December 16, 2025

บล.ไทยพาณิชย์ มองวัฏจักรเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนจากภาวะ Reflation เข้าสู่ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น) โดยประเมินระดับเหมาะสมของ SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,600 จุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ถือครองหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นเชิงรับที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงบดุลแข็งแรงเพื่อลดความผันผวนและป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หุ้นแนะนำใน 4Q21 คือ BEM KCE OSP SECURE และ ZEN

 

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่าวัฏจักรเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนจากภาวะ Reflation สู่ภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น) ตลาดปรับลดมุมมองเกี่ยวกับการเติบโตลงโดยมีสาเหตุมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการเติบโตของจีน ในขณะที่ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสืบเนื่องมาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานองค์ประกอบความกังวลที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง คือ ความเสี่ยงจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนรวมถึงการปรับลดวงเงิน QE ของเฟด ทั้งนี้คาดเฟดจะประกาศลด QE จริงใน 4Q21 การปรับลดวงเงินมาตรการซื้อสินทรัพย์ (QE tapering) อาจจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและเพิ่มความเสี่ยงให้กับสินทรัพย์ทางการเงิน เมื่อสินทรัพย์รวมของธนาคารกลางปรับตัวลดลง ผลตอบแทนของตลาดจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนความกังวลจากประเทศจีน คือ กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นของสถาบันการเงินส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น กรณีของบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับสองในจีนมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้เมื่อ yield curve เปลี่ยนเป็น Bear หรือ Bull flattening ผลตอบแทนโดยรวมของสินทรัพย์เสี่ยง (รวมถึง SET) ยังคงเป็นบวกแต่จะลดลงสู่ตัวเลขหลักเดียว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดแสดงถึงการปรับตัวดีขึ้นบ้างหลังจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เริ่มปรับตัวลดลงตามลำดับ ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับมากกว่า 500,000 คนต่อวัน ส่งผลทำให้รัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในจังหวัดพื้นที่สีแดง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนก.ค. ส่งสัญญาณถึงการปรับตัวแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ ประมาณ 1% ในปีนี้ ลดลงจากที่ คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2% โดยมีสาเหตุมาจากมาตรการล็อกดาวน์รอบล่าสุด เราเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 และการทยอยกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกับโมเดลของSCBS

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาสที่ 4/64 โดยปกติแล้วไตรมาส 4 เป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งและผลตอบแทนเป็นบวก โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย4% และปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 60%ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่ออิงกับข้อมูลในอดีต นอกจากนี้ไตรมาส 4 ยังเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสาหรับหุ้นที่มี beta สูง เช่น หุ้นขนาดเล็ก หุ้นคุณค่า และหุ้นวัฏจักร แต่ครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป โดยมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะ stagflation แรงกดดันด้านมาร์จิ้น QE tapering และความเสี่ยงด้านการเมืองที่สูงขึ้นซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในไตรมาสนี้ ดังนั้น เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำให้คงการถือครองหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นเชิงรับที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งและงบดุลแข็งแรงเพื่อลดความผันผวนและป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

 

หุ้นเด่นไตรมาสที่ 4/64 แนะนำหุ้นที่มีลักษณะเฉพาะ 1) เป็นหุ้นเชิงรับ 2) ได้ประโยชน์จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 3) เป็นหุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง และ 4) เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค หุ้นแนะนำคือ BEM, KCE, OSP, SECURE และ ZEN

 

 

· BEM : เป็นหุ้นที่อิงกับปัจจัยภายนอกประเทศน้อย คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการคลายมาตรการ COVID-19 หลังจากกรุงเทพมีการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ป่วยลดลง ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีความน่าจะเป็นในการชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

· KCE : กำไรของบริษัทมีแนวโน้มเติบโต HoH และ YoY ในครึ่งปีหลังของปี 2564 ภาพอุตสาหกรรมมีการเติบโตในระดับสูง บริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าได้ เนื่องจากความต้องการสินค้าของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงและมีปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนค่อนข้างจำกัด ค่าเงินบาทจะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของกำไร

· OSP : เป็นหุ้นที่มีลักษณะเชิงรับและมีความผันผวนต่ำ เป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งการฟื้นตัวของตลาดภายในประเทศของสินค้าจำเป็นและเครื่องดื่มจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดพม่าที่คิดเป็น 10% ของรายได้

· SECURE : เป็นหุ้นขนาดเล็กที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่าง Cybersecurity (ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์) ที่คาดว่าจะมีความต้องการและลงทุนในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูงในอีก 3 ปีข้างหน้า และเป็นหุ้นที่เข้าในธีมธุรกิจใหม่ที่มี S-curve ในระยะยาว

· ZEN : การทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวและผ่านจุดต่ำสุด กลยุทธ์ในการเร่งขยายธุรกิจแฟรนไซส์มากกว่า 30 สาขาในครึ่งหลังของปี 2564 จะส่งผลให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง โดยเราประเมินว่าผลประกอบการจะมีกำไรในปี 2565

กรุงเทพฯ 11 กันยายน 2564 - ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) ตอกย้ำจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ให้ลูกค้าใช้ชีวิต “ฟรีรอบด้าน” จัดเต็มสิทธิประโยชน์ตรงใจในทุกสถานการณ์ โดยเปลี่ยนทุกการใช้จ่ายของลูกค้าให้คุ้มค่าและประหยัดจริง ส่งผลให้ลูกค้าใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น โดยยอดการใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเดบิต ออลล์ฟรี (ttb all free debit card) รวมทั้งบัตรเดบิต ออลล์ฟรี ดิจิทัล (ttb all free digital debit card) โตขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2564 นอกจากนี้ ลูกค้าที่มีการใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเดบิต ttb all freeมากกว่า 50% ยังได้รับสิทธิ์รับคะแนน wow คืน 1% ซึ่งสามารถนำคะแนน wow กลับมาใช้แทนเงินสดต่อได้อีก นับเป็นการต่อยอดความคุ้มค่าที่ทุกการใช้จ่ายช่วยลูกค้าประหยัดได้มากกว่าเดิม และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้และอนาคต

 

นางสาวนันทพร ตั้งเจริญศิริ หัวหน้าบริหารการตลาดลูกค้าบุคคลและประสบการณ์ลูกค้า ทีเอ็มบี ธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าในปัจจุบันที่ปรับตัวไปใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก ธนาคารจึงได้พัฒนาสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของบัญชี ttb all free ให้ตอบโจทย์ลูกค้าในด้านของการใช้ออนไลน์ได้อย่างครอบคลุมในทุก ๆ การใช้จ่าย เพื่อตอกย้ำจุดเด่นของ ttb all free ในฐานะผู้นำเทรนด์ความฟรีที่ให้ฟรีค่าธรรมเนียมมาก่อนใคร พร้อมสร้างโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของลูกค้าให้มีความคุ้มค่าสูงสุด และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจำเป็นที่ลูกค้าเคยต้องจ่ายได้จริง ๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นของบัญชี ttb all free ที่ลูกค้าสามารถจดจำและนึกถึงได้ในทันที และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าสมัครบัญชี ttb all free และกลายเป็นบัญชีหลักเพื่อการใช้จ่ายของลูกค้าต่อไป

