December 20, 2025

“สกาย กรุ๊ป” เผยผลประกอบการ Q1/2567 กวาดรายได้ 1,379 ล้านบาท โตแรง 68% กำไรสุทธิ 117 ล้านบาท รับสัญญาณบวกอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคึกคักยอดผู้โดยสารเข้า-ออกประเทศทะลัก ดันรายได้จากโครงการเกี่ยวกับสนามบินพุ่งหนุนธุรกิจ Aviation Tech และ Airport Services เติบโตต่อเนื่อง โชว์แบ็คล็อกแกร่ง 22,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าจัดทัพโครงสร้างในการทำธุรกิจให้มีความชัดเจนเพื่อเสริมฐานการเติบโตสร้างความแข็งแกร่งในอนาคต

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 (ม.ค.- มี.ค. 67)  บริษัทสามารถทำรายได้ 1,379 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 117 ล้านบาท เติบโตขึ้น 68% และ 40% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยการเติบโตที่ต่อเนื่องนั้นมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ยอดผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยในไตรมาสแรก 2567 มียอดผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 22.84% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 2566 ส่งผลให้รายได้จากโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน อาทิ ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS) และโครงการการให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (Advance Passenger Processing System: APPS) มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทมีการรับรู้รายได้จากบริษัทในเครืออย่าง บริษัท เมทเธียร์ จำกัด และบริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทอื่นที่มีศักยภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นายสิทธิเดช กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 นอกจากการพัฒนาและสร้างสรรค์เทคโนโลยีด้าน Aviation Tech อย่างต่อเนื่องในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินแล้ว สกาย กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าจัดทัพโครงสร้างธุรกิจในเครือ เพื่อรองรับการขยายการเติบโตของแต่ละธุรกิจให้มีความชัดเจน โดยมีบริษัท เมทเธียร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ (Smart Facility Management) เจาะกลุ่มโครงการขนาดกลางถึงขนาดใหญ่รวมถึงผู้ให้บริการรายอื่นที่ต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงยกระดับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและการทำความสะอาดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และบริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) ดูแลงานประมูลไอทีโซลูชันภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยได้เข้ายื่นไฟลิ่งขาย IPO 140 ล้านหุ้น คาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จในปีนี้

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 บริษัทได้เข้าทำสัญญาใหม่และมีงานที่อยู่ระหว่างรอส่งมอบตามสัญญาในอนาคต (Backlog) อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ให้กับสกาย กรุ๊ปในอีกอย่างน้อย 6-7 ปี

“สกาย กรุ๊ป เรามองหาโอกาสใหม่ในการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่องทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ อาทิ เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ แพลตฟอร์มดิจิทัล ไปจนถึงการขยายสู่ธุรกิจเทคโนโลยีด้านต่างๆ ในอนาคตเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่าในภาพรวมบริษัทจะยังคงเติบโตได้อย่างมั่นคง” นายสิทธิเดช กล่าว

 

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และ ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพิ่มเติมแนบท้าย (Addendum) เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงินเพื่อพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ระหว่าง EXIM BANK กับ สกพอ. เพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนใน EEC ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจชีวภาพหมุนเวียน และภาคบริการ รวมถึงการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การส่งออก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน สอดรับกับเป้าหมายของ EXIM BANK ที่มุ่งสู่บทบาท Green Development Bank สนับสนุนธุรกิจไทยสู่เวทีโลกด้วยการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ณ สกพอ. เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567

ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และ สกพอ. ในครั้งนี้เป็นการสานพลังจุดแข็งของทั้ง 2 หน่วยงาน ในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาธุรกิจการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของ EXIM BANK และ สกพอ. ต่อยอดความร่วมมือจากเดิม EXIM BANK ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการในเขตพื้นที่ EEC ไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการค้าการลงทุนให้เกิด Supply Chain การส่งออกที่มีความยั่งยืน ต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับชุมชน สังคม ประเทศ และโลกโดยรวม

กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ (AIA-IC) ซึ่งบริหารจัดการโดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar Thailand  ประเภทกองทุน Mid/Long Term Bond ทั้งในส่วนของผลตอบแทนโดยรวม (Performance Overall) และ ผลตอบแทน 3 ปี (3-Y Performance) แสดงให้เห็นถึงความสามารถของทีมผู้จัดการกองทุน บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ สามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ โดยสำหรับกองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ที่ออกโดยภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และ/หรือ ภาคเอกชน ทั้งใน และ/หรือต่างประเทศ ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารที่อยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade)  โดยกองทุนจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทตราสารหนี้รวมกันทุกขณะไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV 

ทั้งนี้ สำหรับกองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ (AIA-IC) เป็นหนึ่งในกองทุนที่ผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ ให้ความนิยมและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ ได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้ามีสุขภาพชีวิตและการเงินที่มั่นคง  


คำเตือน:

  • ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุน และข้อมูลอื่นๆ ในเว็บไซต์ aiaim.co.th อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
  • การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงและผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่างๆ หรือขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ก่อนการตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ฤดูฝนใกล้เข้ามาแล้ว โตชิบาแนะนำเครื่องซัก-อบผ้าฝาหน้า ผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องผ้าไม่แห้งและกลิ่นอับชื้น ด้วย TWD-T25BZU115MWT(MG) (ซัก 10.5 กก. อบ 7 กก.) เชื่อมต่อการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน TSmartLife สั่งงานได้ทุกที่ทุกเวลา ให้ผ้าสะอาดล้ำลึกด้วยเทคโนโลยีเฉพาะโตชิบา Great Waves 2.0 คลื่นพลังน้ำ 5 รูปแบบ ผสานเทคโนโลยี Ultra Fine Bubble พลังฟองระดับนาโน ช่วยขจัดสิ่งสกปรกขนาดเล็กและยับยั้งแบคทีเรีย ด้วย Great Steam พร้อมป้องกันแบคทีเรียระหว่างสวมใส่ด้วย Ag+ เพิ่มกลิ่นหอมยาวนานขึ้น ด้วยโปรแกรม Aroma+  นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมทำความสะอาดถังซักเป็นประจำ ช่วยขจัดสิ่งสกปรกและสารตกค้างบนถังซักทั้งด้านในและด้านนอก TWD-T25BZU115MWT(MG) มาพร้อมตัวถังซักกว้าง 535 มม. และช่องใส่ผ้ากว้าง 365 มม. ทำให้ใส่ผ้าได้สะดวกกว่าเดิม มั่นใจสินค้ามาตรฐานญี่ปุ่น รับประกันสินค้า 2 ปี และรับประกัน มอเตอร์นานถึง 10 ปี สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/ToshibaLifestyleThailand, http://www.toshiba-lifestyle.com/th หรือ โทร.02-511-7999

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินการปิดช่องทางออกสำหรับรถบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด และรถผิดระเบียบบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางนา ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ห้ามรถทุกชนิดใช้ทางออก) ในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า เฉพาะวันทำการระหว่างระยะเวลา 06.00 – 09.00 น. เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดและช่วยลดอุบัติเหตุบริเวณหน้าด่าน ฯ

สืบเนื่องจากปัจจุบัน ในชั่วโมงเร่งด่วนเช้าวันจันทร์-ศุกร์ บริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางนา ทางพิเศษเฉลิมมหานครประสบปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะช่วงเวลาระหว่าง 06.00 - 09.00 น. จะมีปริมาณผู้ใช้บริการทางพิเศษจำนวนถึง 10,862 คัน จึงทำให้เกิดปัญหาการตัดกระแสจราจร ระหว่างรถที่ต้องการขึ้นทางพิเศษ กับรถที่มาจากถนนบางนา-ตราด แต่ไม่ต้องการจะขึ้นใช้ทางพิเศษ หากแต่ต้องการใช้ทางออกสำหรับรถบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด และรถผิดระเบียบ เป็นเส้นทางเดินทางไปยังซอยสรรพาวุธ 2  ซอยพูลสิน ซอยสุขุมวิท 64 และซอยสุขุมวิท 68 ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 2,572 คัน ดังนั้น กทพ. จึงได้เริ่มปิดช่องทางเบี่ยงสุดท้ายก่อนเข้าด่าน ฯ บางนา มาตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 เพื่อลดการตัดกระแสจราจรรวมถึงช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุหน้าด่านฯ

