ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากการระบาด COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์โลก ปัญหาเงินเฟ้อสูงทำให้นโยบายการเงินตึงตัวทั่วโลก

เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) บริษัทในกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ตอกย้ำภารกิจ “Moonshot Mission” มุ่งเน้นสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผ่านการสร้างและบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งโลกอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน Web 3.0 และอุตสาหกรรมบล็อกเชน ล่าสุด เปิดตัว “SCB 10X DISTRICTX” พื้นที่แห่งใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนานวัตกรรมและพันธมิตรจากบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกด้าน Web 3.0 และ บล็อกเชนเข้ามามีส่วนร่วมในชุมชน สร้างเครือข่ายและต่อยอดไอเดียทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด มุ่งหวังผลักดันให้เกิดศูนย์กลางคอมมูนิตี้ด้านบล็อกเชนและ Web 3.0 ระดับโลกในประเทศไทย

 

DISTRICTX ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกใจกลางกรุงเทพฯ ที่เปิดโอกาสให้สามารถใช้พื้นที่ในการสร้างศูนย์กลางคอมมูนิตี้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งโลกอนาคต รวมถึงเป็นพื้นที่สำหรับทำงานร่วมกันทางธุรกิจ ด้วยพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร ที่ได้รับการตกแต่งอย่างทันสมัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องประชุม พื้นที่ส่วนกลางสำหรับใช้ประชุม (Town Hall), ห้องประชุมแบบปฏิบัติการ (Operational War Room), ห้องบันทึกเสียงสำหรับ Podcast และพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารที่ให้บริการอาหารว่างและเครื่องดื่มฟรี โดยพื้นที่ของ DISTRICTX จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.Hacker House: พื้นที่แบบเปิดโล่งสำหรับนักพัฒนานวัตกรรมทั่วโลกด้านบล็อกเชนและ Web 3.0 สามารถเข้ามามีส่วนร่วม พบปะและพูดคุยกัน รวมถึงทำงานร่วมกับทีม SCB 10X และพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้ที่เข้าร่วมโครงการ DISTRICTX Hacker House Incubation Program 2. Exponential Hub: พื้นที่ทำงานร่วมกัน (co-working space) สำหรับพันธมิตรระดับโลกของ SCB 10X รวมถึงบริษัทชั้นนำด้านบล็อกเชนและ Web 3.0 อาทิ Axelar, Fireblocks, Nansen, The Sandbox, Nebula, Token Unlocks และ RakkaR Digital

 

นางมุขยา (ใต้) พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และ Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “DISTRICTX จะเป็นพื้นที่ที่เราเห็นถึงศักยภาพสำหรับการทำงานร่วมกันได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงเป็นพื้นที่ในการสร้างเครือข่าย และการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งการทำงานร่วมกันนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในช่วงตลาดซบเซา (Bear Market) และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เชื่อมเหล่าสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง ผู้ประกอบการที่มีความมุ่งมั่น กลุ่มพันธมิตรในอนาคต และนักพัฒนารุ่นใหม่ไฟแรง มาสู่กรุงเทพฯ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนระดับโลกด้านบล็อกเชนและ Web 3.0”

ด้าน สตีเฟน ริชาร์ดสัน (Stephen Richardson) Head of APAC and SVP of Financial Markets, Fireblocks กล่าวว่า “เราเชื่อว่าการเป็นพันธมิตรและการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อการสร้างการเติบโตที่แข็งแรงให้กับอุตสาหกรรม โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเปิดรับด้านสินทรัพย์ดิจิทัลสูงที่สุดแห่งหนึ่ง DISTRICTX จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับพวกเรา ในการยกระดับนวัตกรรมด้านบล็อกเชน พร้อมช่วยให้สถาบันการเงินต่างๆ และภาคธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