 

ทั้งนี้ พบว่ายอดการใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเดบิต ttb all free รวมทั้งบัตรเดบิต ttb all free digital ในไตรมาส 3 ปี 2564 ได้เติบโตขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี และเติบโตถึง 97% เมื่อเปรียบเทียบปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความสำเร็จจากการนำเสนอโซลูชันที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ เข้าใจพฤติกรรมและตรงกับความต้องการของลูกค้าที่หันมาใช้จ่ายผ่านทางออนไลน์มากขึ้น โดยตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ธนาคารได้ออกแคมเปญ ttb all free go online ที่เมื่อลูกค้าใช้จ่ายผ่าน ttb all free บนแอปพลิเคชันออนไลน์ ช้อปปิ้ง อาทิ Shopee และ Lazada รวมไปถึงแอปพลิเคชันฟู้ด เดลิเวอรี เช่น LINE MAN และ Grab Food ลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษ ทั้ง 3 รูปแบบ ได้แก่ “ลด” รับโค้ดส่วนลดพิเศษ “ฟรี” ประกันช้อปออนไลน์ และ “คืน” 1 %ของยอดช้อปออนไลน์เป็นคะแนน wow (1 wow = 1 บาท) โดยพบว่ามีลูกค้าที่ใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเดบิต ttb all free มากถึง 50% ได้รับสิทธิ์รับคะแนน wow คืน 1% เพื่อนำคะแนน wow กลับมาใช้แทนเงินสดต่อได้อีก นับเป็นการต่อยอดความคุ้มค่าที่ทุกการใช้จ่ายช่วยลูกค้าประหยัดได้มากกว่าเดิม และปัจจุบันพบว่ามี

ลูกค้าออกบัตรเดบิต ttb all free digital เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 สูงถึง 86% ทั้งหมดนี้จึงช่วยการันตีชัดว่า ttb all free คือตัวจริงที่ช่วยลูกค้าประหยัดทุกการใช้จ่ายออนไลน์ และยืนหนึ่งเป็นบัญชีเพื่อใช้ในใจนักช้อปออนไลน์อย่างแท้จริง

 

นอกจากนี้ บัญชี ttb all free ยังมอบสิทธิประโยชน์ด้านความคุ้มครองอุบัติเหตุแบบฟรีๆ เพียงแค่คงเงินไว้ในบัญชีไม่ต่ำกว่า 5,000 บาททุกวัน ก็ได้ประกันอุบัติเหตุโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ได้รับฟรีค่ารักษาอุบัติเหตุ สูงสุด 3,000 บาทต่ออุบัติเหตุ ไม่จำกัดครั้ง ไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน รวมทั้ง ฟรีความคุ้มครองชีวิต 20 เท่าของเงินฝาก สูงสุด 3 ล้านบาท เหมือนลูกค้ามีสวัสดิการฟรี ๆ ติดตัว ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าได้รับสิทธิ์ประโยชน์ด้านความคุ้มครองด้านอุบัติเหตุ คิดเป็น 40% ของลูกค้า ttb all free ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าให้การตอบรับแคมเปญนี้เป็นอย่างดี และตอกย้ำว่า ttb all free เป็นผู้นำแนวทางการส่งมอบความฟรีให้กับลูกค้าและมุ่งช่วยเหลือลูกค้าให้ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้จริง ๆ

 

“ธนาคารเข้าใจในทุก ๆ ปัญหาทางการเงินของลูกค้าที่ต้องเผชิญจากผลกระทบของสถานการณ์รุมเร้าหลายด้าน ลูกค้ามีความจำเป็นต้องคิดเรื่องการใช้จ่ายให้รอบคอบมากขึ้น ทีเอ็มบีธนชาตจึงอยากเป็นทางเลือกให้ลูกค้าคลายความกังวลลง โดยช่วยเพิ่มมูลค่าเงินฝากหรือเงินออมที่มีอยู่ในบัญชีให้สามารถนำมาใช้จับจ่ายสินค้าแล้วได้เงินคืนกลับมา รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอด้วยการให้ความคุ้มครองแบบฟรี ๆ ซึ่งเราจึงคาดหวังและขอเชิญชวนทุกคนเข้ามาเป็นครอบครัว ทีทีบี ออลล์ ฟรี เพื่อรับสิทธิประโยชน์มากมาย ผ่านโซลูชันที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นต่อไป” นางสาวนันทพร กล่าวสรุป

กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลในเครือบีดีเอ็มเอส และเอสซีจี

เดินหน้า “โครงการวัคซีนเคลื่อนที่คุมความเย็น มั่นใจถึงแขนน้อง”

สร้างความอุ่นใจปลอดภัยจากโควิดให้แก่นักเรียนกว่า 5,000 คน ที่ปทุมธานี

สธ. จับมือ รพ.ในเครือบีดีเอ็มเอส และเอสซีจี เดินหน้าสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีนไฟเซอร์เชิงรุกใน “โครงการวัคซีนเคลื่อนที่คุมความเย็น มั่นใจถึงแขนน้อง” ด้วยระบบการขนส่งที่มีเทคโนโลยี และระบบติดตามการควบคุมอุณหภูมิ 2-8 องศา ตลอดเส้นทาง ช่วยรักษาคุณภาพของวัคซีนไฟเซอร์ พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์จิตอาสาให้บริการถึงโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับการฉีดที่สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเดินทางมาฉีดในเมือง สร้างความอุ่นใจ ปลอดภัยจากโควิดให้กับน้องๆ เยาวชน ก่อนเปิดเทอม โดยนำร่องฉีดนักเรียนกว่า 5,000 คน ใน5 โรงเรียน อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

นายแพทย์ ภุชงค์ ไชยชิน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี นายแพทย์ เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี นายแพทย์ นิวัติ อินทรวิเชียร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ และนายไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ร่วมเยี่ยมชมความพร้อมและให้กำลังใจบุคลากรการแพทย์ใน “โครงการวัคซีนเคลื่อนที่คุมความเย็น มั่นใจถึงแขนน้อง” ณ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนในพื้นที่นำร่องจังหวัดปทุมธานี

