December 14, 2025

THIS TIME FOR AFRICA

August 25, 2017

พาดหัวนี้ ผมหยิบยกมาจากชื่อเพลง Waka Waka (This Time For Africa) ที่ขับร้องโดยชากีร่า เพลงอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลกปี 2010 เพราะเห็นว่าเหมาะเจาะและลงตัวกับวัตถุประสงค์และจุดใหญ่ใจความของบทความนี้ หลังจากมีโอกาสได้ร่วมฟังงานสัมมนา The Colours of Africa: Opportunity, Friendship and Cooperation ที่จัดโดยกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำเรื่องราวน่าสนใจและน่ารู้บางประการเกี่ยวกับทวีป ‘แอฟริกา’ มาบอกกล่าว เพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสและรู้จักกับทวีปที่เย้ายวน เต็มไปด้วยโอกาส มิตรภาพ และความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น อันจะก่อเกิดประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาล หาใช่แดนดินถ่ินสนธยาที่ล้าหลังและแร้นแค้นไม่ 

 

 

 

1. ทั้งทวีปแอฟริกาประชากรราว 1,200 ล้านคนมีอัตราเพิ่มเฉลี่ย 2.5% ต่อปี มากกว่าการเพิ่มจำนวนประชากรของทวีปเอเชีย และอเมริกาใต้ถึงสองเท่า มีประชากรวัยแรงงานที่พร้อมจะเป็นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่างๆ และคาดว่าจะมี GDP รวมกัน 2.6 ล้านล้านในปี 2020 

 

2. ทวีปแอฟริกาถูกจับตามองจากนักลงทุนว่าเป็น New Asia เลยทีเดียว หรือหมายความว่าเป็นหมุดหมายที่น่าลงทุนและกำลังจะเติบโตอย่างร้อนแรง จนกลายเป็นตลาดหลักในอนาคต เนื่องจากหลายประเทศเริ่มมีเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น ชนชั้นกลางขยายตัวมากขึ้น รัฐบาลแต่ละประเทศมีการออกโปรแกรมแรงจูงใจต่างๆ มากมายให้กับนักลงทุนต่างชาติ เรียกว่าโอ้โลมปฏิโลมกันยกใหญ่ เรื่องท่องเที่ยวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกประเทศโหมกระหน่ำโปรโมทกันอย่างหนักหน่วง เพราะมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันคือ ร่ำรวยวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มากและที่ยังไม่ได้ทำการสำรวจก็มีอยู่ไม่น้อย เช่น ทองคำมีอยู่ 42% น้ำมัน 12% และเพชร 90% ของแหล่งแร่ธาตุเหล่านี้ในโลก ที่สำคัญยังมีพื้นที่มีศักยภาพในการเพาะปลูกที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอีก 60% ซึ่งหมายถึงเป็นแหล่งผลิตอาหารในอนาคตที่มีผลต่อปากท้องของประชากรโลก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายครบครัน แปลกใหม่ ไม่ซ้ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่ยังบริสุทธิ์อยู่ เรียกว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่สุดแสนมหัศจรรย์และควรค่าแก่การค้นหาอย่างแท้จริง ทำให้นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะไปเที่ยวที่ใหม่ๆ กอปรกับการรับรู้และเสาะแสวงหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ มากมายจากโลกออนไลน์ ทำให้ยินดีที่จะเดินทางไปเปิดประสบการณ์ที่แอฟริกามากขึ้น เมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนเก่า และนั่นทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวแอฟฟริกาเฟื่องฟูกว่าที่เคย ขณะที่อียิปต์ ประเทศที่น่าจะเป็นหนึ่งในหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวไทยรู้จักมากที่สุดในทีวีปแอฟฟริกา ก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวไทย 

 

3. หลายประเทศแข่งขันกันจูงใจนักลงทุนด้วยการสร้างแรงจูงใจ สิทธิพิเศษ และการการันตีต่างๆ มากมาย เช่น ซูดาน ให้ถือครองกรรมสิทธิ์ได้ 100% ไม่มีภาษีบุคคล ไม่มีภาษีองค์กร ไม่มีข้อจำกัดในการจ้างงาน เป็นต้น 

 

4. ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดไม่ใช่แอฟริกาใต้อย่างที่เคยคิด เบอร์หนึ่งคือ ไนจีเรีย ประชากรมหาศาลราว 188 ล้านคน อุปโภคบริโภคกันอุตลุด นอกจากเป็นแหล่งน้ำมันแล้วยังเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมากด้วย แต่แม้จะเป็นตลาดที่เนื้อหอมทั่วโลกต่างรุมจีบ ก็ยังไม่มีเส้นทางการบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังอาบูจา เมืองหลวงของไนจีเรีย ส่วนแอฟริกาใต้คือ เบอร์สองรองลงมา กระนั้นแอฟริกาใต้ก็ถือเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจค้าปลีก มีธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สุดในแอฟริกา นอกจากนี้ ยังมีพื้นฐานระบบสาธารณูปโภคที่ดี การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ และมีระบบการเงินระดับเวิลด์คลาส ซึ่งคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของแอฟริกาใต้ในอาเซียนคือ ไทย

 

5. เอสเอ็มอี คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 80% ของทวีปนี้ แต่การเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินยังมีต้นทุนที่สูง และเป็นไปอย่างจำกัดอยู่ เมื่อเทียบกับทวีปอื่นของโลก 

 

6. ธุรกิจที่ต้องการการลงทุนจากต่างชาติเป็นอย่างมากคือ การเกษตร ระบบสาธารณูปโภค สนามบิน และการท่องเที่ยว

 

 

 

7. ซาฟารีมีเกือบทุกประเทศในแอฟริกา แต่ใครพูดก่อนและพูดบ่อยกว่าก็ย่อมได้เปรียบกว่า หนึ่งในนั้นคือ เคนย่า ชัดมาก โดดเด่นมาก อาจจะด้วยความครบครันของบิ๊กไฟว์ และส่ำสัตว์อื่นๆ ที่มีอยู่จำนวนมาก กอปรกับการบอกซ้ำๆย้ำๆ อยู่อย่างนั้น ทำให้กลายเป็น Top of Mind ในใจนักท่องเที่ยว เมื่อนึกถึงซาฟารีต้องนึกถึงเคนยา การันตีว่าไปที่อื่นก็ไม่ฟินเท่า เหมือนกินออร์เดิร์ฟกับจานหลัก มันต่างกัน

 

8. น้ำตกวิคตอเรียที่ซิมบับเวกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ถึงจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็น่าแปลกที่ผ่านมาสายการบินดังๆ ของแอฟริกาหลายสาย ยังไม่มีไฟล์ตบินตรงจากประเทศตัวเองไปจุดหมายนี้เลย ปีนี้และปีหน้านี่แหละจะมีให้เห็นมากขึ้น ล่าสุดสายการบินเคนยา แอร์เวย์ส เพิ่งเปิดเส้นทางบินตรงสู่น้ำตกวิคตอเรีย 

 

9. ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โมซัมบิกเป็นหนึ่งในประเทศที่มี GDP เติบโตสูงสุดในแอฟริกา โดยมี GDP 17.609 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโต 6.4% ในปี 2015 โดดเด่นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากความหลากหลายและครบครันของสถานที่ท่องเที่ยว,มีดอกไม้และสัตว์ท้องถิ่นหลากสายพันธุ์ มีความรุ่มรวยของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล มีส่วนผสมที่ลงตัวที่ดีของ ‘Bush & Beach’ และพรั่งพร้อมไปด้วยสันทนาการทางน้ำระดับเวิลด์คลาส ปัจจุบันมีเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งท่าเรือ เส้นทางรถไฟใหม่ ถนน สะพาน สนามบิน พลังงาน และโทรคมนาคม การลงทุนที่ต้องการคือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไมซ์ รวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรม

 

10. ประเทศไทยลงทุนที่โมซัมบิกมากที่สุด ไม่ใช่ในแง่ของปริมาณโครงการ แต่เป็นมูลค่าของการลงทุนที่มีเม็ดเงินสูงที่สุด เฉพาะของเครือไมเนอร์ลงทุนเปิดเรซิเดนเชียลและคอมเมอร์เชียลทาวเวอร์ที่นี่กว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่น่าแปลกไทยเพิ่งเปิดสถานทูตประเทศไทยประจำโมซัมบิกเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ว่าไปแล้วหาดทรายและท้องทะเลที่โมซัมบิกมีความสวยงามแทบไม่ต่างจากมัลดีฟส์ก็ว่าได้ ด้วยชายหาดยาวเหนือจรดใต้ของประเทศและ รีสอร์ตหรูหรามากมี ไมเนอร์ โฮเต็ล กรุ๊ปดูจะพึงพอใจประเทศนี้มากเป็นพิเศษ มีหลายพร็อพเพอร์ตี้เลยทีเดียว 

