

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้านการบริบาลสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ได้รับเกียรติจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร The Federation of Neurogastroenterology and Motility Meeting (FNM) 2024

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 43 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์และนวัตกรรม โดยได้พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั่วโลก
การสนับสนุนการจัดงาน FNM 2024 นับเป็นการตอกย้ำถึงความทุ่มเทในการพัฒนาการแพทย์ด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ได้เรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการยกระดับด้านสาธารณสุขและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดงานประชุม และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศทางการแพทย์ระดับโลก

ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์ ประธานจัดงาน FNM 2024 หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า FNM 2024 เป็นงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์กรชั้นนำทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ the American Neurogastroenterology and Motility Society (ANMS), the European Society of Neurogastroenterology and Motility (ESNM), the Asian Neurogastroenterology and Motility Association (ANMA), Australasian Neurogastroenterology & Motility Association (ANGMA) และ Sociedad Latinoamericana de Neurogastroenterología (SLNG)
การประชุม FNM เริ่มจัดครั้งแรกในปี 2014 และจัดขึ้นทุกสองปี เพื่อเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย โดยการนำนักวิจัยและแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับโรคทางเดินอาหารทำงานผิดปกติกว่า 1,000 คน จากทั่วโลกมารวมตัวกัน โดยมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร เพื่อพัฒนานวัตกรรมสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาโรคที่เกิดจากทางเดินอาหารทำงานผิดปกติที่คนทั่วไปรู้จักกันดี ได้แก่ โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหาร ภาวะกระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้า โรคลำไส้แปรปรวน ภาวะท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้น ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยมากในคนไทยและคนทั่วโลก ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดของโควิด-19 การประชุม FNM ครั้งที่ 5 จึงถูกเลื่อนจากปี 2022 เป็น 2024
การประชุม FNM 2024 ในปีนี้ จะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงาน ร่วมกับทาง the Asian Neurogastroenterology and Motility Association ในฐานะที่ทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับในด้านวิชาการระดับนานาชาติ รวมถึงต่างชาติให้ความสนใจและไว้วางใจประเทศไทย ทั้งในด้านชื่อเสียงด้านการแพทย์ รวมถึงวัฒนธรรมและอาหาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทย
โดยในงานจะมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 100 ท่าน มานำเสนอการค้นพบและผลงานวิจัยล่าสุด ตั้งแต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการปฏิบัติทางคลินิก มีการประชุมสัมมนาเจาะลึกในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น หัวข้อ ‘การรับประทานอาหารและจุลินทรีย์ในลำไส้มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคและการจัดการโรคที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของสมองและลำไส้อย่างไร’ และ หัวข้อ ‘Asian focus’ ที่รวมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาด้านการทำงานของระบบทางเดินอาหารในเอเชียและตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ผ่านมุมมองใหม่ที่สร้างสรรค์ สามารถนำความรู้ไปพัฒนาต่อ และสร้างเครือข่ายที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

ผศ.นพ. ยุทธนา ศตวรรษธำรง หัวหน้าศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรคระบบทางเดินอาหารและตับเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากพฤติกรรมการทานอาหาร สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในปัจจุบัน ทำให้พบผู้ที่มีอาการผิดปกติหรือเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารและตับมากขึ้นทุกปี เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง โรคลำไส้แปรปรวน โรคตับ โรคตับอ่อน เป็นต้น
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เราตระหนักถึงปัญหา และมุ่งหวังที่จะช่วยรักษาผู้ที่มีอาการหรือมีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและตับอย่างครอบคลุม ทั้งโรคทั่วไปและโรคที่มีความซับซ้อน ที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาตัวเราให้เป็นหนึ่งในใจของคนไทยและคนทั่วโลก โดยได้พัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2565 ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมมือกับ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจและรักษาความผิดปกติของการทำงานของระบบทางเดินอาหารอันดับหนึ่งของประเทศไทยและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
และต่อมาในปี 2566 ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ได้ต่อยอดขยายคลินิกเฉพาะทาง เพื่อพัฒนาการรักษาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และทัดเทียมมาตรฐานโลก โดยมีคลินิกเฉพาะทางต่าง ๆ ประกอบไปด้วย คลินิกโรคทางเดินอาหารทั่วไป (General GI Center), ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร (Motility Center), ศูนย์ส่องกล้องทางเดินอาหาร (Endoscopy Center), โปรแกรมตับอ่อน (Pancreas program), คลินิกพันธุกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร, คลินิกโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD Center), คลินิกโรคตับ (Liver Center) และคลินิกไมโครไบโอมแบบบูรณาการ (Integrative Microbiome Clinic)
ปัจจุบันเรามีวิวัฒนาการใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการวินิจฉัยรักษาได้ดีขึ้น เช่น การให้บริการตรวจคัดกรองโรคในทางเดินอาหารด้วยการส่องกล้องพร้อมระบบ AI detection ซึ่งช่วยให้สามารถเจอติ่งเนื้อได้มากขึ้นถึง 54% เมื่อเจอติ่งเนื้อในลำไส้หรือกระเพาะอาหาร แพทย์จะสามารถตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุได้ในทันที โดยการส่องกล้องไม่ต้องผ่าเปิดหน้าท้อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยของเรามาโดยตลอด

ในปีนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับเกียรติให้เป็นผู้สนับสนุนหลักของงาน FNM 2024 นับเป็นความภาคภูมิใจในฐานะคนไทยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งนี้ที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะทำให้แพทย์ไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีทางวิชาการระดับนานาชาติ และแสดงถึงศักยภาพของไทยในฐานะประเทศที่เป็นผู้นำการประชุมวิชาการระดับโลกที่สำคัญ การประชุมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมทางการแพทย์และความร่วมมือในอนาคตของประเทศไทย ปัจจัยเหล่านี้จะเอื้อประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพ สร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการแพทย์ในประเทศ และท้ายที่สุดจะยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยทั่วทั้งภูมิภาค
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน FNM 2024 หรือศึกษารายละเอียดและหัวข้อเสวนาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.fnm2024.com/
‘โลกเดือด’ ในระดับที่มีผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้น กินวงกว้างขึ้น และส่งผลให้เกิดความสูญเสียหลากหลายด้าน ‘ความยั่งยืน’ จึงยิ่งประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกเร่งขับเคลื่อนเพื่อลดผลกระทบโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นการออกนโยบายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐและเอกชน การตั้งเป้าหมายความเพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) การทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environment - Social - Governance) เพื่อร่วมสนับสนุน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals) ฯลฯ
สำหรับภาคเอกชน องค์กรน้อยใหญ่ไม่ว่าจะในอุตสาหกรรมใด ต่างก็ต้องผลักดันเรื่องความยั่งยืน ผ่านสินค้าบริการ กิจกรรมการตลาด รวมถึงวัฒนธรรมและแนวทางการทำธุรกิจขององค์กร และหากดำเนินการเป็นกลุ่มธุรกิจ บริษัททั้งหมดในเครือก็ต้องดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนร่วมกัน อาทิ ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมการพิมพ์และการฉายภาพที่ดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเริ่มธุรกิจ จนเป็นบริษัทแรกของโลกที่กำจัด สารซีเอฟซี (CFC: (Chlorofluorocarbons) ซึ่งทำลายชั้นโอโซนออกจากกระบวนการผลิตได้ทั้งหมด และยังเป็นบริษัทแรกในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566

ดีเอ็นเอแห่งความยั่งยืน ผนวกกับการเข้าสนับสนุนเป้าหมายระดับโลก SDGs ส่งผ่านไปยังธุรกิจ ‘เอปสัน’ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก รวมถึง เอปสัน ประเทศไทย ที่เล็งเห็นถึงสภาพแวดล้อมของโลกและประเทศไทยที่กำลังเผชิญผลกระทบเชิงลบมากมายและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะนิ่งนอนใจได้ ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด
กล่าวถึง เอปสัน ประเทศไทยว่า ได้ขานรับ ‘Environmental Vision 2050’ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาวขององค์กร และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะ ข้อที่ 13 ว่าด้วยการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันการพิมพ์ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังดำเนินกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อกระตุ้นการรับรู้และปลูกจิตสำนึกให้กับทั้งทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องตลอดซัพพลายเชนของการดำเนินธุรกิจ
“เราอยู่ในทศวรรษที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์และเห็นผลกระทบที่รุนแรงเกิดบ่อยขึ้นกับชีวิตผู้คนจำนวนมากขึ้น บริษัทจึงพยายามมาโดยตลอดที่จะสื่อสารกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริโภค องค์กรลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ สื่อมวลชน รวมถึงชาวเอปสันเอง ถึงสิ่งที่ทุกคนสามารถช่วยกันทำได้ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กิจกรรมการปลูกปะการังเทียมและการทำซั้งในทะเล เพื่อใช้เป็นแหล่งอาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งหลบภัยของสัตว์น้ำ หรืองานสัมมนาให้ความรู้นักศึกษาและผู้ประกอบการรุ่นใหม่เกี่ยวกับการสร้างธุรกิจบนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก การรีไซเคิลขยะพลาสติก”

“นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดกับประเทศไทยทุกๆ ปี ก็คือ ไฟป่า ซึ่งทำลายทรัพยากรป่าไม้ปีละเป็นหมื่นๆ ไร่ สร้างปัญหาฝุ่นควันและอากาศที่ร้อนขึ้นในหลายจังหวัด เอปสัน ประเทศไทย จึงช่วยขยายเสียงเพื่อร่วมสะท้อนถึงปัญหาที่ทำลายทั้งสุขภาพของคนไทย เศรษฐกิจและธรรมชาติของประเทศ โดยจัดแคมเปญ CSR ในปีที่ผ่านมาภายใต้ชื่อ ‘33 x Trees’ เพื่อสื่อถึงปีที่ 33 ของเอปสัน ประเทศไทย และความตั้งใจที่จะช่วยรักษาผืนป่าของประเทศไทย โดยชูประเด็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ที่สูญเสียไปจากไฟป่า”

แคมเปญดังกล่าวเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเอปสันและครอบครัว รวมถึงสื่อมวลชน ในกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากสถานีควบคุมไฟป่าเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยเริ่มด้วย ‘เรื่องจริงของคนตีไฟ’ ด้วยวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดไฟป่า ปัญหาและผลกระทบ วิธีการป้องกันไฟป่า ทั้งยังได้รับประสบการณ์ ‘ฝึกดับไฟจริง’ โดยมีเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเป็นพี่เลี้ยง นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทยยังบริจาคอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำภารกิจการควบคุมไฟป่าภายในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น กระเป๋าเดินป่า หม้อสนาม หัวแก๊สหุงต้มสนาม พร้อมแก๊สกระป๋อง ถุงเท้าข้อยาว และพาวเวอร์แบงก์
“กิจกรรมนี้ทำให้เราสัมผัสถึงความยากลำบากและความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าที่ต้องลาดตระเวนและดับไฟป่าที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อตลอดระยะเวลา 7-8 เดือน กล่าวคือ ตั้งแต่ตุลาคมยาวไปถึงพฤษภาคมอีกปีจะเป็นช่วงระวังไฟป่า และในแต่ละปีก็มีผืนป่าทั่วประเทศเสียหายจากไฟป่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุให้เกิดไฟป่าเกือบทั้งหมดมาจากฝีมือมนุษย์ และกว่าจะฟื้นฟูผืนป่าเหล่านี้ได้ต้องใช้เวลานานกว่าที่ป่าถูกเผาไปหลายสิบเท่า การป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการป้องกันที่ดีที่สุดคือ การป้องกันคน”

ต่อจาก ‘เรื่องจริงของคนตีไฟ’ คือ ‘พิธีบวชป่าลับแล’ ที่คณะพนักงานและสื่อมวลชนร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีบวชป่าครั้งแรกของป่าชุมชนเขาขลุง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ทั้งยังได้ปลูกต้นสักเพิ่มให้กับเขาลูกนี้ด้วย และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ใหญ่และชาวหมู่บ้านสระสี่มุม
ส่วนเหตุผลที่เอปสันเลือกทำกิจกรรมที่ป่าแห่งนี้ เพราะเป็นตัวอย่างของป่าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทำให้เสื่อมโทรม เนื่องจากในอดีต ชาวบ้านขึ้นมาตัดไม้ ล่าสัตว์ เผาป่า และจับจองพื้นที่ทำไร่ ทำให้ผืนป่าลดลง เขาขลุงจึงเปลี่ยนสภาพเป็นภูเขาหัวโล้น จนในปี 2530 ที่เริ่มมีการฟื้นฟู ชาวบ้านทำข้อตกลงร่วมกันในการหยุดตัดไม้และปล่อยให้ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติ ทั้งยังช่วยกันปลูกต้นไม้พันธุ์ต่างๆ มาตลอด จนป่าฟื้นคืนสภาพและได้ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนในปี 2562
ปัจจุบัน ป่าเขาขลุงเป็นทั้งถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า เป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของชุมชน ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพที่หลายสถาบันมาศึกษากันไม่ขาด จึงเรียกได้ว่าเป็นป่าที่ได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง...ด้วยฝีมือมนุษย์
“เอปสันยังเลือกจัดกิจกรรมที่ป่าเขาขลุง โดยอ้างอิงจากผู้ใหญ่บ้านว่า ป่าแห่งนี้ยังไม่เคยมีพิธีบวชป่า อย่างน้อยก็ในช่วงสามถึงสี่ชั่วอายุคน ซึ่งพิธีบวชป่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อเป็นกุศโลบายให้ผู้คนรู้จักคุณค่าและความสำคัญของป่า ด้วยการสร้างความเชื่อที่ว่า ผืนป่าที่ผ่านพิธีบวชเช่นเดียวกับการบวชพระและต้นไม้ที่ถูกห่มด้วยจีวรจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา จะถูกผู้ใดมาบุกรุกทำลายไม่ได้ เมื่อคนไม่กล้าตัด ต้นไม้ก็จะเติบโตเป็นป่าต่อไป กิจกรรมนี้จึงช่วยเพิ่มความสำคัญให้กับป่าเขาขลุงและเพิ่มโอกาสที่ป่านี้จะอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