นายแพทย์ เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี กล่าวว่า “กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งการกระจายวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด 19 ให้เข้าถึงประชาชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ โดยการฉีดวัคซีนครั้งนี้ เป็นการจัดฉีดวัคซีนถึงในโรงเรียน นักเรียนไม่ต้องเดินทางไปฉีดในเมือง หรือไปฉีดที่โรงพยาบาลลำลูกกา ซึ่งมีพื้นที่จำกัด โดยได้จัดให้บริการแก่นักเรียนกว่า 5,000 คน ใน 5 โรงเรียนขนาดใหญ่ของจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนมัธยมสังคีตวิทยา และวิทยาลัยเทคโนโลยีช่างฝีมือปัญจวิทยา ซึ่งเริ่มทยอยฉีดตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม เป็นต้นมา ต้องขอขอบคุณภาคเอกชน ทั้งโรงพยาบาลในเครือบีดีเอ็มเอส และเอสซีจี รวมถึงทีมงานสนับสนุนทุกฝ่าย ที่ร่วมกันจัดการฉีดวัคซีนครั้งนี้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมไม้ ร่วมมือ ความเสียสละ และความเชี่ยวชาญ ของทีมแพทย์พยาบาล รวมถึงต้องมีเทคโนโลยีการขนส่ง และการจัดเก็บที่สามารถควบคุมคุณภาพของวัคซีน เพื่อให้เด็กได้รับการฉีดอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว

 

นายแพทย์ นิวัติ อินทรวิเชียร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า “โรงพยาบาลในเครือบีดีเอ็มเอส มีความยินดีที่ได้เข้าร่วมเป็นทีมจิตอาสาในการจัดทีมฉีดวัคซีนมาสนับสนุนทีมหลักของ สธ. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในเขตพื้นที่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น โดยจัดทีมทั้งพยาบาลและเภสัชกรเข้าร่วมสนับสนุนการฉีดวีคซีนในโครงการนี้”

นายไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า กล่าวว่า “เอสซีจี เห็นถึงความสำคัญของเร่งกระจายการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเรียนที่มีอายุ 12 ปี ขึ้นไป เพื่อช่วยลดความกังวล สร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองและครู ก่อนเปิดภาคเรียน และสามารถใช้ชีวิตอยู่กับโควิดได้อย่างปลอดภัย เอสซีจีจึงได้สนับสนุนรถขนส่งวัคซีนของบริษัทเอสซีจีโลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งการขนส่งวัคซีนไฟเซอร์นั้น ต้องอาศัยรถที่มีระบบควบคุมความเย็นให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถยังคงประสิทธิภาพของวัคซีนให้คงที่ และสามารถจัดเก็บได้นานถึง 1 เดือน ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกและสามารถกระจายส่งวัคซีนไปตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ ช่วยสร้างความอุ่นใจ ปลอดภัยให้แก่นักเรียน ผู้ปกครอง และครู ในการที่ไม่ต้องเดินทางเข้ามาฉีดในเมือง”

รถขนส่งของบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ มีระบบเทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิ (Real time Temperature traceability System) ที่ติดตั้งไว้บนตัวรถ หากอุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลง หรือสูงกว่าที่กำหนด ข้อมูลแจ้งเตือนทันทีที่ศูนย์ Command Center สำหรับการขนส่งวัคซีนครั้งนี้ จะควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 2 – 8 องศาเซลเซียส ตลอดระยะเวลาการขนส่ง และได้รับมาตรฐานสากลความสะอาด ปลอดการปนเปื้อน สำหรับสินค้าด้านอาหารและยารักษาโรคจาก GMP GHP และ BRC นอกจากการขนส่งจะช่วยยังคงคุณภาพและประสิทธิภาพของวัคซีนแล้ว ยังสามารถจัดส่งวัคซีนได้ทั่วประเทศ รวมถึงในพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงได้ยากได้อีกด้วย โดยสามารถเลือกขนาดรถทั้งเล็กและใหญ่ได้ตามเหมาะสม

 

ความท้าทายของธุรกิจในยุค Data driven ที่มุ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำหรืออยู่รอดให้ได้ในภาวะการแข่งขันที่ดุเดือด ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน คือความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกิดขึ้นจากทุกระบบ ทุกภาคส่วน ทั้งข้อมูลจากออนไลน์และออฟไลน์ จากระบบหน้าบ้านและหลังบ้าน (Back office) มาบริหารจัดการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ให้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางกลยุทธ์และการตัดสินใจ ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร ด้วยการนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ (Business operation efficiency) ช่วยลดเวลาการทำงาน ลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน ทั้งยังช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กร รวมทั้งการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ ทางธุรกิจ การพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ตลอดจนการพัฒนาแคมเปญการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย หรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ผลักดันองค์กรให้สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค นำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ในด้านการเพิ่มรายได้ ความพึงพอใจของผู้บริโภค และผลการดำเนินงานที่ดีอย่างยั่งยืนต่อธุรกิจ

 

นายณัฐนภัส รชตะวิวรรธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เบลนเดต้า จำกัด บริษัทผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการ Big Data อัจฉริยะ กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรส่วนมากที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ เป็นองค์กรที่ใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจ (Data driven) แต่ในขณะเดียวกันหลายองค์กรก็ยังประสบกับอุปสรรค (Pain Point) ในการปรับตัวให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ด้วยการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (IT Infrastructure) จำนวนข้อมูลมากมาย (Big Data) ที่เกิดขึ้นในทุกวินาที ทำให้การบริหารจัดการมีความยุ่งยากซับซ้อน หาจุดเริ่มต้นของการจัดการข้อมูลไม่ได้ ใช้ระยะเวลาที่นาน ไม่ทันกับสถานการณ์การแข่งขัน กำหนดทิศทางสวนทางความต้องการของตลาด หรือแม้แต่การขาดบุคลากรเฉพาะทาง ขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงขาดงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการข้อมูล

 

ทั้งนี้ จากการศึกษาตลาดวิเคราะห์บิ๊กดาต้าจาก BARC พบองค์กรสามารถเก็บผลประโยชน์จากบิ๊กดาต้าพร้อมต่อยอดธุรกิจ โดย 69% พบว่าบิ๊กดาต้าช่วยเพิ่มโอกาสการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ดีขึ้น ขณะที่ 54% พบว่าสามารถควบคุมกระบวนการปฏิบัติงานและสร้างความเข้าใจกับผู้บริโภคที่ดีขึ้น และ 47% พบว่าบิ๊กดาต้าช่วยการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรายรับ และผลกำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% ในขณะที่ต้นทุนลดลง 10%

 