 

11. นับตั้งแต่ปักหมุดลงทุนในแอฟฟริกาอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2011 ตอนนี้ไมเนอร์ โฮเทล กรุ๊ป มีโรงแรมและรีสอร์ต 28 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของทวีป ปีนี้ยังมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มที่แองโกลา และเอธิโอเปีย โดยตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 5 ปี จะครอบคลุมทั่วทั้งทวีปมากขึ้น Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทล กรุ๊ป ได้เผยว่า การจะลงทุนให้ผลกำไรงอกงามที่แอฟริกา ต้องอย่าใจร้อน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุนเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว โดยแต่ละประเทศก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป กลุ่มลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวไฮเอนด์จากสหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมถึงฐานลูกค้าใหม่อย่างจีน และอาเซียน ที่ชื่นชอบการพักผ่อนหย่อนใจและท่องซาฟารี

 

12. หากมีคำถามว่าตอนนี้ใครกำลังบุกแอฟริกาอย่างหนักหน่วง คำตอบคือ ‘จีน’ ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะนักลงทุนและคนจีนที่ขณะนี้มีมากราว 40 ล้านคนในแอฟริกาเท่านั้น แต่ยังมีนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งกำลังกลายเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักเลยก็ว่าได้ และมีแนวโน้มของการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ดูได้จากสายการบินหลายแห่งวางแผนเปิดเส้นทางไปยังเมืองต่างๆของจีนเพิ่มมากขึ้น Meaza Taye, Regional Manager Thailand & Southeast Asia เอธิโอเปียน แอร์ไลน์ส กล่าวว่า “คนจีนไม่กลัวอะไร” นั่นคือเหตุผลหลักๆ ในขณะที่นักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ ยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะมาเยือนแอฟริกา 

 

13. สิ่งที่ยังน่ากังวลสำหรับการลงทุนในแอฟริกาก็คือ เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ และความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน ตลอดจนระบบการสาธารณสุขในบางพื้นที่ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ 

ศ.สมิท กล่าวแก่นักศึกษาว่า ความเรียงเรื่องที่สอง หรือ the Second Discourse ของ รุซโซ เป็นหนังสือที่ไม่เคยเก่าลงเลย (a book that never grow old)

 

ในการบรรยายครั้งก่อน ศ.สมิท ย้ำเรื่องที่รุซโซ เห็นว่าเป็นต้นกำเนิดของความไม่เสมอภาค ได้แก่ การก่อตั้ง “สิทธิในทรัพย์สิน” ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมแพ่ง (หรือสังคมบ้านเมือง) แต่ความเห็นดังกล่าวไม่จริงเสมอไป และรุซโซ ก็ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ อนึ่ง ถ้ารุซโซเห็นว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดชนชั้นในสังคม รุซโซก็จะไม่ต่างไปจากนักคิดวัตถุนิยม เช่น คาร์ล มาร์ก – แม้ว่ามาร์กจะได้รับอิทธิพลความคิดติดลบเกี่ยวกับสังคมทุนนิยมจากรุซโซก็ตาม

 

ก่อนที่จะก่อตั้งสิทธิในทรัพย์สิน มนุษย์ได้วิวัฒนาการทางความคิดมามาก เป็นวิวัฒนาการเชิงศีลธรรมและจิตวิทยา ที่เอื้อต่อความไม่เสมอภาค เพราะฉะนั้น “ความชั่วร้าย” ที่รุซโซ มองเห็นในความเรียงที่สอง อันเป็นปฐมเหตุของความไม่เสมอภาค คืออะไร?

 

รุซโซเรียกปัจจัยนั้น เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “Amour-propre” ซึ่งยากที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษ คำนี้จะเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของคน เช่น ความภาคภูมิใจ ความเย่อหยิ่งจองหอง ความเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน (Vanity) ความเห็นแค่ตัวเอง ความเห็นแก่ตัว เหล่านี้ก่อกำเนิดความไม่พอใจ ที่คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาในจิตใจมนุษย์

 

คำว่า Amour-propre จึงไม่จบอยู่แค่ความรักตัว ตามความหมายตามตัวอักษร ความรักตัวเองนั้น รุซโซ เห็นว่าน่าจะใช้คำว่า amour du soi ซึ่งเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิด ที่จะต้องระมัดระวังรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัย สำหรับมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน มนุษย์ก็ต้องการดูแลรักษาตัวเองให้แข็งแรง รู้จักป้องกันภัยที่มาจากผู้อื่น

แต่ Amour-propre ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ต่างกันความรักตัวเองในลักษณะของส่ำสัตว์ ที่เรียกว่า amour du soi เพราะว่า Amour proper เป็นความรักตัวที่เกิดจากการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ที่ทำให้มนุษย์เห็นความสำคัญของตนเอง ยิ่งกว่าคนอื่นๆ ทุกคน ทำให้มนุษย์ชั่วร้าย ในขณะเดียวกันก็เป็นที่มาของเกียรติยศ

 

Evil กับ Honour ปรากฏอยู่ด้วยกันใน Amour Proper ฮอบส์ ก็มีความคิดพื้นฐานด้านจิตวิทยาการเมือง ในหนังสือ เลอไวอาธาน คล้าย ๆ กับ Amour Proper เช่น ความภาคภูมิใจในตัวเอง ความเพ้อฝัน ความทะเยอทะยาน ฮอบส์ เห็นว่า “Pride” (ความภาคภูมิใจในตัวเอง) เป็นลักษณะอันเป็นธรรมชาติของคน ที่จะนำไปสู่การเป็นใหญ่เหนือผู้อื่น

 

แต่สำหรับ รุซโซ แล้ว Amour Proper มาภายหลังจากที่มนุษย์พ้นจากสภาพธรรมชาติมาอยู่กันเป็นสังคมบ้านเมือง ความภาคภูมิใจต้องการการมองของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถ้าไม่มีคนมามองเราความภาคภูมิใจก็ไม่เกิด ดังนั้น ความรู้สึกนี้จะเกิดไม่ได้ในสภาพธรรมชาติที่มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

รุซโซ เดาว่า Amour Proper เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ชุมนุมกันในกระท่อม หรือใต้ต้นไม้ และเริ่มรู้สึกว่า ผู้อื่นกำลังมองตน การมองของผู้อื่นคือ ต้นกำเนิดของความภาคภูมิใจ ความเพ้อฝัน รุซโซกล่าวว่า คนที่เต้นระบำเก่ง คนที่ดูงาม คนที่แข็งแรง คนที่คนอื่นๆ ชอบมอง กลายเป็นคนมีค่าสูง และนี่คือเบื้องต้นของความไม่เสมอภาคและความชั่วร้าย ก่อให้เกิดความเพ้อฝันหรือเพ้อเจ้อ ความแข่งดี ความอิจฉาริษยา ความอดสูใจ

 

ซึ่งในที่สุด ปัจจัยเหล่านั้นได้กลายเป็นตัวกำหนดความสุขของคน

 

รุซโซบอกว่า เวลาคนเข้าสมาคม คนก็ต้องการให้คนอื่นเห็นความสำคัญของตัว ไม่มากก็น้อย ความรู้สึกนี้ก็เป็นลักษณะหนึ่งของ Amour Proper รุซโซ เห็นว่า ความต้องการให้ผู้อื่นเห็นความสำคัญของตัวนี้ ทำให้คนเราเกิดความรู้สึกเรื่องความยุติธรรม

 

อย่างไรก็ดี ความต้องการให้ผู้อื่นเห็นความสำคัญของตัว บางทีก็นำไปสู้ความอำมหิต โหดร้าย รุซโซ เขียนไว้ว่า เมื่อคนรู้จักคุณค่าของกันและกัน ความรู้สึกเคารพนับถือก็ก่อกำเนิดขึ้นในจิตใจ แต่ละคนเห็นว่า ตนมีสิทธิที่จะเป็นที่นับถือของผู้อื่น คนที่ขาดเรื่องนี้ก็จะถูกลงโทษ หน้าที่พลเมืองเกิดจากจุดนี้ ความเป็นคนในสังคมก็เกิดที่นี่ คนที่ถูกทำร้ายไม่ได้เจ็บแต่กาย หรือเจ็บตัว ความเจ็บใจก็เกิดขึ้นด้วย บางทีความเจ็บใจมีมากกว่าเจ็บกายเสียอีก

 

ความเจ็บของคนขึ้นอยู่กับความทะนงตนของเขาเอง ถ้าเขานับถือตัวเองสูง ความเจ็บก็สูงด้วย การแก้แค้นที่ตามมาก็จะโหดร้าย และมนุษย์ก็กลายเป็นคนกระหายเลือด บางทีสงครามก็อาจเกิดขึ้นได้

 

 

 

