

LDC ขยายอาณาจักรลงภาคใต้ เตรียมประเดิมเปิดสาขาจังหวัดตรัง ถอดบทเรียนสู่ความสำเร็จ ล็อคเป้าทำเลศักยภาพกำลังซื้อสูง โมเดลโรงพยาบาลขนาดเล็ก ความปลอดภัยขั้นสูงทันตแพทย์เฉพาะทาง
ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ผู้ให้บริการศูนย์ทันตกรรมทันตแพทย์เฉพาะทางในนาม “LDC Dental” กางแผนเติบโตรอบใหม่ ขยายสาขาลงภาคใต้ ถอดบทเรียนความสำเร็จของสาขานครศรีธรรมราช ประเดิมบุกจังหวัดตรัง รูปแบบโรงพยาบาลขนาดเล็กความปลอดภัยขั้นสูง มาตรฐานอากาศห้องฟันเทียบเท่าห้องผ่าตัด ทันตแพทย์เฉพาะทางจากกรุงเทพฯ ทั้งนี้ จังหวัดตรังมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับต้นของภาคใต้ ประชากรในพื้นที่มีกำลังซื้อสูงบวกกับความนิยมรับบริการในสถานพยาบาลเอกชน
ทันตแพทย์วัฒนา กล่าวเสริมว่า “บริษัทฯได้พิจารณาการลงทุนขยายสาขารอบใหม่นี้ด้วยความระมัดระวัง โดยที่ผ่านมาหยุดขยายมากว่า 5 ปี มุ่งเน้นยกระดับสาขาเดิมให้พรีเมียม รอความพร้อมที่จะขยายสาขาอีกครั้ง ซึ่ง LDC Dental จ.ตรัง ตั้งอยู่ริมถนนวิเศษกุล (ใกล้แยกวังตอ) ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง เป็นสาขาขนาด 5 ห้องทันตกรรม 1 ห้อง CT Scan ใช้งบการลงทุน 17 ล้านบาท ความคืบหน้าในการก่อสร้าง 20% คาดว่าจะเปิดให้บริการ และรับรู้รายได้ต้น Q2/67 บริษัทฯมั่นใจที่จะสร้างการเติบโตรอบใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนสาขานครศรีธรรมราช”
ปัจจุบัน LDC Dental ให้บริการ 26 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ กระจายอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 16 สาขา ต่างจังหวัด 10 สาขา รองรับความต้องการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง และเตรียมพร้อมสู่การขยายสาขาในโซนภาคใต้อย่างมีประสิทธิภาพ
แจ๊ก หม่า หายไปไหน?
ราวพฤศจิกายน ปี 2563 คำถามนี้ต่างผุดขึ้นในใจของทุกคนที่สนใจเมืองจีนและนักลงทุนทั่วโลก
เพราะจู่ๆ อภิมหาเศรษฐีนักธุรกิจจีนที่ชอบออกมาให้ความเห็นและปรากฎตัวต่อสาธารณะตลอดเวลาอย่างคุณหม่า ก็หายไปจากซีนเฉยๆ
แน่นอน คุณหม่าคือผู้ก่อตั้ง Alibaba กิจการยักษ์ใหญ่ของโลกที่ได้ชื่อว่า “Amazon of China” เมื่อ 26 ปีมาแล้ว
การประสบความสำเร็จของ Alibaba ในขณะที่เขาอายุยังน้อย ส่งผลให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก กลายเป็นไอดอลของผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ และอาจเป็นคนจีนร่วมสมัยที่คนทั่วโลกรู้จักมากที่สุด รองลงมาจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
แต่เมื่อกิจการของเขาเติบใหญ่ขึ้นครอบคลุมกว้างขวางไปสู่บริการทางการเงินและฟินเทคภายใต้ Ant Group เขาก็เริ่มอึดอัดขัดข้องกับสภาพที่เป็นอยู่ในระบบการเงินของจีน
เขาตัดสินใจระบายความในใจ ให้สาธารณชนได้ร่วมรับรู้ ที่งานสัมนาหนึ่งในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนตุลาคมปีก่อนหน้านั้น
เขาวิจารณ์ว่าระบบการเงินของจีนนั้นขาดการสร้างระบบนิเวศน์ที่แข้มแข็ง สถาบันการเงินทำตัวราวกับโรงรับจำนำ ที่เน้นแต่หลักทรัพย์ค้ำประกัน การเติบโตขึ้นอยู่กับจำนวนและคุณภาพของหลักทรัพย์ค้ำประกันและความสำพันธ์ส่วนบุคคลเป็นสำคัญ ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในวงการนี้มีน้อยและไม่ถูกเน้นย้ำ ทำให้ระบบการเงินจีนนั้นเปราะบาง หากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจขาลงจะลำบาก
แน่นอน เสียงวิจารณ์ของเขาย่อมไปเข้าหูบรรดาผู้คุมกฏในพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาล
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ถูกสอบสวน แล้วก็เริ่มหายตัวไปอย่างเงียบๆ
ราคาที่เขาและผู้ถือหุ้น Alibaba ตลอดจนนักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีนต้องจ่ายคือ การล่มสลายของมูลค่าหุ้น Alibaba อีกทั้งรัฐบาลยังได้สั่งเบรกกะทันหัน ไม่ให้เขานำหุ้น Ant Group เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกเลิกการขายหุ้น IPO ซึ่งเทียบมูลค่า ณ ขณะนั้น นักวิเคราะห์ต่างลงความเห็นว่าจะเป็น IPO ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึง 3.4 หมึ่นล้านเหรียญฯ
นับแต่นั้นมาจนบัดนี้ มูลค่ากิจการของ Alibaba ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (BABA) ลดลงกว่า 70%
เช้าวันที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่ ณ ขณะนี้ หุ้น BABA เพิ่งปิดการซื้อขายไปที่ 84.11 เหรียญฯ ไหลตกลงมาเรื่อยๆ จากประมาณ 310 เหรียญฯ เมื่อคราวเกิดเรื่อง
และแล้ว สองปีผ่านไป ก็เริ่มมีข่าวว่าคุณหม่าไปปรากฏตัวที่นั่นที่นี่ในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ และเมื่อมกราคม 2566 เขาก็ได้มาปรากฎตัวเป็นๆ ที่สนามมวยราชดำเนินและไปกินผัดไทยเจ๊ไฝกับลูกชายคนโตของเจ้าสัวธนินท์และภรรยา
ปัจจุบัน เขาเป็นศาสตราจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่ญี่ปุ่น และยังไม่มีใครรู้แน่ชัด ถึงชะตากรรมของอาณาจักรธุรกิจของเขา ว่าจะถูกยึดครองจากรัฐบาลให้กลายเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือบังคับให้แตกเป็นหลายๆ ธุรกิจ เพื่อไม่ให้ใหญ่เกินไปหรือไม่ และอย่างไร
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนทั่วไปที่คิดจะไปลงทุนหรือค้าขายในเมืองจีน หรือคิดจะลงทุนในเงินหยวน ยิ่งนักลงทุนไทยเราส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน ย่อมห้ามไม่ได้ที่จะมีจิตใจเอนเอียงไปทางจีน อีกทั้งกระแสแอนตี้ฝรั่งในช่วงหลังมานี้ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนในเทรนด์สำคัญที่ MBA เอง ก็แนะนำอย่างแข็งแรงยิ่งยวด นั่นคือ AI
เด๋วนี้มีกองทุน ETF จำนวนมากทั่วโลก ที่เน้นลงทุนในกิจการ AI และที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของ AI
ขณะเดียวกันก็มีกองทุนจำนวนมากที่ระดมทุนเพื่อไปลงทุนในจีน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องหา AI Exposure อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กิจการ AI ของจีนนั้น หลักๆ คงหนีไม่พ้น “สี่ใหญ่” อย่าง Alibaba, Baidu, Tencent, และ Huawai
แต่ประเด็นหลักและความเสี่ยงอยู่ที่กฎระเบียบของรัฐบาล
มีข่าวออกมาจากจีนว่ารัฐบาลจีนกำลังสร้างกฎระเบียบฉบับสมบูรณ์ที่จะควบคุม AI โดยยึดหลักการคอมมิวนิสต์เป็นหัวใจสำคัญ เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์อื่นๆ ในสังคมจีน
AI ก็คงจะเหมือนกับเทคโนโลยีทุกชนิดหรือซอฟท์แวร์ทุกตัวในจีนที่ต้องอยู่ภายใต้รัฐอย่างเข้มงวด
หน่วยงาน CAC หรือ Cyberspace Administration of China ถือว่า AI เป็น “ยุทธปัจจัย” หรือ Strategic Technology สำคัญของอนาคต (วงเล็บ “ที่จะต้องมีไว้เพื่อฟาดฟันกับศัตรูให้จีนได้เปรียบในสงครามเย็นที่กำลังเกิดขึ้น และสงครามร้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต”)
นั่นหมายความว่า กิจการด้าน AI ทั้งปวง จะต้องไม่สร้าง หรือสนับสนุน เนื้อหาหรือคอนเทนต์ ที่ขัดต่อนโยบายของรัฐและความเห็นของผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์
อันหนึ่งที่เพิ่งออกมาเมื่อ ก.ค. ปีนี้ คือกิจการ AI ต้องขออนุญาตเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตจาก CAC จึงจะดำเนินธุรกิจด้านนี้ในประเทศจีนได้
กิจการหรือผู้ประกอบการที่ยื่นขออนุญาต จะต้องส่งรายละเอียดการทำงานทั้งหมดของอัลกอริทึ่มที่อยู่เบื้องหลังการทำงานและให้บริการของ AI และถ้า CAC เห็นว่าต้องแก้ไข ก็ต้องแก้ไปตามนั้นแล้วยื่นเข้ามาใหม่
โดย CAC ใช้หลักพิจารณาว่า ทุกอย่างต้องสอดคล้องกับ “คุณค่าหลักยึดของระบอบสังคมนิยม” (Core values of socialism)
ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มองว่า การแทรกแซงในลักษณะนี้ อาจส่งผลให้ระบบ AI เกิดความผิดพลาดได้ง่าย
พวกเขาเรียกข้อผิดพลาดทำนองนี้ว่า AI Hallucinations ซึ่งแม้แต่ ChatGPT หรือ Bard (ของกูเกิ้ล) ก็เกิดแบบนี้บ่อย จนกว่าจะแก้ไขกันไปได้ทีละเล็กทีละน้อย คือต้อง “ทำไปแก้ไป” และ AI ก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ
บนแชตบอร์ด “ถงยี่” ของ Alibaba เองก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อมีคนถามว่าจะปรุงอาหารที่เรียกว่า “คอนกรีตผัด” อย่างไรดี และบ็อตก็ตอบและให้ข้อมูลเป็นวรรคเป็นเวร
ดังนั้น หากในอนาคต กิจการ AI ของจีนที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการได้แล้ว เกิดมีข้อความแฝงหรือคอนเทนต์ที่เจ้าหน้าที่รัฐตีความว่าไม่เหมาะสม ก็อาจต้องมารื้อสร้างกันใหม่ และต้องมายื่นขออนุญาตกันใหม่หรือไม่
นั่นเป็นความไม่แน่นอน ที่ยังไม่มีคำตอบในตอนนี้ (ในเชิงการลงทุนถือเป็น “ความเสี่ยง” อย่างหนึ่งที่สำคัญ)
อีกอย่าง แม้ตอนนี้กระแสแอนตี้ฝรั่งจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ในเอเซีย แต่ขณะเดียวกันกระแสแอนตี้จีน ก็เริ่มเกิดขึ้นในโลกเช่นกัน
ถ้าวิเคราะห์กันจริงจังแล้ว กิจการเทคโนโลยี “สี่ใหญ่” ของจีนนั้น สร้างรายได้นอกประเทศน้อยมาก
แพล็ทฟอร์มและแอ็พต่างๆ ของพวกเขา ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนอกจีน
และฮาร์ดแวร์ต่างๆ ก็เริ่มขายได้น้อยลง เพราะความไว้วางใจต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัวไปไว้ในมือรัฐบาลจีนนั้นลดลง
ถ้ายืมคำของคุณหม่า ก็ต้องพูดว่า กิจการยักษ์ใหญ่เหล่านี้ แม้จะสร้างรายได้มหาศาลในจีน แต่ก็พึ่งพิงตลาดจีนมาก เพราะการขยายธุรกิจในต่างประเทศยังไม่เป็นผล ดังนั้น พวกเขายังมีความเปราะบาง
หากเศรษฐกิจจีนเริ่มเป็นขาลง หรือทรุด พวกเขาจะลำบากกว่ากิจการที่มีฐานรายได้กระจายไปทั่วโลก

บทความ : ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว / Editor in Chief _MBA magazine
29/09/2566
บทเรียนจากวิธีบริหารจัดการแบบเหมาเจ๋อตง
แม้ผลงานแย่ ทว่ากลับสามารถครองอำนาจสูงสุดได้จนตายคาตำแหน่ง
“ผู้นำดี” กับ “ผู้นำแย่” บางทีก็ดูกันยาก!
ถ้าเป็นผู้นำทางธุรกิจ อาจดูง่ายหน่อย เพียงใช้ตัวประเมิณผลงานอย่าง กำไร/ขาดทุน ราคาหุ้น การเติบโตของรายได้ การขยายตัวของธุรกิจที่เขาบริหาร สินค้า/บริการใหม่ๆ ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อยึดครองตลาดจนสำเร็จและสร้างการเติบโตให้กับกิจการ นวัตกรรมใหม่ขององค์กรที่เกิดขึ้นในยุคเขา หรือแม้กระทั่งขวัญกำลังใจและความรักผูกพันต่อองค์กรของพนักงานในยุคที่เขาบริหารอยู่ ความพอใจของผู้ถือหุ้นและบรรดา Stakeholders อื่น ตลอดจนแผนการสืบทอดอำนาจที่ราบรื่น ไม่ทำให้กิจการเกิดการแก่งแย่งอำนาจบริหารกันจนตกต่ำ
ทว่า ถ้าเป็นผู้นำทางการเมืองหรือผู้นำประเทศและชาติต่างๆ อาจวัดกันยากสักหน่อย
นั่นจึงไม่แปลกที่ผู้คนสมัยนี้บางกลุ่มบางพวกยังคงเลื่อมใสนับถือยกย่องอดีตผู้นำอย่าง ฮิตเลอร์ สตาลิน หรือแม้กระทั่ง นโปเลียน และจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้ผู้คนในยุคนั้นๆ ต้องล้มตายกันอย่างมากมายมหาศาล ก่อสงครามหรือปราบปรามทรมานฆ่าทิ้งราษฏรกันอย่างน่าสังเวชใจเป็นที่สุด
ปัจจุบันเรามีตัวอย่างชีวิตของผู้นำที่เก่งและทรงประสิทธิภาพจำนวนมาก หนังสือ คลิป พ็อดแคส ที่เผยเทคนิคการบริหารจัดการของ Steve Jobs, Bill Gates, Mark Zuckerberg, Warren Buffet, หรือแม้แต่ กษัตริย์พระองค์สำคัญในอดีต และมหาบุรุษอย่างเยซู หรือพระพุทธเจ้า
เหล่านี้คือไอดอลของผู้นำหรือนักบริหารทุกระดับ เพราะคนเหล่านี้เป็นผู้นำที่ผู้ตามยอมลงให้และสามารถกุมอำนาจ กุมความจงรักภักดีของสาวกได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งนี้เพราะพวกเขาสามารถมากจริงๆ ซึ่งถ้าเราดูผลงานของพวกเขาก็จะประจักษ์ได้ไม่ยาก
แน่นอนว่า ในทุกสังคม คนเก่งหรือคนที่ไม่ได้เรื่องไปเลย ย่อมมีจำนวนน้อยกว่าคนที่เป็น “พวกกลางๆ”
ผู้นำหรือผู้บริหารก็เช่นกัน ถ้าวัดกันอย่างใจเป็นธรรมแล้ว ก็เห็นได้ไม่ยากว่า ส่วนใหญ่มักเป็นพวกกลางๆ เป็นลักษณะ “กึ่งดิบกึ่งดี” ซะมาก
แล้วผู้บริหาร “กึ่งดิบกึ่งดี” เหล่านี้ควรมองไปที่ไอดอลคนไหนดี ผู้นำที่ผลงานโดยรวมออกมากลางๆ หรือออกเป็นเชิงลบด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถกุมอำนาจบารมีและความจงรักภักดีของผู้ตามไว้ได้จนตลอดชีวิตของพวกเขา
มีอยู่คนหนึ่ง ไม่ห่างจากยุคสมัยของเรามากนัก

เขาคือ “เหมาเจอตง” หรือ “ท่านประธานเหมา” ผู้สามารถรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นได้จนมั่นคงหลังถูกต่างชาติเข้ายึดครองและแบ่งฝ่ายทำสงครามกลางเมืองกันมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน จนก่อตั้งสาธารณะรัฐประชาชนจีนขึ้นได้เมื่อ พ.ศ. 2492 และยึดกุมอำนาจบริหารสูงสุดนับแต่บัดนั้นจนกระทั่งตายคาตำแหน่งในปี 2519
เหมาเจ๋อตงนั้น แม้จะไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ แต่ก็ชอบให้ลูกน้องและราษฏรเรียกตัวเองว่า “ประธานเหมา” โดยให้ใช้ตำแหน่งในภาษาอังกฤษคือ “Chairman” ซึ่งเป็นตำแหน่งในองค์กรธุรกิจ มานำหน้าชื่อตัวเอง จนตลอดยุคสมัยของตัว และยังอุปโลกตัวเองให้เป็น “ครูใหญ่ผู้ไม่รู้จักเหน็จเหนื่อย” ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และประชาชน โดยได้พิมพ์หนังสือคู่มือการปฏิบัติงาน การบริหารจัดการ การจัดองค์กร การวิเคราะห์สถานการณ์และคู่แข่งขัน การวางแผนและแสวงหาแนวร่วม การประเมินผล กลยุทธ์การแข่งขันและขจัดคู่ต่อสู้ ตลอดจนการหมั่นประเมินผลงานตัวเอง (“คอมมิวนิสต์ที่ดีต้องหมั่นวิจารณ์ตนเอง”) การสร้างแรงจูงใจ ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่างๆ ในนาม The Little Red Books หรือที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดพิมพ์ในชื่อไทยว่า “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง”
ทุกวันนี้เหมายังได้รับยกย่องอย่างสูงในเชิงสัญลักษณ์ รูปเหมือนของเขาพบได้ทั่วไปในประเทศจีน ประดับไว้ทั้งในสถานที่สำคัญและไม่สำคัญ ทั้งพิมพ์อยู่บนธนบัตรเงินหยวน หนังสือ สิ่งพิมพ์ และสื่อต่างๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังยกย่องเขา แม้จะรับรู้ความจริงกันมากแล้วว่า ในยุคสมัยที่เขาปกครองอยู่นั้น ประเทศจีนแร้นแค้นมาก ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนมากและไร้เสรีภาพโดยสิ้นเชิง นโยบายเขย่งก้าวกระโดดของเขา (Great Leap Forward) ทำให้เกิดขาดแคลนอาหารและผู้คนล้มตายหลายสิบล้านคน และนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) ก็ทำให้เกิดความสับสนปั่นป่วนวุ่นวาย เกิดโกลาหลทั่วทั้งแผ่นดิน พวกกุมารแดงหรือ Red Guard ที่เขาให้ท้ายและใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ยอมเคารพกฎหมาย ฆ่าแกงจับขังทรมารผู้มีอุดมการแตกต่างและฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากมายมหาศาล เผาวัดวาอาราม ทำลายสถานที่และวัตถุโบราณตลอดจนหนังสืออันเป็นมรดกสำคัญของวัฒนธรรมจีนทว่าพวกเขาเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนวัฒนธรรมเดิมที่ต้องถูกทำลายทิ้งถอนรากโคนให้สิ้นซาก และเหมายังถือโอกาสกวาดล้างเพื่อนฝูงนักปฏิวัติตลอดจนลูกน้องเก่าที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาในยุคสงครามกลางเมือง บ้างถูกประจานและปล่อยให้ตาย (เช่นอดีตประธานาธิบดีหลิวซ่าวฉี) บ้างก็ถูกทรมารจนพิการหรือวิกลจริต และบ้างก็ถูกเนรเทศให้ไปใช้แรงงานตามท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกล (เช่นเติ้งเสี่ยวผิง เป็นต้น)
ทำขนาดนี้ยังสามารถกุมอำนาจสูงสุดอยู่ได้อย่างไร?
เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์จีนและสังคมจีนช่วงนั้น จะเห็นได้ไม่ยากว่ากลยุทธ์สำคัญที่เหมาเจ๋อตงใช้ในการยึดกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้อย่างยาวนานจนตลอดชีวิต แม้จะสร้างผลงานที่แย่ๆ ไว้มากมาย สามารถแสดงให้เห็นเป็นข้อสำคัญดังนี้
ข้อแรก เขาชอบชูคำขวัญอันยิ่งใหญ่
คือเขาสามารถสร้างให้มวลชนเชื่ออย่างมั่นคงเสมอว่า ทุกสิ่งที่เขาทำ เขากำลัง “รับใช้ประชาชนมวลราษฎรทั้งหลาย” ที่เขารักและยกย่อง แม้ว่าโดยความเป็นจริงแล้วเขาจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองก็ตาม
เหมาเจ๋อตงเกิดในครอบครัวชาวนาที่พอมีอันจะกินบ้าง แต่เมื่อเขาขึ้นเป็นใหญ่แล้ว เขาใช้ชีวิตไม่ต่างจากฮ่องเต้ในอดีต พำนักในราชวังเดิม แวดล้อมไปด้วยสนมและองครักษ์จำนวนมาก ไปไหนมาไหนต้องมีคนแบกเกี้ยว และมีบ้านตากอากาศจำนวนมากทั่วประเทศจีน ที่ต้องได้รับการอารักขาอย่างแน่นหนา
โดยเนื้อแท้แล้ว เหมาเจ๋อตงเป็นปัญญาชนนักปฏิวัติ คือเขาสนใจเรื่องทางความคิดความอ่านมากกว่าความสำคัญหรือค่าของชีวิตคน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการอ่านหนังสือ เขามักให้เผยแพร่รูปถ่ายที่ตัวเขานั่งอ่านท่ามกลางกองหนังสือรกๆ และจับภู่กันหรือปากกาเขียนหนังสือเสมอ เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์ความเป็นปัญญาชนของตัวเองไปทั่วโลก เขาเป็น Idealist ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการสังคมของ Marx ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเขาเอง) จะสามารถขจัดชนชั้นและสร้างความเท่าเทียมของมวลมนุษย์ได้ เขาใช้ประเทศจีนเป็นห้องทดลอง และใช้ราษฎรจีนเป็นหนูทดลอง เขาออกแบบระบบสังคมและทดลองนโยบายต่างๆ ที่เชื่อว่าจะสร้างสังคมพระศรีอาริย์ แบบที่ Marx ได้ทำนายไว้ โดยไม่สนว่าประชาชนจะเดือนร้อนยากจนอดอยากพลัดพรากจากครอบครัวและไร้เสรีภาพสักเพียงใด โดยที่ตัวเขามีความเป็นอยู่แบบฮ่องเต้ ตลอดเวลาที่เขาทำการทดลองนั้น
นโยบายจำนวนมากของเขาที่ทะยอยออกมาหลังยึดอำนาจได้แล้ว ล้วนเป็นไปเพื่อการนี้ ตั้งแต่นโยบายปฏิรูปที่ดิน (จริงๆ คือยึดที่ดินและทรัพย์สินของชนชั้นพ่อค้า นายทุน ศักดินา) นโยบายขจัดความคิดเอียงขวา (คือการกวดล้างนายทุนน้อยหรือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กรายย่อย อีกทั้งผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคฯ และตัวเขา) นโยบายเขย่งก้าวกระโดด ที่ต้องการผลักให้สังคมจีนจากสังคมเกษตรมาสู่อุตสาหกรรมโดยก้าวกระโดด (ซึ่งก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ผู้คนต้องล้มตายหลายสิบล้านคน) และนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม (คือการกวาดล้างศัตรูและผู้ไม่เห็นด้วยกับความคิดซ้ายจัดของเขาครั้งใหญ่)

ความผิดพลาดจากนโยบายหลายอย่างของเขาทำให้ผู้คนต้องล้มตายกว่า 70 ล้านคนในยุคของเขา แต่เขาก็สามารถทำให้คนเชื่อว่าทั้งหมดนั้น เขาทำเพื่อรับใช้มวลชน และเขาจะหมั่นโฆษณาคำขวัญของพรรคฯ เสมอว่า “พรรคฯ ต้องรับใช้มวลชน”
นั่นทำให้เรานึกถึงผู้นำธุรกิจหรือนักการเมืองประเภท “ปากอย่างใจอย่าง” ที่มักตะโกนคำขวัญทำนองนี้กันอยู่ในปัจจุบัน.... “เข้ามาเพื่อรับใช้ประชาชน” “ยอมกลืนเลือดเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า” “โกหกเพื่อชาติ” หรือแม้กระทั่ง “องค์กรของเรารักษ์โลกและทำเพื่อสังคม” และสโลแกนของโครงการ CSR ต่างๆ ที่มีอย่างเกลื่นกลาด
ข้อต่อมา คือใช้การโฆษณาชวนเชื่อให้เป็นประโยชน์กับการบริหารจัดการ
เมื่อเขายังเดินทัพทางไกลอยู่นั้น เขาใช้วิธีอนุญาตให้นักข่าวอเมริกันเข้าถึงตัวเขาเพื่อมากินมานอนใช้ชีวิตอยู่กับกองกำลังปฏิวัติของเขาและทำการสัมภาษณ์เขาไปด้วย โดยเขาใช้วิธีพูดคุยอย่างเป็นกันเองพร้อมแสดงภูมิปัญญาอันลึกซึ้งของตัวเองอย่างเต็มที่และเลี้ยงดูปูเสื่อฝรั่งแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ตลอดจนยอมให้เข้าถึงความลับหรือกลยุทธ์สำคัญบางประการในช่วงนั้น ทำให้นักข่าวเหล่านั้นเกิดความประทับใจ แล้วกลับไปเขียนหนังสือ จนโด่งดังไปทั่วโลก นับเป็นการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากในระดับโลก
เมื่อเขายึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ เขาให้ความสำคัญกับทีมโฆษณาชวนเชื่ออย่างมาก เขาเลียนแบบสิ่งที่ Joseph Geobbel ทำในสมัยนาซีเยอรมัน และสตาลินทำในโซเวียต ทั้งการออกแบบสถาปัตยกรรมและเครื่องแต่งกายของบรรดาสมาชิกพรรคฯ ทั้งสิ่งพิมพ์ของพรรคฯ โปสเตอร์จำนวนมาก (ปัจจุบันเป็นที่ต้องการอย่างมากของนักสะสม) และที่สำคัญคือ “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง” ที่เป็นข้อเขียนและบทปฐกถาในวาระต่างๆ ของเขาเอง ที่บังคับให้ผู้ปฏิบัติงานของพรรค (Cadre) และประชาชน ต้องอ่านและมีไว้ประจำบ้าน โดยผู้ที่ยังคิดเห็นเป็นอื่น หรือปฏิบัติผิดแนวทาง จะถูกจับเข้าค่ายแรงงาน เพื่อไปใช้แรงงาน (อ้างว่าเพื่อฝึกให้รู้จักเสียสละ) และรับการศึกษาเสียใหม่ (Re-education) ซึ่งเป็นการล้างสมองแบบหนึ่ง
นโยบายโฆษณาชวนเชื่อ เป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบเผด็จอำนาจ เพราะต้องอาศัยการจูงใจให้มวลชนเสียสละ ยอมลำบากลำบน โดยอ้างว่าเพื่อส่วนรวม และหลายครั้งต้องโกหกหรือพูดความจริงไม่หมด เพื่อให้คนคิดเหมือนกัน หรือไม่ก็เพื่อหลอกให้ศัตรูเผยโฉมออกมา (เช่นนโยบาย “ร้อยบุปผาเบ่งบาน” ของเหมาเจอตงที่ล่อให้ปัญญาชนฝ่ายตรงข้ามเชื่อและยอมเผยความคิดต่างออกมา จึงถูกชี้เป้าได้ง่ายขึ้น)
สมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาได้ใช้และหันเหให้สื่อของรัฐและพรรคฯ ทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับตัวเขา และสิ่งที่เขาทำเพื่อ “รับใช้มวลชน” เพื่อให้เกิด “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” คือบูชาตัวเขาขึ้นในเมืองจีน จนต่อมาเมื่อเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดได้แล้ว จึงสั่งให้เลิก รวมทั้งสโลแกน “รับใช้มวลชน” ของเหมา ก็ถูกเติ้งเปลี่ยนใหม่เป็น “หาความจริงจากข้อเท็จจริง” ซึ่งเขาใช้เป็นสโลแกนของนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจอันโด่งดังของเขา หรือ “นโยบายสี่ทันสมัย” นั่นเอง
ข้อที่สาม คือเขาใช้วิธีสอดส่องพฤติกรรมของลูกน้องและศัตรู
เหมาเจ๋อตงมักใช้วิธีกวาดล้างลูกน้องเพื่อนฝูงและศัตรูทางการเมืองที่ตัวเองมองว่าจะเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจตนหากปล่อยไว้ ตลอดจนพวกที่ไม่เห็นด้วยกับตนก็ถูกสอดส่องจับตาอย่างใกล้ชิดจากกองตำรวจลับและถูกทำให้ตกอยู่ภายใต้ความกลัว เพื่อควบคุมไม่ให้แข็งข้อและปฏิบัติออกนอกแนวทางที่ตนคิดว่าถูกและบอกให้ทำ
ในยุคของเขา ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยตำรวจลับ (คล้ายๆ Agent ของ CIA หรือ KGB) แทรกซึมเข้าไปสู่ทุกหน่วยของสังคม ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ขึ้นไปจนถึงหน่วยงานของรัฐและระดับนำของพรรคฯ เพื่อคอยสอดส่องและรายงานพฤติกรรมของทุกคน (ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น ไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวเดียวกัน ก็สอดส่องกันเองด้วย)

บทแรกของ “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง” ที่เขาเขียนนั้นขึ้นต้นด้วยคำถาม 2 ประโยคว่า “ใครเป็นศัตรูของเรา? ใครเป็นมิตรของเรา? ปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญอันดับแรกของการปฏิวัติ”
เหมาเจ๋อตงเป็นนักบริหารที่ระวังตัว ไม่ยอมให้ลูกน้องที่เขาใช้งานในการบริหารราชการแผ่นดินเข้าใกล้ชิดจนมากเกินไป เพราะเขาถือว่าตัวเขาคือ “อำนาจ” การเข้าใกล้เขามาก จะทำให้พวกเหล่านั้นพลอยมีอำนาจไปด้วย สไตล์การบริหารของเขามีลักษณะเฉียบขาดและยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก การประเมินผลงานขึ้นอยู่กับความพอใจของเขา บทจะโปรโมทใครที่เขาพอใจ ก็อาจเติบโตได้แบบก้าวกระโดด แต่บัดเดี๋ยวก็อาจถูกสั่งปลดหรือสั่งขังหรือเนรเทศเมื่อเขาไม่พอใจขึ้นมา หรือเมื่อเขามองว่าสถานการณ์ต้องเป็นแบบนั้น (ลองดูชะตากรรมของเติ้งเสี่ยวผิง) เขายอมสละแม้กระทั่งลูกเมีย หากมันจำเป็น (แม้แต่หมอที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ เขายังปล่อยให้ตายในคุก เพราะถูกยัดข้อหาที่ไม่เป็นธรรม)
เขาศึกษาประวัติศาสตร์มากและลึกซึ้ง เขานับถือนโปเลียน เลนิน และสตาลิน ทำให้เขาทราบว่านโปเลียนใช้กองตำรวจลับ (Secret Police) เป็นเครื่องมือในการกวาดล้านศัตรูทางการเมือง โดยให้ฟูเช่ (Joseph Fouche) ซึ่งเขาไว้ใจ เป็นผู้ควบคุม เลนินเองก็ศึกษาจากนโปเลียน โดยเขาได้ให้ตั้งหน่วยตำรวจลับขึ้นทันทีที่พรรคบอลเชวิกยึดอำนาจได้ และหน่วยนี้ก็เพิ่มความสำคัญขึ้นอย่างมากถึงมากที่สุดในยุคของสตาลิน (ภายใต้การควบคุมของแบเรีย) ที่ใช้ตำรวจลับกวาดล้างศัตรูไปเป็นจำนวนหลายสิบล้านคน โดยต่อมา ฮิตเลอร์ก็นำกลยุทธ์นี้มาใช้ และใช้ได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากๆ ตามแบบเยอรมัน ทำให้หน่วย “เกสตาโป” ของเขาเป็นที่น่าเกรงขามอย่างมาก ไม่ต่างกับ “เคมเปไต” ของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นชาติที่วินัยเข้มแข็งและทำอะไรได้ทรงประสิทธิภาพไม่แพ้เยอรมัน