เพื่อช่วยขับเคลื่อนทุกองค์กรให้ก้าวข้ามช่วงภาวะวิกฤต ควบคู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้สำเร็จตามเป้าหมาย Blendata แนะนำ 4 ขั้นตอน ซึ่งเป็นวิธีในการนำข้อมูลมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบดังกล่าว ด้วยการดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ ค้นหาซึ่งผลลัพธ์ที่แท้จริง ชี้ทิศทาง สร้างโอกาสทางการแข่งขัน สู่การเติบโตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ยังเป็น 4 ขั้นตอนที่เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลแต่ยังไม่มีแนวทางในการเริ่มต้น ขั้นตอนเบื้องต้นดังกล่าวอาจช่วยกำหนดทิศทางการต่อยอด พัฒนาโครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งได้ในปัจจุบันและอนาคต

 

 

1. การประเมินเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลในองค์กร ว่าข้อมูลเบื้องต้นประกอบด้วยข้อมูลอะไรบ้าง และข้อมูลดังกล่าวถูกจัดเก็บไว้ที่ใด เพราะทุกข้อมูลมีความสำคัญกับธุรกิจ นอกจากข้อมูลการขาย ข้อมูลการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) และข้อมูลในคลังสินค้าแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับคำร้องเรียนจากลูกค้า การสำรวจ บันทึกการปฏิบัติการต่าง ๆ ทั้งจากรายการบันทึกการดำเนินงาน (Operational log) แอปพลิเคชัน (Application) รายการบันทึกโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure log) และข้อมูลพฤติกรรมต่าง ๆ ต่างมีความสำคัญไม่แพ้กัน

 

2. วางแผนและกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ควรนำผลจากการประเมินเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลในองค์กรมาศึกษาหารือจากมุมมองทางธุรกิจ โดยยังไม่ต้องคำนึงถึงมุมมองหรือข้อจำกัด ด้านเทคโนโลยีและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อดูว่าข้อมูลที่มีอยู่ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพในด้านใดได้บ้าง หรือสามารถช่วยในการบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร เพื่อกำหนดทิศทาง วางโรดแมป โดยนำข้อมูลมาใช้ทั้งแบบที่นำไปใช้

ได้ผลในทันที และแบบนำไปใช้ในระยะยาว (Long-term win) ไม่เช่นนั้นแล้วข้อมูลที่มีอยู่จะกลายเป็นเพียงถังเก็บข้อมูลอีกแหล่งที่ใช้งานไม่ได้ หรือที่เรียกว่า Swamp of Data

 

3. เลือกกำหนดเป้าหมายแรกแบบที่สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้และเห็นผลสำเร็จทันที หรือที่เรียกว่า Quick win และเร่งดำเนินการให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ตั้งแต่ต้นจนสำเร็จแบบ end-to-end จากข้อมูลจนถึงผลลัพธ์ที่ใช้ในทางธุรกิจได้ โดยการทำ Big data และ Data analytics เพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ มากกว่าเทคโนโลยีที่ใช้งาน ดังนั้นจึงควรเลือกทำโครงการที่มีผลลัพธ์วัดผลได้ชัดเจนทางธุรกิจ เช่น เพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน การปฏิบัติการที่เป็นเลิศ (Operation excellence) หรือการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า และควรจะทำให้เสร็จให้เร็วที่สุด เพื่อวัดผล และตอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยอาจนำหลักระเบียบวิธี “Agile” มาใช้งาน

 

4. ผลักดันและสนับสนุนให้บุคลากรในองค์กรใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ แม้ทุกองค์กรจะตระหนักกันดีอยู่แล้วว่าข้อมูลนั้นมีความสำคัญมากเพียงใดในยุค Data Driven แต่จากผลการศึกษาของ Sigmacomputing.com พบว่าบริษัทเพียง 14% เท่านั้น ที่พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ทั้งพนักงานยังคงขาดความรู้และความสามารถในการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจอีกด้วย ดังนั้นจึงควรผลักดันและส่งเสริมให้พนักงานทุกฝ่ายและทุกระดับในองค์กรมีความรู้ความเข้าใจในการใช้ข้อมูล ทั้งในด้านของการใช้เครื่องมือ (Tools) และการวิเคราะห์ (Analytics) เพื่อใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในทุกขั้นตอนของการทำงาน ถือเป็นการวางฐานที่แข็งแรงและสร้างองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง เป็นการสร้างการทำงานที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว มิใช่ทำงานเป็นโครงการแล้วจบไป

 

การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเป็นกลยุทธ์ที่อาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ซึ่งจะช่วยให้เป้าหมายขององค์กรสำเร็จได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ให้สามารถเชื่อมต่อถึงกันและให้พนักงานทุกฝ่ายในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เท่าทันกับภาวการณ์แข่งขัน ค้นหาตัวแปรหลัก ส่งสัญญาณให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าหรือบริการตอบโจทย์ผู้บริโภค อันจะนำมาซึ่งชัยชนะในการแข่งขันการตลาดและสร้างกำไรในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการ

กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ การดำเนินธุรกิจของทุกฝ่ายในองค์กร การกำหนดกลยุทธ์บริหารการตลาดที่รวมถึงการเพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการ การขยายช่องทางหรือเครือข่ายในการกระจายสินค้า การกำหนดราคาสินค้าหรือบริการที่สามารถแข่งขันได้ การสร้างแบรนด์ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เป็นต้น อันนำมาซึ่งการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการเพิ่มรายได้ เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

 

จัดเต็มไม่มีกั๊ก! อีเวนต์ใหญ่ประจำปี LINE THAILAND DEVELOPER CONFERENCE 2021 ที่จะมาขับเคลื่อนนักพัฒนาไทยสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยปีนี้จัดเป็นออนไลน์อีเวนต์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Next World of LINE API ต่อยอด LINE API สู่การใช้งานจริงอันหลากหลาย ด้วยคอนเทนต์อัปเดตและ ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ และหลักการใช้งาน Framework ต่างๆ ที่จะช่วยให้นักพัฒนาไทย สรรค์สร้างเทคโนโลยีบน LINE อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงกรณีศึกษาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและยกระดับนักพัฒนาไทยให้ก้าวไปอีกขั้น

 

เตรียมตัวให้พร้อมกับคอนเทนต์อัดแน่นเต็มตลอดวันกับ 13 เซสชั่น จากวิทยากรมากมายในวงการเทคฯ ทั้งจาก LINE ประเทศไทย, LINE API Expert และพาร์ทเนอร์จากหลากหลายองค์กรชั้นนำ ในวันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 – 17.30 น. ผ่าน LINE TV และ FB Fanpage: LINE Developers Thailand ฟรี! ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://www.line-website.com/linedevconf202 พร้อมแอด LINE Official Account: @LINEDEVTH (หรือคลิก https://lin.ee/zagJ22m ) เพื่อติดตามข้อมูลอัปเดตของงาน และร่วมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัลในวันงาน แล้วพบกัน!

