

ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่กับครั้งแรกในประเทศไทย ของงาน LINE Conference Thailand 2023 หรือ #LCT23 งานสัมมนาด้านเทคโนโลยีสุดยิ่งใหญ่จาก LINE ประเทศไทย กับการเผยวิสัยทัศน์ ทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก LINE สำหรับเมืองไทยโดยเฉพาะ มุ่งสู่การเป็น “Open platform” หรือ แพลตฟอร์มเปิดเพื่อคนไทย นอกจากเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจได้ต่อยอดนำเทคโนโลยีบน LINE สร้างการเติบโตแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสครั้งใหญ่สำหรับนักพัฒนาไทย ในการสรรค์สร้างโซลูชั่นใหม่ๆ มาเชื่อมต่อกับ LINE ได้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพขึ้น
![]()
ภายในงานเต็มไปด้วยข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการอัปเดตโร้ดแมปผลิตภัณฑ์ของ LINE ที่หลากหลายผลิตภัณฑ์หรือบริการ มีการคิดค้นโดยทีมงาน LINE ประเทศไทย เพื่อตลาดไทยโดยฉพาะมาแล้ว เช่น เครื่องมือ MyCustomer, บริการ LINE SHOPPING และ LINE MELODY เป็นต้น โดยในช่วงปี 2023-2024 LINE มีโร้ดแมปใหม่ๆ มากมาย ที่น่าสนใจสำหรับนักพัฒนาไทย โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ในด้าน API & Plug-in ซึ่งมุ่งเน้นเปิดขยายการเชื่อมต่อ API ให้ครอบคลุมและหลากหลาย ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโซลูชั่นใหม่ตอบโจทย์เฉพาะด้านได้มากขึ้น อาทิ
1. LINE SHOPPING API เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานของนักพัฒนาไทยที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาระบบสินค้าของร้านค้าบน LINE SHOPPING ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการระบบการขายได้ดียิ่งขึ้น ผ่าน 4 API ได้แก่
· Product API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบคำสั่งจัดการบริหารข้อมูลสินค้า อัปเดตสินค้าจำนวนมากเข้าสู่หน้ารายการสินค้าได้โดยอัตโนมัติ
· Inventory API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบคำสั่งจัดการบริหารสต๊อกสินค้า เติมสินค้าเข้าหน้าร้านโดยอัตโนมัติเมื่อสินค้าหมดสต๊อก
· Order API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบการเข้าถึงข้อมูลออเดอร์ได้ เพื่อเข้าดูข้อมูลออเดอร์โดยละเอียด
· Webhook Order ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบการแจ้งเตือน ส่งแจ้งเตือนสถานะการสั่งซื้อไปยังผู้ขายหรือแอดมิน เช่น สั่งซื้อแล้ว, จ่ายเงินแล้ว ฯลฯ ได้โดยอัตโนมัติ
โดยในอนาคต LINE มีแผนพัฒนา API ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การทำงานให้นักพัฒนาไทยที่ต้องการจัดการระบบการขายบน LINE SHOPPING ได้ดียิ่งขึ้นอย่าง Chat Invoice API ให้นักพัฒนาสามารถสร้างลิงก์ชำระเงินของสินค้าบน LINE SHOPPING ส่งให้ลูกค้าผ่านช่องทางใดก็ได้ เพื่อกลับมายังหน้าการซื้อขายบน LINE SHOPPING อีกครั้งได้โดยอัตโนมัติ เป็นต้น
2. LINE OA Plus Plug-in Store ต่อยอดการพัฒนาจาก LINE OA Store เพื่อเป็นช่องทางให้นักพัฒนาภายนอกองค์กรสามารถพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ เฉพาะด้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับกลุ่มเครื่องมือภายใต้ LINE OA Plus ไม่ว่าจะเป็น MyShop, MyCustomer และ MyRestaurant โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งรวมนำเสนอให้กับนักการตลาด หรือแบรนด์ที่มองหาโซลูชั่นเฉพาะด้าน
3. New Messaging API เพิ่มประสิทธิภาพ Messaging API เพื่อขยายศักยภาพการพัฒนาโซลูชั่นบนแชท LINE ให้นักพัฒนาไทย ตัวอย่างเช่น
· Audience Created for Step messages เปิดให้นักพัฒนาไทย สามารถนำข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ได้จากการใช้งาน Messaging API มาประยุกต์ใช้กับการส่งข้อความหากลุ่มลูกค้าผ่านฟีเจอร์ Step Messages บน LINE OA ได้
· Quote messages ฟังก์ชั่นใหม่ในการพัฒนาแชทบอท ให้ทั้งผู้ใช้และบอทสามารถส่งข้อความตอบกลับโดยอ้างอิงจากข้อความก่อนหน้าในห้องแชทได้
· Rich Menu Link/Unlink Batch อำนวยความสะดวกให้นักพัฒนาไทย สามารถออกชุดคำสั่งเปลี่ยน Rich Menu แบบ Personalize ใน LINE OA ให้แสดงผลสู่กลุ่มเป้าหมายจำนวนมากขึ้นได้ ด้วยชุดคำสั่งเดียว
· อัปเดตฟังก์ชั่นใหม่ๆ ในการสร้างข้อความรูปแบบ Flex Message เช่น การขยายขนาดของกล่องข้อความให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น นักพัฒนาสามารถเลือกได้ตามต้องการ และความสามารถในการกำหนดขนาดตัวอักษรและไอคอน ให้แสดงผลตามการตั้งค่าในแอปฯ LINE ของผู้ใช้แต่ละคนได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ LINE ยังได้เปิดตัวบริการใหม่อย่าง LON หรือ LINE Official Notification ข้อความแจ้งเตือนผ่านเบอร์โทรศัพท์ให้ผู้ใช้งานด้วยการแสดงผลผ่าน LINE OA ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างแบรนด์หรือองค์กร ไปยังลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและมั่นใจด้านความปลอดภัย ด้วยความหลากหลายของรูปแบบข้อความแจ้งเตือนให้นักพัฒนาได้เลือกใช้ โอกาสของนักพัฒนาไทยในการสร้างโซลูชั่นการแจ้งเตือนรูปแบบใหม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น พร้อมลดปัญหาข้อความสแปม
![]()
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างเทคโนโลยีที่น่าสนใจสำหรับนักพัฒนาไทย จากงาน LCT23 เพื่อการต่อยอดสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ ให้ตอบโจทย์ในหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอกย้ำถึงจุดมุ่งหมายของ LINE ในการเป็นองค์กร
เทคฯ ที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งให้เหล่านักพัฒนาไทย เพื่อร่วมขับเคลื่อน เพิ่มศักยภาพให้กับชุมชนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย ให้เติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์
ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก LINE สำหรับนักพัฒนาไทย ได้ที่ LINE OA: @linedevth, เฟซบุ๊ก LINE Developers Thailand หรือ LINE Developers Group Thailand
ไม่ว่าจะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า วันคริสต์มาส วันหยุดของโรงเรียน หรือช่วงเงียบของที่ทำงาน การท่องเที่ยวทั่วโลกมักจะครึกครื้นมากเป็นพิเศษในช่วง 10 วัน สุดท้ายของปี เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวได้ดีลที่คุ้มราคาที่สุดสำหรับการวางแผนเตรียมไปเที่ยวช่วงปีใหม่ อโกด้า เลยเอา 10 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย-แปซิฟิกที่ถูกที่สุดในช่วงสิ้นปี 2023 นี้มาแนะนำ เพราะอโกด้ามองหาดีลที่ดีที่สุด และราคาที่ถูกที่สุดอยู่เสมอ
อโกด้าจึงนำราคาห้องพักเฉลี่ยของหลากหลายจุดหมายปลายทาง ระหว่างวันที่ 22-31 ธันวาคม 2023 มาวิเคราะห์ และพบว่าในประเทศไทย หาดใหญ่เป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกที่สุด โดยราคาห้องพักเฉลี่ยในเมืองอยู่ที่ 1,549 บาท
10 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย-แปซิฟิกที่ถูกที่สุดในช่วงสิ้นปี 2023 นี้ ประกอบไปด้วย
หาดใหญ่ (ไทย) ยอกยาการ์ตา (อินโดนีเซีย) กูชิง (มาเลเซีย) ดาลัด (เวียดนาม) กัว (อินเดีย) บาเกียว (ฟิลิปปินส์) นาโกย่า (ญี่ปุ่น) ไทจง (ไต้หวัน) เมลเบิร์น (ออสเตรเลีย) และปูซาน (เกาหลีใต้) ราคาห้องพักเฉลี่ยของแต่ละที่นั้นแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1,549 บาท ในหาดใหญ่ ถึง 5,692 วอน ในปูซาน
นายพีรพล สง่าเมือง, ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย, อโกด้า กล่าวว่า “เราได้เห็นการฟื้นตัวครั้งใหญ่ของการเดินทางท่องเที่ยวทั่วภูมิภาคเอเชียในปี 2023 เพราะผู้คนทั่วโลกกลับมาเดินทางไปท่องเที่ยว พบปะกับเพื่อน ครอบครัว และคนที่รักแล้ว ช่วงวันหยุดสิ้นปีนี้ก็คงไม่ต่างจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่ว่าจะเที่ยวคนเดียว หรือเที่ยวกับคนที่รัก การท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นนั้นหมายถึงความต้องการตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก และอื่น ๆ ที่สูงขึ้น ดังนั้นอโกด้าจึงนำ 10 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย-แปซิฟิกที่มีราคาห้องพักเฉลี่ยประหยัดที่สุดในช่วงสิ้นปี 2023 มาแนะนำ เพื่อให้ทุกคน ไม่ว่าใครจะมีงบมากน้อยเท่าใด ได้เที่ยวฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันอย่างมีสไตล์”