ศ.สมิทยกตัวอย่างเรื่องการ์ตูนในเดนมาร์ก ที่วาดเกี่ยวกับพระมะหะหมัด แล้วเกิดการประท้วงรุนแรง เพราะเห็นว่า คนเขียนการ์ตูนไม่เคารพองค์พระศาสดา ถ้าจะคิดตามรุซโซ เราก็คิดได้ว่า ศาสนิก ผู้เลื่อมใสศรัทธาเห็นว่า การ์ตูนลบหลู่ดูหมิ่นดังกล่าว กระทำต่อหน้าพวกตน เป็นการดูหมิ่นความเชื่อและศรัทธาของพวกเขา รุซโซจะถือว่านี่เป็นปัญหาเรื่อง Amour Proper อันได้แก่ ความต้องการเป็นที่ยอมรับนับถือ เป็นที่เคารพ และเป็นต้นกำเนิดของความสำนึกในความยุติธรรม ขณะเดียวกัน ความรู้สึกนี้ก็อาจมีทางออกที่รุนแรงได้

 

ศ.สมิท เข้าใจว่า รุซโซน่าจะเห็นประเด็นของศาสนิกผู้ประท้วง และเห็นด้วยกับคนเหล่านั้น ซึ่งจะต่างจากจอห์น ลอค หรือโทมัส ฮอบส์ ผู้เป็นนักเสรีนิยมที่อาจจะยักไหล่ให้กับประเด็นนี้ พร้อมกับกล่าวว่า “So what?”

 

ตามแนวคิดเสรีนิยมดังกล่าว ที่ยังมีอิทธิพลในตะวันตกจนทุกวันนี้ เห็นว่า รัฐบาลไม่มีหน้าที่ไปพิทักษ์ความศักดิ์ หรือไม่ศักดิ์สิทธิ ความเชื่อหรือศรัทธาในศาสนาใดๆ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์กได้แสดงปฏิกิริยาไปในแนวนั้นคือ ปฏิเสธที่จะขอขมา เพราะเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล

 

แต่ศ.สมิท ไม่เห็นด้วยกับความคิดข้างบน ศ.สมิทเห็นว่า รุซโซมีประเด็นที่น่าสนใจพึงได้รับการพิจารณาอีกประการหนึ่ง ความอดทนต่อความแตกต่าง(Toleration) เป็นคุณงามความดีในแนวคิดเสรีนิยม ที่เห็นว่าคนจะต้องแยกความนับถือศรัทธาส่วนตัวไว้กับตัวที่บ้าน ครั้นออกมาในสังคมกว้าง หรือออกมาในทางสาธารณะ (Public World) เราจะนำความเชื่อศรัทธาส่วนตัวของเรามาบังคับใช้ในทางสาธารณะ หาได้ไม่

 

อย่างไรก็ดี ความอดทนต่อความแตกต่าง ในปรัชญาตะวันตกมีความหมายเพียงว่า “ไม่ลงโทษ” คือ ไม่ลงโทษความแตกต่าง ปล่อยให้เป็น “ทางใคร ทางมัน” อย่าไปยุ่ง ในทางกลับกัน ความเคารพนับถือศรัทธาของผู้อื่น เราจะต้องเห็นคุณค่าและน้อมคารวะตามไปด้วยหรือ? หรืออย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้พวกนักเสรีนิยมจะมองว่า เพียงแค่ยอมรับว่าความแตกต่าง (และไม่ลงโทษ) เท่านั้นพอแล้ว แต่จะให้พลอยเคารพนับถือศรัทธาตามไปด้วย คงจะไม่ได้

 

ศ.สมิท บรรยายต่อไปเรื่องความ “ศิวิไลซ์” หรือการอยู่ร่วมกันเป็นบ้านเมือง มีอารยธรรม ศ.สมิทอ้างศิลปิน วูดดี เอลเลน ซึ่งเคยกล่าวว่า มนุษย์นี้มีอยู่สองสถาน คือ The Horrible พวกน่าเกลียดน่ากลัว กับ The Miserable พวกน่าสังเวช พวกน่าเกลียดน่ากลัว ได้แก่ คนที่ผ่านความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสบางอย่างมา เช่น มีโรคร้ายชนิดรักษาไม่หาย ใกล้จะตาย หรือเจียนตาย ส่วนพวกน่าสังเวช ได้แก่ คนอื่นๆ นอกนั้นทุกคน (นอกไปจากพวกน่าเกลียดน่ากลัว) รุซโซ เห็นว่า มนุษย์มีความสุขที่สุดเมื่อได้อยู่ในสังคมที่เป็นครึ่งทาง ระหว่างสภาพธรรมชาติกับอารยธรรม สังคมครึ่งทางดังกล่าวนั้นสิ้นสุดลง เมื่อมนุษย์รู้จักทำการเกษตรกรรม (เพาะปลูก) และรู้จักโลหะ การเกษตรทำให้เกิดการถือครองที่ดิน และต่อมาก็กลายเป็นความไม่เท่าเทียมกัน การรู้จักโลหะทำให้มนุษย์รู้จักการทำสงคราม และเกิดมีรัฐบาลขึ้นมา เป็นเครื่องมือการปกครองของผู้ที่แข็งแรง เป็นเครื่องมือของคนร่ำรวย ไว้กดขี่คนยากจน รุซโซ รู้สึกสะเทือนใจที่มนุษย์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเสมอภาคและมีเสรี กลับมายอมรับความ ไม่เสมอภาคและการกดขี่ของผู้แข็งแรง

 

อำนาจทางการเมืองเข้ามาสร้างความชอบธรรม ให้กับความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ รุซโซ ถามว่า ทำไมคนร่ำรวยมีชีวิตที่สะดวกสบาย มีโอกาสได้สุขสันต์หรรษา มากกว่าคนจน

 

การก่อตั้งรัฐบาลเป็นนวัตกรรมทางสังคมประการท้ายสุด ที่เข้ามาสร้างความชอบธรรมให้แก่ความไม่เสมอภาค ที่ร้ายกว่านั้น ตามความเห็นของรุซโซ ได้แก่ ได้เกิดมีมนุษย์พันธุ์ใหม่ขึ้นมาในโลก ที่รุซโซคิดคำใช้เรียกว่า พวก “กระฎุมพี” (Bourgeois) ลักษณะพิเศษของกระฎุมพี ตามความเห็นของ รุซโซ ก็คือ คนพวกนี้ปากอย่าง ใจอย่าง เป็นอย่างแต่ที่จริงเป็นอีกอย่าง อีกนัยหนึ่ง “Seeming” กับ “Being” แตกต่างกัน ดูเหมือนเป็นอย่างหนึ่ง แต่ที่จริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง อะไรประมาณนั้น ลักษณะเช่นนี้คือพื้นฐานความชั่วร้ายของกระฎุมพี และเป็นวิกฤตการณ์ชีวิตแบบกระฎุมพี

 

กระฎุมพีมีชีวิตอยู่นอกความเป็นจริงของตัวตนของตนเอง คือ มีชีวิตเต้นไปตามการมองของผู้อื่น (the Gaze of Others) คนอื่นมองว่าตัวน่าจะเป็น ควรจะเป็นอย่างไรจึงจะดี เขาก็จะพยายามมีชีวิตไปตามภาพลักษณ์ชนิดนั้น แกนชีวิตโอนเอนไปตามความคิดเห็นผู้อื่น รุซโซ เห็นว่า ชีวิตเช่นนั้นเป็นชีวิตที่ เสแสร้ง แกล้งทำ ดัดจริต ซึ่งทำให้ชีวิตกระฎุมพี คนเมือง คนในสังคมบ้านเมือง กลายเป็นคนที่ไม่พอใจในชีวิตอยู่ตลอดเวลา กระสับกระส่ายตลอดเวลา ดำรงชีวิตอยู่กับความรู้สึกไม่เพียงพอ อยู่กับความไม่พอใจ

 

รุซโซ บอกว่า นี่คือสิ่งที่อารยธรรม กระทำต่อมนุษย์ แล้วจะให้ทำอย่างไร? ศ.สมิท กล่าวว่า คำถามนี้อยู่ตอนท้ายหนังสือ ศ.สมิท เห็นว่า ผู้วิจารณ์หนังสือความเรียงเรื่องที่สองของรุซโซ ไม่มีคำตอบให้กับปริศนาดังกล่าว และเสนอความคิดที่ค่อนข้าง สิ้นหวัง สำหรับชีวิตในนาครธรรม อย่างไรก็ดี ศ.สมิทเห็นว่า รุซโซได้ชี้ทางไว้เลาๆ ให้เราได้ทราบว่า มีทางออกอยู่สองทาง ทางหนึ่ง ปรากฏอยู่ใน “จดหมายถึงนครเจนีวา” ของ รุซโซ ที่ทำหน้าที่คล้ายคำนำของหนังสือความเรียงเรื่องที่สอง รุซโซ กล่าวว่า สังคมแบบดั้งเดิมมีลักษณะคล้ายสาธารณรัฐเล็กๆ ในชนบท ทำนองเดียวกับเจนีวาในบัดนั้น ซึ่งความรักถิ่นฐานบ้านเกิด ยังไม่ถูกครอบงำด้วย Amour Proper ประชาธิปไตยของรุซโซ ก็คือ ประชาธิปไตยในสาธารณรัฐเล็กๆ แบบชนบทที่คนมีความเสมอภาค