โตเกียว, 7 ตุลาคม พ.ศ. 2564 – วันนี้ฟูจิตสึได้เปิดตัวแบรนด์ธุรกิจระดับโลกใหม่ล่าสุด Fujitsu Uvance ซึ่งจะนำเสนอโซลูชั่นด้านทรานส์ฟอร์เมชั่นเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน Fujitsu Uvance จะใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาของฟูจิตสึใน 7 ด้านที่สำคัญ เพื่อมอบคุณประโยชน์ที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด นั่นคือ "การทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโดยอาศัยนวัตกรรม"

 

คำว่า "Uvance" สื่อถึงแนวคิดของการทำให้ทุกสิ่ง (Universal) ก้าวไปข้างหน้า (Advance) ในทิศทางที่ยั่งยืน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฟูจิตสึใน "เป็นการสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ด้วยการเชื่อมโยงผู้คน เทคโนโลยี และแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวตามความฝันได้มากขึ้น"

Fujitsu Uvance จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับธุรกิจหลักของฟูจิตสึ ซึ่งครอบคลุมโฟกัส 7 ด้านที่สำคัญ โดย 4 ด้านนั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่และแก้ไขปัญหาสังคมที่ต้องเผชิญทั้งในปัจจุบันและอนาคต โฟกัส 4 ด้านที่ว่านี้ได้แก่ การผลิตที่ยั่งยืน (Sustainable Manufacturing), ประสบการณ์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Experience), การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี (Healthy Living) และสังคมที่เชื่อถือได้ (Trusted Society) ส่วนอีก 3 ด้านเพื่อที่เข้ามารองรับการดำเนินงานข้างต้นและทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล การผสานรวมแอพพลิเคชั่น และการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (Digital Shifts), แอพพลิเคชั่นทางธุรกิจ (Business Applications) และระบบไอทีแบบไฮบริด (Hybrid IT)

 

ฟูจิตสึจะนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของ Fujitsu Uvance ซึ่งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายใต้วิสัยทัศน์ระดับโลกสำหรับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ภายในงาน "Fujitsu ActivateNow 2021" ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับโลกที่จัดขึ้นผ่านระบบออนไลน์ในวันอังคารที่ 12 ตุลาคม นั้น จะมีสาส์นจากผู้บริหารของฟูจิตสึ วิทยากรรับเชิญ และลูกค้า เพื่อส่งมอบแนวคิดให้กับผู้เข้าร่วมรับฟัง

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นและทิศทางที่เปลี่ยนไปของประชากรโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อให้เกิดโอกาสที่มากมาย รวมถึงปัญหาท้าทายที่ซับซ้อน จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนำไปสู่ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในช่วงปีที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเผยให้เห็นถึงปัญหาความแตกแยกและความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับค่านิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชน รวมไปถึงปัญหาท้าทายใหม่ๆ ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของมนุษยชาติและโลก การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ขณะที่ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ และกล้าที่จะก้าวเดินไปในทิศทางใหม่เพื่อมุ่งไปสู่อนาคตที่สดใส โดยใช้นวัตกรรมเป็นแสงนำทาง

ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนนี้ ฟูจิตสึจึงได้กำหนดวัตถุประสงค์ขึ้นใหม่ในปี 2563 โดยปรับใช้แนวทางใหม่ในการพลิกโฉมองค์กรไปสู่ธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อทำให้โลกของน่าอยู่มากขึ้น ตลอดจนเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2573 ฟูจิตสึ ได้ระบุโฟกัส

หลัก 7 ด้านที่เป็นพื้นฐานสำหรับ Fujitsu Uvance อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโฟกัสหลัก 7 ด้านของ Fujitsu Uvance ตามภาพด้านล่างนี้ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ Fujitsu Uvance Global

 

 

แผนการสำหรับอนาคต

เพื่อฉลองการเปิดตัวในครั้งนี้ ฟูจิตสึได้เปลี่ยนชื่ออาคาร "Fujitsu Kawasaki Tower" ในประเทศญี่ปุ่นเป็น "Fujitsu Uvance Kawasaki Tower" และใช้เป็นห้องปฏิบัติการที่จัดแสดงศักยภาพการใช้งานจริงของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ไบโอเมตริก การวิเคราะห์ภาพ ฯลฯ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีบทบาทต่อฟูจิตสึในธุรกิจที่สำคัญ 7 ด้าน

 

นอกจากนี้ ฟูจิตสึเตรียมเปิดตัวโลโก้รูปโฉมใหม่ พร้อมกับการเริ่มต้นดำเนินงานของ Fujitsu Uvance ตรงกับลูกค้า โดยโลโก้ใหม่นี้สื่อถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมทำให้โลกมีความ

ยั่งยืนมากขึ้น โดยมีการจัดวางโลโก้เครื่องหมายอินฟินิตี้ (Infinity Mark) ไว้ที่ด้านหน้า พร้อมด้วยลายเส้นโค้งมนที่ลื่นไหลในรูปแบบไดนามิก แสดงถึงความมุ่งมั่นของฟูจิตสึในการเสริมสร้างพลังเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและยังสื่อความหมายถึงวงจรการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกค้า สังคม และโลกของเรา

ฟูจิตสึมุ่งมั่นดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

สหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) เมื่อปี 2558 โดยตั้งเป้าที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวทั่วโลกภายในปี 2570 ขณะที่ฟูจิตสึมี

จุดมุ่งหมายที่จะ “ทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโดยอาศัยนวัตกรรม” และนั่นคือคำมั่นสัญญาสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่าตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

เพื่อนฝูงในแวดวง VC บอกให้จับตากิจการเล็กๆ ที่เพิ่งรับเงินรอบ Series A ไป 10 ล้านเหรียญฯ แบบชิวๆ ว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าสนใจ และน่าจะใหญ่โตได้ในอนาคต

เราว่าทุกคนต้องเคยหงุดหงิดเวลาไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วต้องมารอจ่ายเงิน ยิ่งซูเปอร์ใหญ่ๆ ในวันหยุดหรือสิ้นเดือน ที่ลูกค้าต่างมาช้อปปิ้งกันแบบเต็มคันรถเข็นด้วยแล้ว ต้องมีสิบห้าถึงยี่สิบนาที...เฉพาะยืนรอ... ยังไม่นับว่าต้อง “ติ๊ดเครื่อง” และรูดบัตรเครดิต แล้วเก็บของใส่ถุงอีก...ยิ่งตอนนี้บางวันหรือบางช่องเก็บเงิน ก็ไม่มีถุงบริการแล้ว เพราะไม่อยากให้โลกร้อนขึ้น

ถ้าต้องซื้อผลไม้หรือผักตามฤดูกาลด้วยแล้ว ยังต้องไปรอคิวชั่งน้ำหนักเพื่อติดแท็กราคาเสียอีกต่อหนึ่งก่อน

