เดินเกมรุกชูดีไซน์แฟชั่นระดับไฮเอนด์พร้อมเทคโนโลยียกระดับไลฟ์สไตล์สมาร์ทกว่าเคย

ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนวัตกรรมดิจิทัลล้ำยุคอย่าง AI ถูกนำมาใช้โดยหน่วยงานภาครัฐและอุตสาหกรรมต่างๆ กันมากขึ้น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้มาใช้งานในหลากหลายรูปแบบ นำไปสู่ประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอดยิ่งขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันยังก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางดิจิทัล และกลายเป็นกุญแจหลักในการขับเคลื่อนและบ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต คำถามที่ตามมาคือ นวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกบ้าง และประเทศไทยพร้อมจะใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีเหล่านี้หรือยัง

ภายในงานสัมมนาหัวข้อ “การขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม” (Innovation Driving Thai for the New Future) เมื่อเร็วๆ นี้ นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนวัตกรรมที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยว่า “จากผลวิจัยโดยองค์กรอิสระด้านการวิจัย เมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่าภาคอุตสาหกรรม เช่น สุขภาพ การศึกษา การบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และการธนาคาร จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากนวัตกรรมอย่าง AI ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มอีกกว่า 2.6 ถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐให้กับจีดีพีโลก ดังนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมต่อนวัตกรรมเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศยิ่งขึ้น หลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ได้บูรณาการ AI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของประเทศให้ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพทางการผลิตที่เพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับการส่งเสริมการเติบโตในด้านใหม่ๆ ให้กับประเทศ และประเทศไทยก็สามารถเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ผลิตเทคโนโลยีระดับสูงในภูมิภาคนี้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากประเทศที่ต้องการบรรลุเป้าหมายไปสู่ยุคอัจฉริยะแห่งอนาคต สิ่งแรกที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญคือ กระบวนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีและบุคลากร ทั้งนี้ แม้ว่าสังคมไทยจะเปิดรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้ แต่ประเทศไทยกลับมีบริษัทและสำนักงานเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว”    

จากรายงานสมุดปกขาวเกี่ยวกับบุคลากรทางด้านดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2565 (Thailand National Digital Talent White Paper 2022) พบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนชาวไทยในโลกดิจิทัลมีอัตราสูงถึง 68 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่างๆ รวมไปถึงความนิยมในการใช้งานโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม มีประชากรเพียง 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำงานหรือในสถานที่ทำงาน และมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถสร้างเครื่องมือดิจิทัลได้เองหรือสามารถพัฒนา use case ใหม่ๆ ได้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงห่างจากเกณฑ์มาตรฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่มาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย รวมถึงบุคลากรของประเทศยังต้องการการพัฒนาศักยภาพอีกมาก ในส่วนของเทคโนโลยี AI จากข้อมูลสถิติระดับโลกพบว่า ผู้ใช้งาน AI สามารถสร้างรายได้โดยเฉลี่ยปีละ 5,000 ถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ผู้สร้าง AI สร้างรายได้ที่สูงกว่ามาก โดยเฉลี่ยปีละ 30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนวัตกรรมอื่นๆ เช่น 5G และคลาวด์ มีจำนวน use case ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการในหลากหลายอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังช่วยลดต้นทุนด้านการดำเนินงานได้มหาศาล พร้อมๆ กับช่วยให้หลายๆ ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าทุกประเทศจำเป็นต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีที่คล่องตัวและสอดประสานกัน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านแบบอัจฉริยะที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการลงทุนในระบบนิเวศด้านดิจิทัล และการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลให้กับประเทศ

นายเดวิด หลี่ อธิบายเพิ่มเติมว่า “หัวเว่ยได้กำหนดปัจจัยหลัก 4 ประการเพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะแห่งอนาคต ประกอบด้วย ข้อมูล ระบบโครงสร้างพื้นฐาน อีโคซิสเต็ม และบุคลากร เรามุ่งพัฒนาทั้งสี่ปัจจัยนี้ด้วยการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการรวบรวมข้อมูลและระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลแบบบูรณาการ ผ่านการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมข้อมูลและเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทย นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมุ่งสนับสนุนอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลของประเทศไทย ด้วยการผนึกกำลังกับสตาร์ทอัพด้านดิจิทัลกว่า 100 บริษัท และพันธมิตรด้านเทคโนโลยีคลาวด์ในประเทศอีกกว่า 300 แห่ง รวมถึงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลในอนาคตให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ เรามองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศต้องการที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาในอนาคตผ่านนวัตกรรม ทั้งนี้ จากโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่เราดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการฝึกอบรมบุคลากรทางด้านดิจิทัลไปแล้วกว่า 70,000 คน และวางแผนที่จะบ่มเพาะนักพัฒนาซอฟท์แวร์ในด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์ เพิ่มอีก 20,000 คน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านบุคลากรดิจิทัลของภูมิภาคในอนาคต”            

ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีไอซีทีที่มีประสบการณ์กว่า 24 ปีในไทย หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดให้กับไทย พร้อมกับการบ่มเพาะบุคลากรทางด้านดิจิทัลและการลงทุนในศูนย์ข้อมูลภายในประเทศ และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จากการผนึกกำลังร่วมกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภายในท้องถิ่น หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ “Pangu AI Model” ที่สามารถนำมาบูรณาการเข้ากับโมเดลพยากรณ์อากาศ โดยความร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยา โมเดล ‘Pangu Meteorology’ หรือ โซลูชัน ผานกู่ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแม่นยำมากกว่าเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศแบบดั้งเดิมถึง 20% ช่วยให้เตรียมความพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงได้ดียิ่งขึ้น และลดความสูญเสียลงได้มาก      

นายเดวิด หลี่ กล่าวสรุปว่า “หัวเว่ย จะยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย สอดรับกับความตั้งใจของรัฐบาลไทย นอกเหนือจากโครงการที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนแล้ว เราเชื่อว่าการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบายและการลงทุน จะนำไปสู่การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอันแข็งแกร่ง ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความอัจฉริยะและเอื้อประโยชน์ในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เติบโตไปพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมและสังคมดิจิทัลของประเทศไทย และมีความตั้งใจเสมอมาที่จะสนับสนุนประเทศชาติในการบรรลุศักยภาพทางด้านดิจิทัล สอดคล้องกับพันธกิจของเราในการเดินหน้าสร้างคุณค่าและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์”                      

พร้อมเปิดตัวสมาร์ทชาร์จเจอร์ตอบโจทย์ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

พลังงานแสงอาทิตย์ คือพลังงานที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุด ในช่วงเวลาที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญกับอนาคตสีเขียวและแหล่งพลังงานทดแทนมากขึ้น ทำให้หลายองค์กรในหลากอุตสาหกรรมหันมาเลือกใช้เทคโนโลยี “โซลาร์เซลล์” เพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ทดแทนการใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าในรูปแบบเดิม ที่เริ่มกลายเป็นต้นทุนของการดำเนินการที่สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการประกอบกิจการแทบทุกรูปแบบ ทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจด้านการบริการต่าง ๆ ไปจนถึงธุรกิจประเภทศูนย์สรรพสินค้าที่ใช้ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมากในแต่ละวัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้บริการในสถานที่ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เทคโนโลยีด้านพลังงานดิจิทัลจึงกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนที่องค์กรหันมาให้ความสำคัญและลงทุนติดตั้ง เพื่อประยุกต์ใช้พลังงานทดแทนอย่างเต็มที่ โดยหวังให้อนาคตของทั้งองค์กรและคุณภาพชีวิตของประชากรไทยมีความความยั่งยืนไปด้วยกัน

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจคือโครงการของศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ โดยดร. พรต ซอโสตถิกุล รองกรรมการผู้จัดการสำนักปฎิบัติการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จของศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ในการนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาใช้ใน ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์​ สาขาศรีนครินทร์ และสาขาบางแค ว่า “ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราพยายามมองหาว่าเราจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนไหนลงได้บ้าง ซึ่งเมื่อดูจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราใช้ในการดำเนินธุรกิจ เราพบว่าค่าไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีสัดส่วนสูงกว่าค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เราจึงเริ่มหาทางลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ โดยการเปลี่ยนหลอดไฟในศูนย์การค้าทั้งหมดให้เป็น LED และอื่น ๆ ซึ่งสุดท้ายก็ลดค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เราจึงเริ่มหันมาศึกษาเรื่องเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ เพราะเห็นหลายประเทศเริ่มใช้งานกันแล้ว” ทำให้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์สามารถช่วยให้ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์​ สาขาศรีนครินทร์ ประหยัดไฟไปได้ 47 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ สาขาบางแค สามารถประหยัดไฟลงไปได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ของสาขาศรีนครินทร์”

เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าภายหลังการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ผลที่ได้คือสามารถลดค่าไฟได้มากถึง 15-17% ในศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ทั้ง 2 สาขา ทำให้ในอนาคตทางบริษัทยังมีแผนที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ซีคอนสแควร์​ ศรีนครินทร์ เพิ่มขึ้นอีก 1 เมกะวัตต์ รวมกับของเดิมกลายเป็น 6 เมกะวัตต์ และจะติดตั้งเพิ่มเติมให้กับบริษัทในเครือ ไม่ว่าจะเป็นนันยาง เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา ไทยชูรส ฯลฯ ซึ่งความสำเร็จในการลดการใช้ปริมาณไฟฟ้าเปรียบได้กับการปลูกต้นไม้หลายแสนต้น ทำให้ทาง ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ กลายเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ตอบแทนสังคมด้วยการรักษาทรัพยากรธรรมชาติผ่านการใช้เทคโนโลยี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon
Emission) เพื่อรักษาวัฏจักรธรรมชาติตอบรับกับเทรนด์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

