

คงจะได้เห็นข่าวกันบ่อย ๆ เกี่ยวกับความคิดและพฤติกรรมที่รุนแรงของเด็กจนส่งผลกระทบต่อผู้อื่น หลายกรณีรุนแรงจนถึงขั้นอีกฝ่ายเสียชีวิต ซึ่งสาเหตุของพฤติกรรมรุนแรงในเด็กและวัยรุ่น มีความซับซ้อนและเกี่ยวโยงกันหลาย ๆ อย่าง ไม่อาจตอบได้ทีเดียวว่าปัจจัยใดมากกว่าปัจจัยใด โดยปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดความรุนแรงได้แก่
· เคยมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรงมาก่อน
· เคยถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
· เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวหรือสังคมใกล้ตัว
· เป็นเหยื่อการถูกล้อเลียน
· พันธุกรรม ถ้ามีคนในครอบครัวควบคุมอารมณ์ได้ยาก เคยมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง
· สื่อที่มีความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นสื่อในทีวี ภาพยนตร์ หรือเกมส์
· การใช้สารเสพติดบางอย่าง ยาบางชนิด แอลกอฮอล์
· มีปืนไว้ในบ้านหรือใกล้ตัว
· ความเครียดในครอบครัว เช่น เศรษฐสถานะ ครอบครัวยากลำบาก ผู้ปกครองแยกทางกัน หรือเป็นผู้ปกครองเลี้ยงเดี่ยว ตกงาน และไม่มีญาติพี่น้องที่สามารถให้การช่วยเหลือได้
· สมองกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ
ในกรณีนี้คนรอบข้างหรือในคนครอบครัว ควรสังเกตบุตรหลานอย่างใกล้ชิดว่ามีความเสี่ยงที่จะมีพฤติกรรมรุนแรงหรือไม่ โดยประเมินได้จากการที่เด็กแสดงอารมณ์โกรธอย่างรุนแรงมากกว่าปกติ, มีการระเบิดอารมณ์ที่บ่อยขึ้น, หงุดหงิดงุ่นง่าน พลุ่งพล่าน อยู่ไม่สุข, หุนหันพลันแล่น ควบคุมความโกรธ/อารมณ์ไม่ได้, ถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย, พฤติกรรมแปลกไปกว่าเดิม เช่น พูดน้อยลงหรือมากขึ้น นิ่งลง ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกก็อยู่ที่ความสามารถทางสติปัญญาในการวางแผนด้วย
หากพบว่าบุตรหลานมีพฤติกรรมรุนแรงควรรับมืออย่างไร
เมื่อไหร่ที่ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลคนอื่น เช่นครู รู้สึกว่าเด็กมีพฤติกรรมแปลกไป ควรจะพาไปประเมินอย่างละเอียดโดยจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา ซึ่งการเข้ารับการรักษาเร็ว สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดความรุนแรงได้มาก โดยเป้าหมายของการรักษา คือช่วยให้เด็กเรียนรู้การควบคุมความโกรธ การแสดงออกความไม่พอใจได้อย่างเหมาะสม ให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและยอมรับผลของการกระทำนั้น เช่น กำหนดข้อตกลงบทลงโทษของการทำผิด และคุยต่อว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อไปอย่างไร
หากอยู่ในสังคมทั้งที่ใกล้ตัวและสังคมที่ใหญ่ขึ้นไป นอกจากนี้เรื่องปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาที่โรงเรียน ปัญหาของสังคมรอบข้างก็ควรได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง
· พฤติกรรมความรุนแรงจะลดลง หากสามารถจัดการปัจจัยเสี่ยงได้
· สิ่งสำคัญคือการลดความรุนแรงในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เด็กต้องได้เจอ เช่น ความรุนแรงในบ้าน ในสังคม ในสื่อ เพราะความรุนแรงนำมาสู่ความรุนแรง
· นอกจากนี้ปัจจัยอื่นที่สามารถช่วยลดพฤติกรรมรุนแรงในเด็กได้ เช่น การป้องกันการทารุณกรรมเด็กโดย ผู้ปกครองควรสอนเด็กว่าอะไรคือเข้าข่ายทำร้ายเด็ก เช่นการมาจับตัวในส่วนที่ไม่ควรจับ หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้เด็กมาแจ้งพ่อแม่ หรือให้วิ่งหนีไปอยู่กับกลุ่มคนอื่นที่ปลอดภัยกว่า และให้ความรู้ผู้ปกครองในการทำโทษเด็กอย่างเหมาะสม รูปแบบไหนเป็นเพียงการสั่งสอน และรูปแบบใดรุนแรงเกินไปจนเข้าข่ายทารุณกรรม
· ให้ความรู้ทางเพศแก่เด็กวัยรุ่น
· หากสังเกตพบแนวโน้มที่เด็กและวัยรุ่นจะก่อความรุนแรง ให้พูดคุยเพื่อเข้าสู่กระบวนการการช่วยเหลือต่อไป
· สังเกตและชวนพูดคุยมุมมองของเด็กต่อความรุนแรงในสื่อที่เด็กรับ ไม่ว่าจะเป็น สื่อออนไลน์ โทรทัศน์ เกมส์ หรือภาพยนตร์
· ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ดูแลกับเด็ก ถ้าสามารถพูดคุยกันได้และรับรู้แนวโน้มความสนใจของเด็ก มีทัศนคติที่ดีในเรื่องการดูแลเด็ก การพบแพทย์ การทานยา
· ในช่วงวัยเด็ก ถ้าผู้ปกครองให้การชื่นชม/ยอมรับ ในสิ่งที่เด็กทำได้ดีและเหมาะสม เช่น โดยแนวโน้มเด็กชอบใช้กำลัง แต่ถ้าเด็กไปใช้กำลังกับสิ่งที่สังคมยอมรับได้ เช่นการเล่นกีฬา ก็จะทำให้แนวโน้มการเกิดความรุนแรงลดลง
พฤติกรรมความรุนแรงในเด็ก ทุก ๆ คนมีส่วนสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดได้ เพียงแค่ใส่ใจ หมั่นสังเกตและพูดคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ แต่หากพบว่ามีความเสี่ยงควรพาไปประเมินกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อลดความสูญเสียหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
เอ้ก ดิจิทัล ส่งธุรกิจแพลตฟอร์ม ดิจิทัล และมีเดียโซลูชัน ช่วยผู้ประกอบการ ทรานส์ฟอร์ม ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยดาต้าและ Deep Tech เพิ่มความแม่นยำ ตอบโจทย์ และแก้ปัญหาทางธุรกิจได้ อย่างตรงจุดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เน้นให้บริการแบบ End-to-End เผยพร้อมช่วยธุรกิจทุกขนาดเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดและ CRM ด้วยการเชื่อมต่อธุรกิจกับผู้บริโภคยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มยอดขายให้เติบโตแข็งแกร่ง เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โชว์ความสำเร็จครึ่งปีแรก 2566 โกยรายได้ 500 ล้านบาท คว้าลูกค้าใหม่ใน หลายอุตสาหกรรม ทั้งการเงิน โปรเจกต์ของหน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาล รวมถึงธุรกิจ SMB และ SME พร้อมประกาศแผนโค้งสุดท้ายของปี ลุยขยายฐานลูกค้าทุกบริการ ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท พัฒนาแพลตฟอร์มให้ทันสมัยขึ้นและเสริมแกร่งระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้า ตั้งเป้าปี 2566 มีรายได้เติบโต 20%
![]()
นางสาวรัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจแพลตฟอร์มและมีเดียโซลูชัน บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “เมื่อโลกธุรกิจมุ่งหน้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ การทำการตลาดและการใช้สื่อจึงต้องอาศัย ดาต้า แพลตฟอร์ม และดิจิทัลโซลูชันเข้ามาช่วยเสริมแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทุกมิติ ธุรกิจแพลตฟอร์มและมีเดียโซลูชัน หนึ่งในธุรกิจหลักของ เอ้ก ดิจิทัล จึงนำจุดแข็งด้านการวิเคราะห์ดาต้าระดับโลกมาผสานการทำงานกับบริการด้านแพลตฟอร์มและดิจิทัลโซลูชันหลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยผลักดันธุรกิจทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลได้เร็วขึ้น พัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้สามารถรับมือกับความท้าทายได้รอบด้าน ผลักดันทุกองค์กรไปสู่เป้าหมาย และช่วยเชื่อมต่อธุรกิจกับผู้บริโภคในยุคนี้ โดยจุดเด่นที่ทำให้บริการด้านแพลตฟอร์มและดิจิทัลโซลูชันตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย คือ 1. ขับเคลื่อนด้วยดาต้า AI และ Machine Learning ทำให้วิเคราะห์และพยากรณ์อินไซต์ได้อย่างแม่นยำ 2. มีความเข้าใจลูกค้าและมีเดียอย่างลึกซึ้ง และนำมาปรับใช้ในการวางกลยุทธ์และแผนต่าง ๆ รวมถึงสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ตรงจุด 3. Customize สามารถนำเสนอ หรือออกแบบแพลตฟอร์มและโซลูชันที่เหมาะกับแต่ละธุรกิจ 4. บริการแบบ End-to-end service ตั้งแต่วัดผลก่อนดำเนินการ วิเคราะห์ดาต้า วางกลยุทธ์ หรือการใช้สื่อ สร้างสรรค์คอนเทนต์ไปจนถึงวัดผลของงาน 5. มีทีมงานที่มี ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน”
บริการหลักของธุรกิจแพลตฟอร์มและมีเดียโซลูชัน มีดังนี้ 1. LINE Solution: ให้บริการโซลูชัน LINE ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น LINE OA, LINE Ads, LINE API และ LON เพื่อการเข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ 2. Online Marketing: ให้บริการคำปรึกษาและวางแผนการทำการตลาดผ่านมีเดียแพลตฟอร์มหลายรูปแบบ เช่น Google, Facebook, LINE, TikTok, Twitter, Programmatic Ads และ Marketplace โดยมีบริการครอบคลุมทั้งด้าน Creative content, Social Commerce Live, Influencers และ Performance Ads รวมถึง Media Recommendation ผ่านการวิเคราะห์ด้วยดาต้า เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจลูกค้าในด้านการเติบโตและการขยายธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น อี-คอมเมิร์ซ, ธุรกิจการเงิน และบันเทิง. 3. CRM/BI Platform: ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อ-ขาย สะสมและแลกคะแนนแบบครบอีโคซิสเต็ม เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า ครอบคลุมทั้งระบบ Loyalty Program, SMS และ LINE CRM รวมถึงการดูแลด้าน Privilege ครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์มจัดการข้อมูลที่
![]()
ปลอดภัยภายใต้ PDPA พร้อมฟีเจอร์ที่สนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ 4. Analytics SMS Platform: บริการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการสื่อสารผ่าน SMS พยากรณ์แนวโน้มและพฤติกรรมของผู้รับ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการตลาดและการสื่อสาร
ธุรกิจแพลตฟอร์มและมีเดียโซลูชันได้เข้าไปช่วยสนับสนุนลูกค้าหลากหลายธุรกิจรวมกว่า 300 แบรนด์ ครอบคลุมทั้งธุรกิจรีเทล การเงิน ประกันภัย FMCG Healthcare รวมถึงกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (SMB) และ SMEs โดยสามารถเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานให้กับธุรกิจและแบรนด์ของลูกค้าในหลากหลายด้าน เช่น นำ LINE Solution เข้าไปวิเคราะห์ Pain point และพฤติกรรมผู้ใช้งาน วางแผนการสื่อสาร รวมถึงสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจของสมาชิกใน Line Official โรงพยาบาลชั้นนำของไทย เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม ลดอัตราการบล็อก และเพิ่มจำนวนเพื่อนในไลน์ โดยสามารถลดการบล็อกได้ถึง 17% และเพิ่มจำนวนเพื่อนได้มากขึ้น 10% สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทฯ สามารถคว้าลูกค้าใหม่มาได้ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการเงิน โปรเจกต์ของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงธุรกิจ SMB และ SME พร้อมกวาดรายไปได้ถึง 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565
“บริการด้านแพลตฟอร์มและดิจิทัลโซลูชัน เป็นเสมือนเฟรมเวิร์คที่นำไปเชื่อมต่อระหว่างดาต้า บริการ และแพลตฟอร์มของลูกค้าองค์กรกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย เพื่อแก้ Pain point พร้อมยกระดับบริการ หรือผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้มีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงสามารถวางกลยุทธ์ Cross-selling และ Up-selling แผนการตลาด การจัดกิจกรรม CRM หรือการโฆษณาที่สมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างตรงจุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสเกลอัพธุรกิจให้เติบโต เสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ รวมไปถึงสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค โดยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเดินหน้ารุกตลาดเต็มสูบ นำบริการของเราเข้าไปรองรับความต้องการใช้งานแพลตฟอร์มการตลาด ดิจิทัลโซลูชัน และโซเชียลมีเดีย เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมถึงทุ่มงบลงทุนกว่า 10 ล้านบาท พัฒนาแพลตฟอร์ม SMS Analytics รูปแบบใหม่และยกระดับระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้า โดยตั้งเป้าปี 2566 มีรายได้เติบโตประมาณ 20% จากปีก่อน”
BDMS เปิดแผนใหญ่ส่งท้ายปี ส่งแอปพลิเคชัน BeDee แอปสุขภาพครบวงจรเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย รองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่ต้องการดูแลสุขภาพและพบแพทย์แบบทันท่วงที ดูแลตั้งแต่ยังไม่มีอาการป่วย จนถึงช่วงการรักษา ในรูปแบบ Holistic ครบครัน สะดวกสบาย ในแอปเดียว ตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็น No.1 Digital Healthcare Ecosystem มุ่งเจาะตลาด 10% ของผู้ใช้งาน Digihealth ที่มีอยู่ 26 ล้านคนทันที หลังเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคม 2566
![]()