 

อีกทางหนึ่ง เป็นการเดินทางของจิตใจ เป็นการเดินทางภายใน (จิตใจ) ทำอย่างไรเราจึงจะฟื้นฟูความสุขกลับคืนมา หลังจากที่ความสุขแท้จริงของคน ถูกนาครธรรมทำลายลง คนในนาครธรรมคือคนที่อยู่ไม่เป็นสุข รุซโซ กล่าวว่า คนบางคนมีความสามารถที่จะหาความสุขได้ คือ ใช้วิธีเดินทางย้อนกลับไปหาสภาพธรรมชาติที่มีความสุข เช่น พวกศิลปิน กวี เป็นต้น แต่นักคิด นักปรัชญา จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ รุซโซ เห็นว่า ความก้าวหน้าของสังคม ของนาครธรรม ของอารยธรรม ทำให้คนไม่มีความสุข ทางออกในเชิงการเมืองการปกครองของปัญหานี้ รุซโซ เขียนไว้ในหนังสือ Social Contract สัญญาสังคม ตีพิมพ์หลังความเรียงเรื่องที่สอง ประมาณเจ็ดปี

 

รุซโซเสนอทางออกไว้หนึ่งทาง แต่นั่นมิใช่ทางออกเพียงทางเดียว อาจจะยังมีทางอื่นๆ อีกหลายทาง หนังสือ Social Contract เปิดฉากด้วยวาทะที่มีชื่อเสียงในวงการปรัชญาการเมืองการปกครอง ได้แก่คำพูดที่ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่มนุษย์กลับถูกตีตรวนอยู่ทั่วไป” (Man is born free, and everywhere he is in chain.) ความชอบธรรมของโซ่ตรวน ที่พันธนาการมนุษย์ไว้ มีไหม? รุซโซตอบว่า “มี” และได้ตอบคำถามนั้นไว้ในหนังสือ “สัญญาสังคม” (Social Contract)

 

หนังสือสัญญาสังคม เสนอภาพบ้านเมืองในอุดมคติ ทำนองเดียวกับ “สาธารณรัฐ” ของ เพลโต ความเรียงเรื่องที่สอง มีประเด็นหลักเรื่องความไม่เสมอภาค โดยเล่าเรื่องสันนิษฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางความคิดของคน จากสภาพธรรมชาติสู่นาครธรรม ใช้ภาษาที่มีชีวิตชีวา อิงความรู้ใหม่ๆ ในสมัยนั้นเรื่องชีววิทยา รวมทั้งข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพันธุ์สัตว์ที่ค้นพบ เช่น ลิงอุรังอุตัง เป็นต้น ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของคนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา

 

ส่วนหนังสือ สัญญาสังคม เขียนด้วยสำนวนที่แห้งแล้ง เป็นสำนวนภาษากฎหมาย หนังสือมีสร้อยนามว่า the Principle of Political Rights (หลักสิทธิทางการเมือง) เป็นงานที่พูดภาษานามธรรมโดยตลอด 

 

พื้นฐานของ สัญญาสังคม เริ่มจากแนวคิดที่ว่า มนุษย์เกิดมามีเสรี ความสัมพันธ์ทางสังคมหลังจากนั้น เช่น ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ไม่มีอะไรที่จะเป็นธรรมชาติ ล้วนถูกปรุงแต่งขึ้นจากการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมบ้านเมือง เป็นการตกลงร่วมกันเป็น “สัญญาสังคม” จากสมมติฐานว่า มนุษย์เกิดมามีเสรี รุซโซพยายามสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับระบบความยุติธรรม หรือสิทธิทางการเมือง – the Political Rights โดยยึดหลักว่า คนทุกคนมีสติสำนึกในความเป็นอิสระของตนเอง และคนจะพยายามปกป้องเสรีภาพของตน/อิสรภาพของตน เป็นธรรมดา ทั้งสภาพธรรมชาติ และสัญญาสังคม วางอยู่กับสมมติฐานที่ว่า มนุษย์แต่ละคน แข่งขันกันในการรักษาอิสรภาพแห่งตน ปัญหา (ปรัชญา) ก็คือ ระหว่างที่แต่ละคนกำลังพิทักษ์ปกป้องอิสรภาพ/เสรีภาพแห่งตนนั้น ก็จะเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมากับผู้อื่นทั้งหลาย ซึ่งแต่ละคนต่างก็พยายามจะรักษาอิสรภาพของตนเอง เช่นเดียวกัน ลักษณะนี้ทำให้เกิดสงครามได้

 

ปัญหามีว่า แล้วเราจะรักษาอิสรภาพของเราอย่างไร โดยไม่ไปล่วงล้ำก้ำเกินอิสรภาพของผู้อื่น? คำถามนี้ มีคำตอบอยู่ใน “สัญญาสังคม”

  

 

สรุปเป็นภาษาไทย : Dan Bailéé

 

‘พีทีจี เอ็นเนอยี’ เดินหน้าขยาย non-oil ไม่หยุด เข้าซื้อหุ้น “AUTOBACS” 38.26% ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรอันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่น วางเป้าขยายในปั๊มน้ำมัน “PT” ปีนี้ 5 สาขา นอกปั๊ม 10 สาขาขยายฐานลูกค้า 

 

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้น และสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ออโต้แบคส์ เซเว่น จำกัด และ บริษัท สยาม ออโต้แบคส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรคุณภาพอันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ “AUTOBACS” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สยาม ออโต้แบคส์ จำกัด ในสัดส่วน 38.26% คิดเป็นมูลค่า 65 ล้านบาท โดยภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นของสยาม ออโต้แบคส์แล้วนั้น จะส่งผลให้ศูนย์บริการรถยนต์ AUTOBACS จะเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการขยายศูนย์บริการในประเทศไทย โดยบริษัทฯมุ่งหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ non-oil ให้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว 

 

โดยในปีนี้ PTG ตั้งเป้าที่จะขยายศูนย์บริการรถยนต์ AUTOBACS ในสถานีบริการน้ำมัน “PT” จำนวน 5 สาขา และขยายนอกสถานีบริการน้ำมันอีกจำนวน 10 สาขา ซึ่งการขยายสาขาดังกล่าวจะส่งผลให้ PTG สามารถขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ AUTOBACS และผู้ที่เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมัน PT ให้เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากในปัจจุบัน PTG ยังไม่มีศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรในสถานีบริการน้ำมัน และที่สำคัญ PTG จะสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิก PT Max Card ให้เพิ่มสูงขึ้น และต่อยอดการให้บริการกับสมาชิกได้อย่างหลากหลาย ครบวงจร และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามแผนในการเดินหน้าขยายธุรกิจ non-oil ในขณะที่ AUTOBACS ก็จะสามารถขยายกลุ่มลูกค้าในสถานีบริการน้ำมันได้เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากในปัจจุบัน AUTOBACS มีสาขาที่อยู่เฉพาะนอกสถานีบริการน้ำมันเพียงเท่านั้น ยังไม่มีการขยายสาขาในศูนย์บริการน้ำมัน “เรามุ่งมั่นเพิ่มการบริการที่หลากหลายครบวงจร และมอบสิ่งที่ดีที่สุดในคุณภาพระดับโลกให้กับลูกค้า เรามีความต้องการที่จะขยายธุรกิจ non-oil ซึ่ง 

 

AUTOBACS เองก็สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของศูนย์บริการครบวงจรให้กับ PTG ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถขยายกลุ่มลูกค้าให้เพิ่มขึ้นระหว่างกัน รวมถึงสามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นได้ ที่สำคัญ AUTOBACS ไม่เคยอยู่ในปั๊มไหนมาก่อน ทำให้ PTG และ AUTOBACS จะสามารถขยายธุรกิจไปได้พร้อม ๆ กันทั้งใน และนอกสถานีบริการได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว และมีศักยภาพ” นายพิทักษ์กล่าว

การเปลี่ยนแปลงของโลกในแง่มุมต่างๆ ทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ สังคม  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

