หัวเว่ย ดิจิทัลพาวเวอร์มุ่งผลักดันพลังงานสะอาดในประเทศไทย ตอบรับแผนกระทรวงพลังงาน เร่งผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย

 บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดโครงการประจำปี “Seeds for the Future 2021” ขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ฝึกฝนทักษะด้านไอซีที และให้นิสิตนักศึกษาที่มีความสามารถได้ค้นพบศักยภาพที่แท้จริงของตน ผ่านโปรแกรมการฝึกอบรมภาคปฏิบัติกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม โดยมีพิธีปิดงานและพิธีมอบประกาศนียบัตรได้รับเกียรติจากนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นประธานในพิธีฯ

 

ในปี 2564 นี้ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวน 15 คน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.), สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยรังสิต ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมในโครงการ โดยตลอดหลักสูตรได้มีนักศึกษาจากประเทศอุซเบกิสถาน และเบลารุส เข้าร่วมในชั้นเรียนออนไลน์พร้อมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมระหว่าง 3 ประเทศ

 

คอร์สฝึกอบรมแบบเร่งรัดในระยะเวลา 8 วัน ประกอบด้วยหลักสูตรไอซีทีที่ถ่ายทอดสดมาจากสำนักงานใหญ่ของหัวเว่ยในเซินเจิ้น ประเทศจีน รวมถึงคลาสแบบออฟไลน์ที่จัดขึ้นที่สำนักงานของหัวเว่ย ประเทศไทย เช่นการเยี่ยม

ชมศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) การจัดเวิร์กช็อปเขียนพู่กันจีนและศึกษาตัวอักษรภาษาจีน ทำให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมจีนมากขึ้น พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมไอซีทีในประเทศของเพื่อนต่างชาติร่วมชั้นเรียน

 

การอบรมและเนื้อหาในหลักสูตรโครงการนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญของหัวเว่ย โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะของนิสิตนักศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการทำงานทั้งในและต่างประเทศ นอกเหนือจากหลักสูตรออนไลน์ในหัวข้อ 5G, IoT, AI และคลาวด์ คอมพิวติ้ง นิสิตนักศึกษาผู้เข้าร่วมยังได้มีโอกาสร่วมกันระดมความคิดสร้างสรรค์และทำโปรเจ็กต์กลุ่ม “TECH4Good” ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อร่วมกันพัฒนาสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ นอกจากนี้นิสิตนักศึกษาที่ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรจากหัวเว่ยเพื่อเป็นหลักฐานการสำเร็จหลักสูตร

 

หลักสูตรนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมและทิศทางของวงการไอซีทีในอนาคต เนื้อหาที่เราได้เรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและทักษะต่าง ๆ นั้นจัดทำขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญจริงที่ตั้งใจถ่ายทอดความรู้เชิงลึกที่หาไม่ได้ที่ไหน รวมไปถึงเวิร์คช้อปการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การไปเยี่ยมชมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และโครงการ TECH4Good ที่แสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีไปปรับใช้เพื่อยกระดับคุณภาพของสังคมในด้านต่าง ๆ ช่วยให้เราสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตการทำงานจริง ดิฉันมั่นใจว่าความรู้และทักษะที่ได้จากโครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพในการทำงานและเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่พวกเรา ต้องขอขอบคุณหัวเว่ยที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบโครงการ Seeds for the Future นี้ขึ้นมา” นางสาวพัชรินทร์ บุญสมเชื้อ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตัวแทนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Seeds for The Future กล่าว

 

ระหว่างพิธีมอบประกาศนียบัตร นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีว่า “หนึ่งในภารกิจหลักของกระทรวงฯ คือการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน และด้วยการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เราจึงได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลคุณภาพสูงและส่งเสริมการพัฒนาอีโคซิสเต็มดิจิทัลที่ครอบคลุมสำหรับทุกคน” พร้อมเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม รากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในปัจจุบัน แท้จริงแล้วคือการพัฒนาบุคลากรไอซีที กระทรวงฯ เชื่อว่าการศึกษาเชิงปฏิบัตินั้นสร้างประโยชน์มากมายแก่ผู้เรียนเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน เราจึงพร้อมสนับสนุนโครงการพัฒนาศักยภาพบุคคลอย่าง “Seeds for the Future” ของหัวเว่ยอย่างเต็มที่ตลอดมา ดิฉันขอขอบคุณหัวเว่ยที่ได้ ร่วมทุ่มเท เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร จนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีความสามารถ และการมีส่วนร่วมของหัวเว่ยในการช่วยขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ประเทศไทย 4.0 อย่างเต็มความสามารถตลอดมา” นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวสรุป

 

หัวเว่ยมีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านไอซีที ภายใต้พันธกิจ ‘Grow in Thailand, Contribute to Thailand’ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคนี้ โครงการ Seeds for the Future ซึ่งริเริ่มขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2551 เราได้ร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรมไอซีทีให้แก่คนรุ่นใหม่มาโดยตลอด และด้วยประสบการณ์ระดับโลกในด้านไอซีทีกว่าหลายสิบปี เราจะร่วมเดินหน้าพัฒนาหลักสูตรดิจิทัล ให้ความรู้ในห้องเรียนสอดคล้องกับทักษะสำหรับการทำงานในชีวิตจริง เราพร้อมจับมือกับภาครัฐและพันธมิตร เพื่อยกระดับแรงงานดิจิทัลที่จะเข้ามาพลิกโฉมประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน” นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย ประเทศไทย กล่าวสุนทรพจน์ระหว่างพิธีปิดงาน

 

 

 

 

กรุงเทพฯ/ 27 ตุลาคม 2564 - หัวเว่ย ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสมาร์ทดีไวซ์ ประกาศเปิดตัวโครงการ Huawei ICT Competition 2021 - 2022 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้ธีม “Connection, Glory, Future” ซึ่งเริ่มขึ้นพร้อมกันในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรไอซีทีให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น

 โครงการ Huawei ICT Competition ซึ่งริเริ่มขึ้นในปี 2558 เป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถของนิสิตนักศึกษาด้านไอซีทีทั่วโลก เพื่อคัดสรรและบ่มเพาะผู้ที่มีความสามารถในด้านดังกล่าว และจัดคอร์สฝึกอบรมระดับโลกรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจัดขึ้นร่วมกับหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ (Huawei ICT Academy) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษากับองค์กร เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญคุณภาพสูง

ทางด้านไอซีทีให้มีจำนวนมากขึ้น การแข่งขันด้านไอซีทีนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมได้มีร่วมประลองทักษะในการแข่งขันชั้นนำ พัฒนาความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนพัฒนาต่อยอดความรู้เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรไอซีที กิจกรรม Huawei ICT Competition ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต (Seeds for the Future)” ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมของหัวเว่ย ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านไอซีทีในประเทศ และเชื่อมโยงการสื่อสารระหว่างประเทศและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน

 การแข่งขัน Huawei ICT Competition 2021-2022 ในประเทศไทย ประกอบด้วยการแข่งขันหลายรอบ โดยนิสิตนักศึกษาที่มีความสนใจและมีพื้นฐานด้านไอซีที สามารถรวมกลุ่มและลงทะเบียนสมัครเป็นทีม ๆ ละ 3 คน และเริ่มศึกษาด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเทคโนโลยีด้านเน็ตเวิร์ก เช่น ดาต้าคอม หรือเทคโนโลยีด้านคลาวด์ เช่น คลาวด์ เซอร์วิส กิจกรรมทั้งหมดจะจัดขึ้นตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ทีมที่ชนะจะมีโอกาสลุ้นรับรางวัลสุดพิเศษ รวมถึงทริปเดินทางเพื่อพัฒนาความรู้ด้านไอซีที เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านวัฒนธรรม ตลอดจนถึงโอกาสในการทำงานที่หัวเว่ย

 

         หมายเหตุ: ตารางข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ

นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย ประเทศไทย กล่าวว่า “Huawei ICT Competition ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเฟ้นหาพันธมิตรรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลของประเทศในอนาคต ประเทศไทยได้กลายเป็นผู้นำในการเปิดให้บริการ 5G ในภูมิภาคอาเซียน และแรง

หนุนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาทางด้านดิจิทัลก็คือรากฐานด้านบุคลากรที่แข็งแกร่ง หัวเว่ยได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรดิจิทัลอย่างต่อเนื่องผ่านแพลตฟอร์มความร่วมมือและโครงการต่าง ๆ อย่างเช่นโครงการนี้ ในขณะที่ไอซีทีได้เติบโตไปสู่ทุกอุตสาหกรรมและกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญในการพัฒนาและสร้างความก้าวหน้าทางสังคม”

 นอกเหนือจากการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นของบุคลากรด้านดิจิทัลในเวทีระดับโลกแล้ว โครงการ Huawei ICT Competition ยังเป็นโอกาสในการตอกย้ำคำมั่นที่จะทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นอีกด้วย หัวเว่ย ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ร่วมเดินหน้าสำรวจแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเทคโนโลยีไอซีที พัฒนาบุคลากร และลดช่องว่างด้านความขาดแคลนบุคลากรในสาขานี้ นอกจากนี้ บริษัทยังเดินกลยุทธ์ในการร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเวทีที่เปิดกว้างและสร้างโอกาสใหม่ ๆ อย่างมั่นคง ซึ่งท้ายที่สุดจะสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบ

 นิสิตนักศึกษาที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://e.huawei.com/en/talent/#/news/details?consultationId=1483 และลงทะเบียนได้ที่นี่

 

-จบ-

นายเดวิด หวัง กรรมการบริหารและประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางด้าน ไอซีทีของหัวเว่ย ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “เส้นทางของมือถือแห่งปี 2030: 10 เทรนด์ของอุตสาหกรรมเครือข่ายไร้สาย” (Roads to Mobile 2030: 10 Wireless Industry Trends)

โดยไมเคิล แมคโดนัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล และที่ปรึกษาผู้บริหาร หัวเว่ย เอเชีย-แปซิฟิก

ในยุคที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ภาคการผลิต รวมถึงภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด การผนวกรวมเทคโนโลยีระบบ 5G AI และคลาวด์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้เกิดการประยุกต์ใช้งานมากมายที่สามารถแก้ไขอุปสรรคความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งต้องเผชิญกับการควบคุมคุณภาพ ปัญหาต้นทุนสูงในการซ่อมบำรุงเครื่องจักร ความเสถียรในการเชื่อมต่อ ความปลอดภัยของข้อมูล และค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น บัดนี้ ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านแล้ว

ปี พ.ศ. 2563 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทยมีมูลค่าต่ำกว่า 16 ล้านล้านบาท ซึ่งกว่าร้อยละ 30 มาจากกลุ่มอุตสาหกรรม การใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศคิดเป็นร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย โดย ประมาณการว่าภาคอุตสาหกรรมจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายด้าน ICT สูงสุดในปี พ.ศ. 2564 กล่าวคือ สูงกว่าภาคการเงินร้อยละ 20 และสูงกว่ากลุ่ม ICT ถึงร้อยละ 80

ขณะที่กระแสส่วนใหญ่ของการลงทุนในส่วนนี้จะเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจแบบดั้งเดิมไปสู่ระบบดิจิทัล โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ของคลาวด์ บิ๊กดาต้า (big data) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีรากฐานที่สำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่มีความคล่องตัว สำคัญต่อการปฏิบัติงาน และสอดคล้องกับข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA)

เทคโนโลยี 5G เป็นการผสานองค์ประกอบสำคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น ค่าความหน่วง (latency) ในการรับส่งข้อมูลแบบต่ำเป็นพิเศษเพื่อการควบคุมแบบเรียลไทม์ การเชื่อมต่อจำนวนมากที่มีความยืดหยุ่นสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ผ่าน IoT การจำแนกเครือข่ายจำลองให้มีความปลอดภัยและรองรับระบบคอมพิวเตอร์แบบเอดจ์ (edge computing) ไร้สายเพื่อการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เครือข่ายไร้สายที่จะสามารถสื่อสารผ่านอุปกรณ์มือถือผ่านระบบการสื่อสารในระดับองค์กรธุรกิจที่มีความเชื่อถือได้ เพื่อสนองตอบความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่มในแนวดิ่ง (vertical industries)