พันตรี สมิทธิ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เฮลท์ พลาซ่า จำกัด ในเครือบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า หลังการระบาดของโรคโควิด 19 วงการ Healthcare มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน มีความต้องการดูแลสุขภาพแบบทันท่วงทีมากขึ้น ต้องการพบแพทย์แบบทันท่วงทีมากขึ้นโดยไม่ต้องรอให้มีอาการป่วยหรือเป็นโรคต่างๆ ดังนั้นใน BDMS ในฐานะที่มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในเรื่องของโรงพยาบาล ที่ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือกว่า 58 แห่ง และบริการด้านสุขภาพต่าง ๆ อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลเปาโล, BDMS Wellness Clinic, ร้านขายยา Save Drug และศูนย์แลป N Health เป็นต้น จึงมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชัน BeDee ขึ้นมา เพื่อให้คนไทยเข้าถึง Healthcare คุณภาพจากเครือ BDMS ซึ่งตอบโจทย์ได้ในหลายกลุ่ม ทั้งคนรุ่นใหม่, คนรักสุขภาพ, ผู้ป่วยโรคทั่วไปและเรื้อรัง รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย
หนึ่งในเป้าหมายของ BDMS ที่เปิดแอปพลิเคชัน BeDee เพื่อหวังเจาะเข้าถึงผู้ใช้งานด้าน Wellness ที่ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่คนที่ยังไม่ป่วยจนถึงป่วยแล้วด้วย 3 บริการหลักในแอปเดียว คือ 1.Teleconsultation ให้บริการปรึกษาอาการป่วยจากทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 สาขาจากเครือ BDMS ที่พร้อมให้คำแนะนำและรักษาอาการป่วยผ่านแอป โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 240 บาท ในช่วงเปิดตัว 2.Telepharmacy ให้บริการปรึกษาเรื่องยากับเภสัชกรฟรี ในส่วนของยาสามัญทั่วไป (Over-the-Counter Drugs) ยาเฉพาะทาง หรือยาที่ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์พร้อม
จัดส่งด่วนถึงบ้าน 3. Health Mall ศูนย์รวมสินค้าเพื่อสุขภาพ และสินค้าเฉพาะแต่ละกลุ่มโรค นอกจากบริการหลักที่ช่วยดูแลด้านสุขภาพ แอป BeDee ยังเตรียมเปิดบริการเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้อีก 3 บริการ Health Content, Health Check up และ Health Package ซึ่งจะให้บริการแบบ Holistic เป็น One Stop Service ที่ให้การดูแลทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ โภชนาการ การออกกำลังกาย และอีกหลายด้าน ทั้ง Curative และ Preventive ซึ่ง BeDee ถือเป็นแอปเจ้าแรกในเมืองไทยที่ให้บริการได้ครบวงจรและรอบด้านที่สุด ภายใต้มาตรฐานระดับสูงจากเครือ BDMS และยังมีบริการต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งดูแลได้ตั้งแต่ก่อนเกิดโรค ด้วยแนวคิดเชิง Preventive Healthcare แบบไม่ต้องรอให้ป่วยถึงค่อยมาหาหมอ BeDee จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยให้เรื่องสุขภาพของคนไทยเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ใช้ชีวิตทุกวันในรูปแบบที่ส่งเสริมให้ตัวเองมีสุขภาพดี หรือที่เรียกว่า Live with Wellness
พันตรีสมิทธิ์ ปราสาททองโอสถ กล่าวว่า “BDMS ได้ใช้เวลาในการพัฒนาแอปพลิเคชัน BeDee เกือบ 1 ปี ใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งหลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ต.ค. 2566 นี้ ช่วงแรกจะใช้งบทำตลาดไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท พร้อมอัดรายการโปรโมชันให้ส่วนลดเงินสด 100 บาท แบบไม่มีขั้นต่ำ ใช้ได้กับทุกบริการในแอป เพียงใส่โค้ด BDPR01 ก่อนชำระ ตั้งแต่วันนี้ - 30 พ.ย. 2566 และค่าส่งสินค้าราคาพิเศษ พร้อมโปรโมชันลดสินค้าสุขภาพ On top เพื่อสร้างการรับรู้และทดลองใช้ แอปพลิเคชัน BeDee ในวงกว้างมากขึ้น ตั้งเป้าช่วงเปิดตัวในไตรมาส 4 ปี 2566 มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแอป BeDee เป็นจำนวนมากหรือประมาณ 10% จากจำนวนผู้ใช้งานในตลาด Digihealth ที่มีอยู่ประมาณ 26 ล้านคนในปัจจุบัน และภายในปี 2568 คาดว่า BeDee จะขึ้นมาครองตลาดอันดับ 1 ในเมืองไทย เนื่องจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ BeDee วางแผนเจาะเข้าไปในทุกตลาดทั้ง B2B B2C และต่อยอดให้บริการลูกค้าของ BDMS ที่มีจำนวนคนไข้นอกต่อวัน (OPD visit per day) มากกว่าสามหมื่นคน เป็นคนไทย 85% นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 15%”
“BDMS จะไม่หยุดพัฒนาแอปพลิเคชัน BeDee เพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลาย Milestone ที่จะช่วยขยาย service เพื่อให้แอปสมบูรณ์ในทุกๆ ด้านของ Healthcare Ecosystem และปี 2567 มีเป้าหมายขยายการให้บริการแอปพลิเคชัน BeDee ไปสู่ประเทศในแถบเอเซียด้วย เพราะมีฐานลูกค้าของ BDMS อยู่เป็นจำนวนมากในหลาย ๆ ประเทศแถบเอเชีย และทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือ 2 แห่งอยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งยังไม่รวมคู่ค้าที่เป็นโรงพยาบาล และคลินิกอีกเป็นจำนวนมาก” พันตรี สมิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
รายละเอียดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการบุกเบิกโรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาด (Riyadh School of Tourism and Hospitality) ได้รับการเปิดเผยภายในงานวันท่องเที่ยวโลก (WTD) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงริยาด โดยมีการประกาศก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งแรกในปี 2564 ซึ่งร่วมก่อตั้งโดยกระทรวงการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียและโครงการกิดดียะห์ (Qiddiya) ภายใต้ความร่วมมือกับองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO)
โรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดได้รับการคาดหวังให้เป็นสถาบันการศึกษาแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแห่งแรกของโลกที่จะรวมการฝึกอบรมด้านการท่องเที่ยวในทุก ๆ ด้านที่จำเป็นเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับบรรดาผู้นำด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมรุ่นต่อไปจากทั่วโลก และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนผู้มีทักษะด้านการท่องเที่ยว