โครงการ “DISTRICTX Hacker House Incubation Program” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะช่วยบ่มเพาะประสบการณ์อย่างเข้มข้นเพื่อนำเสนอไอเดียสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดย SCB 10X จะเฟ้นหานักพัฒนาที่มีความสามารถโดดเด่นและผู้ประกอบการไฟแรงเพื่อเข้าร่วมคิดค้นและสร้างสตาร์ทอัพแถวหน้าด้าน Disruptive Technology โดยโครงการนี้จะให้การสนับสนุนตั้งแต่ต้นจนจบจากทีม Venture Builder ของ SCB 10X เริ่มตั้งแต่การทดสอบผลิตภัณฑ์และการออกแบบ การให้คำปรึกษาโดยคนเก่งในระบบ

นิเวศ รวมถึงการระดมทุนจากภายนอกและขยายการเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเข้ามาใช้พื้นที่บริเวณ Hacker House ของ DISTRICTX ตลอดระยะเวลาในการเข้าร่วมโครงการ

นอกจากบทบาทในการลงทุนร่วมสร้างแล้ว SCB 10X จะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับคนทั่วไปเกี่ยวกับโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน และ Web 3.0 ผ่านการจัดงาน “Moonshot Meetup" ที่ DISTRICTX ในรูปแบบเวิร์คช็อปสองเดือนครั้งเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างพาร์ทเนอร์ นักพัฒนา และ community ด้วยการแบ่งปันความรู้และสร้างสรรค์โปรเจคร่วมกัน DISTRICTX จะเป็นศูนย์รวมของการจัดกิจกรรมต่างๆ ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เช่น DISTRICTX Hacker House Program, Hackathons และอื่นๆ อีกมากมาย

“เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งใน ecosystem ของ SCB 10X และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถช่วยผลักดันบทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัลให้เกิดในประเทศไทย นอกจากนี้เรายังตั้งตารอความร่วมมือใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายบนพื้นที่ DISTRICTX แห่งนี้” อเล็กซ์ สวาเนวิก (Alex Svanevik) CEO แห่ง Nansen กล่าวเสริม

โดยการเปิดตัว DISTRICTX ครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำภารกิจ “Moonshot Mission” มุ่งเน้นสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผ่านการลงทุนทั่วโลกใน disruptive บล็อกเชน Web 3.0 และเทคโนโลยีการเงิน (Fin Tech) ตลอดจนบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งโลกอนาคต เพื่อผลักดันให้เกิดยูนิคอร์นด้านบล็อกเชนและ Web 3.0 ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อไป

รายละเอียดเพิ่มเติม www.districtx.space สมัครเข้าร่วมโครงการ “DISTRICTX Hacker House Incubation Program” ได้ที่ www.districtx.space รับชม VDO แนะนำ DISTRICTX ได้ที่ https://youtu.be/-oEGdXy2qJk

 

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูงจาก “จูเลียส แบร์ กรุ๊ป” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ในโอกาสเข้าร่วมประชุมบอร์ดบริหารเพื่อหารือถึงทิศทางและแนวทางการดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย

ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการช่วยต่อยอดความมั่งคั่งด้านการเงินการลงทุนแบบไร้พรมแดนให้กับลูกค้าชาวไทยแบบครบวงจร เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเวลธ์แมเนจเม้นท์ (Wealth Management) ในกลุ่มลูกค้า UHNWIs และ HNWIs ของเมืองไทย

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของไทยโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง UHNWIs และHNWIs ที่มีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านบาทขึ้นไปในประเทศไทย มีการเติบโตในอัตราที่สูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) นับเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญขององค์กรในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า “ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์” จะช่วยต่อยอดและสร้างการเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”

นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “การประชุมบอร์ดบริหารร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูงจาก จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อหารือถึงทิศทางและแนวทางการดำเนินธุรกิจในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย รวมถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ “ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์” ที่ยังคงสร้างการเติบโตท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่มีความรู้ความสามารถ มากด้วยประสบการณ์ และมีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความสามารถด้านการบริหารความมั่งคั่งที่ได้มาตรฐานระดับโลกของจูเลียส แบร์ มาคอยให้คำแนะนำ และให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าคนสำคัญเพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรายังคงมีการเติบโตทั้งในด้าน AUM จากการเพิ่มปริมาณการลงทุนของกลุ่มลูกค้า รวมถึงการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ด้าน มร.ฟิลลิปป์ ริคเคนแบเคอร์ (Philipp Rickenbacher) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้กลับมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลังจากวิกฤตโควิด-19 เพื่อเข้าร่วมพบปะกับคณะผู้บริหารของ “ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์” รวมถึงได้เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าคนสำคัญของเราอีกครั้ง โดย จูเลียส แบร์ มีความมุ่งมั่นอย่างสูงในการขยายตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชีย ซึ่งนับเป็นบ้านแห่งที่สองของเรา และสำหรับประเทศไทยนั้นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เราให้ความสำคัญในการขยายขอบเขตการให้บริการ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญ บริการ และความสามารถด้านการบริหารความมั่งคั่งระดับโลกมาเพิ่มคุณค่าให้แก่ลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามีโอกาสอีกมากมายสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของพวกเขา และให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารจัดการความมั่งคั่ง นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับ “ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์” โดยเราตั้งตารอที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนสำคัญกลุ่มนี้ต่อไป มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ธนาคารจูเลียส แบร์ และกรรมการบริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวเสริม

เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องจากการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการ EIC คาดเศรษฐกิจไทยปี 2023 อาจไม่สดใสมากจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและความไม่แน่นอนรอบด้าน

จุดพลังเทคโนโลยีสร้างมิติใหม่ให้อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยยุคดิจิทัล


ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าปลุกวิสัยทัศน์ด้าน Digital Transformation แก่ผู้นำองค์กรขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมสำคัญของไทยอย่างต่อเนื่อง จับมือ สถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC เปิดการอบรมหลักสูตร “MISSION X” The Boot Camp of Advanced Corporate Transformation รุ่นที่ 5 เจาะกลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง มุ่งเน้นการบ่มเพาะวิสัยทัศน์สำหรับผู้นำองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่เร่งยกระดับศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยด้วยการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัล สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดฝ่าวิกฤติและความท้าทายรอบด้าน อัดแน่นด้วยเนื้อหาจากวิทยากรชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย พร้อมด้วยกรณีศึกษาจากซีอีโอต้นแบบระดับประเทศ และการให้คำปรึกษาพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัวสำหรับการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ดิจิทัลขององค์กรเพื่อการใช้งานจริง โดยมี ดร. ไพรินทร์ ชูโชติถาวร นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานหลักสูตร Mission X นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล อธิการบดี สถาบันวิทยสิริเมธี ร่วมพิธีเปิดหลักสูตร เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่

ดร. ไพรินทร์ ชูโชติถาวร นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทในการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ Digital Transformation เป็นทางเลือกสำคัญที่องค์กรขนาดใหญ่จะต้องให้ความสำคัญ การพัฒนา Digital Transformation ในทุกวันนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด และผลของการพัฒนาดังกล่าวทำให้ต้นทุนทางเทคโนโลยีถูกลง ดังนั้นคนที่ทำธุรกิจที่ผนวกเทคโนโลยีได้ก่อนจึงมีความได้เปรียบ องค์กรยุคใหม่จึงต้องมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการให้ความสำคัญในการเป็นเจ้าของข้อมูล (Data) และรู้จักการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาใช้ตอบความต้องการของลูกค้าอันจะมีผลต่อการแข่งขันและสร้างโอกาสการเติบโตได้ต่อเนื่องในยุคดิจิทัล สำหรับอุตสาหกรรมการก่อสร้างนั้น ปัจจุบันเราเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วในโลก เช่น การสร้างบ้านด้วยเทคโนโลยี 3D Printing หรือการใช้ Drone Survey สำรวจไซต์งานจากนอกสถานที่ ลดต้นทุน ลดแรงงานได้อย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ทำธุรกิจนี้จึงต้องตื่นตัวเปิดรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและปรับความคิดให้เท่าทันกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง ต่อยอดการพัฒนาขีดความสามารถให้กับทุกกระบวนการทำงานในโครงการ สร้างการเติบโตให้องค์กร ผลลัพธ์ที่ดีต่อลูกค้า รวมไปถึงคู่ค้าและซัพพลายเชนทั้งระบบ โดยเชื่อมั่นว่าหลักสูตร Mission X จะนำพาทุกท่านสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับธุรกิจ และเสริมศักยภาพในการสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน”