ในประเทศจีน ได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้ระบบ 5G ในโรงงานต่างๆ แล้วกว่า 200 แห่ง และนำมาซึ่งคุณประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อผลการดำเนินงานและต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริษัท Midea ซึ่งนำระบบ 5G มาใช้แทนเครือข่ายไร้สายแบบเดิมสำหรับรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (AGVs) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบงานโลจิสติกส์ได้ถึงร้อยละ 8 และลดต้นทุนดำเนินงานและซ่อมบำรุง (O&M) ถึงร้อยละ 10 จากการเชื่อมต่อที่มีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น ส่วนที่บริษัท IKD ซึ่งเป็น ผู้จัดหาชิ้นส่วนอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปสำหรับรถยนต์ที่มีการใช้งานถึงร้อยละ 70 ของปริมาณรถยนต์ทั้งหมด ก็ได้นำระบบ 5G มาใช้แทนระบบสายเคเบิลที่มีความยาวกว่า 10 กิโลเมตร ซึ่งใช้เดินสายเชื่อมต่อเครื่องจักรกว่า 600 เครื่อง เพื่อลดต้นทุนการซ่อมบำรุงสายเคเบิลลงได้เกือบเป็นศูนย์ และเพิ่มอัตราผลตอบแทนผลิตภัณฑ์ (product yield rate) ขึ้นร้อยละ 10

ขณะที่ระบบ 5G สำหรับภาคการผลิตยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ปัญหาสำคัญเห็นได้ง่ายมากเพราะกลุ่มผู้ผลิตในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ และอื่นๆ ต่างพยายามหาหนทางที่จะฟื้นตัวจากภาวะซบเซาในปี พ.ศ. 2563 เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลิตภาพ และลดต้นทุน โครงสร้างพื้นฐานระบบ 5G จะช่วยวางรากฐานการให้บริการที่มีความคล่องตัวและเชื่อถือได้ ทั้งยังเป็นย่างก้าวสำคัญที่เบิกทางไปสู่การนำไปประยุกต์ใช้ที่น่าสนใจในภาคการผลิต

วิทยาการหุ่นยนต์ระบบ 5G ในสายการผลิตต่างๆ นับเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตเป็นอย่างมาก และสามารถนำไปใช้งานได้ทันทีเพื่อรองรับการผลิตแบบต่อเนื่องและลดค่าแรง ระบบหุ่นยนต์อุตสาหกรรมได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักในโรงงานผลิตต่างๆ ที่มีความต้องการผลิตสินค้าปริมาณมาก มีกระบวนการทำงานซ้ำๆ และต้องการความถูกต้องแม่นยำสูง เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ อาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสามกลุ่มกิจการจากสี่ภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในไทย เมื่อมีการใช้แขนกลที่ถูกโปรแกรมสำหรับกระบวนการทำงานอุตสาหกรรม เช่น สายงานเชื่อม ขนถ่ายวัสดุ บรรจุภัณฑ์ และสายงานประกอบ ระบบวิทยาการหุ่นยนต์จึงจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อความเร็วสูง มีเสถียรภาพ และมีความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำ เพื่อรองรับความคล่องตัวและความต่อเนื่องในกระบวนการทำงานอัตโนมัติ

การบำรุงรักษาทางอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G AR เป็นการใช้เทคโนโลยีคลาวด์แบบโลกเสมือนจริง (Augmented Reality) ในงานซ่อมบำรุงทางอุตสาหกรรม และใช้กล้องที่มีความคมชัดสูงเป็นพิเศษผ่านการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่มีค่าความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำมาก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การซ่อมบำรุงสำหรับผู้เชี่ยวชาญจากพื้นที่ระยะไกล จากการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศ ความยุ่งยากจากการใช้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาที่เครื่องจักรเสีย การบำรุงรักษาทางอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G AR จะช่วยอำนวยความสะดวกในงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรได้ทันทีโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปฏิบัติงานได้จากพื้นที่อื่น

นิคมอุตสาหกรรมระบบ 5G จัดให้มีระบบเข้าใช้งานแบบไร้สายประจำที่สำหรับการใช้งานส่วนตัว และรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่มีความน่าเชื่อถือและมีค่าความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำ เพื่อใช้เป็นโซลูชันอัจฉริยะสำหรับการผลิตผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ในระบบ 5G โดยเฉพาะที่ใช้ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายให้บริการแก่ผู้ผลิต นิคมอุตสาหกรรมระบบ 5G จะทำให้โครงสร้างพื้นฐานไร้สายแบบผสมผสานในระบบเดียวกันมีความมั่นคงปลอดภัย รองรับความต้องการของผู้ผลิตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้เป็นอย่างดี