ที่ผ่านมาการทดลองปิดช่องทางออกหน้าด่าน ฯ บางนา กทพ. ได้มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้ามาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 ด้วยการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เตือนล่วงหน้าก่อนถึงบริเวณทางออก การแจกแผ่นปลิวประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการ การขึ้นป้ายปรับเปลี่ยนข้อความ VMS รวมถึงการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อมวลชนต่าง ๆ 

ดังนั้น จึงขอความร่วมมือผู้ใช้ทางที่เดินทางมาจากถนนบางนา-ตราด (ขาเข้า) ที่ต้องการเดินทางไปถนนสรรพาวุธ ซอยพูลสิน และซอยสุขุมวิท 68 ในช่วงเวลาดังกล่าว โปรดหลีกเลี่ยงการใช้ทางออก โดยสามารถใช้ทางออกแยกบางนา และเลี้ยวซ้ายตรงไปบนถนนสรรพาวุธแทนได้

กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาจราจรและ ลดอุบัติเหตุบริเวณหน้าด่าน ฯ บางนา

เนรมิตพื้นที่เป็น Digital Playground ส่งมอบประสบการณ์ “ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน”

บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี จับมือพันธมิตรคู่ค้าผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มชั้นนำ 26 แบรนด์ เดินหน้าสานต่อแคมเปญต้อนรับ “วันดื่มนมโลก” หรือ “World Milk Day” จัดงาน World Milk Day วันดื่มนมโลก @ Big C ปีที่ 9” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บิ๊กซีสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี” ยกทัพนมพร้อมดื่มสนับสนุนให้ลูกค้า ได้ดื่มนมที่ดีมีคุณภาพ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง พร้อมทั้งร่วมกันส่งต่อนมให้แก่ชุมชนเด็กไทยเพื่อเสริมสร้างการเติบโตและมีพัฒนาการที่ครบถ้วนสมวัย พร้อมจัดโปรโมชันส่วนลดสูงสุด 20% โดยวางเป้ากระตุ้นยอดขาย 250 ล้านบาท เติบโต 25% ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 2 บิ๊กซี สาขาสะพานควาย

คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บิ๊กซีจัดงาน World Milk Day วันดื่มนมโลก @ Big C” มาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้เป็นปีที่ 9 เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนมของคนไทยให้หันมาดื่มนมมากขึ้น ซึ่งนมอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกาย บิ๊กซี จึงได้ผนึกกำลังกับกลุ่มพันธมิตรผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มแบรนด์ชั้นนำ 26 แบรนด์ ประกอบด้วย โฟร์โมสต์, หนองโพ, อีสฟิลด์, ไฮคิว, เอนฟาโกร, เอส-26, แลคตาซอย, ไวตามิ้ลค์, ดัชมิลล์, ไอวี่, แมกโนเลีย, แอนลีน, โอวัลติน, ไมโล, บลูไดมอนด์, ซันคิสท์, กู๊ดเมท, อัลมอนด์โคกะ, เวลเวท, โซกู๊ด, โอ๊ตไซด์, คิคโคแมน, เมจิ, ออลซีซั่น, เอ็มมิลค์ และแดรี่โฮม มาจัดโปรโมชันพิเศษลดสูงสุด 20% เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกซื้อนมคุณภาพดีในราคาที่คุ้มค่า นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความยั่งยืนในอาชีพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรไทยด้วย บิ๊กซีหวังว่ากิจกรรมนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มการบริโภคนมของคนไทยทุกวัยอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยจะต้องเพิ่มให้ได้ตามเป้าหมายคือ 25 ลิตร/คน/ปี และกิจกรรมครั้งนี้ บิ๊กซี ยังได้ร่วมกับ พันธมิตรผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มชั้นนำ เชิญชวนลูกค้ามอบนมให้กับ โรงเรียน 143 แห่ง และสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท เพื่อส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับเด็กๆ ในชุมชนด้วยการส่งต่อนมคุณภาพให้เข้าถึงคนทุกกลุ่มอีกด้วย”