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานหลักสูตร “Mission X” The Boot Camp of Advanced Corporate Transformation กล่าวว่า “การวางกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวนั้นผู้ประกอบองค์กรควรมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องเมกะเทรนด์ที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างให้แก่เศรษฐกิจโลกอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ หากประเทศไทยสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาได้ จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงได้ หรือแม้กระทั่งสงครามทางการค้าที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนมาสู่ประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลที่เป็นบวกให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ โครงการ Mission X รุ่นที่ 5 นี้ ต้องการเน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยได้จับตาเกี่ยวกับเทรนด์ต่างๆ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อสามารถวางโรดแมปการทำ Digital Transformation ให้องค์กรได้อย่างครอบคลุม รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่สำคัญเข้ามาพัฒนาเพื่อดึงศักยภาพองค์กร โดยเฉพาะการบริหารจัดการต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่จะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้”

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ “เป้าหมายสำคัญของการปรับองค์กรขนาดใหญ่ในยุคปัจจุบัน คือ ทำอย่างไรองค์กรจะยังยืนหยัดอยู่ได้ในโลกที่เต็มไปด้วยธุรกิจ Startup ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่ง Digital Disruption ที่สร้างความกังวลต่อผู้ประกอบการ แต่หากมองอีกนัยหนึ่ง นี่คือโอกาสผลักดันการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้กับธุรกิจ และองค์กรขนาดใหญ่สามารถปรับตัวเองได้เพียงเข้าใจในแนวคิดการปรับใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์สูงสุด แต่การทำ Digital Transformation ในองค์กรขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่เพียงแต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการดำเนินงานแต่เพียงเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้าง Digital Mindset ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรให้เกิดขึ้นในทุกระดับ ธนาคารไทยพาณิชย์ และ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) มีความเชื่อมั่นร่วมกันในพลังแห่งเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ได้ร่วมดำเนินโครงการ “MISSION X” หลักสูตรลับคมวิสัยทัศน์ทางด้านดิจิทัลสำหรับผู้นำองค์กรธุรกิจแถวหน้าของประเทศ ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 5 มีผู้เข้าร่วมหลักสูตรรวมแล้วกว่า 120 บริษัท และมีเม็ดเงินลงทุนเพื่อ Digital Transformation ตลอดโครงการแล้วกว่า 1,800 ล้านบาท ในครั้งนี้มุ่งเน้นการปลูกวิสัยทัศน์ทางดิจิทัลให้แก่กลุ่มผู้นำองค์กรขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมผู้รับเหมาและวัสดุก่อสร้างชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption แม้ในเมืองไทยอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในระยะยาวเรามองเห็นแนวโน้มของผลกระทบที่รวดเร็วและรุนแรง จากปัจจัยต่างๆ ทั้งทางด้านโครงสร้างประชากรที่อาจทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ต้องรีบปรับตัวให้พร้อมรับมือกับความท้าทายนี้แต่เนิ่นๆ เพื่อรักษาความแข็งแกร่งให้องค์กรและสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่องและยั่งยืนในยุคแห่งความผันผวน”

X

Right Click

No right click