แม้จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย แต่ละเมืองนั้นมีสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับการไปเที่ยวต้อนรับปีใหม่ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ชายหาด สวนสนุก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และร้านอาหารมากมาย มาดูไฮไลท์สถานที่ที่ไม่ควรพลาดของแต่ละที่กัน
1. หาดใหญ่, ไทย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 1,549 บาท)
หาดใหญ่ มีร้านกาแฟฮิป ๆ ที่เที่ยวกลางคืนที่มีชีวิตชีวา และร้านอาหารทะเลอร่อย ๆ อยู่มากมาย ใครที่ชอบเที่ยวแนวเมือง ต้องไปเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่าสงขลา สัมผัสวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ส่วนใครที่อยากเที่ยวแนวธรรมชาติ ต้องไปเล่นน้ำตกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง หาดใหญ่มีกิจกรรมรื่นเริงและเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่มากมายตลอดเดือนธันวาคม สามารถไปดื่มด่ำกับต้นคริสต์มาสยักษ์ และการแสดงไฟคริสต์มาสกันทั้งครอบครัวได้ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ และเมื่อถึงเวลาเลือกซื้อของขวัญของที่ระลึก ก็ต้องแวะไปตลาดเก่าแก่ของเมืองอย่างตลาดกิมหยง
2. ยอกยาการ์ตา, อินโดนีเซีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 2,019 บาท)
ยอกยาการ์ตา ซึ่งผู้คนมักให้ฉายาว่าเป็น “ใจกลางแห่งวัฒนธรรมชวา” เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำหรับการไปเที่ยวในเดือนธันวาคมที่น่าสนใจมาก ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยศิลปะวัฒนธรรมของชาวชวา และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง รวมถึงเกราตัน ยอกยาการ์ หรือพระราชวังสุลต่านอันโด่งดัง ประชากรที่หลากหลายต่างซึมซับมรดกอันยาวนานของเมืองและเอามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างลงตัว นอกจากพระราชวังสุลต่านแล้วก็ยังมีโบสถ์อันสวยงามที่กระจายอยู่ทั่วเมือง และงานประเพณีคริสต์มาสของคนในท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงความกลมกลืนกันของวัฒนธรรมต่าง ๆ ให้ชม ให้ลองสัมผัสด้วย
หากต้องการใช้เวลาช่วงสิ้นปีพักผ่อนแบบสงบ ๆ ลองไปเดินสำรวจกลุ่มวัดปรัมบานัน มรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 หรือมุ่งหน้าขึ้นเหนืออีกเพียง 25 กม. ไปยังเมืองเล็ก ๆ อย่างคาลูรัง ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาเมราปีอันงดงาม และเมื่อถึงวันสิ้นปี ห้ามพลาดเทศกาลกลางคืนยอกยาการ์ตาที่อาลุน อาลุน คิดุล หรือจัตุรัสใต้ ซึ่งจะมีการแสดงพลุหลากสีสันสุดอลังการต้อนรับปีใหม่
3. กูชิง, มาเลเซีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 2,162 บาท)
กูชิง เมืองหลวงอันน่ารื่นรมย์ของซาราวัก มีชื่อเสียงในเรื่องตลาดริมถนนที่ครึกครื้น อาหารข้างทางแสนอร่อย ทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยากใช้เวลาด้วยกันท่ามกลางธรรมชาติ ในเดือนธันวาคม กูชิงจะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งเทศกาลที่เต็มไปด้วยด้วยแสงไฟ และของประดับตกแต่งละลานตา ไม่ว่าจะเป็นตรงพื้นที่ริมน้ำกูชิงที่สามารถไปเดินชมวิวได้ หรือรูปปั้นแมวยักษ์ในชุดพร้อมฉลองขึ้นปีใหม่ตรงวงเวียนปาดูงันอันโดดเด่น ใครที่อยากพบปะผู้คนใหม่ ๆ ลองไปร่วมเดินขบวนคริสต์มาสกูชิงประจำปี จากนั้นไปต่อที่ถนนคาร์เพนเทอร์ แหล่งรวมร้านอาหารชื่อดัง และร้านขายของต่าง ๆ ในเมืองที่ยังน่าเดินในยามค่ำคืน
4. ดาลัด, เวียดนาม (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 2,450 บาท)
ดาลัด เมืองแห่งขุนเขาอันมีเสน่ห์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เมืองนี้จะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาว ด้วยไฟระยิบระยับ การตกแต่งตามเทศกาล และบรรยากาศที่สนุกสนาน
สภาพอากาศที่เย็นสบายในช่วงสิ้นปี ทำให้เหมาะกับการไปเที่ยวสถานที่ยอดฮิตของเมือง อย่าง เครซี เฮาส์ (Crazy House) ทะเลสาบซวนฮวาง และหุบเขาแห่งความรักที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด
5. กัว, อินเดีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 3,315 บาท)
กัว ถือได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งปาร์ตี้ของอินเดีย ขึ้นชื่อในเรื่องชายหาด สถานที่เที่ยวกลางคืน ตลาด และอาหารทะเล แม้บางครั้งจะถูกมองข้าม แต่รัฐกัวก็มีด้านสงบที่สวยงามไม่แพ้กัน ที่เที่ยวและกิจกรรมในกัวมีให้เลือกมากมายทั้งปี เช่น น้ำตกดัตซาการ์ในเขตป่าอันเขียวชอุ่ม คาเฟ่ Artjuna ที่มีอิมเมอร์ซีฟเวิร์กช็อป การแสดงดนตรีสด และคอร์สโยคะ หรือถ้าใครอยากเที่ยวสนุกแบบคนในท้องถิ่น ก็มีเทศกาล Bonderam ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม และเกาะดิวาร์ สามารถนั่งเรือข้ามไปเดิมชมโบสถ์เก่าแก่ ลิ้มรสอาหารท้องถิ่นได้
6. บาเกียว, ฟิลิปปินส์ (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 3,423 บาท)
อากาศที่เย็นและสดชื่นทำให้บาเกียวแตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ของฟิลิปปินส์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อน และได้รับฉายา “เมืองหลวงฤดูร้อนของฟิลิปปินส์” บาเกียวเป็นเมืองที่เที่ยวได้ตลอดปี มีสถานที่สวยงามที่ผู้คนชื่นชอบมากมาย อย่าง กลุ่มต้นสนในสวนสาธารณะ Mines View แคมป์ John Hay และตลาดกลางคืนบาเกียว แหล่งรวมสินค้าวินเทจหลากหลายชนิด นอกจากนี้บาเกียวยังมีมรดกทางงานฝีมือ และศิลปะพื้นบ้านที่โดดเด่น จนได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกอีกด้วย
ภูมิประเทศที่สูงอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองทำให้บาเกียวสามารถปลูกสตรอเบอร์รี่ได้ คนท้องถิ่นจึงนิยมทำทาโฮสตรอเบอร์รี่ (ขนมฟิลิปปินส์ที่ทำมาจากเต้าหู้อ่อน น้ำเชื่อม และไข่มุกเม็ดเล็กที่เรียกว่า สาคู) ไว้สำหรับเช้าวันคริสต์มาส ไปจนถึงไวน์สตรอเบอร์รี่สำหรับจิบฉลองขึ้นปีใหม่กับครอบครัวและคนที่รัก
7. นาโกย่า, ญี่ปุ่น (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 3,855 บาท)
นาโกย่า เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น เป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกประเภท ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และช่วงสิ้นปีเมืองนี้จะครึกครื้นมากเป็นพิเศษด้วยแสงไฟตกแต่ง กิจกรรมสนุก ๆ และบรรยากาศที่รื่นเริง การแสดงไฟในช่วงฤดูหนาวของนาโกย่าถือเป็นหนึ่งในงานแสดงไฟที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โดยถนนเล็กใหญ่ รวมไปถึงสวนสาธารณะต่าง ๆ เช่น สวนพฤกษศาสตร์นาบานะ โนะ ซาโตะ ย่านซากาเอะ และย่านโอสึของเมืองจะถูกเปลี่ยนให้เป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาวด้วยไฟระยิบระยับนับล้าน
8. ไทจง, ไต้หวัน (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 4,143 บาท)
ไทจง ไม่เพียงแต่มีมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน แต่ยังมากไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ไถจงมีสถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมที่หลากหลาย ให้บริการนักท่องเที่ยวทุกประเภท ไม่ว่าคุณจะเป็นการชมโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม ร้านอาหารอร่อย และธรรมชาติที่มีทั้งป่าไม้และทะเล
นอกจากนี้ ไทจง ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดเทศกาลศิลปะแสง Lishan Guguan ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยครอบคลุมระยะเวลา 1 เดือน แห่งศิลปะการใช้แสงอันน่าหลงใหล นอกจากนี้ยังมีการแสดง และกิจกรรมทางดนตรีมากมาย ผสมผสานบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเข้ากับการเฉลิมฉลอง นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมความงามของงานศิลปะที่ส่องสว่าง ขณะเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีสด หรือเข้าร่วมการแสดงเต้นรำ และเวิร์คช็อปศิลปะได้
9. เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 5,584 บาท)
เมลเบิร์นได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อัญมณีแห่งวัฒนธรรม’ ของออสเตรเลียมายาวนาน เนื่องจากมีศิลปะ รวมไปถึงการแข่งขันกีฬาที่มีชีวิตชีวา กาแฟที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสถานที่เที่ยวกลางคืนอันครึกครื้น เต็มไปด้วยเสน่ห์ ในช่วงคริสต์มาสและช่วงปิดเทอม เมืองริมทะเลแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยสีสันที่เหมาะสำหรับทั้งครอบครัว ตั้งแต่ตลาดคริสต์มาสไปจนถึงการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น การแข่งขันเทนนิสออสเตรเลียนโอเพ่น
ด้วยระบบรถรางที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก เมลเบิร์นจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเดินสำรวจชมสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่สวยงาม หรือ Federation Square ผู้คนไปทำกิจกรรม พักผ่อนหย่อนใจกันมากมาย ที่นี่มีอะไรให้ทุกคนทำอยู่เสมอ
10. ปูซาน, เกาหลีใต้ (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 5,692 บาท)
ปูซานเป็นจุดหมายปลายทางริมชายฝั่ง ที่มีการผสมผสานระหว่างชายหาดที่สวยงาม ตึกระฟ้าสมัยใหม่ ตลาดแบบดั้งเดิม และตรอกคาเฟ่บรรยากาศสบาย ๆ อย่างลงตัว หากใครที่กำลังหาโอกาสชมทิวทัศน์ของเมืองที่หลากหลายได้ในครั้งเดียว ต้องไม่พลาด Busan X the SKY เป็นหอชมวิวชั้นบนสุดของอาคารที่สูงเป็นอันดับ 2 ในเกาหลีใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนหาดแฮอึนแด หากใครอยากไปเดินเล่นแบบเงียบสงบกว่านี้ ลองไปถนนดัลมาจิกิล จะมีร้านกาแฟเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป พร้อมทิวทัศน์อันงดงามของมหาสมุทรสีฟ้า
สำหรับเทศกาลแสงสีฤดูหนาวริมทะเลที่ไม่เหมือนใคร ต้องไม่พลาดหาดกวานกาลีที่จัดงานแสดงแสงโดรน Gwangalli Marvelous สุดตระการตาทุกสัปดาห์ในช่วงเย็นวันเสาร์ โดยแสงไฟจะกระจายไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปลอดโปร่งในฤดูหนาว
นอกจากการเผยจุดหมายปลายทางที่มีราคาย่อมเยาที่สุดให้แล้ว อโกด้ายังช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยฟีเจอร์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Price Freeze, Price Alerts, ส่วนลดแบบกลุ่ม, ดีลรายวัน และอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้คนออกไปท่องเที่ยวได้มากขึ้นโดยจ่ายน้อยลง
PASAYA (พาซาญ่า) ชวนคนไทยหัวใจสีเขียวเข้าร่วมงาน Sustainability Expo 2023 (SX Expo 2023) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มาในคอนเซ็ปต์ "Good Balance, Better World" สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับปรัชญาของ PASAYA ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าให้กับลูกค้าและโลกใบนี้ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนเป็นผู้นำธุรกิจเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนลำดับแรก ๆ ของไทย ที่พัฒนาเทคโนโลยีในการทอผ้าภายใน Green Factory ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการปลูกป่าเพื่อคืนพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน
ภายในงาน PASAYA เลือกที่จะสื่อสารผ่านแนวคิดที่ส่งต่อแรงบันดาลใจในวิถีชีวิตแบบยั่งยืน สมดุล และศิลปะแห่งการใช้ชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะสิ่งที่เยียวยาโลกใบนี้จะเยียวยามนุษย์ได้เช่นกัน นำเสนอผ่านลวดลายบนผ้าทอที่ดึงคาแรคเตอร์ของสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์มาถ่ายทอด ย้ำเตือนว่า ทุกการกระทำของมนุษย์มีผลต่อโลกและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผ่านการดีไซน์ผลิตภัณท์ออกมาในรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ที่ผลิตจากวัสดุและเส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการออกแบบเพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืนรวมถึงการนำกลับมาใช้ใหม่
![]()
อีกหนึ่งไฮไลต์พิเศษของปีคือ PASAYA ร่วมมือกับ 2 ศิลปินไทยหัวใจรักษ์โลกอย่าง เอ๋-วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์ Social Activist Artist เจ้าของผลงานศิลปะจากขยะเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคม สร้างชิ้นงาน‘ พาร์ทิชันเต่ามะเฟืองจากวัสดุเหลือใช้ภายในโรงงาน PASAYA’ เพื่อสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยาผืนทะเลไทยด้วยลวดลายเต่ามะเฟืองและ นุ้ย-วรรณิสา ถามะนาศาสตร์ ศิลปินยุคใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นและความเป็นจิตอาสาเต็มตัว ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนผืนผ้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสัตว์ใกล้สูญพันธ์จากฝีมือของมนุษย์ ผสมผสานเทคนิคการทอผ้าขั้นสูงของ PASAYA
นอกจากนี้ PASAYA ยังชวนผู้สนใจร่วมรับฟังเสวนาพิเศษ “อยู่อย่างไรให้เป็นสุข? บนโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา” (How to live better life in an ever changing world?) วันศุกร์ที่ 6 ต.ค. 2566 เวลา 15.00-16.00 น. ณ Hall 3 โซน Better Living นำโดย คุณรติยา จันทรเทียร Managing Director, PASAYA ร่วมด้วย เอ๋-วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์, ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า ผู้ประกาศข่าว และ โน๊ต-วัชรบูล ลี้สุวรรณ นักแสดง และนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดหลัก 2 ประเด็นคือ
1.Sustainable Living With Eco: การดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งแวดล้อม-ความสัมพันธ์ระหว่างการดำรงชีวิตเชิงนิเวศและความเป็นอยู่ที่ดี ส่งเสริมการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ และวิถีชีวิตที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตที่มีความสุขยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมความคิดริเริ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระดับบุคคล ชุมชน และระดับโลก
2.Nurturing Mental Health and Well-being: การบำรุงสุขภาพจิตใจและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิต ส่งเสริมการมีสติและการดูแลตนเองเพื่อการจัดการกับความเครียด รวมไปถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์และจิตใจ
ภายในงาน PASAYA ยังจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการ “Mission for the World ปี 2023” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ผ่านกิจกรรมการปลูกป่าภายในโรงงาน (Green Factory) ที่จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2566 จำนวน 488 ต้น และวันที่ 15 ส.ค. 2566 ได้ทำการปลูกต้นไม้ภายในพิพิธภัณฑ์แม่เพิ่มอีก 1,500 ต้น โดยมุ่งหวังจะปลูกต้นไม้ภายในโรงงาน 100 ไร่ ภายในปี 2025 เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 300 ตันต่อปี
ไม่เพียงเท่านี้ คุณจะได้พบกับธุรกิจเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของโลก เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ พร้อมความพยายามกอบกู้ฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศของโลก เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero)
นอกจากนี้ PASAYA ยังชวนคนไทยร่วมกันปลูกต้นไม้และช็อปจุใจไปกับ PASAYA Grand Sale 2023 ในคอนเซ็ปต์ “Give Good Fest” ร่วมกันดูแล Good Health I เอ็นจอย Good Life I ส่งต่อ Good Gifts และร่วมสร้าง Good World ไปด้วยกันได้ที่ PASAYA Flagship Store Siam Paragon และ PASAYA Factory Outlet จังหวัดราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2566 - 7 ม.ค. 2567 ติดตามรายละเอียดได้ที่ >> https://www.facebook.com/PASAYA.shop
นับถอยหลังสู่มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเตรียมพบกับผลิตภัณฑ์คุณภาพดีที่หลายคนชื่นชอบของ PASAYA ได้แล้วที่โซน ‘Better Living’ ในงาน SX Expo 2023 ณ
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 29 ก.ย. - 8 ต.ค. 2566 โซนนิทรรศการหลัก ชั้น G เริ่มวันที่ 2 – 8 ตุลาคม 2566 (เวลา 10:00-20:00 น.) บอกเลยสายกรีนไม่ควรพลาด!