มหาวิทยาลัยพะเยา ไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ใช้ชื่อจังหวัดมาตั้งเป็นชื่อของสถาบัน และแม้ว่าจังหวัดพะเยา จะให้ความรู้สึกถึงการเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่เหนือกว่าความรู้สึกคือ ข้อเท็จจริงที่ว่ามหาวิทยาลัยพะเยา หรือ ม.พะเยา มีความใหญ่ทั้งขนาดของพื้นที่และความพร้อมในทรัพยากร ทั้งอาคาร สถานที่วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อการเรียนการสอน ที่ก้าวหน้าทันสมัยไม่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำในเมืองใหญ่ๆ เลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุผลที่ ม.พะเยา เป็นมหาวิทยาลัยน้องใหม่ที่เพิ่งก่อตั้ง ทำให้สาขาและหลักสูตรที่เปิดสอนสอดคล้องกับความต้องการอย่างสมยุคสมสมัย กระทั่งว่ามีการเปิดแนวรุกเข้ามาตั้งวิทยาเขตในใจกลางกรุงเทพฯ และยังมีการเรียนการสอนที่มีความ Active และ สามารถตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาในเมืองหลวงกรุงเทพฯ ได้อย่างสง่างาม

 

ม.พะเยา : วิทยาลัยการจัดการ @ กรุงเทพฯ

ภายใต้วิสัยทัศน์ของหนึ่งในนักการศึกษา “ขาเก่า” และกล่าวได้ว่าเป็น “ของจริง” อย่าง รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ที่วันนี้ รับหน้าที่รักษาการ ผู้อำนวยการและบริหารวิทยาลัยการจัดการ  แห่งนี้ในเมืองหลวงกรุงเทพฯ ด้วยประสบการณ์ของ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้เป็นทั้งนักการศึกษา และมืออาชีพ ทีรู้จักกันดีในแวดวงโฆษณาและการตลาด ในฐานะบทบาทของ “นักวางกลยุทธ์” การสร้างแคมเปญการตลาดและโฆษณาที่โด่งดังหลายต่อหลายตัว ตั้งแต่ปี 2530 และบทบาทที่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ เพราะอยู่เบื้องหลังการกำหนดกลยุทธ์ Event ใหญ่ๆ ระดับ Big ที่เมื่อพูดชื่อคือ “ร้องอ๋อ” โดยโอกาสนี้ ดร.เสรี คือผู้บอกเล่ากับทีมงานนิตยสาร MBA อย่างเป็นกันเองในช่วงปลายไตรมาส 1 ของปี 2560 ถึงความเป็นมาของวิทยาลัยการจัดการ กรุงเทพฯของ ม.พะเยา พร้อมบอกกล่าวถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการภายใต้สภาวะแห่งความท้าทายและภายใต้ทิศทางของแนวคิดการศึกษา 4.0 ซึ่ง ดร.เสรี ได้เล่าให้ฟังว่า

 

“ในแรกเริ่มเดิมทีเลย มหาวิทยาลัยพะเยา หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า ม.พะเยา นั้นเกิดจากการแยกตัวออกมาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ออกมาเป็นวิทยาเขตตั้งอยู่ที่จังหวัดพะเยา ตอนนั้นเรียกกันว่า มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตพะเยา พอดำเนินการเรียนการสอนจนมีความสำเร็จ ต่อมาจึงสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยพะเยา ภายใต้วิสัยทัศน์และการเปิดสอนที่คัดสรรหลักสูตรเฉพาะสาขาซึ่งเป็นความต้องการของชุมชน สังคมและประเทศชาติ ตามวาระของยุคสมัยในปัจจุบันเพื่ออนาคต ซึ่งก็มีทั้งคณะแพทยศาสตร์, เภสัชศาสตร์, ทันตแพทย์, พลังงาน, โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว ส่วนสายสังคมศาสตร์ก็มีการเปิดสอนในบางสาขา เช่นว่า คณะรัฐศาสตร์, นิเทศศาสตร์ และนิติศาสตร์ เป็นต้น ภายใต้จุดยืนของการเลือกเปิดสอนเฉพาะสาขาที่เป็นดาวรุ่ง ซึ่งอยู่ในความต้องการ จึงเป็นที่มาของความสำเร็จในฟากผู้เรียนอย่างไม่มีข้อสงสัย และจากความสำเร็จของ ม.พะเยาในพื้นที่ จึงเป็นที่มาของการขยายวิทยาลัยมาสู่ใจกลางเมืองหลวงคือ วิทยาลัยการจัดการ กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยพะเยาในที่สุด”

 

แบบฉบับ ม.พะเยา คือ ยืนหยัดบนความต้องการ เปิดบริการเฉพาะสาขาดาวรุ่ง

ที่วิทยาลัยการจัดการฯ ม.พะเยา ที่กรุงเทพ ยังคงเน้นย้ำการเปิดสอนเฉพาะหลักสูตรที่เป็นความต้องการ ในแรกเริ่มวิทยาลัยแห่งนี้ีเปิดสอนอยู่ 3 สาขาคือ MBA บริหารการศึกษาและ การท่องเที่ยว แต่ภายหลังคงเหลือที่ 2 สาขา คือ สาขาบริหารการศึกษา และสาขาการท่องเที่ยว โดยยกเลิกหลักสูตรMBA ด้วยเหตุผลสำคัญเพราะจำนวน Supply ของหลักสูตร MBA ในกรุงเทพฯนั้นมีมาก และเมื่อพิจารณาว่า MBA ไม่น่าจะเป็นสาขาที่ Promise ได้กับ อนาคต จึงยกเลิกการเปิดสอน MBA ที่วิทยาลัยในกรุงเทพ 

 

สำหรับอีก 2 สาขาที่คงเปิดสอนคือ สาขาบริหารการศึกษา และ การท่องเที่ยว นั้น ดร.เสรี ชี้ให้เห็นว่า “เพราะเห็นว่าเป็นอนาคต เหตุผลคือเพราะเป็นสาขาที่ตลาดยังต้องการสูง เช่นสาขาบริหารการศึกษา โดยหลังจากที่มีกฎหมายที่กำหนดอย่างเข้มงวดกับผู้บริหารสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนต่างๆ ว่าต้องผ่านการศึกษาและรับรองวิทยาฐานะในด้านความรู้ที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความต้องการหลักสูตรนี้ขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นบรรดาลูกหลานหรือเจ้าของโรงเรียนหรือผู้ที่ประกอบกิจการด้านสถานศึกษา และแน่นอนว่าการพัฒนาและยกระดับบุคลากรในแวดวงการศึกษาคือสิ่งที่หยุดนิ่งไม่ได้ และนั่นคือความหมายของอนาคตที่บอกว่ามองเห็น”

 

 

ในส่วนของ “การท่องเที่ยว” ยิ่งชัดเจนในเทรนด์ที่จะโต เพราะท่องเที่ยวคือ จุดขายที่สำคัญของประเทศ และประการที่สำคัญคือ ม.พะเยา เรามีรากฐานของสาขานี้ที่เข้มแข็ง ทั้งด้วยความที่เราอยู่ในโลเกชั่นของการเป็นหนึ่งในจังหวัดยุทธศาสตร์แหล่งท่องเที่ยว และเรายังพร้อมด้านทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ “ครู หรืออาจารย์ ของ ม.พะเยา ในสาขานี้ เรามีผู้รู้จริงและเชี่ยวชาญในวงการทั้งการท่องเที่ยวและการโรงแรม เช่น รศ. ดร. พยอม ธรรมบุตร ซึ่งอดีตเป็นหัวหน้าโครงการวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆอย่างยาวนาน โดยท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพี่นางฯ ในรัชกาลที่ 9 ยังคงพระชนม์ชีพ ที่ได้ทรงเลือกให้ อาจารย์พยอม เป็นผู้ดูแลโครงการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการการวางยุทธศาสตร์กับจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อยที่หยิบยกมาอรรถาธิบายในเรื่องความเข้มแข็งในสาขานี้ ที่มีความสำเร็จจน ม.พะเยา เรามั่นใจ และตั้งใจขยายสาขานี้มาเป็นที่กรุงเทพฯ เพื่อจะมาเปิดบริการการเรียนการสอนให้กับผู้สนใจในพื้นที่เมืองหลวงบ้าง”

 

Location = Connected strategy 

การมีวิทยาลัยการจัดการฯ ที่กรุงเทพฯ มีเหตุผลสำคัญในเรื่องการสร้างความเชื่อมโยง (Connected) ที่อยากจะมีกับเมืองหลวง เพื่อการเชื่อมโยง (Connected) ไปยังต่างประเทศ ต่อประเด็นนี้ ดร.เสรี ขยายความให้ฟังว่า “ไม่ใช่ว่าการตั้งอยู่ที่ จังหวัดพะเยาจะ connected กับต่างประเทศไม่ได้ นั่นไม่ใช่ แต่ที่ กรุงเทพฯ จะง่ายกว่า และเป็นจริง เพราะหลายปีนี้เรามีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เช่นที่ Mountbatten University ที่เรามีความร่วมมือและช่วยรองรับการเข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฟากฝั่งแปซิฟิก ของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และเป็นความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และขณะนี้เรากำลังมีการเจรจาเพื่อจะขยายความร่วมมือออกไปในฝั่งยุโรปเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย” 