พัฒนาการใหม่ ๆ นี้ได้รับการประกาศในระหว่างการแถลงข่าวซึ่งจัดโดย ฯพณฯ อาเหม็ด อัล คาตีบ (Ahmed Al-Khateeb) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบีย และคุณซูรับ โปโลลิคาชวิลี (Zurab Pololikashvili) เลขาธิการ UNWTO นอกรอบกิจกรรมงานวันท่องเที่ยวโลก โรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดจะจัดตั้งขึ้นที่กิดดียะห์ ศูนย์กลางโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านความบันเทิงของซาอุดีอาระเบีย โดยจะมีที่ตั้งชั่วคราวที่มหาวิทยาลัยปรินซ์เซสนูเราะห์ (Princess Nourah University) โดยโรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดตอกย้ำจุดยืนของซาอุดีอาระเบียในฐานะผู้นำในการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก และเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนผู้มีทักษะทั่วโลกเพื่อเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต โรงเรียนจะเปิดรับผู้เรียนตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 และตั้งเป้ารับผู้เรียนให้ได้มากกว่า 25,000 คนต่อปีภายในปี 2573
ในปัจจุบัน มีสถาบันการท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีการเรียนการสอนทั้งในสายวิชาการและสายอาชีพที่ครอบคลุมทุกด้านของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในสถาบันเดียว ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจึงจะเปิดหลักสูตรบุกเบิกแบบผสมทั้งสายวิชาการและสายอาชีพ และจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้รวบรวมคนระดับหัวกะทิ เทคโนโลยีล้ำสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ล่าสุด และคณาจารย์ชั้นนำเพื่อสร้างโปรแกรมแบบองค์รวมที่ช่วยให้ผู้เรียนพร้อมประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว
คณะกรรมการบริหารของโรงเรียนจะประกอบด้วยผู้นำที่มาจากสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ไปจนถึงสาขาการลงทุนและเทคโนโลยีการศึกษา (Ed-Tech) นอกจาก ฯพณฯ อาเหม็ด อัล คาตีบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งซาอุดีอาระเบียแล้ว กรรมการท่านอื่นยังรวมถึงคุณอับดุลลอฮ์ อัลดาวูด (Abdullah AlDawood) กรรมการผู้จัดการกิดดียะห์, คุณซูรับ โปโลลิคาชวิลี เลขาธิการ UNWTO, คุณเซบาสเตียง บาแซง (Sebastian Bazin) ซีอีโอบริษัทแอคคอร์ โฮเทลส์ (Accor Hotels), คุณเจอร์รี อินเซอริลโล (Jerry Inzerillo) ซีอีโอเครือหน่วยงานกำกับดูแลด้านการพัฒนาอัดดิรอียะฮ์เกต (Ad Diriyah Gate Development Authority), คุณมอร์แกน พาร์คเกอร์ (Morgan Parker) และคุณไค เรอมเมลต์ (Kai Roemmelt) ซีอีโอของยูดาซิตี (Udacity) และจะมีการประกาศรายชื่อกรรมการเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป
ฯพณฯ อาเหม็ด อัล คาตีบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า "ความสำเร็จของภาคการท่องเที่ยวนั้นขยายไปไกลกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของรัฐบาลทั่วโลกในการจัดหาทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในอุตสาหกรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ให้กับผู้นำด้านการท่องเที่ยวในอนาคต"
"โรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดคือของขวัญจากซาอุดีอาระเบียต่อโลก ด้วยหลักสูตรบุกเบิกที่จะนำเสนอหลักสูตรระดับอุดมศึกษาที่ครอบคลุมทุกด้านของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม โรงเรียนแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของซาอุฯ ในการมอบการศึกษาที่ก้าวหน้าและครอบคลุมซึ่งเสริมศักยภาพให้กับบุคคลทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่เราลงทุนปลุกปั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เราไม่เพียงแต่รักษาอนาคตของอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมมรดกแห่งความเป็นเลิศที่จะขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นการเติบโตของประชาชนแต่ละคน และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในปีต่อ ๆ ไปอีกด้วย"
นอกจากนี้ คุณซูรับ โปโลลิคาชวิลี เลขาธิการ UNWTO กล่าวเสริมว่า "พัฒนาการล่าสุดของโรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดถือเป็นก้าวสำคัญในการแสวงหาภาคการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและเข้มแข็งมากขึ้น การศึกษาคือรากฐานของความก้าวหน้า และการลงทุนในทักษะและความรู้ของผู้นำการท่องเที่ยวในอนาคตถือเป็นการเสริมสร้างรากฐานการเติบโตและการพัฒนาของอุตสาหกรรม"
ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนสร้าง GDP ของปี 2566 เป็นมูลค่าถึง 9.5 ล้านล้านดอลลาร์นั้น มีการคาดการณ์ว่าภาคการท่องเที่ยวจะจ้างงาน 430 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2576 โดยเกือบ 12% ของประชากรทำงานในภาคธุรกิจนี้ ซาอุดีอาระเบียมีภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วที่สุดในตะวันออกกลางตามข้อมูลของสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) และได้ฝึกอบรมพลเมือง 80,000 คนภายในปี 2565 สำหรับภาคดังกล่าว และมุ่งมั่นที่จะลงทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในด้านการศึกษาและการฝึกอบรม
โรงเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรมแห่งริยาดเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของซาอุฯ ในการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการเป็นเจ้าภาพงาน WTD 2023 ภายใต้ธีม "การท่องเที่ยวและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" (Tourism and Green Investments) ผู้เข้าร่วมงานจะสำรวจบทบาทสำคัญของการท่องเที่ยวและความร่วมมือระดับโลกในการขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรือง การเชื่อมโยงวัฒนธรรม และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ
“บลจ.เอ็มเอฟซี” ตอกย้ำพันธกิจ "เพื่อนสนิทการลงทุน" เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ "Rebalance Port" ในแอปพลิเคชัน “MFC Wealth App” ช่วยเปรียบเทียบพอร์ตการลงทุนของลูกค้ากับพอร์ต MFC แนะนำ เติมเต็มพอร์ตไม่ตกเทรนด์ พร้อมปรับพอร์ตตามระดับความเสี่ยงและ Fit & Firm ตามเป้าหมายการลงทุน นอกเหนือจากฟีเจอร์เด่นอัดเต็มตอบโจทย์ทุกการลงทุน