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลชั้นนำระดับโลก เปิดบ้านต้อนรับกลุ่มนักธุรกิจ Food Tech Startup 12 ราย จากประเทศอิสราเอล และคณะทำงานจากสถานฑูตอิสราเอล เข้าเยี่ยมชม ศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน หรือ Global Innovation Center (GIC) เพื่อดูงานด้านการวิจัยและพัฒนาด้านอาหารแบบยั่งยืนและหลากหลายภายใต้กลยุทธ์ SeaChange®2030 พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมอาหารจากผู้เชี่ยวชาญ โดยมี ดร.ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการ และนายธวัช สุธาสินีนนท์ รองผู้อำนวยการ ดร.คริสโตเฟอร์ ออแรนด์ หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมแบบเปิดไทยยูเนี่ยนและคณะกรรมการโครงการ สเปซ-เอฟ ให้การต้อนรับ ณ อาคารเอสเอ็ม ทาวเวอร์
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) เดินหน้าแผน IPO เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำที่มีคุณภาพ และเติบโตในกลุ่มธุรกิจด้านการเงิน สนับสนุนสินเชื่อเพื่อคนไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “ธนาคารไทยเครดิต มุ่งมั่นสนับสนุนให้ลูกค้าเติบโตทางธุรกิจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยบริการไมโครไฟแนนซ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของธนาคาร” โดยมีธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (“ธนาคารฯ”) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจำนวนหุ้นที่คาดว่าจะเสนอขายทั้งหมด (รวมหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายโดยธนาคารฯ และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม) ไม่เกิน 347,029,122 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.2 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมดของธนาคารฯ ภายหลังการทำ IPO1 ซึ่งนับเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เสนอขายหุ้น IPO ในรอบ 10 ปี โดยมี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในครั้งนี้
อย่างไรก็ดี ธนาคารฯ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มุ่งเน้นให้บริการสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) แก่กลุ่มลูกค้าในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้เท่าที่ควร ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ รวมทั้ง นำไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security and Infrastructure) ด้วยเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อยและลูกค้าบุคคล รวมไปถึงความมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ และสอดคล้องกับปรัชญาการดำเนินธุรกิจของธนาคาร “Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ”
นายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งไฟลิ่งธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าธนาคารฯ จะเสนอขายและเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร ตามแผน IPO
สำหรับ ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำเพื่อลูกค้ารายย่อย ด้วยประสบการณ์การให้บริการสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่หลากหลายมากว่า 10 ปี ทำให้ธนาคารฯ มีความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับการมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลากหลายขนาดและประเภทธุรกิจ รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม ทำให้เชื่อว่าธนาคารฯ อยู่ในจุดที่สามารถขยายพอร์ตสินเชื่อในการสนับสนุนกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งของเงินให้สินเชื่อของธนาคารฯ ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 ที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมร้อยละ 33.0 ต่อปี และยังมีศักยภาพในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดที่มีขนาดใหญ่ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินนี้ ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์
นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังมีโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ จากเครือข่ายสาขาที่มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ธนาคารฯ มีสาขาทั้งสิ้น 527 แห่งทั่วประเทศไทย ประกอบไปด้วยสาขาสินเชื่อเพื่อรายย่อย สำนักงานนาโนเครดิต และสาขาที่ให้บริการเงินฝาก ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ในพื้นที่หรือใกล้เคียงกับกลุ่มลูกค้า รวมทั้งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล โดยบริษัท ไทยไมโคร ดิจิทัล โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารฯ ได้นำแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ของลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน “ไมโครเพย์” ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานที่ผ่านกระบวนการ KYC ถึง 384,460 ราย เป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารฯ สามารถรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดําเนินงานต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ไว้ได้ในระดับต่ำ หรือเท่ากับร้อยละ 36.0 ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566
![]()
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 – 2565) และ ณ งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ มีจำนวนเท่ากับ 68,562.4 ล้านบาท 97,728.7 ล้านบาท 121,298.0 ล้านบาท และ 132,758.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยสะสมต่อปีระหว่าง 2563-2565 (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 33.0 ต่อปี
เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย (1) สินเชื่อสำหรับสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (2) สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (3) สินเชื่อบ้าน (4) สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล (5) สินเชื่อรายย่อยอื่นๆ
นอกจากนี้ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,830.7 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 ร้อยละ 30.9 ต่อปี
SCB CIO มองเฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง อาจปรับลดลงไตรมาส 3/2567 ส่งผลกดดันกลุ่มประเทศหรือธุรกิจที่มีหนี้สูง อาจมีปัญหาสภาพคล่องหรือถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2567 โต 1.5% ชะลอลงจากปีนี้ ที่คาดว่าจะเติบโต 2.1%แนะหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นกู้หรือหุ้นกลุ่มนื้ เน้นลงทุนผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ซึ่งออกโดยสถาบันการเงินในไทย รวมถึงลงทุนหุ้นกู้ Investment grade เนื่องจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและไทย ยังกว้าง หลีกเลี่ยงหุ้นกู้ High yield กลุ่มธุรกิจที่ก่อหนี้สูง เช่น กลุ่มอสังหาฯ จีน พร้อมปรับมุมมองหุ้นจีน A-share และ EM REITs เป็น Neutral (ถือ) และแนะรอจังหวะสะสมหุ้นสหรัฐฯ
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ครั้งล่าสุด ได้ส่งสัญญาณการคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง และปรับลดลงช้า โดยอาจจะต้องรอจนถึงไตรมาส 3 ปี 2567 ขณะที่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2567 ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่น่าจะเป็นแบบจัดการได้ (Soft Landing) โดยล่าสุด Fedคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2567 จะเติบโต 1.5% ชะลอลงจากปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโต 2.1% ส่วนเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย รวมถึงเศรษฐกิจในอาเซียน และไทย ที่พึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศ ในด้านการส่งออกและการท่องเที่ยว ค่อนข้างมาก ขณะที่ เศรษฐกิจยุโรปแม้มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ก็มาจากฐานต่ำ จึงทำให้เศรษฐกิจโลกในปี 2567 ไม่ได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ จากแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่คงอยู่ในระดับสูงและลดลงช้า ขณะที่ดอกเบี้ยในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) มีแนวโน้มลดลงได้เร็วมากกว่า ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (Rate differentials) มีแนวโน้มดำเนินต่อไป และเป็นแรงกดดันทำให้ค่าเงิน Emerging markets อาจอ่อนค่า โดยเฉพาะประเทศที่ดุลบัญชีเดินสะพัดฟื้นตัวช้า และยังมีแนวโน้มขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น เช่น ไทย โดย SCB CIO เชื่อว่า ค่าเงินบาทจะยังมีแรงกดดันอ่อนค่าในช่วงที่ยังมีความกังวลเรื่องการขาดดุลการคลังในระยะข้างหน้า แต่ค่าเงินบาทน่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อยช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (high season) โดยเราปรับมุมมองค่าเงินบาทเป็น 34.5-35.5 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นปี 2566