“เราตั้งใจทำสิ่งดี ๆ ไว้ก่อนอย่างน้อยก็ถือเป็นตัวอย่าง เราเชื่อว่าเดี๋ยวในอนาคตก็จะมีคนทำตามเอง ซึ่งตอนนี้ก็มีศูนย์สรรพสินค้าและองค์กรอื่น ๆ ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาโครงการการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ของซีคอนสแควร์มากขึ้น ซึ่งเราเองก็สนับสนุนให้ทุกฝ่ายหันมาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกวิธี เพราะมันมีประโยชน์ต่อทุกฝ่ายมากจริง ๆ อีกไม่นานองค์กรบางแห่งอาจหันมาใช้แบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อกักเก็บไว้สำหรับใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการใช้พลังงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีต้นทุนต่อสังคมและองค์กรน้อยที่สุด ผ่านการใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยที่มีแสงแดดส่องอยู่สม่ำเสมอเกือบทุกวันตลอดทั้งปี” ดร. พรต กล่าว

เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกใช้อุปกรณ์สำหรับโซลูชันโซลาร์เซลล์ของซีคอนสแควร์ว่าทางบริษัทได้ใช้เวลาศึกษาเรื่องโซลาร์เซลล์ และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาประมาณ 1 ปี บินไปดูงานในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ที่เป็นเครื่องมือแปลงแรงดันไฟฟ้าเอาไว้แปลงกระแสไฟจากไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สำหรับโซลาร์เซลล์ และพบว่าอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ของหัวเว่ยมีคุณภาพดีที่สุด และหลายประเทศในยุโรปเองก็ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย และการที่มันเป็นระบบปิดก็ช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปทำระบบไฟฟ้าเสียหาย ป้องกันไม่ให้แมลงเข้าไปทำรัง และยังเหมาะกับการรับมือกับความชื้นในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นของอันตรายสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ดร. พรต กล่าวเสริมว่า “ตอนไปดูงานที่หัวเว่ย เจ้าหน้าที่ได้โชว์ให้ดูเลยว่าเอาอุปกรณ์ไปแช่น้ำ เอาไฟสปอร์ตไลท์จ่อให้ร้อนก็ไม่พัง อีกประเด็นต่อมาคือโครงการซีคอนของเราใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีแผงควบคุมไฟฟ้า (Panel) ทั้งหมด 15,000 แผ่น พื้นที่หลังคา 40 ไร่ ซึ่งโซลูชันของหัวเว่ยยังช่วยให้เรารู้ได้เลยว่าโซลาร์เซลล์แผงไหนใช้งานได้น้อยหรือใช้งานไม่ได้ แผงไหนผิดปกติ (Defect) และยังสามารถตรวจได้ทุกวันแบบเรียลไทม์ว่าแผงไหนมีปัญหา รวมถึงเรายังสามารถรู้ประสิทธิภาพของการเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อีกด้วย”

นอกจากนี้ ทางบริษัท บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด และ ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ ยังได้ร่วมมือสร้างศูนย์การเรียนรู้ (Learning Center) ที่ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์​ สาขาศรีนครินทร์ โดยหัวเว่ยนำเอาตัวอย่างอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) มาให้ข้อมูลและความรู้เรื่องการใช้แผงโซลาเซลล์กับหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยอย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มหาวิทยาลัยและโรงเรียน เพื่อเสริมสร้างความรู้พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลให้ทุกภาคส่วนช่วยกันเลือกใช้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงการทำงานของระบบโซลาร์ และเข้าใจถึงความสำคัญในการเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานในเรื่องความปลอดภัยก่อนนำมาใช้งาน

ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายร่วมกันระหว่างทางซีคอนสแควร์และหัวเว่ยคือการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมรวมถึงทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ในฐานะที่หัวเว่ยเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนระดับโลก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 5G Cloud และ AI ทำให้หัวเว่ยสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาใช้งานร่วมกับพลังงานสะอาด และส่งเสริมให้องค์กรและครัวเรือนร่วมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ภายใต้เป้าหมายในการสนับสนุนโครงการจำนวน 30,000 โครงการภายใน 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซคาร์บอนได้ถึง 265,000 ตัน ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันพลังงานสะอาด พันธมิตรชั้นนำด้านไอซีที และผู้พลิกโฉมสู่ความเป็นดิจิทัล หัวเว่ยมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน ผ่านการทำงานร่วมกับรัฐบาลและพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อทำให้โลกของเราเป็นสถานที่ที่ดียิ่งขึ้น พร้อมที่จะสนับสนุนให้องค์กรทุกรูปแบบได้เข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลและใช้พลังงานธรรมชาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความรุนแรงของภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการอันชาญฉลาดที่สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง

เฟ้นหาสุดยอดนักรบไซเบอร์รุ่นใหม่จาก 2,323 คน จัดเต็มที่สุดในไทยและอาเซียน

X

Right Click

No right click