เหมาเจ๋อตงก็ได้ใช้บริการของหน่วยงานตำรวจลับเช่นเดียวกัน (ภายใต้การควบคุมของคังเซิน) โดยหน่วยของเขาก็โหดเหี้ยมน่าเกรงขาม ไม่แพ้เกสตาโปและเคมเปไต ที่ไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ทั้งจับเข้าค่ายกักกัน ทรมานด้วยวิธีโหดร้าย ขังลืม แบล็กเมล์ด้วยการลักพาตัวสมาชิกครอบครัวสมาชิกพรรคระดับสูง ใส่ร้ายป้ายสี และยัดข้อหาดื้อๆ ฯลฯ
ข้อสุดท้าย คือเขาเก่งในการออกแบบนโยบายใหญ่ๆ ใหม่ๆ ได้เสมอๆ
เหมาเจ๋อตงเป็นคนคิดการใหญ่ นโยบายที่เขาคิดและออกแบบขึ้นตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจ ล้วนเป็นนโยบายประเภท “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน”... “ขุดรากถอนโคนความคิดเก่า” “ขจัดพวกฉวยโอกาสเอียงขวา ซากเดนศักดินา ลูกสมุนทุนนิยมและจักรวรรดินิยม” “เขย่งก้าวกระโดด” “ปฏิวัติวัฒนธรรม”....ด้วยไอเดียอันบรรเจิดของเขา ข้าราชการและราษฏรจีนในยุคของเขาแทบจะไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน ตลอดระยะเวลา 30 ปี
บางทีการขยันคิดออกแบบนโยบายใหญ่ๆ ประเภทพลิกฟ้าคว่าแผ่นดินออกมาอย่างไม่ขาดสาย ก็เป็นการกลบเกลื่อนความไร้ประสิทธิภาพหรือความล้มเหลวของนโยบายเก่าได้ดีเหมือนกัน เปรียบได้กับผู้นำขององค์กรธุรกิจที่มักประกาศปรับองค์กรอยู่ตลอดเวลา บัดเดี๋ยวก็ Restructuring บัดเดี๋ยวก็ Re-engineering บัดเดี๋ยวก็ Re-thinking บัดเดี๋ยวก็ Re-branding
ทั้งหมดนี้ ทำให้เหมาเจ๋อตงกลายสภาพเป็นดั่งเทพเจ้าในสายตาคนจีนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา พวกเขามองไปที่ผู้นำเพื่อคอยฟังบัญชาว่าเหมาจะให้เขาเดินอย่างไรต่อ พวกเขามองไปที่เหมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเมื่อพวกเขาสิ้นหวัง
เราทราบกันดีแล้วว่า ในยุคของเหมานั้น เศรษฐกิจของจีนล้มเหลว ประเทศจีนเป็นประเทศยากจน เกษตรกรรมล้าหลัง อุตสาหกรรมล้มเหลว ระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ ความคิดสร้างสรรค์แห้งแล้ง และไร้นวัตกรรม อีกความกลัวยังปกคลุมไปทั่ว ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตมากกว่า 70 ล้านคน ไม่นับที่ต้องทุพลภาพและวิกลจริตไปเพราะถูกยัดข้อหาทางการเมืองที่ไร้หลักฐาน
ถึงกระนั้น เหมาเจ๋อตง ผู้นำที่ต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพดังว่านั้น ก็ยังคงกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้ตลอดมา
และประชาชนชาวจีนก็ยังรักและเคารพประธานเหมาของพวกเขาเสมอ
นี่น่าจะเป็นบทเรียนให้ใครซึ่งกำลังครองตำแหน่งผู้นำองค์กรจำนวนมาก ที่รู้ตัวว่าไม่ได้เก่งกาจอะไร ทว่าต้องการที่จะครองอำนาจสูงสุดไว้ในมือจนตายคาตำแหน่ง

โดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว / Editor in Chief _MBA magazine
29/09/2566
7 สิงหาคม 2566 เป็นวันดีอีกวันหนึ่งของ Warren Buffet
Berkshire Hathaway เพิ่งรายงานผลกำไรของไตรมาส 2 ปีนี้ ว่าสูงถึง 3.6 หมึ่นล้านเหรียญฯ ถือเป็นกิจการที่ทำกำไรสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นสูงสุดเท่าที่เคยเป็นมา (All Time High)
ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ ราคาหุ้น BRKA ขึ้นไปปิดที่ 550,446.06 เหรียญฯ คือราวๆ 19.5 ล้านบาทต่อหุ้น
ถือว่าเป็นข่าวดีมากสำหรับผู้ถือหุ้น BRKA ในรอบสิบกว่าปีมานี้ ซึ่ง Buffet ช่วยให้พวกเขากลายเป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนหน้า
ตัวเขาเอง นอกจากจะมีตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยในระดับ Top 10 ของโลกแล้ว ยังเป็นดัง “พระเจ้า” ของแวดวงนักลงทุน นักเล่นหุ้น ทั่วโลก ที่ล้วนแต่เงี่ยหูฟังคำแนะนำของเขา
ที่ผ่านมา เขาได้แบ่งปันความรู้และวิธีคิดตลอดจนกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของเขาเสมอมา
ดูเผินๆ คำแนะนำเหล่านั้น ก็ราวกับเป็น common sense พื้นๆ
ใช่แล้ว เรื่องพื้นๆ นี่แหล่ะ ที่จะช่วยเตือนสติเรา ให้คำนึงถึงรากฐานที่ต้องแน่นเสียก่อนจะต่อยอดไปไหน
เช่นแนวคิดเรื่อง “Wide Moat” ที่เขาชอบพูดเสมอๆ
เข้าใจว่า Buffet เริ่มเสนอแนวคิดนี้ตั้งแต่ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง ในคราวการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire เมื่อปี 2538 ที่เขาเปรียบเทียบกิจการที่เขาชอบเข้าไปซื้อหุ้นว่า เหมือนกับปราสาทที่มีป้อมปราการสูงและมั่นคง ล้อมรอบไปด้วยคูน้ำคันดินที่กว้างขวาง ลึก และแข็งแรง ยากแก่การโจมตีของข้าศึก
อีกทั้งยังต้องบริหารจัดการโดยอัศวินหรือเจ้าของปราสาทที่เก่งกล้าสามารถและซื่อสัตย์สุจริต
ตีความได้ว่า กิจการที่เขาชอบที่จะเข้าไปลงทุนนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคง และมีขีดความสามารถเชิงแข่งขัน (Competitive Advantage) ที่เหนือกว่าคู่แข่ง ยากแก่การเอาชนะได้
ไม่ว่าขีดความสามารถนั้น จะเป็นต้นทุนที่ต่ำจนคู่แข่งในอุตสาหกรรมไม่สามารถเลียนแบบได้ หรือกิจการเหล่านั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีขวากหนามสูง (High Entry Barrier) ยากแก่การที่คนนอกจะเข้ามาแข่งขันได้โดยง่าย หรือกิจการนั้นอาจครอบครองแบรนด์ชั้นนำที่มีคุณค่าในสายตาลูกค้า และลูกค้ามีความจงรักภักดีอย่างยิ่ง

นั่นคือเหตุผลเบื้องลึกที่พอร์ตของ Berkshire Hathaway ต้องถือครองหุ้นอย่าง Amazon.com (AMZN), Apple (AAPL), Visa (V), และ Coca-Cola (KO)
Amazon.com เพราะสามารถทำต้นทุนต่ำ ในขณะที่มีสินค้าครอบคลุมหลากหลายอย่างมากมายมหาศาล เป็น One-stop Destination สำหรับผู้บริโภค ยากต่อการลอกเลียน
Apple เพราะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีสาวกมากมายทั่วโลก และผลิตสินค้าทุกชนิดออกมาขาย ล้วนเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง
Visa เพราะเป็นกิจการที่คนรู้จักดีทั่วโลก แบรนด์ไม่เสีย และทะลุทะลวงสู่ตลาดใหม่ๆ เสมอ
Coca-Cola เพราะเป็นกิจการเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก มีคนรู้จักแบรนด์ Coca-Cola ทั่วโลก ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ล้วนรู้จักดี
ที่สำคัญ กิจการเหล่านี้ล้วนบริหารโดยอัศวินหรือนักบริหารที่ (อย่างน้อย) เขาคิดว่าเป็นกลุ่มที่สามารถ และเห็นแก่ผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน (แม้หลายครั้ง คนเหล่านี้จะทำให้เขาต้องปวดหัว และต้องลงมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ก็ตาม)

แน่นอนว่าแนวคิดอันนี้ เป็นแนวคิดที่ทรงพลัง
ทว่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พูดง่ายแต่ทำยาก และเป็นพลังพื้นฐานเบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริงของ Berkshire Hathaway ซึ่งบัพเฟตยึดถือมาตลอดในการสร้างพอร์ตของเขา
นั่นคือแนวคิดที่ว่า “คุณต้องพร้อมเสมอที่จะลงทุนเมื่อโลกทั้งโลกกำลังหยุด”
เขากล่าวไว้ในปาฐกถาเมื่อปี 2556 ณ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ว่า
“Berkshire ต้องถือเงินสดจำนวน 2 หมึ่นล้าน ไว้ในมือเสมอ ฟังดูเหมือนบ้า เพราะธุรกิจไม่จำเป็นต้องทิ้งเงินไว้เฉยๆ แยะขนาดนั้น แต่วันหนึ่งในอนาคต อาจจะเป็น 100 ปีข้างหน้าที่โลกหยุดอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเราก็พร้อมเสมอ มันต้องมีวิกฤติเกิดขึ้น อาจเป็นพรุ่งนี้ แต่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เราจำเป็นต้องมีเงินในกระเป๋า เพราะถึงตอนนั้น เงินสดจะเปรียบเหมือนอ็อกซิเจน (ที่เราต้องใช้หายใจ ถ้าขาดมันเราก็ต้องตาย)”
ใช่ “Cash at that time is like Oxygen”
แต่ในความเป็นจริง โลกเรามักจะเจอวิกฤติเสมอ ไม่ต้องรอถึง 100 ปีหรอก
จากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 มาสู่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 และวิกฤติโควิดที่เพิ่งผ่านพ้นไป
มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนที่มีเงินสดในมือจำนวนมากนั้น สามารถเลือก “ช้อนซื้อ” สินทรัพย์ดีๆ ได้ในราคาถูกมากๆ อย่างยากที่จะหาได้ในเวลาปกติ
และเมื่อตลาดเริ่มเปลี่ยนเป็นขาขึ้น พวกเขาก็จะทำกำไรได้อย่างมหาศาล
นั่นคือบทเรียนที่เราเรียนรู้จากความสำเร็จของ Warren Buffet

โดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว / Editor in Chief _MBA magazine
29/09/2566
เมกะเทรนสำคัญของโลกที่กำลังเกิดขึ้นและจะดำเนินไปอีกเป็นสิบปีนับจากนี้ คือการสลายตัวของระบบโลกาภิวัฒน์ และนำโรงงานและฐานการผลิตกลับสู่บ้านตัวเองของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังจะมีการกีดกันการค้าและปกป้องเทคโนโลยีของตนให้เข้มข้นขึ้น
หลายคนเรียกเทรนสำคัญนี้ว่า “Re-calibrations” ไทยเราจะรับมือกับโลกที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปนี้อย่างไร?

โลกเราในรอบ 40 กว่าปีมานี้ เสียเงินเสียทองและทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนไปกับการสถาปนาระบบ Globalization หรือที่เราแปลไทยว่า “โลกาภิวัฒน์” ขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเศรษฐกิจ การค้า การผลิต และการเงินของทั้งโลก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา
นับแต่จีนเปิดประเทศและแบ่งเขตภาคตะวันออกให้เป็นฐานการตั้งโรงงานผลิตของโลกตะวันตก โดยป้อนแรงงานราคาถูกที่มีอยู่เป็นจำนวนมหาศาลให้กับโรงงานเหล่านี้ กิจการธุรกิจของประเทศตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ก็ย้ายฐานไปผลิตในจีน ยุบเลิกโรงงานในประเทศ แล้วนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกจากจีนแทน โดยในประเทศก็ได้จัดตั้งห้างยักษ์ใหญ่ที่ขายสินค้าราคาถูก และมีเครือข่ายทั่วประเทศ เช่น Walmart และอีกหลายแห่ง ขึ้นบริการผู้บริโภคของตัว
ฝ่ายจีนนั้นเล่า เมื่อรับเงินดอลล่าร์เข้ามาเป็นรายได้จากการส่งออก ก็ได้นำกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน ถือไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศภายใต้โลกาภิวัฒน์และเปิดเสรีทางการเงิน จนจีนได้กลายเป็นเจ้าหนี้รายสำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้
มิเพียงจีนเท่านั้น ที่เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ Eastern Seaboard เพื่อรับเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งไทยเองก็ได้ดำเนินนโยบายแบบนี้เช่นกัน ส่งผลให้ไทยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Globalization แบบเต็มตัว และเต็มที่หลังจากเปิดเสรีทางการค้าและการเงินด้วยอีกช่องทางหนึ่ง
Globalization มาถึงจุดสูงสุดหลังจากโซเวียตล่มสลาย ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าโลกแต่ผู้เดียว และเป็นช่วงที่ American Empire ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกด้วย

ระบบแบบนี้พอทำไปนานเข้า ส่งผลให้โรงงานในสหรัฐฯ ยุโรปและญุ่ปุ่น ต้องปิดตัวลง ชนชั้นกลางลำบาก อีกทั้งกิจการที่เข้าสู่ระบบนี้ แม้โรงงานในบ้านจะปิดตัวลง แต่ก็สามารถทำกำไรได้มากเพราะต้นทุนการผลิตต่ำลง ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนก่อให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น และส่งผลต่อการเมืองในประเทศ เป็นรากฐานให้นักการเมืองฝ่ายขวาขึ้นมามีอำนาจ อีกทั้งยังต้องสูญเสียความลับทางการผลิตหรือเทคโนโลยีให้กับจีน จนจีนผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง และจีนเองก็เริ่มไหวตัว นำเงินสำรองออกมาใช้ขยายแสนยานุภาพและขยายอิทธิพลไปทั่วโลก อย่างที่เห็นกันอยู่
อีกทั้งค่าแรงในจีนที่สูงขึ้นมากๆ เมื่อเทียบกับอดีต และปัญหาละเมิดสิทธิบัตรและขโมยความลับทางการผลิตต่างๆ ตลอดจนคุณภาพการผลิตของโรงงานจีน ที่หลายครั้งต้องนำมาแก้ไขก่อนส่งมอบให้ลูกค้า ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
สถานการณ์โควิดทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นเมื่อจีนปิดประเทศและล็อกดาวน์เข้มงวดทำให้ Supply Chain ของโลกปั่นป่วน เพราะขาดวัตถุดิบพื้นฐานแทบทุกด้าน เคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้กระทั่งยาสำคัญหลายชนิด เช่น Antibiotic ก็ยังขาดแคลน เป็นต้น อีกทั้งปัจจุบันค่าแรงในจีนก็สูงขึ้นมากๆ เมื่อเทียบกับอดีต และรัฐบาลจีนเองก็ประกาศชัดเจนว่าจะเข้าควบคุมไต้หวันให้เป็นส่วนหนึ่งให้ได้ โดยที่ไต้หวันเป็นฐานการผลิตใหญ่ของ Micro-processor Chips ชั้นสูง ที่เป็นสมองของระบบเศรษฐกิจแบบดิจิตัล
เหล่านี้ทำให้กิจการของตะวันตกต้องหันมาลดความเสี่ยงของตนลง โดยเริ่มย้ายฐานการผลิตที่มีความสำคัญกลับบ้านหรือย้ายไปที่อื่นแทน เพื่อกระจายความเสี่ยง Systematic Risk นั่นเอง
ที่เห็นชัดเจนคือวงการชิปและกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งได้ทยอยกลับไปสหรัฐฯ กันมาก ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel, Samsung, Micron, และ TSMC ต่างประกาศโครงการลงทุนมหาศาลของตัวไปแล้ว อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแพ็กเกจใหญ่ภายใต้กฎหมาย CHIPS เพื่อจูงใจให้กิจการย้ายฐานกลับบ้าน เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง 3-D Printing ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก ก็มีส่วนสำคัญ ให้โรงงานรุ่นใหม่ผลิตด้วยต้นทุนต่ำ และตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมาอยู่ใกล้ตลาดในบ้านได้ง่ายขึ้น หรือเทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์และ AI ก็ช่วยลดปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานไปได้ เพราะแม้สังคมตะวันตกจะเข้าสู่สังคมสูงอายุกันมาก ก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการผลิต
เทรนแห่งการลดความเสี่ยง โดยกระจายฐานการผลิตออกจากจีนเพิ่งเริ่มต้น และกำลังจะโหมกระหน่ำแรงขึ้นๆ เมื่อความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เปิดเผยรุนแรงขึ้น
การโดดเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ของซาอุดิอาราเบีย อิหร่าน UAE อาร์เจนตินา อียิปต์ และเอธิโอเปีย ยิ่งจะทำให้กลุ่ม BRICS ซึ่งมีจีนและรัสเซียเป็นโต้โผ เข้มแข็งขึ้น และอีกไม่นาน กลุ่มนี้อาจหันไปใช้เงินสกุลอื่นมาซื้อขายน้ำมันและพลังงานแทนดอลล่าร์ ส่งผลให้ Petrodollar ลดความสำคัญลง
หากไทยเราสามารถดำเนินการเชิงรุกในช่วงนี้ นำเสนอบริการแพ็กเกจจูงใจที่น่าสนใจ เพื่อช่วงชิงกิจการสมัยใหม่ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจแบบใหม่ของโลก และคาดว่าจะเติบโตในอนาคต ให้เข้ามาลงทุน และแบ่งปันความรู้ทางการผลิตให้เรา ย่อมเป็นเรื่องเร่งด่วน

โดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว / Editor in Chief _MBA magazine
29/09/2566
เคทีซีตอกย้ำจุดยืนความปลอดภัยของสมาชิกเป็นสำคัญ พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทุจริต อย่างต่อเนื่องและติดตามข้อมูลการใช้จ่ายหากผิดปกติแจ้งสมาชิกทันทีเพื่อป้องกันมิจฉาชีพบนออนไลน์ พร้อมแนะนำ 6 ข้อต้องรู้ก่อนทำธุรกรรม
นายไรวินทร์ วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลโกงมิจฉาชีพที่หลอกดูดเงินได้ปรับเปลี่ยนวิธีการตลอด มีทั้งการหลอกให้โอนเงินหรือสวมสิทธิ์ในแอปพลิเคชันเพื่อหลอกดูดเงินจากบัตรเครดิตทำให้ยังมีผู้ตกเป็นเหยื่อโดยไม่ทันระวัง ถึงแม้เทคโนโลยีการเงินในปัจจุบันจะพัฒนาระบบให้สอดรับกับผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการทำธุรกรรม
“ลักษณะมิจฉาชีพที่ติดต่อเข้ามามีหลายช่องทาง ทั้งสร้างเรื่องให้มีความกลัว เช่นหลอกว่าเราได้รับของผิดกฎหมายหรือของค้างอยู่ที่กรมศุลกากร ถ้ามีลักษณะที่ต้องสงสัยว่าเราไปทำอะไรผิดมา แต่ไม่ได้ทำก็อย่าหลงเชื่อ หรือ การหลอกโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันที่เราใช้อยู่ ต้องมีการใส่รหัสผ่านที่ใช้เพียงครั้งเดียว หรือ OTP (One Time Password) ถ้าเราไม่ทันระวังให้รหัสไป มิจฉาชีพก็จะนำไปใช้ได้” นายไรวินทร์กล่าว
เคทีซีในฐานะผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่ดำเนินการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมได้ศึกษาและพัฒนาระบบบริหารการป้องกันภัยทุจริตให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าเป็นสำคัญและมีทีมงานที่ดูแลตรวจสอบการใช้จ่ายของสมาชิกเมื่อพบสิ่งผิดปกติ จะรีบติดต่อสมาชิกผู้ถือบัตรทันทีเพื่อป้องกันมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที พร้อมแนะนำ 6 วิธีป้องกันภัยจากมิจฉาชีพออนไลน์ ดังนี้
1. ตั้งสติและอย่าหลงเชื่อข้อมูลตามที่มิจฉาชีพแจ้ง
2. ไม่กดลิงค์ต่างๆ ที่ได้รับโดยไม่รู้จักแหล่งที่มา
3. กำหนดรหัสผ่าน (Password) ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการเงินให้มีความหลากหลาย อย่าใช้รหัสซ้ำเพื่อป้องกันการคาดเดาและนำไปใช้ต่อจากผู้ไม่หวังดี
4. ไม่แจ้งรหัสผ่าน และ OTP ให้ผู้อื่นทราบอย่างเด็ดขาด และ ต้องอ่านข้อความให้ชัดเจนทุกครั้งเมื่อได้รับ OTP เช่น การระบุชื่อร้านค้าต้องถูกต้อง รายละเอียดสินค้าต้องตรงกับที่สมาชิกซื้อ เพื่อการกรอกข้อมูลที่ถูกต้อง
5. หากพบข้อสงสัยว่าจะถูกมิจฉาชีพหลอกข้อมูล ควรโทรศัพท์หรือติดต่อสอบถามหน่วยงานที่ถูกอ้างอิง
6. โหลดแอปพลิเคชันที่ช่วยระบุหมายเลขที่ไม่รู้จัก เช่น Whoscall เพื่อป้องกันมิจฉาชีพ
หากพบข้อสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ “SHR” บริษัทในเครือ “สิงห์ เอสเตท” เคาะอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้อายุ 3 ปี ที่ 5.00% ต่อปี มั่นใจกระแสตอบรับดี หลังปัจจัยหนุนธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ “วีซ่า-ฟรี” ที่จะช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยในช่วงไฮซีซั่น ขณะที่หุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “ลงทุน” ช่วยตอกย้ำความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับนานาชาติที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในเครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนระดับสากล กำหนดอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี ที่ระดับ 5.00% ต่อปี โดยจะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก ในระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคม 2566 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 3 แห่งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