ขณะที่เรายังคงแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มประเทศ/ธุรกิจที่มีหนี้สูง ซึ่งอาจเกิดปัญหาสภาพคล่องในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูง และเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงอาจถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ลดอันดับลง(downgrade) ได้ โดยประเทศส่วนใหญ่ยังมีหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระดับสูงและลดลงช้า เป็นผลจากการออกมาตรการประคับประคองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในช่วง COVID-19 ขณะที่เมื่อพิจารณาหนี้ครัวเรือนต่อ GDP พบว่า จีน อยู่ที่ 64% และไทย 91% ซึ่งเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะไทย ที่มีหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน สำหรับหนี้ภาคธุรกิจต่อ GDP พบว่า จีน อยู่ที่ 132% และ เวียดนาม 128% โดยหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นเร็วและอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ขณะที่หนี้ภาคธุรกิจของไทย อยู่ที่ 80% เริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากที่เคยเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19
นอกจากนี้ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทย ที่ยังมีแนวโน้มสูงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เรายังคงแนะนำการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ หรืออัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ สรอ.- บาท ซึ่งออกโดยสถาบันการเงินในไทย เนื่องจากในช่วงที่ตลาดยังมีความผันผวนจากการลดดอกเบี้ยช้าของ Fed เราเชื่อว่าสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีความผันผวนสูง ในขณะที่ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และไทย ยังมีแนวโน้มอยู่ในลักษณะกว้างต่อไป
ในส่วนของการลงทุนในพันธบัตร/หุ้นกู้ เรายังคงเน้นการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment grade) และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอลงบวกกับท่าทีของ Fed ในการหยุดขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งระยะสั้นและยาว ทยอยลดลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่ค้างในระดับสูงในช่วงที่เหลือของปี มีแนวโน้มทำให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของหุ้นกู้กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความเสี่ยงสูง (High yield) ยังมีโอกาสขยับสูงขึ้นอีก จึงแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นกู้ High yield ในกลุ่มธุรกิจที่มีการก่อหนี้สูง เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในจีน
อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับมุมมองการลงทุนบนหุ้นจีน A-share เป็น Neutral โดยเรามองว่า ถึงแม้ดัชนีหุ้น A-share จะมีมูลค่า (Valuation) ค่อนข้างถูก (forward P/E อยู่ที่ 10.9x, -1 s.d. เมื่อเทียบค่าเฉลี่ย 5 ปี) และมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการที่ทางการจีนมีแนวโน้มออกมาตรการฝั่งการเงิน การคลัง ภาคอสังหาฯ และค่าเงินหยวน แต่ดัชนีมีแนวโน้มเคลื่อนไหวกรอบจำกัด ในระยะ 3-6 เดือนค่อนข้างจำกัด จาก sentiment ของนักลงทุนจีนที่ยังซบเซา และแรงขายสุทธิหุ้นจีนของต่างชาติ ประกอบกับความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอยู่ ทั้งกับสหรัฐฯ และยุโรป โดยเราประเมินว่าหุ้นจีน A-share มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ฟื้นตัวได้ในกรอบจำกัด จนกว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
นอกจากนี้ ยังปรับมุมมอง ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในตลาดเกิดใหม่ หรือ EM REITs เป็น Neutral เช่นกัน โดยแนะนำให้เลือกลงทุนรายตัว (selective buy) เป็นหลัก เนื่องจากกลุ่ม REITs เอเชีย หรือ Asian REITs เผชิญแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับ REITs ไทยยังเผชิญแรงขายจากกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Fund of property funds) อย่างไรก็ดี Valuation ยังอยู่ในระดับน่าสนใจทั้งในแง่ของ ราคาต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชี (PBV), อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend yield) และส่วนต่างของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล (Yield Spread) ด้าน REITs ของ สิงคโปร์ พบว่า Yield Spread อยู่ในระดับที่ไม่น่าสนใจ
SCB CIO แนะนำให้รอจังหวะสะสมหุ้นสหรัฐฯ โดย หุ้น Big-Tech ขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) มากที่สุด 7 ตัวแรกในดัชนี S&P 500 และเป็นตัวชี้นำผลตอบแทนการลงทุนในปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่หุ้นที่เหลือของดัชนีเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 5% เท่านั้น เราจึงมองว่า Valuation ของหุ้น Big-Tech 7 ตัว ได้สะท้อนกำไรที่ดีกว่าคาดไปพอสมควรแล้ว และมีโอกาสที่จะปรับฐานเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของตลาด โดยล่าสุด Trailing P/E และ Forward P/E ของ Big Tech 7 ตัว อยู่ที่ 60.1x และ 36.1x ขณะที Trailing P/E และ Forward P/E ของ S&P500 อยู่ที่ 24.7x และ 19.5x ตามลำดับ โดยเราประเมินว่าแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังอยู่ในระดับที่ Valuation ค่อนข้างตึงตัว จึงแนะนำให้รอ Valuation ถูกลงมากกว่านี้ค่อยเข้าทยอยสะสม
ไมโครซอฟท์พร้อมพาผู้ใช้และองค์กรทั่วโลกเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในแทบทุกด้าน ด้วยระบบแชตและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ที่สามารถตอบสนองคำสั่งในรูปของภาษาเขียนและภาษาพูดได้อย่างชาญฉลาด นำไปสร้างสรรค์ชิ้นงานต่อยอดหรือลงมือทำตามคำสั่งได้อย่างแม่นยำ เป็นเสมือนผู้ช่วยหรือ “Copilot” ที่พร้อมสนับสนุนคุณในทุกภารกิจ ต่อยอดจากฟีเจอร์ AI มากมายที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางแพลตฟอร์ม GitHub การทำงานใน Microsoft 365 การค้นหาข้อมูลผ่าน Bing และ Edge หรือการทำงานผสานกับหลากหลายแอปในพีซีของคุณด้วย Windows
ไมโครซอฟท์พร้อมแล้วที่จะรวบรวมทุกคุณสมบัติและความสามารถไว้ในประสบการณ์ AI เพียงหนึ่งเดียว ภายใต้ชื่อ Microsoft Copilot โดยผสมผสานทั้งข้อมูลและความรู้จากโลกออนไลน์ ข้อมูลในองค์กรของผู้ใช้งาน และสิ่งที่ผู้ใช้กำลังทำอยู่บนพีซี เพื่อช่วยให้ทุกภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น โดยที่ยังมั่นใจได้ในความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของคุณ และสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ไร้รอยต่อ ทั้งใน Windows 11, Microsoft 365, Edge และ Bing เรียกใช้งานได้ทั้งในรูปของแอปและตัวช่วยในเมนูที่ปรากฎขึ้นเมื่อคลิกเมาส์ปุ่มขวา ทั้งนี้ Microsoft Copilot จะได้รับอัปเดตที่เพิ่มความสามารถใหม่ๆ และเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันอื่นๆ บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ เพื่อมอบประสบการณ์หนึ่งเดียวที่ผสานกับชีวิตของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว
Copilot พร้อมเปิดใช้งานแล้ววันนี้ ผ่านอัปเดตฟรีสำหรับ Windows 11 ก่อนจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเติมทั้งใน Bing, Edge และ Microsoft 365 Copilot ในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้เปิดตัวคุณสมบัติและความสามารถใหม่ๆ อีกมากมายเพื่อยกระดับการทำงาน ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของทั้งผู้ใช้ทั่วไปและภาคธุรกิจ
· อัปเดตล่าสุดสำหรับ Windows 11 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ถึง 150 รายการ นับตั้งแต่ผู้ช่วย Copilot ไปจนถึงคุณสมบัติใหม่จาก AI ในแอปอย่าง Paint, Photos, Clipchamp และอื่นๆ อีกมากมาย