ตามมาด้วยกิจกรรมสุดท้ายคือ ‘คาราวานสังฆทานต้นไม้’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงศรัทธา ที่จังหวัดลำปาง โดยเอปสัน ประเทศไทยจัดขบวนรถม้าพาพนักงานและคณะสื่อมวลชนออกจากสถานีรถไฟนครลำปาง ซึ่งเป็นจุดที่รถม้าคันแรกเดินทางมาถึงและเริ่มออกวิ่งที่เมืองลำปางเมื่อ 108 ปีที่แล้ว มุ่งหน้าไปยังวัดเก่าแก่ 3 วัด ได้แก่ วัดศรีรองเมือง วัดไชยมงคล และวัดศรีชุม เพื่อร่วมกันถวายต้นกล้าพะยูงจำนวน 333 ต้น เป็นพุทธบูชาให้วัดนำไปปลูกและแจกจ่ายญาติโยมต่อไป ทั้งยังประกอบพิธีและประเพณีสำคัญประจำแต่ละวัด เช่น พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีที่วัดไชยมงคล การห่มพระธาตุที่วัดศรีชุม โดยความเชื่อมโยงของวัดทั้งสามอยู่ที่การเป็นวัดซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยคหบดีชาวพม่าที่เข้ามาทำป่าไม้ทั้งสิ้น จึงต้องการสร้างวัดเพื่อเป็นพุทธบูชาและขอขมาที่ทำลายบ้านของรุกขเทวดาลง
นอกจากกิจกรรมลงพื้นที่แล้ว เอปสัน ประเทศไทยยังเชิญ วัธนา บุญยัง นักเขียนสารคดี นิยาย และเรื่องสั้นแนวพงไพรที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ผู้แต่งนวนิยายเรื่อง ‘ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่’ ซึ่งได้รับรางวัลชมเชย จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2531 และรางวัลชมเชย เซเว่นบุ๊คส์อะวอร์ด ปี 2546 มาแบ่งปันเรื่องราวจากพงไพร ประสบการณ์การท่องป่า ความเชื่อและสิ่งลี้ลับ ในสารคดีชุด ‘Tale from the Wild’