หุ้นกู้ชุดดังกล่าวได้รับการอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นระดับ “ลงทุน” (Investment grade) ในขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 โดยอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนถึงคุณภาพที่ดีของกลุ่มสินทรัพย์โรงแรมของบริษัทฯ ที่มีความหลากหลายในเชิงภูมิศาสตร์ และการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า หนี้สินทางการเงินของบริษัทฯ จะลดลง เนื่องจากผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง
![]()
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า การกลับมาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปีนี้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลยุทธ์ในการผลักดันธุรกิจของ SHR ทำให้โรงแรมในกลุ่มสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ธุรกิจท่องเที่ยวยังได้รับการสนับสนุนของรัฐบาล ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการ “วีซ่า-ฟรี” ให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน เป็นระยะเวลา 5 เดือน และอาจจะขยายไปยังนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ทำให้ธุรกิจโรงแรมสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนให้ผู้ลงทุนมั่นใจให้การตอบรับหุ้นกู้ SHR เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่เคยให้การตอบรับหุ้นกู้ของ “สิงห์ เอสเตท”
ทั้งนี้ บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เป็นบริษัทในเครือของ สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโรงแรมที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีผลการดำเนินงานโดดเด่นในปีที่ผ่านมา โดยมีพอร์ตโฟลิโอของโรงแรมและรีสอร์ทที่มีมาตรฐานระดับโลกทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารและลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ทคุณภาพสูงในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วโลก โดย SHR ได้พัฒนาไลฟ์สไตล์แบรนด์ SAii (ทราย) ของตนเองขึ้นมาในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากแขกผู้เข้าพักในด้านการส่งมอบประสบการณ์และการบริการอันยอดเยี่ยม ด้วยบุคลิก แบรนด์ที่สนุกสนาน ภายใต้แนวคิดการผสานจุดแข็งที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย อาทิ ความมีน้ำใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเป็นมิตร ควบคู่ไปกับความคิดสร้างสรรค์ และกลิ่นอายของจุดหมายปลายทาง โดยนอกจากแบรนด์ SAii แล้ว SHR ยังเป็นพันธมิตรกับแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งในตลาดของตน โดยในปี 2566 บริษัทฯ มีโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง จำนวน 4,552 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั่วโลก
“ในปีนี้เรามีเป้าหมายขับเคลื่อนรายได้ให้สูงกว่า 10,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอย่างต่ำที่ 70% ควบคู่กับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน เรายังคงลงทุนในสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพสูงผ่านการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการส่งมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SHR กล่าว

ด้าน นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า SHR เป็นบริษัทในเครือ ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้มั่นใจว่าหุ้นกู้ SHR ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกจะได้รับการตอบรับอย่างดี
ขณะที่ สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า หุ้นกู้ SHR เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ด้วยอัตราดอกเบี้ยระดับ 5.00% ต่อปี อายุหุ้นกู้ที่เหมาะสม ภายใต้อันดับความน่าเชื่อถือระดับ “ลงทุน” รวมถึงการเป็นบริษัทในเครือ บมจ.สิงห์ เอสเตท ที่มีความแข็งแกร่งและมั่นคง ขณะเดียวกัน SHR ยังอยู่ในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอีกด้วย
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ “SHR” สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
* ซึ่งรวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
** ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) เดินหน้าปูพรมเสริมแกร่งความรู้กลยุทธ์บริหารความมั่งคั่งให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs และ HNWIs) ของเมืองไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ล่าสุด สานต่อซีรีส์สัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ SCB Julius Baer Advisory Series ภายใต้หัวข้อ "Solutions to Manage Dynamic Markets" โดยได้รับเกียรติจาก นางเจียจือ เฉิน ไซเลอร์ หัวหน้าฝ่ายการจัดการการลงทุนยุคใหม่ ธนาคารจูเลียส แบร์ สวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าผู้จัดการกองทุน Julius Baer Next Generation ร่วมแชร์หลักปรัชญาด้านการลงทุน โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าคนพิเศษสามารถแลกเปลี่ยนมุมมอง และพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับหัวหน้าผู้จัดการกองทุนอย่างใกล้ชิด ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนยุคใหม่ภายใต้ธีม Next Generation ที่มุ่งเน้นลงทุนในเทรนด์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว และเป็นเมกะเทรนด์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอันรวดเร็ว รวมถึงการใช้พลังงาน ประชากรศาสตร์ และการเพิ่มขึ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มโอกาสสำหรับบริษัทต่างๆ ในการขยายผลกำไร โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเมกะเทรนด์เหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ รวมถึงยังคงเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในการลงทุนยุคใหม่เพื่อสร้างการเติบโตของพอร์ตฟอลิโออย่างยั่งยืน
การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ในการนำเสนอโซลูชันและบริการที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมถึงการปูพื้นฐานความรู้ด้านการลงทุนแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ ด้วยสิทธิพิเศษในการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดและสามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับสากลได้โดยตรง เพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดทุกจังหวะการลงทุน โดยมี นางเจียจือ เฉิน ไซเลอร์ หัวหน้าฝ่ายการจัดการการลงทุนยุคใหม่ ธนาคารจูเลียส แบร์ สวิตเซอร์แลนด์ (กลาง) และ มร.เอเดรียน แมซสินาวเออร์ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (ที่ 2 จากขวา) และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมงานสัมมนา เมื่อเร็วๆ นี้
ภาพผู้บริหาร ซ้ายไปขวา
· มร.คีน ตัน (Mr. Kean Tan) หัวหน้าฝ่ายแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด
· มร.แอนดรูว์ ลี (Mr. Andrew Lee) Vice Chairman South East Asia ธนาคารจูเลียส แบร์ สิงคโปร์
· นางเจียจือ เฉิน ไซเลอร์ (Mrs. Jiazhi Chen Seiler) หัวหน้าฝ่ายการจัดการการลงทุนยุคใหม่ ธนาคารจูเลียส แบร์ สวิตเซอร์แลนด์
· มร.เอเดรียน แมซสินาวเออร์ (Mr. Adrian Mazenauer) กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด
· นางสาววิมลรัตน์ วชิรัคศศวกุล ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด
เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารยูโอบีได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท Guangzhou Auto Group (GAC) Aion เพื่อผนึกความร่วมมือแบบครอบคลุมทุกมิติในการเข้ามาทำธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยธนาคาร ยูโอบี ประเทศจีน และ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจะร่วมสนับสนุนสินเชื่อทางการเงินสำหรับการขยายธุรกิจ การพัฒนาตลาดและ การลงทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ของบริษัท
ข้อตกลงในครั้งนี้เป็นการสานต่อความร่วมมืออันยาวนานระหว่าง ธนาคารยูโอบี ประเทศจีน กับ GAC Aion ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ลำดับที่ 3 ภายในประเทศจีนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ GAC Aion และ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลล์ (ประเทศไทย) จะได้รับประโยชน์จากบริการ Global Credit Services เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการขยายกิจการและดำเนินธุรกิจ บริการธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ บริการบริหารความเสี่ยงที่หลากหลาย และการเข้าถึงสินเชื่อสีเขียวภายใต้กรอบแนวคิดการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนของธนาคารในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบีขอร่วมแสดงความยินดีกับ GAC Aion กับก้าวแรกแห่งความสำเร็จในการเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเทศไทย จากความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นอย่างยาวนาน ยูโอบีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่บริษัทเลือกธนาคารเป็นสถาบันทางการเงินหลักเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจนอกประเทศ ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาคที่มีรากฐานที่มั่นคงในประเทศไทย ยูโอบีได้ช่วยเหลือให้ GAC Aion ได้เข้ามาทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังเติบโตในประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จเพราะธนาคารมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นอย่างดี ยูโอบีพร้อมมอบความช่วยเหลือเพิมเติมให้แก่บริษัทเพื่อสนับสนุนความต้องการในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค และการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์สีเขียวต่อไปในอนาคต