ด้าน นายแพทย์ศักดา อัลภาชน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “จากสถิติการดื่มนมของคนไทยที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกกว่า 6 เท่า ในโอกาสวันดื่มนมโลกนี้จึงอยากให้ทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชนได้ร่วมผนึกกำลังสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ประชาชนได้เข้าใจในวงกว้างถึงประโยชน์ของการดื่มนมที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย เพื่อรณรงค์ให้คนไทยหันมาดื่มนมกันมากยิ่งขึ้น ซึ่ง “นม” นับเป็นแหล่งสารอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน ซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกาย และนมมีแคลเซียมสูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุก่อน 25 ปี ในวัยนี้กระดูกจะสามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ หลังจากนั้นจะค่อยๆ เสื่อมลง เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ดังนั้นหากคนไทยหันมาให้ความสนใจในการดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย จะสามารถช่วยให้มีสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังถือเป็นการช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย ให้มีความมั่นคงด้านอาชีพการเลี้ยงโคนม ส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วยเช่นกัน”

พบโปรโมชัน กับงาน World Milk Day วันดื่มนมโลก @ Big C” ได้แก่

Big C Hypermarket, Big C Market และ Big C Food place ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2567 ถึงวันที่ 5 มิ.ย. 2567

  • ซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีชนิดใดขนาดใดก็ได้ ครบ 400 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 40 บาท หรือ เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีชนิดใดขนาดใดก็ได้ ครบ 800 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 90 บาท
  • ซื้อผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ที่ร่วมรายการครบ 159 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 15 บาท

สำหรับ Big C Mini ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2567 ถึงวันที่ 5 มิ.ย. 2567

  • ซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีชนิดใดขนาดใดก็ได้ ครบ 150 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 15 บาท
  • ซื้อผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ที่ร่วมรายการครบ 79 บาทขึ้นไป รับส่วนลด 9 บาท

“บิ๊กซี” ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับเด็กไทย และมอบโอกาสในการเติบโตและมีพัฒนาการที่ครบถ้วนสมวัย โดยทุกๆ การซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีชนิดใดขนาดใดก็ได้ ครบ 1 ลัง เท่ากับการร่วมบริจาคนม 1 กล่อง ให้กับเด็กๆ โดยตั้งเป้าบริจาคสูงสุด 150,000 กล่อง มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท เพื่อมอบให้แก่ โรงเรียน 143 แห่ง และสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท นอกจากนี้ ยังสามารถร่วมบิ๊กพอยต์ โดยบริจาคทุกๆ 100 พอยต์ มีมูลค่าเท่ากับ 20 บาท เพื่อสมทบเป็นทุนการศึกษา มอบให้กับ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท

ติดตามกิจกรรมดีๆ จากบิ๊กซี หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bigc.co.th หรือ Facebook Page : Big C  บิ๊กซีคลิก https://www.facebook.com/BigCBigService/  หรือโทร. 1756

เจาะกลุ่มนักสะสม-สปอร์ต ส่ง Tsuyosa ไอคอนิกซีรีส์ใหม่ เจาะกลุ่มนิวเจนต่อเนื่อง

เรียนรู้ด้านการตลาดออนไลน์ โฆษณาดิจิทัล บริหารจัดการธุรกิจแบบมืออาชีพ เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทย

X

Right Click

No right click