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า บลจ.เอ็มเอฟซี ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชัน “MFC Wealth App” บริการผ่าน mobile application อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดีมียอดดาวน์โหลดประมาณ 160,000 ราย นับตั้งแต่เปิดให้บริการ 2 ปี ซึ่งเป้าหมายอยากให้ทั้งนักลงทุนกลุ่มใหม่ ที่ยังไม่เคยเปิดบัญชีมาทดลองใช้ ได้เรียนรู้และเห็นช่องทางในการวางแผนการลงทุนและวางแผนทางการเงิน รวมทั้งลูกค้าเดิมที่มีบัญชีกองทุนอยู่แล้วได้เข้ามาใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ต่างใน App เสมือนเป็น "ผู้ช่วยส่วนตัว" ให้แก่ผู้ลงทุน สอดรับพันธกิจ "Your investment partner เพื่อนสนิททางการลงทุน"
จุดเด่นของ “MFC Wealth App” ซึ่งให้บริการครอบคลุมการเปิดบัญชีการซื้อขายและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน และการประเมินความเหมาะสมในการลงทุนแล้ว ยังมีฟีเจอร์เด่นด้านข้อมูลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล อย่าง "MFC AVENUE" ตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบหาข้อมูลลงทุนเอง ขณะที่บลจ.เอ็มเอฟซีจะคอยอัพเดทข่าวสารการลงทุน รวมถึงเทรนด์การลงทุนให้กับผู้ลงทุนตลอดเวลา
ฟีเจอร์ "WEALTH JOURNEY" ที่เสมือนเป็นหนึ่งใน (Personal Assistant) หรือผู้ช่วยส่วนตัวด้านการลงทุน ซึ่งเหมือนมีผู้เชี่ยวชาญเตรียมพอร์ตที่เหมาะสมให้ ทำให้ลูกค้าสามารถลงทุนเองแบบมีเครื่องมือให้ครบถ้วน ทั้งปรับพอร์ต และดูผลตอบแทน รวมถึงการสร้างพอร์ตจำลองตามความเสี่ยงไว้เปรียบเทียบกับพอร์ตการลงทุนจริง โดยสามารถกำหนด Asset Allocation เองได้ ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวไม่ต่างจากการใช้บริการ Investment Strategist และผู้แนะนำการลงทุนคุณภาพ
"การจำลองพอร์ตการลงทุน ซึ่งมีลูกเล่นให้ผู้ลงทุนได้ทดลองและทดสอบจากความเสี่ยงในระดับที่รับได้ พร้อมตั้งเป้าหมายการลงทุน เพื่อเตรียมแผนการเงินในอนาคต เช่น การวางแผนสำหรับบ้านหลังแรก วางแผนเพื่อการลงทุน วางแผนตามเป้าหมาย หรือเตรียมตัวเกษียณ ซึ่งฟีเจอร์นี้ช่วยให้ลูกค้าใหม่ลองเข้ามาใช้งานได้ก่อนตัดสินใจลงทุน"นายธนโชติ กล่าว
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ที่เติมเข้ามา คือ "Rebalance Port" สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมของบลจ.เอ็มเอฟซี สามารถนำพอร์ตของตัวเองมาเปรียบเทียบกับพอร์ตที่บลจ.เอ็มเอฟซีแนะนำ ซึ่งมีทั้งพอร์ตแนะนำตามความเสี่ยง (สูง กลาง ต่ำ) และพอร์ต Fit & Firm ที่ปรับตามเป้าหมายในการลงทุน เช่น ลงทุนแบบ Defensive หรือ Long-term Growth ทำให้ลูกค้าสนุกกับการ
ซื้อกองทุนมากขึ้น เหมือนมีเพื่อนมาช่วยคิดว่าจะซื้อกองทุนอะไรดีที่เหมาะกับตัวเอง เพราะปัจจุบันกองทุนเอ็มเอฟซีมีมากกว่า 100 กองทุน ซึ่งฟีเจอร์นี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ "WATCH LIST" ใช้ติดตามกองทุนโปรดอย่างใกล้ชิด โดยตั้งค่าให้ระบบแจ้งเตือนเมื่อถึงเป้าหมายที่ต้องการ รวมทั้งมีเมนูกองทุนลดหย่อนภาษี LTF, SSF, RMF ที่สรุปยอดเงินลงทุนทั้งรายปีและภาพรวม มีเมนูที่ขายหน่วยลงทุนหรือกองทุนที่ครบเงื่อนไขของ LTF, SSF ที่สามารถทำผ่าน App ได้ทันที ซึ่งเป็นจุดแตกต่างจากบลจ.อื่นๆ ที่ปกติการขายกองภาษีจะยุ่งยากต้องยื่นเอกสารขาย ซึ่งผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด App ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS , Android
“MFC Wealth App ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้แนะนำการลงทุนที่ให้ลูกค้ามอนิเตอร์ เพื่อปรับพอร์ตลงทุน ปัจจุบันยังมีลูกค้าที่ต้องการคำแนะนำค่อนข้างมาก เราจึงให้ตัวแทนขายอิสระและตัวแทนขายผ่านคู่ค้าได้มีเครื่องมือและข้อมูลแนะนำลูกค้า เมื่อนักลงทุนได้ลองจำลองพอร์ตหรือดีไซน์พอร์ตตัวเอง เมื่อเห็นโอกาสลงทุนก็จะเข้ามาเปิดบัญชี ส่งผลให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น ส่วนลูกค้าเก่าก็มีโอกาสลงทุนต่อเนื่องได้ ทำให้จำนวนลูกค้าน่าจะติบโตเท่าตัวได้"นายธนโชติ กล่าว
บลจ.เอ็มเอฟซียังมีแผนนำฟีเจอร์ที่มี Innovation ใหม่ๆ ช่วยให้ชีวิตนักลงทุนสบายกว่าเดิม อาจนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์พอร์ต ช่วยลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
นายธนโชติ กล่าวทิ้งทายถึงมุมมองการลงทุนจากปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่ท้าทายทุกสินทรัพย์ติดลบ ทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ ขณะที่ในปี 2566 นี้มองตลาดอาจดีขึ้นในบางภูมิภาค บางตลาดยังไม่กลับมาที่เดิม ซึ่งการให้ข้อมูล คำแนะนำการลงทุนให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พยายามให้ลูกค้าเชื่อมั่นในการลงทุน เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาว ขณะเดียวกันให้ความรู้ในการจับจังหวะการลงทุนมากขึ้น รวมทั้งการจัดพอร์ตกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากสภาวะตลาด ความเสี่ยงในระยะสั้นจากเศรษฐกิจที่อาจไม่ได้คาดการณ์มาก่อนผ่านการจัด Asset Allocation
ทั้งนี้เพื่อให้การสื่อสารข้อมูลและสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด MFC เลือกวางแผนการใช้สื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยนางสาวมาลินี ขันสนิท ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Yellow Media ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสินค้าและแบรนด์ต่างๆให้วางแผนการใช้สื่อนอกบ้าน Out Of Home Media (OOH) กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันสินค้าและแบรนด์จะให้น้ำหนักการสื่อสารไปทางออนไลน์มากกว่า เพราะสามารถเข้าถึงง่ายและรวดเร็ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่องทางออฟไลน์ หรือ OOH ก็ทรงพลังที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เช่นกัน เพราะเป็นสื่อที่มีคนเห็นจำนวนมากและพบเห็นได้ง่าย สร้างการจดจำได้กับกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงลูกค้าทั่วไปทำให้รับรู้แบรนด์ได้ เพื่อให้เกิดความเคยชินและสร้างความน่าเชื่อ และไปสู่การเป็นลูกค้าในอนาคต