· Bing พร้อมรองรับศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของโมเดล DALL.E 3 จาก OpenAI และสามารถตอบคำถามอย่างเฉพาะเจาะจง ตรงความต้องการของผู้ใช้แต่ละคนมากขึ้นด้วยการอ้างอิงจากประวัติการค้นหา พร้อมด้วย
ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มี AI เป็นตัวช่วย และอัปเดตใหม่สำหรับ Bing Chat Enterprise ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนและการทำงานกับรูปภาพ
· Microsoft 365 Copilot จะเปิดให้ลูกค้าองค์กรได้เริ่มใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป โดยมาพร้อมกับ Microsoft 365 Chat ผู้ช่วย AI ตัวใหม่ที่พร้อมเข้ามาพลิกโฉมวิธีการทำงานของคุณ
อัปเดตใหม่ Windows 11 จัดเต็มกว่า 150 ฟีเจอร์ พร้อมแนะนำผู้ช่วยอัจฉริยะ Copilot สำหรับพีซีทุกเครื่อง
Windows จะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่พร้อมมอบประสบการณ์ AI ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยอัปเดตล่าสุดสำหรับ Windows 11 ที่พร้อมให้ติดตั้งและใช้งานแล้ววันนี้
ชมวิดีโอแนะนำ Copilot ใน Windows 11 ได้ที่นี่
สำหรับฟีเจอร์เด่นในอัปเดตนี้ ได้แก่:
· Copilot สำหรับ Windows (รุ่นพรีวิว) พร้อมช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนสร้างสรรค์ชิ้นงานและทำภารกิจให้เสร็จสิ้นอย่างสบายใจยิ่งขึ้น ด้วยผู้ช่วย Copilot ที่พร้อมเข้ามาเปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เพียงคลิกเรียกที่ taskbar หรือกดปุ่มลัด Win+C ก็สามารถขอความช่วยเหลือและทำงานคู่กับแอปได้ทันที
· Paint อัปเดตใหม่ เติมพลัง AI ด้วยฟีเจอร์การลบพื้นหลังภาพและการรองรับเลเยอร์ แถมด้วยพรีวิวของ Cocreator ระบบ generative AI ที่จะช่วยสร้างสรรค์งานศิลปะให้กับคุณ
· แอป Photos ก็เติมพลัง AI มาช่วยงานแต่งภาพให้ง่ายยิ่งกว่าเดิม อย่างฟีเจอร์ Background Blur ที่ทำเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอได้ในคลิกเดียว แถมยังหาภาพจากคลังเก็บใน OneDrive ได้ง่ายๆ ด้วยระบบค้นหาที่แยกแยะได้ทั้งสิ่งที่อยู่ในภาพและสถานที่ที่ถ่ายแต่ละภาพ
· เครื่องมือแคปหน้าจอ Snipping Tool สามารถดึงข้อความจากภาพออกมาให้ใช้งานต่อได้ หรือจะสั่งให้ช่วยปิดชื่อและข้อมูลที่เป็นความลับในภาพหน้าจอก็ยังได้ และนอกจากจะแคปภาพได้แล้ว อัปเดตนี้ยังเพิ่มการอัดเสียงทั้งจากตัวเครื่องและผ่านไมโครโฟน จึงอัดหน้าจอเป็นวิดีโอเพื่อทำคอนเทนต์ได้แบบง่ายๆ
· แอปตัดต่อวิดีโอ Clipchamp สามารถเสนอไอเดียการจัดซีน ตัดคลิป หรือลำดับเรื่อง จากภาพและวิดีโอของคุณแบบอัตโนมัติด้วยฟีเจอร์ auto compose ทำให้ตัดคลิปแค่ฉับเดียวก็อัปโหลดและแชร์ได้แล้ว
· Notepad จะเซฟเนื้อหาที่คุณพิมพ์ค้างไว้แบบอัตโนมัติตลอดเวลา จึงสามารถปิดแอปทิ้งแล้วกลับมาเปิดทำต่อได้แบบหายห่วง แถมยังเปิดหลายไฟล์พร้อมกันในแบบแยกแท็บได้อีกด้วย
· Outlook for Windows เวอร์ชั่นใหม่ ที่รวบรวมอีเมลจากทุกบัญชีและแพลตฟอร์มของคุณ (รวมถึง Gmail, Yahoo, iCloud และอื่นๆ ด้วย) มาไว้ในแอปเดียว พร้อมตัวช่วยมากมายสำหรับการเขียนอีเมลให้มีเนื้อหาตรงเป้า กระชับ ฉับไว และแนบไฟล์จาก OneDrive ได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Outlook ใหม่นี้ สามารถอ่านได้ ที่นี่
· File Explorer ปรับโฉมใหม่ด้วยหน้าจอหลัก ช่องพิมพ์แอดเดรส และช่องค้นหาที่ออกแบบมาให้คุณสามารถเข้าถึงทุกคอนเทนต์ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ทั้งยังสะดวกสบายกว่าด้วยไฮไลท์การปรับแก้ล่าสุดในไฟล์ต่างๆ และฟีเจอร์ Gallery สำหรับการเปิดอัลบั้มรูปโดยเฉพาะ
· ฟีเจอร์ใหม่สำหรับการใช้เสียงแทนการพิมพ์ และเสียงพูดที่เป็นธรรมชาติยิ่งกว่าเดิมในแอป Narrator ทื่เข้ามาสานต่อพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการพัฒนาให้ Windows 11 เป็น Windows รุ่นที่รองรับผู้ใช้ทุกกลุ่มมากที่สุด
· Windows Backup ช่วยให้การย้ายไฟล์ไปยังพีซี Windows 11 เครื่องใหม่ของคุณง่ายยิ่งกว่าเดิม โดยสามารถถ่ายโอนไปได้หมดทั้งไฟล์ แอปที่ติดตั้งไว้ และการตั้งค่าต่างๆ จึงตามไปให้ใช้งานบนเครื่องใหม่ได้แบบไร้รอยต่อ
Copilot สำหรับ Windows และฟีเจอร์ใหม่อื่นๆ ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของอัปเดตสำหรับ Windows 11 รุ่น 22H2 ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดและติดตั้งใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนเป็นต้นไป
Bing และ Edge ยกระดับประสบการณ์หลากหลายในโลกออนไลน์
ส่วน Bing และ Edge ก็พร้อมเติมความสามารถใหม่ๆ ให้กับทุกวันของคุณด้วยโมเดล AI รุ่นล่าสุด โดยคุณสามารถใช้งาน Bing Chat ได้ผ่าน Microsoft Edge หรือทาง bing.com/chat และจะได้สัมผัสฟีเจอร์ใหม่เร็วๆ นี้
· คำตอบตรงประเด็น ปรับแต่งสำหรับผู้ใช้แต่ละคน ด้วยประวัติการแชตในอดีตที่สามารถนำมาผสมผสานกับคำตอบใหม่ๆ ใน Bing Chat ได้ เช่น ถ้าคุณเคยใช้ Bing ติดตามข่าวคราวของทีมฟุตบอลทีมโปรด เมื่อคุณใช้ Bing วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในครั้งต่อไป Bing จะสามารถบอกได้ในทันทีว่าทีมโปรดของคุณมีเกมเตะในเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของคุณหรือไม่ ทั้งนี้ คุณสามารถเลือกปิดฟีเจอร์นี้ได้ในเมนูการตั้งค่าของ Bing หากไม่ต้องการคำตอบที่อ้างอิงประวัติการแชตในอดีต
· Copilot สำหรับ Microsoft Shopping ให้คุณใช้ Bing หรือ Edge ค้นหาสินค้าที่ต้องการซื้อได้อย่างรวดเร็ว โดยเมื่อคุณถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า Bing จะถามคำถามเพิ่มเติมเพื่อเรียนรู้จากข้อมูลนั้น เพื่อให้สามารถแนะนำสินค้าได้ตรงใจผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยความคุ้มค่าจากการเปรียบเทียบเพื่อหาราคาที่ดีที่สุด โดยตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ที่ซื้อสินค้าผ่าน Microsoft Edge ได้พบกับข้อเสนอสุดพิเศษมากมายที่สามารถประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้กว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 144,880 ล้านบาท) และอีกไม่นาน คุณจะสามารถนำภาพถ่ายหรือไฟล์รูปที่เซฟไว้มาใช้หาสินค้าเพื่อช้อปต่อได้อีกด้วย
· โมเดล DALL.E 3 จาก OpenAI ใน Bing Image Creator มาพร้อมประสิทธิภาพที่เหนือกว่าแบบก้าวกระโดดสำหรับการสร้างรูปภาพที่สวยงามยิ่งกว่าเดิม และการลงรายละเอียดที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับส่วนประกอบภาพอย่างนิ้วมือและดวงตา นอกจากนี้ DALL.E 3 ยังเข้าใจคำสั่งของผู้ใช้งานได้ดีขึ้นกว่าที่เคย จึงได้ภาพที่ถูกต้องตามโจทย์มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ไมโครซอฟท์ยังได้ผนวก Microsoft Designer เข้ากับ Bing โดยตรง เพื่อให้คุณสามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพหรืองานออกแบบได้ง่ายกว่าเดิม
· แยกแยะภาพที่สร้างโดย AI ด้วย Content Credentials เครื่องมือที่สะท้อนถึงแนวทางการพัฒนา Generative AI โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยระบบ Content Credentials นำเทคนิคการเข้ารหัสมาทำการใส่ลายน้ำดิจิทัลที่มองไม่เห็นลงในภาพที่ใช้ AI สร้างขึ้นผ่าน Bing โดยระบุวัน-เวลาที่รูปภาพถูกสร้างขึ้นไว้ด้วย นอกจากนี้ เรายังเตรียมที่จะนำเครื่องมือนี้ไปผนวกไว้ใน Paint และ Microsoft Designer อีกด้วย
· อัปเดตล่าสุดสำหรับ Bing Chat Enterprise ที่เปิดตัวไปเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน Microsoft 365 กว่า 160 ล้านคนที่สามารถใช้งาน Bing Chat Enterprise ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ท่ามกลางเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้ใช้งานจริง ในโอกาสนี้ เราจึงเปิดให้ Bing Chat Enterprise สามารถใช้งานกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้ ผ่านทางแอป Microsoft Edge และเร็วๆ นี้ คุณจะสามารถค้นหาข้อมูลด้วยภาพและใช้ Image Creator สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ได้ผ่าน Bing Chat Enterprise
เมกะเทรนด์สำคัญของโลกที่กำลังเกิดขึ้นและจะเติบโตทะลุทะลวงไปแทบทุกวงการคือการประยุกต์ใช้ AI ของธุรกิจอุตสาหกรรมและภาครัฐ
ช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2540 ใหม่ๆ ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตเพิ่งเป็นที่รู้จักไม่นาน ผู้นำธุรกิจเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “องค์กรของเราควรจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองดีหรือไม่?”