“แคมเปญ ‘33 x Trees’ เป็นชุดความพยายามของเอปสัน ประเทศไทยในปีที่ผ่านมา หลังจากนี้บริษัทจะยังคงสร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของไซโก้ เอปสัน ในการเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนเป็นลบ และยุติการใช้ทรัพยากรใต้ดินให้ได้ภายในปี 2050 พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ตัวผลิตภัณฑ์ การให้บริการ และตลอดซัพพลายเชน โดยบริษัทจะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพและมีจุดยืนเดียวกัน เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้เรื่องความยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเอปสันให้ได้มากที่สุด” ยรรยงกล่าว
ผลสำรวจล่าสุดของ SiteMinder ผู้นำแพลตฟอร์มระดับโลกที่จะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพในการสร้างรายได้เต็มรูปแบบให้กับโรงแรม เผยให้เห็นว่าเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักโดยเฉลี่ยพุ่งสูงขึ้นถึง 33% ในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว
โดยอัตราเฉลี่ยรายวัน (ราคาห้องพัก) ในประเทศไทยระหว่างวันที่ 11-18 เมษายน เพิ่มขึ้นเป็น 5,421 บาท (148 เหรียญสหรัฐ) จาก 4,087 บาท (120 เหรียญสหรัฐ) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราเฉลี่ยรายวันดังกล่าว เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์ที่มีอัตราเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 4,949 บาท (135 เหรียญสหรัฐ) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทศกาลสงกรานต์ที่มีต่อโรงแรมและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ
“ในช่วงเทศกาลสำคัญของประเทศไทยอย่างเทศกาลสงกรานต์ นับเป็นช่วงเวลาที่สร้างรายได้ให้กับโรงแรมได้อย่างดีเยี่ยม” แบรด ไฮนส์ รองประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บริษัท SiteMinder กล่าว “โรงแรมต่าง ๆ ไม่เพียงแค่สร้างรายได้มากขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งเห็นได้จากอัตราเฉลี่ยรายวันที่สูงขึ้น แต่ผลการดำเนินงานในปีนี้ ยังเผยให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับเรทราคาแบบเรียลไทม์ตามแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยรายวันของช่วงสัปดาห์สงกรานต์ปีที่ผ่านมา และช่วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์ในปีนี้”
ข้อมูลจากผลสำรวจของ SiteMinder ยังแสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวที่วางแผนการเข้าพักช่วงสงกรานต์ในปีนี้ มีการจองล่วงหน้านานถึง 42 วัน โดยระยะเวลาการจองล่วงหน้านานกว่าเดิมถึง 56% เมื่อเทียบกับการจองล่วงหน้า 27 วันในปีที่แล้ว
การเดินทางภายในประเทศยังเพิ่มขึ้นสูงสุดในเดือนเมษายน นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2566 โดยนักเดินทางภายในประเทศคิดเป็น 23% ของการเช็คอินทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเพียง 13% ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปีนี้ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จองเข้าพักในช่วงเทศกาลสงกรานต์กับโรงแรมและที่พักต่าง ๆ ในเครือข่ายของ SiteMinder ส่วนใหญ่มาจากสหราชอาณาจักร เยอรมนี อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส และออสเตรเลียตามลำดับ
“แม้ว่าอัตราค่าห้องพักจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากที่เข้ามาพักที่โรงแรมในไทยในเดือนที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความนิยมที่แพร่หลายของเทศกาลสงกรานต์ นอกจากนี้ยังเห็นได้จากระยะเวลาการจองล่วงหน้าที่นานกว่าเดิมถึง 15 วัน แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่ผู้คนมีต่อช่วงเทศกาล และเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่วางแผนและจองการเดินทางล่วงหน้าในช่วงเทศกาลสำคัญ โรงแรมจึงจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยว ซึ่งโรงแรมจะสามารถสร้างรายได้สูงสุดจากการตอบสนองและปรับกลยุทธ์ราคาห้องตามการคาดการณ์ หรือเสนอการอัปเกรดและสิทธิพิเศษให้แขกก่อนเช็คอิน” ไฮนส์ กล่าว
“พฤกษา โฮลดิ้ง” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ทำรายได้ 4,171 ล้านบาท ได้รับการตอบรับดีเกินคาดจากการออกหุ้นกู้ 2 ชุด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โฟกัสเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มพรีเมียม เดินหน้าตามแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสสอง 7 โครงการ มูลค่า 7,100 ล้านบาท ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโตในทุกมิติ ทำรายได้สูงขึ้น 21% สานต่อความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ พร้อมลงทุนเพิ่มสัดส่วนการสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) อย่างต่อเนื่อง
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 ว่า บริษัททำรายได้ราว 4,171 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรก ทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นที่ 32% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ 31.5% และยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.31 เท่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ แบบมีผู้ค้ำประกัน จำนวน 2 ชุด ต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งได้ออกหุ้นกู้แล้วเสร็จในวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีอายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.18% ต่อปี และอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.48% ต่อปี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งบริษัทฯ ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกรายที่ให้ความไว้วางใจ ทำให้ได้รับยอดจองสูงกว่ามูลค่าที่ทำการเสนอขายประมาณ 1.5 เท่า ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ จำนวน 4,500 ล้านบาท โดยบริษัทฯ วางแผนจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ ไปชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และต่อยอดธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวมต่อไป

ในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ทำยอดโอนได้ 3,475 ล้านบาท และทำยอดขายได้ 3,374 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวมียอดขาย 1,342 ล้านบาท เติบโตราว 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่สินค้าในกลุ่มพรีเมียมได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากการเปิดการขายโครงการเดอะปาล์ม บางนา-วงแหวน 2 ในช่วงไตรมาสแรก สอดคล้องกับแผนการเปิดโครงการใหม่ที่จะเพิ่มสัดส่วนสินค้าในกลุ่มพรีเมียม (มากกว่า 7 ล้านบาท) ให้มากขึ้นเป็น 50% ในครึ่งปีแรก ยังคงแผนการเปิดโครงการใหม่ รวม 8 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท (เปิดไปแล้ว 1 โครงการ ในไตรมาสแรก ได้แก่ โครงการเดอะปาล์ม บางนา-วงแหวน 2 ) และในครึ่งปีหลัง 22 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีโครงการไฮไลท์สำคัญที่กำลังจะเปิดใหม่เร็ว ๆ นี้ อาทิ โครงการแบรนด์ใหม่ “ไพนน์ เวลเนส เรสซิเดนซ์ ประชาชื่น” บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 3 ชั้น สไตล์ British Timeless Elegance และโครงการ “เดอะปาล์ม เรสซิเดนเซส วัชรพล” บ้านหรูสไตล์พูลวิลล่า ดีไซน์คลาสสิค French Hussmann พร้อมนวัตกรรมกรองอากาศและลดพลังงานภายในบ้าน (Active Air Quality, Active Air Flow) นวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการใช้ชีวิตที่ดี พร้อมมีทีมแพทย์จาก รพ.วิมุต และ Chersery Home International ดูแลสุขภาพทุกคนในครอบครัวถึงที่บ้านเหมือนมีแพทย์ประจำครอบครัว บริการผู้ช่วยส่วนตัว (Concierge Service) และบริการจากแอปพลิเคชัน MyHaus นวัตกรรมระบบบ้านอัจฉริยะ ที่จะเป็นศูนย์กลางดูแลเรื่องความปลอดภัยในบ้าน และอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านและนิติบุคคลเข้ามาใช้ เพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่างและโดดเด่นให้กับโครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 4,429 ล้านบาท และยังมีสินค้าที่ยังเปิดขายอยู่มูลค่ารวม 61,269 ล้านบาท ซึ่งยังคงรองรับการเติบโตได้ถึง 2 ปี

ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ มีทิศทางเติบโตในทุกมิติ ทำรายได้ 499 ล้านบาท เติบโต 21% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 โดยมีรายได้สูงสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ป่วยใน และผู้ป่วยนอกสูงขึ้น (แบ่งเป็นผู้ป่วยชาวไทย และชาวต่างชาติสูงขึ้น 32% และ 30% ตามลำดับ) ช่วงระหว่างปีที่ผ่านมาเดินหน้าสานต่อแผนสู่ความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ (Trusted Healthcare Platform) ประกาศรีแบรนด์ร.พ.เทพธารินทร์ สู่ “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์” ชูศักยภาพความเป็นผู้ชำนาญและความเป็นเลิศด้านเบาหวานและต่อมไร้ท่อ และวางแผนขยายบริการไปถึงกลุ่มลูกบ้านพฤกษาผ่านการมอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ นอกจากนี้ โรงพยาบาลวิมุต ยังได้ขยายบริการเพิ่มเติม ทั้งการผ่าตัดศัลยกรรมขากรรไกรและใบหน้า (Maxillofacial Surgery) เปิด “ศูนย์เลสิก โรงพยาบาลวิมุต (ViMUT LASIK Center)” ชูนวัตกรรมที่ปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมเครื่อง “FEMTO LDV Z8” จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมอยู่ระหว่างการก่อสร้างศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุและครอบครัวในย่านวัชรพล เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพของลูกค้าในโครงการบ้านในละแวกนั้น และชุมชนใกล้เคียงทั้งหมดเพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มในเครือพฤกษา ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตตามกรอบแนวคิด “อยู่ดี มีสุข”

ด้านการดำเนินงานต่อยอดธุรกิจ สร้างรายได้ประจำตามกลยุทธ์ Seed new business ล่าสุดเดินหน้าตามแผนงานการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ “โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส” คลังสินค้าครบวงจรด้วยเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัยพร้อมบริการโซลูชันแบบองค์รวม มูลค่า 8,430 ล้านบาท บนพื้นที่ย่านบางบ่อรวมกว่า 200,000 ตารางเมตร ภายใต้บริษัทร่วมทุน 51:49 กับกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 2 ปี เพื่อรองรับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปี 2569 เป็นต้นไป โดยจะมี แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ (Ally Logistic Property หรือ ALP) นำโซลูชันคลังสินค้าแบบอัจฉริยะและครบวงจรที่ล้ำสมัยที่สุดในอุตสาหกรรมโลจิส ติกส์ของประเทศไต้หวันมาร่วมให้บริการด้วย
จากกรณีรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผห 5347 เชียงใหม่ เฉี่ยวชนรถตู้โรงพยาบาลพร้าว หมายเลขทะเบียน จง 8142 เชียงใหม่ บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 1001 เชียงใหม่-พร้าว หมู่ 6 ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุได้ตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้ลงพื้นที่ทันทีและจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผห 5347 เชียงใหม่ จัดทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 7 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บค่ารักษาสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน

ในส่วนของรถตู้โรงพยาบาล หมายเลขทะเบียน จง 8142 เชียงใหม่ จััดทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 15 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บค่ารักษาสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคนและกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน นอกจากนี้มีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 15 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 1,000,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 5,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อรถยนต์ 980,000 บาท รถยนต์สูญหาย/ไฟไหม้ 980,000 บาท สำหรับความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร (ร.ย. 01) ผู้ขับขี่/ผู้โดยสาร 6 คน ๆ ละ 2,000,000 บาท และค่ารักษาพยาบาล (ร.ย. 02) จำนวน 500,000 บาทต่อคน ประกันตัวผู้ขับขี่ (ร.ย. 03) 200,000 บาทต่อครั้ง
สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ขณะนี้ผลคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน โดยเบื้องต้นทายาทโดยธรรมของผู้ประสบอุบัติเหตุที่เสียชีวิต จำนวน 4 ราย จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย ดังนี้

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานกับบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สาขาเชียงใหม่ และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพื่อรวบรวมเอกสารและอำนวยความสะดวกเพื่อดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างรวดเร็วแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอทายาทโดยธรรมจัดเตรียมเอกสารให้แก่บริษัทประกันภัย
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างบูรณาการร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้ประสบภัยหรือผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่ามีการทำประกันภัยก็จะได้รับสิทธิตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ
DPU มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยชั้นนำ ร่วมกับ TikTok Shop แพลตฟอร์มยอดฮิต จัดเวิร์คชอปให้ GEN Z สร้างความเข้าใจธุรกิจ รู้ช่องทางสร้างเงินบน TikTok เจาะลึกการเรียนรู้เทรนด์การตลาดยุคใหม่ นำความรู้โลกธุรกิจสู่การลงมือทำ คิกออฟเส้นการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์สู่เส้นทางการสร้างรายได้
นางสาวเกล็ดทราย อินทรพล ผู้อำนวยการสายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า DPU มุ่งเน้นการสร้างทักษะใหม่ ๆ ที่ก้าวทันเทรนด์โลกให้กับนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา โดยหนึ่งในภารกิจหลัก คือ การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Skills) และพัฒนาความรู้ความสามารถที่ทันสมัยให้กับนักศึกษา ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด DPU ร่วมกับ TikTok Shop จัดกิจกรรม ภายใต้ชื่อ ‘DPU x TikTok Shop ปั้น Shoppertainment ชี้ช่องทางสร้างเงินสายคอนเทนต์ครีเอเตอร์’ โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก TikTok Shop ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ‘เทคนิคการทำคอนเทนต์ติดตะกร้า สร้างยอดขายให้ปังบน TikTok’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจและการตลาดบนโลกออนไลน์ในปัจจุบัน โดยจุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้เพื่อสร้างทักษะ และ แรงบันดาลใจให้นักศึกษา DPU ไปสู่การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โดดเด่น สามารถสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ในอนาคต
กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจาก DPU เห็นถึงความสำคัญของแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และกำลังมาแรงในกลุ่ม GEN Z เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถนำมาต่อยอดในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะ Affiliate marketing รวมถึงการสร้างแบรนด์ผ่านคอนเทนท์บนแพลตฟอร์ม TikTok

“DPU ให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์และพัฒนาทักษะนักศึกษามาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมที่ทำร่วมกับ TikTok ในครั้งนี้ นักศึกษาจะมองเห็นภาพของธุรกิจผ่านการลงมือทำ ได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างรายได้ และเพิ่มยอดขายให้ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์ม TikTok ในขณะเดียวกันก็เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างนักศึกษาซึ่งเป็น User กลุ่มคนรุ่นใหม่ กับ TikTok Shop และยังถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่าง DPU กับ TikTok เพื่อต่อยอดและพัฒนาโครงการดี ๆ ร่วมกันในอนาคต” นางสาวเกล็ดทราย กล่าว

นางสาวกรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์ ห้วหน้าฝ่าย เอฟเอ็มซีจี ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ติ๊กต็อก ช็อป ประเทศไทย กล่าวว่า TikTok Shop รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาแบ่งปันองค์ความรู้และทักษะเชิงดิจิทัลให้กับนักศึกษาซึ่งถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ เราเล็งเห็นว่าตลาดแรงงานในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตทุกด้านรวมไปถึงการทำงาน เกิดอาชีพใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ ทำให้เข้าถึงโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ง่ายขึ้น TikTok ในฐานะแพลตฟอร์มเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความบันเทิง เรามุ่งมั่นที่จะปลดล็อคโอกาสดังกล่าวให้กับทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัดทั้งในเรื่องอายุ เพศ และการศึกษา เพียงแค่มีความตั้งใจในการนำเสนอเรื่องราว สินค้า หรือ บริการ ที่โดนใจผู้ชมก็สามารถได้รับการมองเห็นและสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มเราได้ TikTok Shop หวังว่าการมาแบ่งปันความรู้ในครั้งนี้จะช่วยจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ดี ๆ ให้กับสังคมไทย ตลอดจนนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดความสำเร็จในอนาคต

สำหรับบรรยากาศงานเต็มไปด้วยความคึกคักจากนักศึกษากว่า 100 คนที่เข้าฟังการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การทำคอนเทนต์ โดยวิทยากกรจาก TikTok Shop Creator ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจ ได้แก่ การสร้างคอนเทนต์ Short Clip ให้โดนใจคนดู, การเล่าเรื่อง Storytelling, กฎและนโยบายการทำคอนเทนต์บน TikTok และ How to การติดตะกร้าในคอนเทนต์บน TikTok นอกจากการบรรยายเนื้อหาที่น่าสนใจแล้ว ยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้นักศึกษาได้นำความรู้มาต่อยอด สร้างสรรค์คอนเทนต์และโพสต์เผยแพร่คอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม TikTok

ทั้งนี้ จากเทรนด์การตลาดบนโลกออนไลน์ที่มาแรงในปัจจุบัน TikTok เป็นทั้งช่องทางการแสดงตัวตนและสร้างโอกาสให้กับหลายคนได้แจ้งเกิด หนึ่งในนั้นคือ นางสาวอัญชิการ์ กุมาร อโรร่า นักศึกษาปีที่ 3 หลักสูตรสื่อดิจิทัลและการสร้างสรรค์ (DCM) คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คนรุ่นใหม่ที่ทำให้เห็นว่า ใคร ๆ ก็เป็นครีเอเตอร์ได้ ขอแค่มีความตั้งใจ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ก็สามารถต่อยอดเป็นช่องทางหารายได้เป็นหลักหมื่นหลักแสนต่อเดือนได้
“เริ่มต้นเปิดช่อง Jennyarora10 ใน TikTok ตั้งแต่ช่วงโควิด โดยทำคลิปคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ตามที่ตัวเองชอบ ลงมือทำเองทั้งในส่วนของการเขียนสคริปต์ ตัดต่อ แล้วก็โพสต์บนแพลตฟอร์ม TikTok อย่างต่อเนื่อง เนื้อหาที่เรียนในคลาสและกิจกรรมที่ DPU จัด ยิ่งทำให้เราสามารถทำคอนเทนต์ได้ดี ตรงใจคนดูมากขึ้น ตอนนี้มีผู้ติดตามถึง 3.1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและวัยรุ่น ทำให้สามารถสร้างรายได้จากการรีวิวสินค้าและผลิตคอนเทนต์ ประมาณ 15,000-60,000 บาทต่อเดือน นับว่าเป็นโอกาสหาเงินสำหรับเป็นค่าเรียนของตัวเองโดยที่ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่” นางสาวอัญชิการ์ กล่าว

สำหรับกิจกรรม “DPU x TikTok Shop ปั้น Shoppertainment ชี้ช่องทางสร้างเงินสายคอนเทนต์ครีเอเตอร์” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมทักษะที่สำคัญในยุคดิจิทัลที่ DPU ให้ความสำคัญและจัดให้นักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ติดตามกิจกรรมต่าง ๆ ของ DPU มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ที่ Facebook : @dpu.ac.th
เอสซีจีซี ระดมทีมลงพื้นที่กลุ่มประมงเรือเล็กตากวน-อ่าวประดู่ เดินหน้ารับฟังข้อกังวลและบรรเทาปัญหาชุมชนต่อเนื่อง เบื้องต้นได้จัดบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพอย่างใกล้ชิด พร้อมมอบอุปกรณ์การแพทย์และยาที่จำเป็น ณ ที่ทำการกลุ่มประมงเรือเล็กตากวน-อ่าวประดู่ นอกจากนี้ ยังเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น ยืนยันน้ำและโฟมจากการดับเพลิงไม่รั่วไหลและปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีเขื่อนกั้น (Bund) ความสูง 4 เมตร รองรับ ซึ่งออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มสร้างโรงงาน โดยน้ำและโฟมดังกล่าวจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

สำหรับผู้ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร 085-650-4049