เท่ากับรอสองต่อละ

แม้เดี๋ยวนี้ ซูเปอร์ที่คนแยะๆ จะนำเครื่อง “Self Checkout” มาให้บริการสำหรับแม่บ้านพ่อบ้านที่อินทรีย์แก่กล้าขึ้นมาหน่อย สามารถ “ติ๊ดเครื่อง” เองได้ รูดบัตรเองได้ แต่หลายต่อหลายครั้ง เมื่อคนข้างหน้ามีปัญหาเรื่อง “ติ๊ดเครื่อง” (จะเพราะเซนเซอร์ไม่อ่านแทกราคา หรือเพราะความเงอะๆ งะๆ ของผู้ “ติ๊ด” ก็ตาม) ระหว่างที่รอพนักงานมาช่วยแก้ไข คนข้างหลังก็ต้องรอแง๊กกันต่อไป

ช่างเป็นประสบการณ์ที่แย่ เสียนี่กระไร

บริการจัดส่งให้ถึงบ้านสมาชิก หรือเดลิเวอรี่เซอร์วิส อาจช่วยแก้ขัดได้บ้าง สำหรับสินค้าไอเต็มที่เราซื้อประจำและไม่ต้องการใช้แบบเร่งด่วนนัก

แต่มันก็ยังไม่หนำใจ เพราะการไปดูของหน้างาน ย่อมสะใจกว่าและเลือกได้มากกว่า

Solution หนึ่งที่ฝรั่งทำ คือสร้างห้างซูเปอร์มาเก็ตแบบใหม่ ที่ไม่ต้องมีเคาน์เตอร์เก็บตัง และไม่ต้องมีพนักงานเก็บตัง โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

ผู้บุกเบิกคือ AmazonGo ซึ่งเปิดหลายสาขาแล้วตามเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ และตอนนี้ในเมืองจีน และยุโรป ก็เริ่มมีเชนแบบนี้มาเปิดแล้วเช่นกัน (เช่นห้างของ Alibaba และ JD ในจีน และ Auchan ในยุโรป เป็นต้น)

ในอนาคต ก็คงจะมีคนนำมาเปิดในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวแยะๆ

ซูเปอร์มาร์เก็ตพวกนี้ใช้เทคโนโลยี AI เข้าช่วย (เช่น Deep Learning, Computer Vision, Sensor Fusion, Geofencing…เออ ช่างมันเถอะ เพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องรู้เบื้องหลังว่ามันทำกันยังไง...เป็นเรื่องของพวกช่าง) คือเราเพียงแต่โหลดแอปของเขาและเปิดบัญชีกับเขาแล้วก็เอามือถือสแกนหรือ “ติ๊ด” ที่เครื่องแล้วประตูก็เปิด (เหมือนกับขึ้นรถไฟฟ้า BTS)

แล้วก็ไปเดินหยิบสินค้าจากชั้นใส่ตะกร้า เสร็จแล้วก็เดินออกไปเลย ไม่ต้องรอจ่ายตัง เพราะไม่มีเค้าเตอร์แคชเชียร์

อีกสักพัก เขาก็จะส่งใบเสร็จรับเงินมาในมือถือ แล้วเราก็จ่ายด้วยบัตรเครดิต หรือ PayPal หรือให้หักบัญชี หรือจ่ายจาก Wallet ต่างๆ ฯลฯ

เป็นอันจบกระบวนการช็อป

ง่ายขึ้นแยะ...ใช่ปะ

อีก Solution นึง นี่เกี่ยวกับบริษัทเล็กๆ ชื่อ Caper ที่เพื่อน VC แนะนำ และเราเกริ่นไว้แต่แรก

คือแบบว่า การจะเปลี่ยนซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีอยู่แล้วให้เป็นแบบ Unmanned Supermarket หรือแบบ AmazonGo โดยไม่ต้องมีพนักงานและเคาน์เตอร์เก็บเงินนั้น มันต้องลงทุนสูง เพราะต้องติดตั้งกล้องพร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ

Remote Sensing จำนวนมาก และต้องเปลี่ยนชั้นวางของให้เป็นแบบอัจฉริยะ เพื่อจะให้ AI มันทำงานได้แบบไม่ผิดพลาด

มันก็เลยมีคนคิดทางเลือกที่ง่ายกว่า ถูกกว่า

โดยเอาอุปกรณ์และ AI ทั้งหมด และเคาน์เตอร์แคชเชียร์มารวมไว้ในรถเข็นซะเลย (ดูภาพล่างประกอบ)

เออ..เข้าท่าแฮะ

เราเพียงแต่หยิบสินค้าลงรถเข็น มันก็จะสแกนหรือ “ติ๊ด” ให้เราระหว่างหยิบลงเสร็จสรรพโดยอัตโนมัติ เพราะมันมีเซนเซอร์หลายตัวดักรออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเอียงข้างให้บาร์โค้ดจ่อกับเซนเซอร์เหมือนตอนนี้ และมันยังมีข้อมูลใกล้เคียงแนะนำเราอีกด้วย เช่นเราหยิบสปาเกตตีลง มันรู้ละ มันก็จะแนะนำเครื่องเคียง Recipe ว่าจะมีอะไรอยู่บนชั้นตรงไหนและราคาเท่าไหร่ให้เลือกบ้าง

หรือถ้าเราต้องการซื้อผลไม้หรือผักที่ต้องชั่งเพื่อติดแท็กราคา ก็ไม่จำเป็นต้องไปรอชั่งอีกต่อไป เพราะในรถเข็นนี้มันมีเครื่องชั่งน้ำหนักฝังไว้แล้ว เราเพียงหยิบใส่รถเป็นพอ

ตอนจบก็สามารถเสียบบัตรเครดิตได้ที่รถเลย หรือจะจ่ายด้วยวิธี QR Quote หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็สามารถทำได้ทันที (ลองคลิกดูลิงก์นี้น๊ะ https://www.msn.com/en-us/foodanddrink/watch/caper-smart-cart-make-shopping-magic/vi-BBSTdYY)

 แบบนี้ น่าจะง่ายกับเจ้าของร้านซูเปอร์ด้วย เพราะแทนที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งร้าน ก็เปลี่ยนเฉพาะรถเข็นพอ

ส่วนลูกค้าบางคนที่ไม่ชินกับการใช้ของใหม่ หรือยังต้องการเจ๊าะแจ๊ะกับแคชเชียร์ สอดรู้เรื่องดาราหรือผัวเมียคนอื่น ก็สามารถเลือกใช้ช่องทางแบบเก่าได้เหมือนเดิม

ไม่แน่ เทคโนโลยีนี้ อาจทำให้โชวห่วยกลับมาสู้กับเครือใหญ่ๆ ได้อีกครั้ง

ยังไงๆ อนาคตของการช็อปปิ้ง มันก็ต้องเปลี่ยนไปในแนวนี้แน่ๆ เพราะเทคโนโลยีมันทำได้แล้ว และมันถูกลงมาก