บันทึกความเข้าใจนี้สืบเนื่องจากที่ GAC Aion ได้เปิดตัว Aion Y Plus รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายในต่างประเทศเป็นที่แรกในประเทศไทย โดยเมื่อปี 2565 บริษัทได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ในต่างประเทศ และเลือกภูมิภาคอาเซียนที่ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีประเทศไทยเป็นจุดหมายแรกในการปักธงธุรกิจ ธนาคารยูโอบีนำโดยหน่วยงานที่ปรึกษาด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment Advisory Unit) พร้อมด้วยผู้จัดการลูกค้าสัมพันธ์ และ หน่วยบริการธุรกิจจีนได้ร่วมให้คำแนะนำในการขยายธุรกิจแก่บริษัทในทุกมิติ ทำให้ Gac Aion สามารถจัดตั้งบริษัทย่อย จดทะเบียนลงทุนทางตรงในต่างประเทศ และส่งออกรถยนต์รุ่น Y Plus มาทำตลาดในไทย นอกจากนี้ธนาคารยังให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยสามารถชำระเงินเป็นสกุลเงินบาท และโอนเงินโดยตรงให้แก่บริษัทที่จีนเป็นสกุลเงินหยวนได้ทันที”
โอเชียน หม่า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วหลังจากที่บริษัทได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจต่างประเทศ เราได้เรียนรู้และสานสัมพันธ์กับธุรกิจในประเทศต่างๆ ผ่านเครือข่ายระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งของธนาคารยูโอบีทำให้เรามีข้อมูลและรับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเวลาขยายธุรกิจออกนอกประเทศ อีกทั้งธนาคารยังช่วยเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างบริษัทกับตัวแทนจากภาครัฐทั่วภูมิภาคอาเซียนที่ตั้งอยู่ในมณฑลกวางโจว และตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ยูโอบีจึงไม่เป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงินแต่เป็นคู่คิดที่อยู่เคียงข้างเราในทุกๆ ก้าวของการเดินทาง”
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Y Series ทุกรุ่น Gac Aion มีแผนที่จะตั้งโรงงานและใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยและประเทศอื่นๆ
กู่ ฮุ่ยหนาน กรรมการผู้จัดการบริษัท GAC Aion New Energy Automotive Co., Ltd กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทมีแผนจะใช้ประเทศไทยเป็นที่แรกเพื่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายในการขยายธุรกิจส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศ ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนจากธนาคารยูโอบีในการเข้ามาทำตลาดในภูมิภาคนี้เป็นอย่างดี บริษัทพร้อมจะเติบโตไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและยินดีที่จะร่วมงานกับธนาคารเพื่อเสริมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่ทุกคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ซินเทีย ซิง, Head of Corporate Banking, ธนาคารยูโอบี ประเทศจีน กล่าวว่า “ยูโอบีรู้สึกยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจาก GAC Aion พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นว่าการลงนามในข้อตกลงร่วมครั้งนี้จะกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการตอกย้ำจุดยืนของธนาคารในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินหลักของ Aion และ GAC Aion ที่พร้อมสนับสนุนการขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างครอบคลุมทั่วภูมิภาคอาเซียนผ่านการให้สินเชื่อหมุนเวียนทางธุรกิจ โซลูชันทางการเงินเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน (global markets)และกิจกรรมในตลาดทุน (capital markets)”
วันที่ 29 กันยายน ของทุกปีเป็นวันหัวใจโลกหรือ World Heart Day ได้ถูกตั้งขึ้น เพื่อให้ทุกคนตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับโรคหัวใจและหลอดเลือด และเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนให้มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาการ การดูแลรักษา การป้องกันและการรับมือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจากภาวะทางโรคหัวใจและหลอดเลือด ถึงแม้คำว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นคำที่คนทั่วไปคุ้นชิน อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจในแต่ละปีกลับเพิ่มสูงขึ้น และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลกถึง 17 ล้านคนต่อปี และ 40-50% ของจำนวนผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจมีสาเหตุมาจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน1 ดังนั้นภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจึงถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขของหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
ในฐานะหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ ฟิลิปส์ตระหนักถึงความสำคัญของอันตรายจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และมีความมุ่งมั่นในการเดินหน้ารณรงค์ถึงอันตรายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการให้ความรู้ด้านการช่วยชีวิตเบื้องต้นในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest: SCA) ที่อาจเกิดขึ้นนอกโรงพยาบาล เพราะสถิติแสดงให้เห็นว่าในหนึ่งวันมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากสาเหตุภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันกว่า 1,000 คนต่อวัน2 โดยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เมื่อ
ภาวะดังกล่าวไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนทั่วไปควรมีความรู้พื้นฐานในการช่วยชีวิต เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการลดอัตราการเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
ความแตกต่างระหว่างภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (SCA) และภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลัน(Heart Attack)
หนึ่งในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันของคนทั่วไปคือ ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest : SCA) คือภาวะเดียวกันกับภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลัน หรือ Heart Attack เมื่อหัวใจมีหน้าที่สูบฉีดเลือดเพื่อไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้สามารถทำงานได้ปกติ หัวใจจะทำงานด้วยจังหวะการเต้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาโดยเฉลี่ย 36-42 ล้านครั้งต่อปี โดยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือภาวะที่หัวใจหยุดทำงานอย่างกระทันหันด้วยความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ ทำให้หัวใจห้องล่างมีการเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรงหรือที่เรียกว่าหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว (Ventricular Fibrillation: VF) ซึ่งจะเกิดขึ้นในทันทีโดยไม่มีสัญญาณของอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นล่วงหน้า และเมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้นจะทำให้ไม่มีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายจนการทำงานของอวัยวะผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอพอ จะทำให้คนไข้มีอาการหมดสติภายในไม่กี่วินาทีและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยชีวิตด้วยการ CPR และใช้เครื่อง AED อย่างทันท่วงทีโดยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่สามารถพบบ่อยในผู้ใหญ่วัยกลางคนที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปี และมีสถิติการเกิดภาวะดังกล่าวในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2 เท่า3
![]()
ในขณะที่ภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลัน (Heart Attack) คือภาวะที่หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่สามารถสังเหตุได้เช่น อาการเจ็บหน้าอก เหงื่อออกเยอะ ใจสั่น หายใจสั่นและรู้สึกหายใจไม่อิ่ม อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ภาวะมีความเกี่ยวเนื่องกัน เพราะการเกิดภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลันอาจนำไปสู่การเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ทำให้ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นใน
ผู้ป่วยโรคหัวใจ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่ได้ป่วยโรคหัวใจมาก่อนได้ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า คนไทยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเฉลี่ยปีละกว่า 54,000 คน หรือประมาณ 6 คนต่อหนึ่งชั่วโมง4
สาเหตุการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด หรือในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี อาจเกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาชนิดไม่ทราบสาเหตุหรือภาวะเส้นเลือดหัวใจขาดเลือดในคนอายุน้อย และผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันอาจเกิดขึ้นจาก โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงหรือการสูบบุหรี่จัด5 นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในกรณีฉุกเฉินเช่น อุบัติเหตุ การออกกำลังกายหนักเกินไป การตกใจหรือพบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่ทำให้หัวใจเกิดการทำงานผิดปกติ ทางเดินหายใจอุดกั้น รวมทั้งอาจเกิดจากการได้รับยาเกินขนาดหรือแพ้ยา จะเห็นได้ว่าภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน
![]()
AED ตัวช่วยสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วจำเป็นต้องเริ่มการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานด้วยการนวดหัวใจหรือหากบริเวณนั้นมีเครื่อง Automated External Defibrillator หรือ AED ให้รีบนำเครื่องมาใช้ในทันที เพราะอ้างอิงจากสถิติของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาพบว่า 90% ของผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนอกโรงพยาบาล (Out-of-Hospital Cardiac Arrest: OHCA) มักเสียชีวิตในทันที ดังนั้นจะสังเกตได้ว่าตามสถานที่ต่าง ๆ จึงมีการติดตั้งเครื่อง AED ทั้งในสนามบิน โรงเรียน สนามกีฬา สถานีรถไฟฟ้าหรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าก็ตาม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิตของผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ได้กำหนดห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิต (Chain of Survival) เพื่อเป็นแนวทางในการช่วยเหลือผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนอกโรงพยาบาลไว้ 6 ขั้นตอน ดังนี้
· ประเมินสถานการณ์และแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินให้เร็วที่สุด (Activation of Emergency Response) หากพบผู้ป่วยหมดสติ หัวใจหยุดเต้น โทรแจ้งที่เบอร์ 1669 และทำการแจ้งอาการเบื้องต้นที่สังเกตได้ ณ ตอนนั้น โดยหากเป็นไปได้ควรระบุเพศและอายุโดยคร่าวๆ ของผู้ป่วยให้ผู้ประเมินสถานการณ์ทราบ
· ทำการนวดหัวใจที่มีคุณภาพทันท่วงที (High Quality CPR) โดยความสำคัญของการทำ CPR อยู่ที่การนวดหัวใจที่ต้องทำให้ถูกต้องและทันเวลา เพราะหากสมองขาดออกซิเจนไปเกิน 4 นาที สมองอาจเสียหายได้6 จากสถิติของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาพบว่าการทำ CPR อย่างถูกวิธีสามารถช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิต (Survival Rate) ได้ถึง 3 เท่า โดยเริ่มต้นจากการกระตุ้นด้วยการเรียกผู้ป่วยว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวหรือมีการตอบสนองหรือไม่ หากผู้ให้การช่วยเหลือรู้วิธีการคลำชีพจรให้คลำชีพจรเพื่อตรวจสอบ และหากไม่พบชีพจรให้เริ่มทำการกดหน้าอกผู้ป่วยบริเวณตรงกลางซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ของกระดูกหน้าอก โดยบริเวณนี้จะมีความปลอดภัยเนื่องจากมีกระดูกรองรับอยู่ โดยให้กดที่ตำแหน่งครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก ใช้สันมือหนึ่งข้างในการกดพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งล็อคมือที่ใช้กดหน้าอกไว้ กดหน้าอกให้ลึกลงไปประมาณ 2 นิ้ว และควรระวังไม่ให้ลึกเกิน 2.4 นิ้ว ซึ่งปกติแรงกดของคนทั่วไปมักไม่เป็นอันตราย จึงควรพยายามกดให้แรงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการกระตุ้นหัวใจ โดยใช้ความเร็วในการกดหน้าอกที่ 100-120 ครั้งต่อนาที7
· ใช้เครื่องคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้า (Defibrillation) ด้วยการช็อกด้วยกระแสไฟฟ้า (Electrical Shock) จากเครื่องมือที่เรียกว่า Defibrillator ซึ่งเมื่อเหตุนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลสามารถใช้เครื่อง AED ที่สามารถใช้งานโดยคนทั่วไประหว่างรอให้หน่วยกู้ชีพฉุกเฉินจะเดินทางมาถึง
· ได้รับบริการการแพทย์ฉุกเฉินขั้นสูง (Advanced Resuscitation)
· การดูแลหลังภาวะหัวใจหยุดเต้น (Post-Cardiac Arrest Care)
· การดูแลพักฟื้นและติดตามอาการ (Recovery)
ความสำคัญของเครื่อง AED ต่อผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
จาก 6 ขั้นตอนห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิต (Chain of Survival) จะเห็นได้ว่าในการช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นในขั้นเบื้องต้นจำเป็นต้องใช้เครื่อง AED ร่วมกับการทำ CPR เนื่องจากผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันกว่าร้อยละ 50 เกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในลักษณะของหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้วจากระบบไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ หากเกิดภาวะนี้จำเป็นต้องใช้เครื่อง AED เพื่อคืนคลื่นหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าถ้าไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวอาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตจึงถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในการช่วยชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเครื่อง AED สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเท่านั้น โดยข้อมูลสถิติจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติระบุว่า การใช้เครื่อง AED ร่วมกับการทำ CPR ภายใน 3-5 นาที จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้ถึง 45%8
วิธีการใช้เครื่อง AED เบื้องต้น
เครื่อง AED เป็นเครื่องที่ถูกออกแบบมาให้มีระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อนเพื่อทำให้บุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้ได้เมื่อจำเป็นต้องให้การช่วยเหลือผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยกดเปิดเครื่องและฟังตามคำแนะนำของเครื่องในแต่ละขั้นตอน เริ่มจากถอดเสื้อผู้ป่วย นำแผ่นแพด (Pad) ในเครื่องติดบริเวณหน้าอกผู้ป่วยตามตำแหน่งที่แนะนำในเครื่องโดยติดให้แนบสนิท โดยต้องแน่ใจว่าหน้าอกผู้ป่วยแห้ง ไม่เปียกน้ำหลังจากนั้นเครื่อง AED จะทำการประเมินจังหวะการเต้นของหัวใจ เพื่อตรวจสอบว่าจำเป็นต้องทำการช็อตหัวใจหรือไม่ หากต้องทำการช็อตเครื่องจะสั่งการให้ผู้ช่วยเหลือทำการ
กดปุ่มช็อตหัวใจ ซึ่งระหว่างกดปุ่มช็อตห้ามโดนตัวผู้ป่วยเด็ดขาด อย่างไรก็ตามเพื่อให้สามารถทำตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้องเมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันคณะกรรมการมาตราฐานการช่วยชีวิต (Thai Resuscitation Council) ได้เปิดการอบรมหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนทั่วไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://thaicpr.org/?mod=course
เนื่องในโอกาสวันหัวใจโลก 2023 นี้ ฟิลิปส์ มุ่งมั่นในการให้ความรู้และรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมไทย ถึงอันตรายจากภาวะต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด เพราะถึงแม้ว่าในปัจจุบันเครื่อง AED จะมีการติดตั้งในที่สาธารณะเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนของเครื่อง AED ที่สามารถเข้าถึงได้นั้นยังคงมีไม่เพียงพอ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ควรได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการติดตั้งเครื่อง AED โดยกรมสุขภาพจิตเผยว่าเมื่อมีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหรือหัวใจล้มเหลวเครื่อง AED สามารถช่วยกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นปกติได้ถึง 70% ในทางกลับกันหากไม่มีเครื่อง AED อัตราการฟื้นกลับมาของผู้ป่วยจะเหลือเพียง 50% เท่านั้น ซึ่งภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนั้นเป็นอาการหัวใจหยุดเต้นที่จำเป็นต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าให้กลับมาเต้นอีกครั้ง9 นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ควรได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปมากขึ้นคือการเข้ารับการฝึกอบรมการทำ CPR และวิธีการใช้เครื่อง AED อย่างถูกต้อง โดยอ้างอิงจากผลสำรวจ YouGov ของประชากรในประเทศไทยกว่า 2,000 คน พบว่า 39% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมดไม่ทราบวิธีการกู้ชีพขั้นพื้นฐานที่ถูกต้อง ในขณะที่ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจไม่ทราบวิธีการใช้เครื่อง AED ที่ถูกต้อง และ 54% ระบุว่า ไม่เคยพบเห็นเครื่อง AED ในพื้นที่สาธารณะ10 ดังนั้นหากมีการติดตั้งเครื่อง AED ในที่สาธารณะและประชาชนมีความสนใจเข้ารับการอบรมการทำ CPR และการใช้เครื่อง AED เพิ่มมากขึ้นจะสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลันให้ลดลงได้