มันตอบยากในสมัยนั้น เพราะอินเทอร์เน็ตเพิ่งจะเริ่มต้น และคนยังประเมินความสำคัญของมันไม่ถูก ทว่า คำตอบที่ถูกคือ “ต้องมี”
ต่อมา ราวปี 2550 พวกเขาก็หันมาถามคำถามทำนองเดิมว่า “องค์กรของเราต้องเคลื่อนตัวเข้าไปใน Social Media ใช่หรือไม่?” คำตอบคือ “ใช่”
ปัจจุบันนี้ ธุรกิจส่วนมากใช้ Facebook, Instagram, TikTok, และ Linkedin เพื่อเข้าถึงและ engage ลูกค้า แม้กระทั่งองค์กรภาครัฐก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการปรับปรุงการให้บริการกับราษฎร และกิจการที่เป็นเจ้าของ Social Media เหล่านี้ก็กลายเป็นกิจการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นกิจการยักษ์ใหญ่ของโลก สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนในระยะแรกอย่างเกินคุ้มค่า
ณ ขณะนี้ คำถามแนวนี้กลับอีกครั้ง “องค์กรของเราต้องนำ AI มาประยุกต์ใช้ ใช่หรือไม่?” และคำตอบก็เหมือนเดิม คือ “ใช่” เพราะ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดต้นทุน เพิ่มมาร์จิ้น และสร้างกำไรเพิ่ม ย่อมส่งผลต่อราคาหุ้นในที่สุด นั่นจึงเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุน ที่จะได้เข้าร่วมลงทุนกับเทรนด์นี้ตั้งแต่เนิ่นๆ AI จึงเป็น Investment Theme สำคัญที่ทีม MBA เราให้ความสำคัญ และจะนำเสนอบทวิเคราะห์ดีๆ เมื่อโอกาสมาถึง
ลำดับหุ้นที่จะได้ประโยชน์จาก AI
อันที่จริง เราได้ยินชื่อ AI หรือ Artificial Intelligence มานานแล้ว แต่มันยังเป็นเพียงแนวคิดแบบนามธรรม ไกลตัว และส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่ามันจะมีประโยชน์ต่อมนุษย์เรายังไงกันแน่ ทว่า หลังจาก Open AI เปิดตัว ChatGPT ทุกคนก็ถึงบางอ้อ มันทำให้เรารู้ว่า AI สามารถตอบคำถามเราได้ทุกคำตอบ ส่วนใหญ่เป็นคำตอบที่น่าพอใจ และมันยังเขียนโปรแกรมได้ ช่วยสร้างเว็บไซต์ได้ เขียนบทความง่ายๆ เขียนคำโฆษณา ดีไซด์โน่นนี่นั่น ช่วยวิเคราะห์งบการเงินและหุ้น หรือแม้กระทั่งแต่งบทกวี ที่สำคัญคือช่วยทำการบ้าให้นักเรียนนักศึกษาและเข้าสอบแทนแล้วทำคะแนนได้ดีมากอีกด้วย

เราพอจินตนาการได้แล้วว่า AI จะเป็นประโยชน์ต่อเรายังไง? เราสามารถให้มันช่วยเราตรงไหนได้บ้าง ที่สำคัญ คนธรรมดาอย่างเราก็ได้รู้แล้วว่าพวกเราสามารถเข้าถึง AI ได้ง่ายๆ โดยผ่านคอมพิวเตอร์แล็บท็อปหรือโทรศัพท์มือถือของเรา ไม่จำเพราะต้องเป็นกิจการใหญ่โตเท่านั้น
แล้วจู่ๆ ก็เกิดความเชื่อและพูดกันใหญ่โตกว้างขวางแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วว่า AI จะมาเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ เปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา จนถึงขั้นจะเปลี่ยนโลกอย่างสำคัญ AI จะช่วยให้หุ่นยนต์ทำงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ และจะมาแทนอาชีพหลายอาชีพ เช่นนักแปล โอเปอเรเตอร์ เสมียน คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น AI จะช่วยให้ผู้ป่วยอัมพฤษกลับมาเคลื่อนไหวและสื่อสารได้อีกครั้ง AI จะช่วยให้รถยนต์ขับไปเองได้โดยอัตโนมัติ AI จะช่วยให้ยานอวกาศที่ลงจอดบนดาวอังคารสามารถทำการสำรวจดวงดาวได้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น AI จะช่วยให้นักการเมืองบางคนชนะเลือกตั้ง และจะช่วยให้บางคนแพ้หมดรูป AI จะช่วยให้มือจักรกลสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตให้กับเกษตรกรได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือแม้กระทั่ง บรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะต้องหันมาใช้ AI ให้ช่วยคัดเลือกและโทรไปหาเป้าหมายได้มากขึ้นและแม่นยำขึ้นในแต่ละวัน ฯลฯ

AI กลายเป็นสิ่งฮ็อตฮิต! เพียง 5 วัน ChatGPT มี subscriber ถึงล้านคน และทะลุ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน หุ้นของกิจการที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ นับแต่ต้นปี เช่น Nvidia 199%, C3.ai 203%, Symbotic 290% เป็นต้น ยังไม่นับ Tesla, Amazon, Uber, Meta, Google, และ Microsoft
รูปแบบของการนำเอา AI ไปใช้กับธุรกิจ คงเดินตามกฎเกณฑ์ของ Technology Adoption ที่เคยเป็นมาในอดีตนั่นเอง คือเริ่มจากกิจการกลุ่มที่ผลิตฮาร์แวร์จะได้ประโยชน์ก่อน เช่น ไมโครโปรเซสเซอชิพ เซ็นเซอร์พิเศษ กล้อง CV หน่วยความจำ และส่วนประกอบที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วและแรงขึ้นเพื่อประมวลผลสำหรับซอฟท์แวร์ AI ฯลฯ แล้วค่อยเป็นกิจการซอฟท์แวร์ที่เป็นเจ้าของชุดข้อมูลจำนวนมาก เพื่อให้ AI ได้ฝึกฝนตนเอง แล้วสร้างซอฟท์แวร์ขายหรือให้เช่าผ่านบริการสมาชิก หรือใช้ AI ให้สร้างประสิทธิภาพกับบริการใหม่ของตน เช่น Microsoft, Uber, Tesla, Google, Meta, Adobe, Saleforce.com, Amazon.com ซึ่งราคาหุ้นของกิจการเหล่านี้ได้เขยิบขึ้นไปแล้วจากผลของ
AI ฉากต่อไปที่เรากำลังจะได้เห็นคือ AI จะเข้าไปสู่ธุรกิจทั่วไปแทบ “ทุกชนิด” และ “ทุกหนทุกแห่ง”
กิจการด้านบริการอาจจะ adopt เอา AI ไปใช้ได้ง่ายกว่าและใช้ก่อนกิจการด้านการผลิต แนวโน้มน่าจะเริ่มจากกิจการที่เกี่ยวข้องกับ การตลาดและการโฆษณา แล้วก็บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ต่อมาเป็นกิจการที่ปรึกษาธุรกิจ และโรงเรียนมหาวิทยาลัยหรือองค์กรที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน แล้วก็ถึงคราวอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อย่างสถาบันการเงิน และเฮลท์แคร์ ฯลฯ (เพราะสถาบันการเงินและโรงพยาบาลหรือบริการสุขภาพทั้งหลาย ถูกควบคุมด้วยกฏระเบียบเข้มข้น จึงอาจจะทอดเวลาออกไปบ้าง เหมือนกับคราวที่พวกเขา Adopt บริการออนไลน์ต่างๆ หลังอุตสาหกรรมอื่นๆ ในรอบที่ผ่านมา)
รอบหลังนี้คือของจริง !