 

 Education 4.0 = Creativity + Innovation + Technology 

ส่วนการศึกษา 4.0 ในมุมมองของ ดร.เสรี มีความคิดเห็นว่า หัวใจสำคัญของ 4.0 นั่นคือการที่เรากำลังจะก้าวไปสู่ยุค อัจฉริยะ หรือยุค Smart เช่นถ้าเป้าหมายคือการจะมี Smart Industry หรืออุตสาหกรรมอัจฉริยะ นั่นย่อมต้องมี Smart people หรือบุคลากรอัจฉริยะ และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องการศึกษาเข้าไปหนุนนำอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วน “อัจฉริยะ” นั่นก็คือการผสมผสานของ 3 ส่วน อันได้แก่ ความสร้างสรรค์ (Creativity) เช่นการศึกษาที่สร้างสรรค์ย่อมมีที่มาจากการสร้างหลักสูตรอย่างสร้างสรรค์ ทั้งเนื้อหา จนถึงวิธีการเรียนการสอน ที่ต้องมีความสร้างสรรค์ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความใหม่ อะไรที่เป็น First kind in the market ไม่เคยมีใครทำมาก่อนสิ่งนั้นคือ นวัตกรรม (Innovation) และอีกส่วนที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้จนถึงยุคถัดไปคือการนำเทคโนโลยี (Technology) เข้ามาใช้ เข้ามาช่วยในกระบวนการจัดการด้านการศึกษา สามองค์ประกอบสำคัญนี้คือหัวใจของการไปสู่สิ่งที่เรียกว่า 4.0 โดยทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในกรอบที่ ม.พะเยามีความเข้าใจและอยู่ในกระบวนก้าวเข้าสู่กรอบการศึกษา 4.0 อย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้ 

 

เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ 

วิทยาการทางการแพทย์ ที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยปัจจัยของเทคโนโลยีการสร้างเครือข่าย IT เข้ามาเกี่ยวข้อง นับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อ Healthcare Industry เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อสร้างความเข้มแข็งในมิติต่างๆ ของโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ปัญหาที่ต้องเผชิญนี้ โรงพยาบาลบางแห่งที่มีเงินทุนสูงจะหาทางออก โดยใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการ เพื่อเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลในเครือ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หรือบางแห่งก็มุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างเครือข่ายเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลอื่น ไปพร้อมๆ กับการทุ่มงบประมาณ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ร่วมกับการเพิ่มพูนความรู้ทางด้านวิชาการ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้ก้าวทันสถานการณ์ปัจจุบัน 

 

นั่นเพราะการลงทุนใช้งบประมาณขยายเครือข่าย ไม่ใช่ทางออกสำเร็จรูปสำหรับการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และไม่ใช่วิธีการเดียวที่ตอบโจทย์ของทุกโรงพยาบาล กลยุทธ์สร้างพันธมิตรจึงเป็นอีกวิธีการที่จะพัฒนาศักยภาพทั้งในด้านการแข่งขันในตลาด และคุณภาพการรักษาผู้ป่วย เช่นเดียวกับการขยายความร่วมมือของ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ที่มุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างเครือข่ายกับโรงพยาบาลอื่นๆ โดยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีการขยายความร่วมมือ ลงนามในบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) เพื่อผนึก 51 โรงพยาบาลพันธมิตรทั่วประเทศ 

 

ซึ่งข้อดีของการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในรูปแบบนี้มีอยู่หลายประการ โดยเฉพาะการต่อยอดจากจุดแข็งที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีการลงทุนเทคโนโลยีอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูงไว้มาก 

 

กรณี แอปพลิเคชัน ไอบีเอ็ม วัตสัน ที่นำมาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อเข้ามาเป็นตัวช่วยให้แพทย์สามารถนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจทำงานได้ (Technical Decision Support) ช่วยเพิ่มคุณภาพของการรักษาพยาบาล ป้องกันการเกิดความผิดพลาดอื่นๆ และทำให้การรักษามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ในส่วนของเทคโนโลยีความก้าวหน้าทางวิทยาการ ที่แพทย์นำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษา เพื่อการวินิจฉัยข้อมูลของคนไข้ที่มีความเฉพาะเจาะจงนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้นำมาใช้เป็นแห่งแรกตั้งแต่ปี 2014 เรียกได้ว่า เข้ามาเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งและความพร้อมของโรงพยาบาล อีกทั้งยังถือว่าเป็นประโยชน์ต่อโรงพยาบาลพันธมิตรทั่วประเทศ ให้สามารถเข้าสู่เครือข่าย เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดการแบ่งปันความรู้ และส่งข้อมูลของผู้ป่วยระหว่างกันได้ ทั้งยังเข้ามาช่วยเสริมในจุดที่โรงพยาบาลบางแห่งขาดแพทย์เชี่ยวชาญ เฉพาะด้านหรือขาดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี จึงเป็นโอกาสสำคัญอีกประการ ที่ผู้ป่วยในภูมิภาคมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีการแพทย์ที่ดีขึ้น

 

 

ผนึก 51 โรงพยาบาลพันธมิตรสร้างความแข็งแกร่งในทุกมิติ 

เห็นได้จากความเคลื่อนไหวล่าสุดของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ “รศ.นพ.สมศักดิ์ เชาว์วิศิษฐ์เสรี” ผู้อำนวยการด้านบริหารร่วมและผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ได้กล่าวในเวทีสัมมนาและพิธีลงนามในเอ็มโอยู ร่วมกับโรงพยาบาล เพิ่มเติมอีก 16 แห่ง ถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ซึ่งถือเป็นโครงการต่อเนื่องในปีที่ 2 (ปี 2559) ที่มีพันธมิตรเข้าร่วมจำนวน 35 แห่ง ทั่วประเทศ ว่าเพื่อเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยร่วมกันระหว่างโรงพยาบาล โดยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องเต็มประสิทธิภาพแบบไร้รอยต่อ อาศัยจุดแข็งและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของแต่ละแห่ง ให้สามารถรับช่วงต่อผู้เข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ระหว่างกันโดยไม่สะดุด โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ 

 

นอกจากนี้ ทิศทางในการดำเนินการ ยังมีการเชิญโรงเรียนแพทย์อีก 3 แห่ง เข้าร่วม คือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร และศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งนี้เพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกันในการสร้างวิสัยทัศน์การทำงาน สร้างเครือข่ายการดูแลผู้ป่วย ที่มุ่งเน้น 4 พันธกิจสำคัญ ที่รอบด้านในทุกมิติ 

 

พันธกิจแรก เป็นรากฐานของการดูแลผู้ป่วย โดยเริ่มจากโรงพยาบาลต้นทาง ซึ่งเป็นการดูแลผู้ป่วยแต่เริ่มแรก และมีการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษา (Step up) ต่อเนื่องจนเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษา แล้วต้องการย้ายกลับไปยังโรงพยาบาลเดิม (Step down) ก็สามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่สะดุด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งเป็นการยกระดับวงการสาธารณสุขในประเทศไทยอีกด้วย 

พันธกิจที่สอง ด้านวิชาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีแนวคิดการสอนเชิงวิชาการให้กับนักศึกษาแพทย์ ในลักษณะต่อยอดความคิดทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมรับเฟลโลว์ (Fellow) แพทย์เฉพาะทางสาขามาศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพการดูแลผู้ป่วยให้สูงสุด

พันธกิจที่สาม ด้านการวิจัย เพื่อให้ตอบสนองกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐ นั่นคือ การสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ การเชิญโรงเรียนแพทย์ทั้ง 3 แห่ง จะเป็นการเปิดทางให้เกิดงานวิจัยทางการแพทย์ร่วมกันนอกจากนี้ โรงเรียนแพทย์อื่นๆ ยังสามารถส่งผ่านองค์ความรู้ทางไกลได้โดยผ่านเครือข่ายของบำรุงราษฎร์เช่นกัน การแลกเปลี่ยนความรู้เป็นการเปิดโอกาส ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด 

พันธกิจที่สี่ ซึ่งมีความสำคัญ คือมาตรฐานด้านคุณภาพ ซึ่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นรายแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาลระดับสากล The Joint Com-mission International (JCI) ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งล่าสุดยังผ่านการรับรอง DNV-GL’s MANAGING INFECTION RISK (MIR) STANDARD ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงด้านการติดเชื้อ โดยได้รับการรับรองเป็นรายที่สามนอกทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นรายแรกของเอเชีย

 

นอกจากนี้ ยังได้การรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ระดับสากล จากวิทยาลัยพยาธิแพทย์อเมริกัน College of American Pathologists (CAP) เป็นแห่งแรกของไทย สื่อถึงความพร้อมด้านวิชาการ การวิจัย เพื่อตอบสนองภาวะการเจ็บป่วยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

