบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่อระดับองค์กรบนระบบมัลติคลาวด์

มาตรฐานนี้ยังเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอัลตราบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการ FTTH ใหม่กว่า 790 ล้านคน และในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ผู้ใช้ 100 ล้านคนเริ่มใช้บริการกิกะบิต และในปีที่ผ่านมา บริการ FTTR ก็มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นอีกราวหนึ่งล้านคน

นอกจากนี้องค์กรต่าง ๆ ยังใช้งานเครือข่ายส่วนตัว OTN คุณภาพสูงประมาณ 50,000 สาย คลาวด์ส่วนตัว อีก 600,000 สายและจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 กว่า 27 ล้านจุดทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นจากเครือข่าย 400G WDM 130 แห่ง เทคโนโลยี ROADM แบบออปติคัลทั้งหมดกว่า 15,000 รายการ และเครือข่าย IP ที่รองรับ SRv6 กว่า 100 เครือข่ายที่เปิดตัวแล้วทั่วโลก

พล.อ.ต. ดร.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้เกียรติขึ้นกล่าวปาฐกถาในงาน

ด้าน พล.อ.ต. ดร.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังได้ให้เกียรติขึ้นกล่าวในงาน Ultra-Broadband Forum 2022 ว่า “ผมขอกล่าวขอบคุณ บริษัท หัวเว่ย และ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ที่ได้จัดงานในครั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมของทุกอุตสาหกรรมโดยรวม หลังจากเกิดวิกฤตโควิด-19 เทคโนโลยีดิจิทัลก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่ผ่านมา กสทช. ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความพร้อมในการรองรับการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายบรอดแบรนด์เพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล และเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย โดยในปี พ.ศ. 2566 แผนการพัฒนาของเราจะมุ่งเน้นไปที่เรื่อง “กิกะไทยแลนด์” ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย โดย กสทช. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมที่สำคัญของประเทศไทย จะมุ่งมั่นสร้างคุณค่าทางเทคโนโลยีและคุณค่าทางสังคมให้กับสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนนโยบาย “Thailand 4.0” ของประเทศให้เป็นจริง เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับภาคเศรษฐกิจไทย และเราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อการก้าวไปสู่ยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล”

นายเจ้า ฮู้หลิน เลขาธิการ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ระหว่างการกล่าวปาฐกถาในงาน

นอกจากนี้ นายเจ้า ฮู้หลิน เลขาธิการ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ยังได้กล่าวในงานเดียวกันนี้ว่า “เปิดงาน Ultra-Broadband Forum 2022 เป็นงานที่นำพันธมิตรระดับโลกมารวมกันทุกปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน และส่งเสริมความยั่งยืนของเครือข่ายบรอดแบนด์ในระบบนิเวศ สำหรับงานครั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณ หัวเว่ย และพันธมิตรทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด ซึ่งในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที รวมถึงยกระดับการลงทุนด้านไอซีทีของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาให้ชุมชนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบริการด้านไอซีทีได้ ผมขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนหน่วยงาน องค์กร และผู้ที่เกี่ยวข้องด้านไอซีทีทุกฝ่าย ให้ร่วมกันเร่งขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงถึงกันมากยิ่งขึ้น”

เร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

X

Right Click

No right click