เกมและอีสปอร์ตเป็นความบันเทิงยุคดิจิทัลที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ ทั้งยังเป็นสื่อกลางที่สามารถเชื่อมโยงเยาวชนเข้ากับทักษะแห่งอนาคตที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานและนำไปปรับใช้กับการทำงานได้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรม
การีนา (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการและผู้พัฒนาเกมออนไลน์ชั้นนำระดับโลกภายใต้เครือ Sea (ประเทศไทย) ร่วมกับมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ (Saturday School) จัดทำหลักสูตร “ห้องเรียนอีสปอร์ต” ชวนครูและนักเรียนมาเรียนรู้อาชีพในอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตเพื่อส่งเสริมความสามารถและพัฒนาทักษะจำเป็นในยุคดิจิทัล โดยหลักสูตร “ห้องเรียน อีสปอร์ต” ถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความสะดวกในการนำไปใช้ในการเรียนการสอนมากที่สุด
คุณครูที่สนใจสามารถเข้าถึงแผนการสอนหน้าเดียว เค้าโครงการสอน และสไลด์ประกอบการสอนได้ที่เว็บไซต์ Sea Academy
เมื่อเร็ว ๆ นี้ การีนา (ประเทศไทย) และมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ยังได้ร่วมหารือกับกรุงเทพมหานครฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ) เพื่อประชาสัมพันธ์และกระจายหลักสูตรไปยังโรงเรียนมัธยมภายในสังกัด ดังนั้น เพื่อช่วยให้คุณครูมีความเข้าใจในการนำหลักสูตรไปปรับใช้จริงในรูปแบบที่เหมาะกับแต่ละโรงเรียน โครงการ “ห้องเรียน อีสปอร์ต” จึงเตรียมจัดการปฐมนิเทศและเวิร์กช้อปสำหรับคุณครูที่สนใจนำหลักสูตรไปใช้ โดยเริ่มเปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ - 21 ต.ค. 2566 ทาง https://bit.ly/GarenaRegister
คุณครูและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะได้เข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในด้านที่เกี่ยวข้องกับ 5 อาชีพ ดังนี้
![]()
1. ทีมผู้ประสานโครงการแข่งขันอีสปอร์ต
2. ทีมโค้ชผู้ฝึกสอนกีฬาอีสปอร์ต
3. ทีมนักพากย์
4. ทีมสื่อวงการเกม
5. ทีมควบคุมสื่อและการถ่ายทอดสด
กิจกรรมปฐมนิเทศและเวิร์กช้อปจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 เมื่อนักเรียนและคุณครูได้รับการอบรมและพัฒนาทักษะในอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตเสร็จสิ้นแล้วนั้น จะเข้าสู่ช่วงจัดการแข่งขันอีสปอร์ตภายในโรงเรียนและระหว่างโรงเรียน ทั้งยังได้ทดลองปฏิบัติงานจริงในอีสปอร์ตสตูดิโอของการีนา
สิ่งที่คุณครูและโรงเรียนจะได้รับ
· การอบรมการจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต
· ทุนสนับสนุนการดำเนินโครงการ
· โล่ประกาศเกียรติคุณและของที่ระลึกจากโครงการ
สิ่งที่นักเรียนจะได้รับ
· การทัศนศึกษาที่ บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด
· เกียรติบัตรและของที่ระลึกจากโครงการ
![]()
สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรห้องเรียนอีสปอร์ตเพิ่มเติมได้ที่ www.SeaAcademy.co สมัครเข้าร่วมกิจกรรมกับโครงการห้องเรียนอีสปอร์ตที่ได้ลิ้งก์และ QR Code นี้ https://bit.ly/GarenaRegister
![]()
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หนึ่งในกลยุทธ์ของเคทีซีคือการได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของสมาชิกฯ เราจึงคัดสรรสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมความต้องการและไลฟ์ไตล์ของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี โดยร่วมมือกับพันธมิตรในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะในหมวดสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นหมวดที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เคทีซีจึงได้ร่วมมือกับ “เกษมราษฎร์ พลาสติก เซอร์เจอร์รี่ บายพูจอง” ออกแคมเปญให้สมาชิกบัตรฯ ที่สนใจเรื่องสุขภาพและความงามสามารถเลือกรับบริการด้านความงามได้ตามความต้องการ โดยมีโปรแกรมถึง 4 ตัวเลือก ดังนี้
1. รับส่วนลดทันที 5% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 50,000 บาท ขึ้นไป
2. รับบริการเลเซอร์รักแร้ 1 ครั้ง เมื่อใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป
3. รับโปรแกรมฉายแสงลดบวม 3 ครั้ง เมื่อใช้จ่ายโปรแกรมศัลยกรรมตั้งแต่ 30,000 บาท ขึ้นไป
4. รับฟรี Botulinum toxin 50 ยูนิต เมื่อทำโปรแกรม Ulthera ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป
นอกจากนั้นสมาชิกที่ใช้จ่ายตั้งแต่ 50,000 บาท ยังสามารถรับสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือนในทุกบริการ โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/hospital/hospital/kasemrad-plastic-surgery-by-bujeong
นายกันตพร หาญพาณิชย์ กรรมการ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า “โรงพยาบาลเกษมราษฎร์มีความพร้อมที่จะขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มศัลยกรรม และความงามแบบครบวงจร จึงได้จับมือกับ “พูจอง คลินิก” เปิดสถาบันความงามภายใต้ชื่อ เกษมราษฎร์ พลาสติกเซอร์เจอร์รี่ บาย พูจอง โดยโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ได้รับมาตรฐานระดับสากล JOINT COMMISSION INTERNATIONAL ACCREDITATION STANDARDS (JCI Standard)และมีทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญการ มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ครบครันทันสมัย พร้อมที่จะเติบโตไปในด้านศัลยกรรมและความงาม อีกทั้งมีแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญด้านศัลยกรรมและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง โดยนายแพทย์สุเมธ (หมอโน๊ต) และนายแพทย์ ทินกร (หมอต้อม) ถือได้ว่าเป็นนายแพทย์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องชะลอวัย โดยคาดว่า เกษมราษฎร์ พลาสติกเซอร์เจอร์รี่ บาย พูจอง จะมีรายได้ในปีแรกที่ 50-100 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีถัดไป”