 

 

ความพร้อมในเทคโนโลยีทางการแพทย์ขานรับไทยแลนด์ 4.0

ในเวทีสัมมนาฯ ครั้งนี้ ยังได้เปิดเผยถึงแนวทางการใช้ AI อัจฉริยะ ตัวช่วยการตัดสินใจของแพทย์ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือช่วยในการรักษาที่รวดเร็ว ครอบคลุมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Technology) เพื่อเชื่อมโยงและส่งต่อข้อมูลผู้ป่วย โดยบำรุงราษฎร์มีแผนจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อให้โรงพยาบาลพันธมิตร สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันของรพ. โดยโครงการแรกคือ “Watson for Oncology” 

 

พญ.มณฑินี แสงเทียน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้มาบอกเล่าประสบการณ์การใช้ IBM Watson for Oncology ว่าโดยปกติเวลาพูดถึง Artificial Intelligence หลายคนอาจจะนึกถึงหุ่นยนต์ ซึ่งเมื่อแรกเริ่มทดลองใช้ไอบีเอ็มวัตสัน เคยมีคำถามว่าแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ หรือเสิร์จเอนจิ้นทั่วไปอย่างไร 

 

ทั้งนี้เพื่อให้มองเห็นภาพ ตัวอย่างง่ายๆ เช่นการหาข้อมูลว่าปวดศีรษะ เสิร์จเอนจิ้นทั่วไปจะให้ข้อมูลการรักษาในทุกเรื่อง ตั้งแต่การนวด ฝังเข็ม หรือแม้แต่การใช้ยาพาราเซตามอล แต่ไอบีเอ็มวัตสันไม่ใช่ดังอย่างที่กล่าวมา เพราะเป็นการให้ข้อมูลที่แตกต่างจากโปรแกรมทั่วๆ ไป ประการแรกคือ เราไม่จำเป็นต้องโปรแกรมทุกอย่างลงไป และการประมวลผลนำเสนอทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

 

ส่วนที่ทำให้คนรู้จักไอบีเอ็มวัตสันมาจากรายการเกมโชว์ต่างประเทศชื่อ Jeopardy ซึ่งเป็นเกมที่ถามคำถามแบบซับซ้อน โดยมีการแข่งขันระหว่างแชมป์ของเกมกับไอบีเอ็ม ซึ่งทำให้คนรู้จักไอบีเอ็มมากขึ้น ในปี 2011 หลังจากนั้นไอบีเอ็มวัตสัน ได้เข้าสู่วงการ Healthcare และพัฒนาเพิ่มเติมไปในส่วนของ Finance และ Solution ด้านอื่นๆ เรียกว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางสำหรับในวงการแพทย์ ไอบีเอ็มวัตสันจะเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการให้ข้อมูล เพื่อให้แพทย์ตัดสินใจทำงานได้ (Technical Decision Support) เป็นการเพิ่มคุณภาพการรักษาพยาบาล ป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

 

การตัดสินใจเลือกใช้ Technical Decision Support สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ คุณภาพของข้อมูล ต้องตรวจสอบว่าใช้ Knowledge อะไรมาเป็นฐานข้อมูล นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงความง่ายในการใช้งาน และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อใดที่ข้อมูลและซอฟต์แวร์หยุดการพัฒนา ก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ในการใช้งานอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้มีการทำงานร่วมกับไอบีเอ็มวัตสันตั้งแต่ปี 2014 เพื่อนำความสามารถของ AI มาใช้ในรพ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการรักษาคนไข้โรคมะเร็ง เริ่มใช้ตั้งแต่ปลายปี 2015 ซึ่งในระยะแรกนำมาใช้ใน 4 โรค คือมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ และลำไส้ตอนปลาย และเพิ่มขึ้นในปี 2016 คือมะเร็งในกระเพาะอาหาร และมะเร็งปากมดลูก สำหรับปีนี้มีการเพิ่มส่วนของมะเร็งรังไข่และมะเร็งต่อมลูกหมากเข้ามา ซึ่งทีมของ โรงพยาบาลทำงานร่วมกันกับไอบีเอ็มวัตสันอย่างใกล้ชิด และมีการ Update อย่างต่อเนื่องในทุกเดือน ทำให้เกิดพัฒนาการในข้อมูลจนถึงการรักษาระดับ 3 (3rd Line Therapy) สำหรับโรคบางชนิด เกิดแนวทางการรักษาที่หลากหลายมากขึ้น และไอบีเอ็มวัตสันไม่ได้จำกัดคำแนะนำเพียงแค่การให้ยา แต่ทำได้ในระดับรังสีต่างๆ อีกด้วย 

 

ไอบีเอ็มวัตสันมีความสามารถในการอ่านข้อมูลและประวัติคนไข้เองได้ เมื่อเราใส่ข้อมูลของผู้ป่วยตั้งแต่ชนิดของมะเร็ง ผลตรวจทางรังสีวิทยา ผลตรวจชิ้นเนื้อเข้าไป ไอบีเอ็มวัตสัน จะประมวลผลออกมา ซึ่งแพทย์สามารถนำข้อมูลมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการรักษา ตั้งแต่การแนะนำการใช้ยาที่จะไม่เป็นผลข้างเคียงกับสถานะของคนไข้แต่ละราย ไปจนถึงการใช้รังสี ไอบีเอ็มวัตสันได้รับความนิยมอย่างมากในรพ.ชั้นนำที่ประเทศอินเดีย เกาหลี และสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้มาระยะหนึ่ง จนกระทั่งขยายลงไปถึงการใช้งานในโรงพยาบาลระดับชุมชนเล็กๆ ในปัจจุบัน   

 

 

ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งทางธุรกิจและคุณภาพการรักษาผู้ป่วย

รศ. นพ. สมศักดิ์ ปิดท้ายงานสัมมนาในครั้งนี้ว่า จากรูปแบบความร่วมมือ จะเห็นได้ว่าสร้างพัฒนาการที่ต่อเนื่องให้กับโรงพยาบาลในเครือข่าย ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การวิจัยทางวิชาการต่างๆ ซึ่งวันนี้วิทยาการทางการแพทย์ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีเทคโนโลยีรองรับ และเป็นแม่ข่ายเพื่อแบ่งปันไปยังที่ต่างๆ จะยิ่งสร้างประโยชน์และส่งเสริมประสิทธิภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น

 

ในอนาคต โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มองประโยชน์ไปถึงความร่วมมือทางการแพทย์ การนำความรู้ทางวิชาการจากต่างประเทศ มาแลกเปลี่ยนจะช่วยเสริมโรงพยาบาลในเครือข่ายให้สามารถคิดวิเคราะห์ร่วมกัน และต่อยอดไปสู่โครงการวิจัยร่วมกัน เพื่อที่จะสร้างพลังที่เข้มแข็ง ในการช่วยเหลือประชาชน และจะทำให้ประเทศไทยเป็นที่เป็นที่ยอมรับ นำไปสู่การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ และสร้างทักษะในการวิจัย ซึ่งโรงพยาบาลมีความสนใจจะฝึกทักษะการวิจัยนี้ไปถึงกลุ่มชาวบ้าน เพื่อฝึกฝนการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ ด้วยเหตุและผล เพื่อความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

 

นับว่าแนวทางความร่วมมือ 3 ภาคีในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริบาลทางการแพทย์ไทย เพื่อยกระดับงานสาธารณสุขของประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 ให้มีความเป็นเลิศด้านการรักษาพยาบาลและนวัตกรรมทางการแพทย์ มีความแข็งแกร่งที่ยั่งยืน มีความสามารถในดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้ารับบริการ เพื่อไปสู่เป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยมีตัวแทนโรงพยาบาล ในเวทีระดับภูมิภาคที่พร้อมก้าวสู่เวทีโลก

 

 

พันธมิตร 51 แห่ง ทั่วประเทศของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ 

กาญจนบุรีเมโมเรียล ,กระบี่นครินทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ,จุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ ,จุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต ,จุฬารัตน์ 11 บางปะกง ,เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ,เฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต ,ชัยอรุณเวชการ ,ซานเปาโล หัวหิน ,เซนต์แมรี่ ,ตรังรวมแพทย์ ,ไทยนครินทร์ ,ไทยอินเตอร์เนชั่นแนล ,ธนบุรี-ชุมพร ,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,นครธน ,นครพัฒน์ ,นนทเวช ,นอร์ทอีสเทอร์น-วัฒนา ,บางปะกอก 1 ,บางปะกอก 3 ,บางปะกอก 8 ,บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล ,บางปะกอก รังสิต 2 ,ปิยะเวท ,พระรามเก้า ,พิษณุเวช ,พัทยาเมโมเรียล ,พัทยาอินเตอร์ ,แพทย์รังสิต ,มหาวิทยาลัยนเรศวร ,ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์  ,มหาวิทยาชัยเชียงใหม่ ,มิตรภาพเมโมเรียล ,มุกดาหาร อินเตอร์เนชั่นแนล ,เมืองนารายณ์ ,แมคคอร์มิค ,ราชธานี ,ราชพฤกษ์ขอนแก่น ,ราชเวชเชียงใหม่ ,รวมแพทย์นครสวรรค์ ,รวมแพทย์(หมออนันต์) สุรินทร์ ,ร้อยเอ็ด-ธนบุรี ,วัฒนแพทย์ ตรัง ,ศุภมิตร สุพรรณบุรี ,หัวหิน ,หนองคาย-วัฒนา ,อุบลรักษ์ ธนบุรี ,องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ,เอกชัย ,เอกชล 1 ,เอกชล 2