รู้ไว้ก่อนก็ดี

หรือถ้าอยากจะลงทุน ก็หาบริษัทดีๆ ที่ทำเรื่องพวกนี้ อีกหน่อยต้องโตอยู่แล้ว

ไว้เมื่อเว็บใหม่ของเราเรียบร้อย คงมีรายงานเชิงลึกให้ได้ดูกัน

 19 ก.ย. 62

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

“Getfin” แพลตฟอร์มนักขายออนไลน์ ชูจุดเด่นให้นักขายไม่ต้องลงทุน ไม่สต็อกสินค้า ไม่ต้องขายแข่งตัดราคา ไม่เสียค่าจัดส่ง ลูกค้าได้รับสินค้าแท้จากแบรนด์โดยตรง ด้วยไอเดียสู่การพัฒนาจนออกมาเป็น ‘Seller Commerce ที่แรกในไทย’ โดยนายกัณจ์ พัฒนเสรี นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร ร่วมกับนายพรพิพัฒน์ พัฒนเศรษฐานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท เก็ทฟิน จำกัด ที่พลิกวิกฤตนักขายในตลาด E-commerce ที่มีการแข่งขันสูง สู่โอกาสให้นักขายออนไลน์ แบรนด์ และลูกค้าได้วินกันทุกฝ่าย ตั้งเป้าสร้างนักขายออนไลน์ 100,000 ราย ใน 3 เดือน

นายกัณจ์ พัฒนเสรี ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท เก็ทฟิน จำกัด กล่าวว่า “เก็ทฟิน (Getfin) เป็นแพลตฟอร์มนักขายออนไลน์ หรือ Seller Commerce ที่รวบรวมแบรนด์สินค้าและนักขายออนไลน์ ไว้ในที่เดียวแห่งแรก ในไทย เพื่อให้แบรนด์กระจายสินค้า นักขายออนไลน์ได้เลือกสินค้าไปขายสร้างรายได้ และลูกค้าได้รับสินค้าแท้จากแบรนด์โดยตรง โดยเป็นโมเดลธุรกิจที่มุ่งหวังให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์แบบวินๆ ทั้งแบรนด์ นักขายออนไลน์และลูกค้า เชื่อมั่น ว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับทุกคน ซึ่งไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นทางรอดที่ช่วยสร้างรายได้ให้นักขายได้อย่างแท้จริง

Getfin มีระบบที่ช่วยทำให้การขายออนไลน์เป็นเร่องง่าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ไร้ความเสี่ยง ผ่านบริการ 5 ฟีเจอร์หลัก 1. Dropship ระบบที่ไม่ต้องสต็อกสินค้า ไม่ต้องจัดส่งสินค้าด้วยตนเอง 2. Share สินค้าหรือบทความจาก Getfin ไปยังช่องทางการขายของตนเอง 3. Live ขายสินค้าผ่าน Facebook page เป็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นเรื่องส่วนลดเพื่อกระตุ้นการขายให้ลูกค้า 4. Review สินค้าที่ตนเองซื้อผ่าน Getfin ได้บนหน้ารายละเอียดสินค้านั้นๆ 5. Website เป็นหน้าร้านขายออนไลน์ส่วนตัวที่สร้างความน่าเชื่อของนักขายออนไลน์ สามารถเลือกสินค้าที่ตนเองถนัดมาขายที่ getfin.me ได้ทันที

“เราต้องเปลี่ยน Mindset ของการขายสินค้าออนไลน์ที่ต้องสต็อกสินค้า สู่การสร้างรายได้แบบไม่ต้องลงทุน ให้นักขายออนไลน์เลือกขายสินค้าได้ตามความถนัด ตั้งเป้ามีนักขายออนไลน์ 100,000 คน ภายใน 3 เดือน โดยมี Ecosystems ที่แข็งแรง ที่ทำให้ทุกฝ่ายรับผลประโยชน์แบบเท่าเทียมกัน ตามคอนเซ็ปต์ “Getfin มา Win ทุกคน” ซึ่งช่วยให้นักขายออนไลน์ลดต้นทุนเรื่องสต็อกสินค้า เพียงมีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว สามารถทำการตลาดผ่านฟีเจอร์ต่างๆ ได้ และหากโพสต์ขายสินค้าสม่ำเสมอก็ยิ่งมีโอกาสสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือนได้ไม่ยาก สามารถสมัครเป็นนักขายได้ที่ getfin.me/seller ”

นายพรพิพัฒน์ พัฒนเศรษฐานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า “Getfin มีระบบคัดกรองนักขายออนไลน์และแบรนด์สินค้าอย่างรัดกุม เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าตรงตามความต้องการในราคามาตรฐาน ซึ่งระบบการขายออนไลน์สามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับทุกคน โดยที่ไม่ต้องลงทุน ทำการตลาดตามแบบฉบับที่นักขายต้องการได้ นอกจากจากนี้ ยังแก้ Pain Point ในธุรกิจ E-commerce ที่แบรนด์ต้องขายตัดราคา สินค้าถูกลอกเลียนแบบ นักขายออนไลน์ต้องสต็อกสินค้า และลูกค้าได้สินค้าไม่ตรงปก ซึ่ง Getfin ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวและตอบโจทย์การซื้อและขายสินค้าบนออนไลน์ในปัจจุบันได้

นอกจากนี้ Getfin รวบรวมแบรนด์ดังคุณภาพกว่า 500 แบรนด์ และมีแผนจะเพิ่มแบรนด์ดังต่างๆ รวมกว่า 800 แบรนด์ภายในปี 2564 โดยเปิดรับสมัครแบรนด์สินค้าที่สนใจขายทาง partner.getfin.me/register และมีระบบชำระเงินมาตรฐานความปลอดภัยทางการเงินระดับสากล ทำให้ลูกค้าเลือกชำระเงินได้ทุกช่องทางอย่างมั่นใจและมีบริการผ่อนชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน และลูกค้าได้รับสินค้าแท้จากแบรนด์โดยตรง โดยช้อปได้ที่ getfin.me และ Application บน ios และ Android พร้อมให้บริการเดือนธันวาคมนี้ ติดตามรายละเอียด เก็ทฟิน (Getfin) เพิ่มเติมได้ตาม Link นี้: https://www.youtube.com/watch?v=RUobpKFYwb4