นางสาวนพรัต ภัธยนันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พูจอง จำกัด เผยถึงการร่วมมือกันในครั้งนี้ “ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกในเมืองไทย ที่ทางโรงพยาบาลเกษมราษฏร์ ได้จับมือร่วมกับทาง พูจอง คลินิก ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) พูจองเองมีทีมแพทย์ที่มีการพัฒนาค้นคว้า และเชี่ยวชาญด้านความงามและศัลยกรรม ตลอดระยะเวลา 9 ปี พูจอง คลินิก ยึดมั่นในเรื่องของ การดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คุณภาพของยาและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเสมอ ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์เองมีความพร้อมและได้รับรองในมาตรฐานระดับสากล ผู้ใช้บริการจึงยิ่งมั่นใจได้ว่า เกษมราษฎร์ พลาสติก เซอร์เจอร์รี่ บายพูจอง มีความพร้อมครบวงจรในเรื่องความงามและความปลอดภัย และล่าสุดเราพร้อมนำเสนอนวัตกรรมด้านควบคุมน้ำหนักแบบใหม่ โดยไม่ต้องดมยา ไม่ต้องผ่าตัด มาเป็นทางเลือก ในการพิจารณาให้กับผู้ใช้บริการอีกด้วย เราจะไม่หยุดนิ่งพัฒนาและค้นคว้าในเรื่องที่เกี่ยวกับความงามและศัลยกรรม เพื่อตอบโจทย์และให้บริการคนไข้อย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง ตอกย้ำการเติบโตในธุรกิจความงามและศัลยกรรม ภายใต้ “ เกษมราษฎร์ พลาสติก เซอร์เจอร์รี่ บายพูจอง”
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) จับมือชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งสู่การเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมเตรียมระบบรองรับตลาดไฟฟ้าเสรีในอนาคต ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) โดยใช้เทคโนโลยี EcoStruxure™ ADMS (Advanced Distribution Management System) ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่สามารถวิเคราะห์ และสนับสนุนการสั่งจ่ายไฟฟ้าที่มี DERs (Distributed Energy Resources) กระจายตัวอยู่ในระบบส่งและระบบจำหน่าย ให้พนักงานศูนย์ควบคุมการจ่ายไฟ สามารถควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ ความมั่นคงและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ให้บริการของ PEA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการขยายขอบเขตเพื่อมุ่งเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาทิ การเป็น Distribution System Operator (DSO) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบไฟฟ้าเสรีในอนาคต
PEA มีเป้าหมายสูงสุดในมิติด้านความยั่งยืน คือ การให้ประชาชนในประเทศเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าสะอาดและมีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความสมดุลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างยั่งยืน โดย EcoStruxure™ ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับงานควบคุมการสั่งการจ่ายไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นพลังขับเคลื่อนสู่การเป็น Digital Utility ตามวิสัยทัศน์ “SMART ENERGY FOR BETTER LIFE AND SUSTAINABILITY ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”
ในปัจจุบัน กฟภ. กำลังดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) และพร้อมเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่เป้าหมายดิจิทัลยูทิลิตี้ และ Green Grid โดยใช้เทคโนโลยี EcoStruxture ADMS ที่มี Software Module สำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการแหล่งพลังงานแบบกระจายตัว (DERMS) และช่วยในการสนับสนุนให้บริการทางด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเทคโนโลยีข้างต้นจะเป็นระบบหลักของสายงานปฏิบัติการและบำรุงรักษา ที่มีการเชื่อมโยงระหว่างระบบบริหารจัดการการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (OT) และ ระบบบริหารจัดการข้อมูลด้านสานสนเทศ (IT) เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ ได้มีไฟฟ้าใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และขับเคลื่อนธุรกิจต่างๆ ได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งยังช่วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถบรรลุเป้าหมายแห่งชาติในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ตามแผนงานในอนาคตอีกด้วย
นายปราโมทย์ สุดทรัพย์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เผยว่า “แพลตฟอร์ม EcoStruxture ADMS ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นำเข้ามาใช้งานทดแทนระบบเดิมในเร็วๆ นี้ โดยจะเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถไปสู่เป้าหมายในการเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ได้อย่างราบรื่น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายแห่งชาติ ในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ และยังนำไปสู่การเตรียมพร้อมรองรับตลาดไฟฟ้าเสรีที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต เรามองว่าการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาวะการปัจจุบัน รวมถึงความพร้อมในการขยับขยาย และการปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้รองรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง”
PEA มีนโยบายการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ ในการให้บริการทางด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่หลากหลาย และตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมให้มีแหล่งพลังงานทางเลือกมากขึ้นเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากแผนปฏิบัติการลดก๊าชเรือนกระจกของประเทศ สาขาพลังงาน ปี พ.ศ. 2564- 2573 ของกระทรวงพลังงาน จึงเร่งเดินหน้าเต็มที่ทั้งเพื่อประชาชน และเพื่อประเทศเพื่อสร้างภาพรวมด้านพลังงานที่ยั่งยืน
นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟของ กฟภ. โดยศูนย์ PEA ADMS Control Center เป็นศูนย์ควบคุมส่วนกลางด้านไฟฟ้า ด้วยโซลูชั่น ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มั่นใจได้ว่า จะช่วยให้ประเทศไทยได้ใช้พลังงานได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย ช่วยให้ กฟภ. สามารถมองเห็นความเป็นไปของระบบไฟฟ้าได้ทั้งระบบ พร้อมการวิเคราะห์ การคาดการณ์แนวโน้ม สามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น เมื่อต้องมีการเชื่อมต่อกับไมโครกริดผู้ให้บริการรายต่างๆ ในอนาคต ช่วยให้ระบบไฟฟ้าของประเทศมีความยั่งยืน เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในภาพรวม เพราะพลังงานเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในการหล่อเลี้ยงธุรกิจทุกอุตสาหกรรมของประเทศ”