ซอฟท์แวร์ AI สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานขององค์กรทุกประเภทและทั่วโลก PwC คำนวณว่า AI จะเป็นตัวเพิ่มให้ GDP ของโลกเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2030 Arvind Krishna ผู้นำสูงสุดของ IBM ประเมินว่า AI จะมาแทนงานออฟฟิสถึง 30% ใน 5 ปีข้างหน้านี้ และ IBM กำลังนำ AI มาใช้กับงานทุกประเภทในองค์กร (adopt AI across the board) ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะช่วยให้ IBM ประหยัดได้ถึง 780 ล้านเหรียญฯ ต่อปี Procter & Gamble ก็ใช้ AI ให้ช่วยคิดสูตรและส่วนผสมของสบู่ เพื่อย่นระยะเวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สั้นลง
กิจการแบบเราท่านทั่วไปก็เช่นเดียวกัน สามารถนำ AI มาใช้ได้ โดยหวังว่ามันจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการ แน่นอน ว่ามันจะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น และมันจะทำงานให้เราได้ตลอดเวลาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่จำเป็นต้องไปพัก ไปยืดเส้นยืดสาย ไปกินข้าว ฯลฯ ส่งผลให้ต้นทุนต่ำลง และสำคัญที่สุดคือ มันจะทำงานได้ถูกต้องแม่นยำกว่ามนุษย์
โปรดติดตามบทวิเคราะห์เชิงเจาะลึกหุ้น AI จากเรา ในโอกาสต่อไป
บทความ : ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว / Editor MBA magazine
28/09/2023
รอยัล ภูเก็ต มารีน่า หรือ RPM กำลังก้าวสู่การเป็นท่าจอดเรือชั้นนำที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลังจากได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร หรือ CFO ทำให้ RPM ได้ก้าวไปสู่อีกขั้นของการเป็นท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลก
RPM มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนทางทะเลในฐานะท่าจอดเรือแห่งเดียวในประเทศไทย และผู้นำรายแรกในภูเก็ตในกลุ่มอุตสาหกรรมท่าจอดเรือ โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร CFO ประจำปี 2566 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในนาม อบก. (TGO) อันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินการด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การชดเชยคาร์บอน เพื่อนำไปสู่การจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต โดยการรับรองนี้เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงประสิทธิภาพของกระบวนการในการบริหารงานภายในองค์กร ที่ได้รับหลังจากการประเมินผลงานด้านการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การรับรองขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการรับรองระบบ ในนาม International Accreditation Forum และ คณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ หรือ National Standardization Council of Thailand
นายกูลู ลัลวานี หัวเรือใหญ่ของ RPM เน้นย้ำว่า "การผ่านการรับรอง CFO ครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทอันแน่วแน่ของเรา ในด้านความยั่งยืน สะท้อนให้เห็นในทุกแง่มุมของการดำเนินงานอย่างตั้งใจ เรามีความยินดีที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐในฐานะท่าจอดเรือแห่งเดียวของประเทศไทย และผู้นำรายแรกในภูเก็ตในกลุ่มอุตสาหกรรมท่าจอดเรือ โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป้าหมายของเราคือรักษามาตรฐานการเป็นท่าจอดเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดอีกแห่งของเอเชียรอยัล ภูเก็ต มารีน่า เรามุ่งเน้นการพัฒนาสู่การเป็นผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจมุ่งสู่คาร์บอนต่ำ สู่การเป็นท่าจอดเรือที่ปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลก ตั้งเป้าเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการใช้ชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหรือแม้แต่การเฉลิมฉลอง ตามแบบวิถีชีวิตของนักท่องเที่ยวทางทะเล ณ เมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก อย่างภูเก็ตแห่งนี้
นอกเหนือจากสิ่งอํานวยความสะดวกในท่าจอดเรือของเราแล้ว เรายังคงพัฒนาและยกระดับที่พักอาศัยชั้นเลิศ ศูนย์กลางร้านค้า สำหรับผู้คนที่ต้องการวิถีชีวิตที่แตกต่าง ยิ่งไปกว่านั้น RPM ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง จากการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลด้านองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อม จัดโดยหอการค้า เนเธอร์แลนด์ – ไทย NTCC ที่ตอบโจทย์ต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม สังคม และการกํากับดูแลกิจการ (ESG)
อีกทั้งยังเป็นตัวแทนเดียวจากท่าจอดเรือในภูเก็ตที่ได้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ในงานสัมมนาหัวข้อ “ยุทธศาสตร์สู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวยั่งยืนของอันดามัน” หรือ Andaman Sustainable Tourism Forum ครั้งที่ 1 จัดโดย มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต”
อีกหนึ่งความสำเร็จของ RPM คือ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยในปีนี้เอง RPM ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ อย่าง Letter of Recognition หรือ LOR ภายใต้โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือเรียกโดยย่อว่าโครงการ LESS ซึ่งจัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย หรือ อบก. นั่นเอง ท่าจอดเรือของ RPM สามารถตอบสนองต่อความต้องการพลังงานได้มากถึง 40% ต่อวัน ผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่สะอาดและยั่งยืน ทั้งนี้องค์กรยังมีแผนพัฒนาเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง สู่การเป็นท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนของโลก
นอกจากนี้ RPM เอง ร่วมมือกับพันธมิตรทางเรือต่าง ๆ ในการลดการใช้ขวดพลาสติกในกิจกรรมการเดินเรือทุกประเภท ตั้งเป้าหากสำเร็จจะสามารถช่วยลดขวดพลาสติกไปได้ราว ๆ กว่า 4 ล้านขวดต่อปี ความร่วมมือเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงพันธมิตรอื่น ๆ มากมาย อาทิเช่น องค์กร Seakeepers, มูลนิธิ Oceans For All, License To Clean, บริษัท Wawa Creations และ Disabled Sailing Thailand หรือที่รู้จักกันในนาม สมาคมกีฬาเรือใบสำหรับคนพิการ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ รอยัล ภูเก็ต มารีน่า ในการเดินทางสู่การเป็นท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
การ์ทเนอร์คาดการณ์ ภายในปี 2568 ประมาณ 30% ขององค์กรธุรกิจข้ามชาติจะประสบกับการสูญเสียรายได้ ความเสียหายต่อแบรนด์หรือการดำเนินการทางด้านกฎหมาย อันเกิดจากความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereign Risk) ที่ไม่ได้รับการจัดการ
ไบรอัน เพรนติส รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ช่วง 30 ปีที่ผ่านมาองค์กรธุรกิจข้ามชาติบริหารธุรกิจโดยประเมินความเสี่ยงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศที่เข้ามาเปิดกิจการ แต่ปัจจุบันองค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องขยายความเสี่ยงด้านอธิปไตย (หรือ Sovereign Risk) ให้ครอบคลุมด้านดิจิทัลเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้งานดิจิทัลแบบต่างคนต่างใช้และกระจัดกระจายมากขึ้นทั้งในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค”
การ์ทเนอร์ระบุว่าอธิปไตยทางดิจิทัล (หรือ Digital Sovereignty) คือ ความสามารถรัฐบาลในการตระหนักถึงนโยบายที่ไม่เป็นอุปสรรคอันเกิดจากกฎระเบียบดิจิทัลของรัฐบาลต่างประเทศที่มีผลโดยตรงต่อพลเมืองและธุรกิจที่มีภูมิลำเนาอยู่ รวมถึงนโยบายที่ดำเนินการผ่านบริษัทดิจิทัลรายใหญ่ภายใต้การควบคุมของกฎระเบียบ
“ขณะที่หลากหลายประเทศดำเนินกลยุทธ์ Sovereign Digital มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือภาระผูกพันด้านกฎระเบียบข้ามเขตอำนาจศาล ข้อจำกัดด้านภาษี การห้ามนำเข้า/ส่งออก มาตรการทางเทคโนโลยีเฉพาะระดับประเทศและข้อกำหนดด้านเนื้อหาของท้องถิ่นที่ซับซ้อน เนื่องจากดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ผู้บริหารจึงต้องเข้าใจความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereign Risk) และผลกระทบต่อเงื่อนไขทางธุรกิจ”
การ์ทเนอร์ชูประเด็นสำคัญ 3 ประการที่ได้รับผลกระทบมาจาก Digital Sovereign Risk ซึ่งต้องจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียรายได้ ความเสียหายต่อแบรนด์ หรือการดำเนินการทางกฎหมาย ไว้ดังนี้
1. ความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัลที่ส่งผลต่อลูกค้าองค์กรข้ามชาติของผู้ให้บริการเทคโนโลยี
การหยุดชะงักส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ Sovereign Digital ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของผู้ให้บริการเทคโนโลยี โดยการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกำลังส่งผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยีและผู้ให้บริการเฉพาะ อาทิ ด้านข้อจำกัดของซัพพลายเออร์ 5G อย่าง Huawei หรือ Nokia ซึ่งอาจเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับชาติ หรือรับมือต่อเหตุการณ์ฉับพลันทางภูมิรัฐศาสตร์
จากข้อมูลของการ์ทเนอร์ชี้ให้เห็นว่าวิธีการที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีรับมือกับความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัลจะสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจข้ามชาติ โดยองค์กรต้องพิจารณาผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่สำคัญไว้เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้น และประเมินแบบเชิงรุกพร้อมลดความเสี่ยงอธิปไตยทางดิจิทัล
2. การสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีดิจิทัลจะถูกขัดขวางหากไม่ได้รับการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อความมุ่งมั่นสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ความพยายามในการผลิตเทคโนโลยี/นวัตกรรมดิจิทัลจะผลักดันองค์กรต่าง ๆ ไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลแบบแยกส่วน ซึ่งตลาดที่เผชิญกับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเหล่านี้บ่อยครั้งจะมีผลกำไรและขาดทุน (Profit & Loss) เป็นของตนเอง หากพบตลาดที่อื่น ๆ นอกเหนือจากประเทศต้นทางขององค์กร การ์ทเนอร์ขอแนะนำให้ใช้ขั้นตอนจัดการ Digital Sovereign Risk ที่เกี่ยวกับแต่ละผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
จำเป็นต้องปรับแต่งผลิตภัณฑ์เป็นท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและปรับให้เข้ากับข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ ควบคู่ไปกับด้านวัฒนธรรมและภาษาของลูกค้าในตลาดเฉพาะ เป็นไปในทิศทางที่ต่างกันตามมาตรฐานเทคโนโลยีในระดับประเทศ ระเบียบการที่รัฐสนับสนุน และกรอบการทำงานที่ภาครัฐฯ ส่งเสริม ซึ่งล้วนเพิ่มน้ำหนักการตัดสินใจที่จำเป็นในการผลิตผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่จะให้บริการในตลาดหลายแห่ง
3. ธุรกิจดิจิทัลจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล
ขณะที่องค์กรขยายเป้าหมายดิจิทัลและกลายเป็นธุรกิจดิจิทัล องค์กรจะต้องรับมือกับข้อขัดแย้งของตลาดเสรีดิจิทัลในวงกว้าง เช่นเดียวกับผู้ให้บริการเทคโนโลยี ทำให้อยู่ท่ามกลางการแข่งขันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล ซึ่งกระทบต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจ
การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารระดับสูงด้านความเสี่ยง (Chief Risk Officers หรือ CRO) ทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่เช่นนั้นจะประสบปัญหาในการขยายขอบเขต วัตถุประสงค์ และผลกระทบการดำเนินงานจากปัจจัยต่าง ๆ ของ Digital Sovereign Risk ที่มีต่อองค์กร