 

เรื่องและภาพ : กองบรรณาธิการ 

มินิ คันทรีแมน โฉมใหม่ รถยนต์อเนกประสงค์ พรีเมี่ยม คอมแพ็คในรูปแบบ “Sport Activity Vehicle” ที่ยังคงให้ความรู้สึกแบบ “go-kart feeling” ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกการใช้งานของผู้ขับขี่ ทั้งการเดินทาง กิจกรรมกลางแจ้ง และใช้งานในชีวิตประจำวันสำหรับการขับขี่ในเมือง

 

สนุกทุกการขับขี่

มินิ คันทรีแมน เจเนอเรชั่นที่สอง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด MINI TwinPower Turbo ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่และการตอบสนองที่ดีขึ้น มินิ คันทรีแมน เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่นประกอบด้วย มินิ คูเปอร์ คันทรีแมน เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังขับเคลื่อนสูงสุดอยู่ที่ 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,400-4,300 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 16 กิโลเมตรต่อลิตร ระดับการปล่อย CO2 เพียง 148 กรัมต่อกิโลเมตร และทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีพวงมาลัยหนังแท้แบบมัลติฟังก์ชั่นเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มากับตัวรถ มาพร้อมกับฟังก์ชัน Easy Opener ให้สามารถควบคุมการเปิดปิดฝากระโปรงรถเพียงใช้เท้าจ่อบริเวณใต้กันชนท้าย

 

มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน และ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ขับเคลื่อนด้วยเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ที่มอบกำลังสูงสุดถึง 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 16 กิโลเมตรต่อลิตร ระดับการปล่อย CO2 อยู่ที่ 143 กรัม ต่อกิโลเมตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบสปอร์ต พวงมาลัยหนังแท้แบบสปอร์ตพร้อมมัลติฟังก์ชั่น ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว เพื่อให้ขับขี่ได้สนุกทันใจ ซึ่งทำให้มินิทั้งสองรุ่นนี้มีสมรรถนะโดดเด่นเมื่อเทียบกลุ่มรถยนต์ระดับเดียวกัน 

 

โฉบเฉี่ยวกว้างขวาง

มินิ คันทรีแมน เจเนอเรชั่นที่สอง ยังตอกย้ำดีไซน์เอกลักษณ์แบบดั้งเดิมด้วยรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งและโครงสร้างแบบเส้นตรง รวมไปถึงหลังคาแบบ helmet roof แถบโครเมียมบริเวณ Shoulder Line และทรวดทรงที่โฉบเฉี่ยวสะอาดตา แต่ยังเปี่ยมด้วยดีไซน์สุดคลาสสิคของรถยนต์มินิ  มินิ คันทรีแมน โฉมใหม่ ดึงดูดสายตาด้วยเส้นสายที่เฉียบคม เสริมเส้นขอบโลหะที่ล้อมรอบส่วนแถบสีดำที่โอบล้อมตัวรถและซุ้มล้อ ควบคู่ไปกับเหลี่ยมมุมรอบตัวรถที่เฉียบคมมากขึ้น เข้ากันกับพื้นผิวด้านข้างตัวรถที่ผ่านการออกแบบมาอย่างแม่นยำเพื่อเสริมให้มินิ คันทรีแมน โฉมใหม่ ดูโฉบเฉี่ยว หนักแน่นยิ่งขึ้น

 

มินิ คันทรีแมน โฉมใหม่ มีขนาดความยาวเพิ่มขึ้นถึง 20 เซนติเมตร ความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 3 เซนติเมตร และฐานล้อที่ยาวขึ้น 7.5 เซนติเมตร ช่วยให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างมากยิ่งขึ้น ทั้ง Headroom Legroom Shoulder room และช่องเก็บสัมภาระที่มีความจุเพิ่มขึ้นโดยมีความจุมากถึง 450 ลิตร และยังสามารถขยายขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 1,309 ลิตร เมื่อพับเบาะที่นั่งหลังซึ่งแยกกันที่สัดส่วน 40:20:40 เพื่อความสะดวกสบายและการใช้งานต่างๆ

 

เต็นท์หลังคา AUTOHOME เสริมประสบการณ์ไร้ขีดจำกัด

ด้วยพื้นที่กว้างขวางที่สามารถรองรับผู้โดยสารรวมสัมภาระได้ถึง 5 คน มินิ คันทรีแมน โฉมใหม่ ยังเป็นรถยนต์ที่เหมาะสมต่อการเดินทางท่องเที่ยว ก้าวข้ามขีดจำกัดของการขับขี่ในเมือง เต็นท์หลังคา AUTOHOME พร้อมช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ค้นพบประสบการณ์อันน่าทึ่งระหว่างการเดินทาง รูปลักษณ์ที่ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ของเต็นท์หลังคา ผสานรวมกับโครงสร้างเส้นใยแก้ว (fibre-glass) สร้างคุณสมบัติในการลดแรงต้านอากาศและเสียงรบกวนจากลม ฟีเจอร์อื่นๆ ของตัวเต็นท์ยังรวมไปถึงที่นอนแบบหนาพิเศษ พร้อมผ้าปูที่นอนผ้าฝ้าย ประตูและหน้าต่างอย่างละสองบาน พร้อมซิปสำหรับเปิด-ปิดมุ้งกันแมลงแบบ ตาละเอียด และไฟแอลอีดีแบบใส่ถ่านในตัวเต็นท์ รวมไปถึงตาข่ายและกระเป๋าสำหรับเก็บของใช้ส่วนตัว พร้อมบันไดอะลูมิเนียมสำหรับปีนขึ้นสู่หลังคาของ มินิ คันทรีแมน โฉมใหม่ 

 

อุ่นใจกับโปรแกรมบำรุงรักษาและการรับ-ประกัน

นอกเหนือจากสมรรถนะและดีไซน์ที่โดดเด่นของมินิทุกรุ่นแล้ว อีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดคือความสบายใจของลูกค้ากับโปรแกรม MINI Service Inclusive อภิสิทธิ์พิเศษสุดสำหรับเจ้าของรถมินิ คุ้มครองรถให้ขับเคลื่อนไปในทุกเส้นทางอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือตลอดระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับกำหนดใดที่ถึงก่อน) นอกจากนี้ มินิยังมีโปรแกรมการรับประกันที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองเป็นตลอดระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทางอีกด้วย

 

“คน” ต่างเจเนอเรชั่นต้องเข้าใจกัน เพราะธรรมชาติของแต่ละเจนฯถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจถึงความแตกต่างกันแล้ว ทำอย่างไรจะใช้ประโยชน์จาก “จุดแข็ง สิ่งที่เป็นความโดดเด่น” ของเจนฯนั้นออกมาให้ได้

บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เอาใจคนรักกล้อง instax ที่ถ่ายภาพปุ๊บได้รูปทันที ขอแนะนำชุด Gift set mini9 ชุดเซ็ทราคาพิเศษ ที่ได้รวบรวมกล้อง instax และ accessory สุดน่ารักไว้ด้วยกัน ภายในกล่องประกอบไปด้วย กล้อง instax mini9, ฟิล์ม instax mini, กล่องใส่รูป mini box check, sticker frame, ปากกาsharpie neon และ instax picture book สนุกทั้งการถ่ายภาพและตกแต่งภาพแบบ DIY นอกจากนี้ตัวกล่องยังได้ถูกออกแบบให้มีสีสันสดใส สามารถมอบเป็นของขวัญให้กับคนพิเศษได้อีกด้วย 

 

New Age of Thai

August 18, 2017

ปรากฎการณ์ที่มีทั้งความท้าทายและโอกาส เมื่อโลกของคนสูงวัยกำลังจะมา สัดส่วนประชากรโลกที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในอีก 20 ปี และเกือบ 2/3 จะอยู่ในเอเชีย ข้อมูล New Age of Thai ที่นีลเส็น (ประเทศไทย) ทำขึ้นมาจะช่วยในการเตรียมรับมือกับโครงสร้างประชากรแบบใหม่ สำหรับ

ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด

ข้อมูลจาก : นีลเส็น (ประเทศไทย)

X

Right Click

No right click