นอกจากนี้ ภายในงานยังมี นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และนายอเล็กซิส เกรนอน รองประธานอาวุโส ธุรกิจดิจิทัลกริด จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงผู้บริหารอีกหลายท่านมาร่วมแสดงความยินดีกับการนำร่องใช้งาน ศูนย์ PEA ADMS Control Center ซึ่งกำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการและใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) วันนี้ แจ้งว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 29.7 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย เสากังหันลมขนาด 3.3 เมกะวัตต์ จำนวน 9 ชุด ดำเนินงานโดยบริษัท อีโค่วิน เอ็นเนอร์จี้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ร่วมถือหุ้น ร้อยละ 51 ได้เริ่มเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity: EVN) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระยะเวลา 20 ปี โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วินแห่งนี้ เป็นโครงการพลังงานลมติดตั้งบนบก (onshore wind farm) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ห่างจากเมืองโฮจิมินห์ ประมาณ 180 กิโลเมตร ในประเทศเวียดนาม โดยก่อนหน้านี้ได้ทำการทดสอบเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Trial run) และทดสอบความน่าเชื่อถือของการเดินเครื่องเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง (Reliability test) ตามมาตรฐานของเวียดนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ถือเป็นโครงการพลังงานทดแทนแห่งที่สามของบริษัทฯ ในประเทศเวียดนามที่ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ นอกเหนือจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำซองเกียง 2 และค๊อคซาน รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้นทั้งสามโครงการ 49.63 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างอีก 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง 1 และโรงไฟฟ้าพลังงานลมเบ็นแจ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 65.15 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้งสองโครงการมีกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2567 และ ปี 2568 ตามลำดับ
เวียดนามถือเป็นประเทศเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ เนื่องจากมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และยังมีการกำหนดแผนการพัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนไว้อย่างชัดเจน ทั้งพลังงานน้ำ พลังงานลมบนบก พลังงานลมนอกชายฝั่ง และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งบริษัทฯ มองเห็นศักยภาพในการขยายการลงทุนต่อยอดธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศเวียดนามได้ โดยดำเนินการผ่านบริษัทฯ เอง หรือผ่านบริษัทร่วมทุน เน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี อินเวสเมนต์ (NEXIF RATCH Energy Investment : NREI) ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายกำลังผลิตจากพลังงานทดแทนให้ได้ถึง 4,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2578” นางสาวชูศรี กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการลงทุนโครงการพลังงานทดแทน รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 2,933 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 27 ของกำลังผลิตรวม 10,807 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์สร้างรายได้แล้ว 1,566 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างอีก 1,367 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นฐานธุรกิจหลักด้านพลังงานทดแทนของบริษัทฯ ด้วยกำลังการผลิตตามการถือหุ้นรวม 1,379.69 เมกะวัตต์ รองลงมาได้แก่ สปป.ลาว 669.10 เมกะวัตต์ ประเทศฟิลิปปินส์ 549.83 เมกะวัตต์ ประเทศอินโดนีเซีย 123.05 เมกะวัตต์ ประเทศเวียดนาม 114.78 เมกะวัตต์ ประเทศไทย 94.76 เมกะวัตต์ และญี่ปุ่น 2.02 เมกะวัตต์
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี โดยมีผลเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวสูงขึ้น ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันในปี 2567 ธนาคารไทยพาณิชย์จึงประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราสูงสุด 0.30% ต่อปี เพื่อช่วยส่งเสริมการออมเงินและช่วยให้ผู้ฝากเงินมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น พร้อมกับปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR MLR และ MOR 0.25% ต่อปี เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งผ่านการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงเป็นการปรับให้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวม ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแม้คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็น่าจะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้าจากปัจจัยทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน และเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รวมถึงเป้าหมายของธนาคารที่จะเป็น Digital Bank with Human Touch ทางธนาคารจึงได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัลและเงินฝากประเภทไม่มีสมุด รวมถึงเงินฝากประจำ โดยปรับเพิ่มขึ้น 0.10% - 0.30% ต่อปี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อสะท้อนต้นทุนทางการเงินในระบบที่สูงขึ้น โดยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.05% เป็น 7.30% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.80% เป็น 7.05% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.325% เป็น 7.575% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป
ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมาตรการพิเศษในการช่วยเหลือด้านต่างๆ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบาง พร้อมคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อธนาคารได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center 02-777-7777