Image preview

ในโอกาสวันไปรษณีย์โลก หรือ World Post Day 9 ตุลาคม นับเป็นวันสำคัญของหน่วยงานที่เป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างผู้คนมาตั้งแต่อดีต ที่เชิญชวนให้ผู้คนรำลึกถึงการเขียนจดหมาย ซึ่งเป็นการสร้างสัมพันธภาพผ่านตัวอักษร ให้ทุกคนบนโลกใบนี้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างทั่วถึง และแม้ในปัจจุบันการเขียนจดหมายจะลดลง แต่ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงผ่านไปรษณีย์ก็ยังไม่หายไป ไม่ใช่แค่ระหว่างบุคคล แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเหล่า “น้อนๆ 4 ขา” กับพี่ไปรษณีย์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเจ้าแสบสี่ขาจากบ้านนินจาแอนด์เดอะแก๊ง (Ninja and the gang) ที่มักจะแชร์คลิปความสัมพันธ์สุดน่ารักกับพี่ไปรฯ ที่อยู่ในระหว่างนำจ่ายพัสดุ ซึ่งได้กลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดียในทุกแพลตฟอร์มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 จากเรื่องราวน่าประทับใจดังกล่าว ทำให้ไปรษณีย์ไทยอยากพาทุกคนมาพบกับมุมมองชวนยิ้ม ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่เหมือนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดอย่างคนส่งไปรษณีย์กับสุนัข ที่ไม่ว่าจะเดินทาง ไปทำภารกิจนำจ่ายที่ไหนล้วนต้องได้พบเจอกับน้องๆ สี่ขา ที่วิ่งมาต้อนรับทั้งด้วยความยินดีและไม่ยินดีทั้งสิ้น ผ่านการพูดคุยกับผู้ปกครองสุดใจดีของเหล่าน้องหมาแห่งบ้าน Ninja and the gang ที่ได้พบเจอเหตุการณ์

เปิดสตอรี่เพื่อนแท้ “พี่ไปรฯ x น้อนสี่ขา” แห่งบ้านนินจาแอนด์เดอะแก๊ง พลังแห่งสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางการขนส่ง

#THP #ไปรษณีย์ไทย #ส่งพลังสร้างสัมพันธ์ #JCCOTH #Ninjaandthegang

น่าประทับใจดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว จนเกิดเป็นเรื่องราวที่อยากแบ่งปันให้กับทุกคนได้รับรู้ถึงความน่าเอ็นดูระหว่างพี่ไปรฯ กับน้องหมาที่จะสามารถสร้างรอยยิ้มให้ผู้พบเห็นไปได้ตามๆ กัน

 นายเศรษฐ์ เดชสุภา และ นางสาว รักชนก เจริญมากสุวรรณ เจ้าของเฟซบุ๊คเพจ Ninja And The Gang เล่าว่า ปกติที่บ้านจะชอบพาสุนัขออกไปเดินเล่น เพื่อให้น้อง ๆ ได้ทำธุระและออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว โดยเวลาที่พาออกจากบ้านมักตรงกับช่วงที่เจ้าหน้าที่นำจ่ายไปรษณีย์ไทย หรือ พี่ไปรฯ มาทำหน้าที่ในละแวกบ้านพอดี ซึ่งเขาเป็นคนที่ส่งของในเขตนี้เป็นประจำ รวมถึงเป็นคนที่มาส่งจดหมายให้ที่บ้านบ่อยครั้ง ดังนั้น ตั้งแต่ช่วงที่ที่บ้านเริ่มรับฟีนิกซ์ สุนัขพันธุ์นิวฟาวด์แลนด์ (Newfoundland) ที่เป็นสุนัขเด็กและมีนิสัยใจดีขี้เล่นเข้ามาดูแล ก็ทำให้ทั้งเจ้าฟีนิกซ์กับพี่ไปรฯ ที่ไม่เคยเจอกันได้ทำความรู้จักกัน พี่ไปรฯ ก็ได้เห็นพัฒนาการเติบโตของฟีนิกซ์ตลอด และด้วยความขี้อ้อนของเจ้าฟีนิกซ์ รวมทั้ง โทร่า นินจา โนว่า ก็คงเป็นสาเหตุทำให้พี่ไปรฯ ต้านไม่ไหว ต้องจอดรถแวะเล่นด้วยทุกครั้ง ซึ่งฟีนิกซ์ก็ยิ่งติดใจเพราะรับรู้ได้ว่าพี่ไปรฯ อยากเล่นด้วย จนเวลาผ่านมาหลายเดือน ทั้งสองก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นและผูกพันกันในที่สุด

 นายพงษ์ศักดิ์ เรืองศรี บุรุษไปรษณีย์สังกัดไปรษณีย์รามอินทรา เล่าถึงความน่ารักของแก๊งสี่ขาว่า ระหว่างที่กำลังปฏิบัตินำจ่ายสิ่งของให้ผู้รับ ก็มักจะพบกับน้องหมาที่ออกมาเดินเล่นกับเจ้าของอยู่เสมอ ตนจึงแวะทักทายด้วยความเอ็นดู และหยอกล้อกับน้องหมาด้วยความคุ้นเคย เพราะมาส่งของในละแวกนี้เป็นประจำ แก๊งน้อง ๆ ก็จะคุ้นเคยและเข้ามาเล่นด้วยอย่างเป็นมิตร เรียกได้ว่าเจอกันทุกครั้งก็จะมีการทักทาย และแสดงความรักความเอ็นดูถึงกันตลอด สำหรับการได้พบเจอกันในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบ้าน หรือแม้แต่น้อง ๆ สี่ขา ตอนนี้ได้กลายเป็นความสนิท เป็นความผูกพัน และเป็นความรู้สึกที่นอกเหนือจากพันธะระหว่างคนนำจ่าย และผู้รับสิ่งของไปแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าความผูกพันนี้เป็นสิ่งพิเศษและเป็นระยะทางแห่งความสุข ที่ไปรษณีย์ทั่วโลกก็พร้อมมอบให้กับผู้ใช้บริการทุกคนเช่นเดียวกัน

 จากเรื่องราวความผูกพันระหว่างพี่ไปรฯ และเหล่าน้อน ๆ แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางการขนส่งของไปรษณีย์ไทย ที่ผูกพันใกล้ชิดกับทั้งคนไทย รวมทั้งน้อน ๆ ที่น่ารักอย่างไม่เสื่อมคลาย ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ บ้าน ที่เคยได้ใช้บริการของไปรษณีย์ไทยก็มีจะความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การส่งและรับสิ่งของ แต่ยังมีความหมายอื่น ๆ ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะด้านความผูกพัน และความไว้วางใจ เพราะไปรษณีย์ไทยเข้าใจและเข้าถึงคนไทยได้มากที่สุด... #สุขสันต์วันไปรษณีย์โลก

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย ห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งทีมลงช่วยเหลือ นำทีมโดย โกสนธ์ พิศภา ผอ.ฝ่ายสินไหมรถยนต์ พร้อมด้วย TIP Smart Assist ลงพื้นที่ พร้อมมอบถุงยังชีพ น้ำดื่ม และหน้ากากอนามัย ให้กับประชาชนเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมติดตามการจัดซ่อมรถที่ทำประกันกับบริษัทฯ และเสียหายจากการถูกน้ำท่วม

X

Right Click

No right click