รถยกควบคุมระยะไกลด้วยระบบ 5G ใช้กล้องระดับ 4K และการเชื่อมต่อความเร็วสูงในการควบคุมการทำงานแบบเรียลไทม์สำหรับรถยกที่ควบคุมจากห้องปฏิบัติงานระยะไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนำไปใช้งานในคลังสินค้าเพื่อยกอุปกรณ์หรือสินค้าคงคลังต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัด เช่น ห้องเย็นสำหรับเก็บอาหาร และพื้นที่อันตรายต่างๆ รถยกด้วยควบคุมระยะไกลด้วยระบบ 5G ที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายความเร็วสูงที่มีค่าความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น

 ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการหุ่นยนต์ระบบ 5G สำหรับสายการผลิตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การบำรุงรักษาทางอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G AR สำหรับงานซ่อมบำรุงทางอุตสาหกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงทีที่จะทำให้มีช่วงเวลาเครื่องจักรเสียเพียงสั้นๆ นิคมอุตสาหกรรมระบบ 5G ที่รองรับเครือข่ายที่มีความยืดหยุ่น มั่นคงปลอดภัย และมีความเสถียร หรือรถยกควบคุมระยะไกลระบบ 5G ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความปลอดภัย การประยุกต์ใช้งานทั้ง 4 กรณีตัวอย่างที่กล่าวมานั้นสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดได้ ที่จริงแล้ว การคาดการณ์ในปี พ.ศ. 2568 แสดงให้เห็นว่า เฉพาะ 4 กรณีตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานระบบ 5G จะสามารถสร้างรายได้ในภาคบริการเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.4 พันล้านบาท

เพื่อผลักดันให้มีการประยุกต์ใช้งานระบบ 5G และพัฒนาระบบนิเวศที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในประเทศไทย หัวเว่ยจึงจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมระบบนิเวศ 5G (5G Ecosystem Innovation Center) ขึ้น ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) แห่งนี้เป็นการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับศูนย์ฯ Open Labs ในประเทศจีน และทั่วโลก และได้ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้งานและการถ่ายทอดองค์ความรู้จากพันธมิตรทั่วโลก ศูนย์ 5G EIC เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ มีพันธมิตรกว่า 70 ราย ทั้งยังเป็นศูนย์ฯ บ่มเพาะนวัตกรรม 5G และทดสอบแพลตฟอร์มการให้บริการต่างๆ

ความพร้อมของระบบนิเวศ 5G ในประเทศไทยแสดงให้เห็นด้วยว่า ถึงเวลาแล้วที่จะมีการกำหนดระเบียบและนโยบายเพื่อเร่งรัดการนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและสารสนเทศรูปแบบใหม่มาประยุกต์ใช้งานจริง ซึ่งสอดรับกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ และพลเมืองอัจฉริยะ จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนและสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ระบบอุตสาหกรรม 4.0 อย่างครบวงจรภายในปี พ.ศ. 2570

ในส่วนของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย (EEC) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย และเป็นภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด รัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี 5G ไปประยุกต์ใช้งาน และช่วยยกระดับ EEC ไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับแนวหน้าสำหรับการวิจัยและพัฒนา และการนำระบบอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ ตลอดจนระบบอัจฉริยะต่างๆ ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ต่อไป

ในฐานะที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการผลิตมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ แนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประเทศไทยไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างครบวงจรภายในปี พ.ศ. 2570 จะเกิดขึ้นได้ด้วยการพัฒนานโยบายและระบบนิเวศ 5G ที่มีประสิทธิภาพเพื่อการนำไปประยุกต์ใช้งาน EEC จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นำโดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปอาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ ยกระดับภาคการผลิตในประเทศไทย ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศรูปแบบใหม่ และผลักดันอุตสาหกรรม 4.0 ทั่วประเทศ

# # #

X

Right Click

No right click