December 20, 2025

จับมือ ซันเรย์ มิวสิค เปิดแคมเปญ “เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit” รับซัมเมอร์ เดินหน้าบุกตลาดด้วย “Music Collaboration”

เอสซีจี เผยมุมมองการเปลี่ยนผ่านสู่สังคม Net Zero ควบคู่สร้างการเติบโตให้เอเชียอย่างยั่งยืน ต้องใช้จุดแข็งของประเทศผสานพลังของเทคโนโลยี แก้โจทย์พลังงานสะอาดและพัฒนานวัตกรรมกรีน ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia

การสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควบคู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนบนสังคม Net Zero นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้แบ่งปันมุมมองในประเด็นดังกล่าว ร่วมกับผู้นำองค์กรระดับโลกบนเวทีเสวนา หัวข้อ “Achieving Net Zero: Matching Ambition with Action” ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ณ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชันโฮเทล กรุงเทพฯ

นายธรรมศักดิ์ กล่าวบนเวทีเสวนาว่า “เอสซีจีเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ใช้พลังงานมาก ถ้าเอสซีจีจะไปถึงเป้าหมาย Net Zero 2050 ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต อย่างธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน กำลังเดินหน้าปูนคาร์บอนต่ำด้วยนวัตกรรมวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานใหม่ พร้อมส่วนผสมพิเศษที่เอสซีจีพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ทำให้ปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชันแรก สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 10 ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก อีกร้อยละ 5 และจะพัฒนารุ่นต่อ ๆ ไป ให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อย ๆ”

ในแง่ของความท้าทายนายธรรมศักดิ์มองถึงเรื่องการเข้าถึงพลังงานสะอาด “การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสู่คาร์บอนต่ำให้ได้ไว ต้องมองหาพลังงานสะอาดที่ราคาจับต้องได้ เข้าถึงง่าย ซึ่งแต่ละพื้นที่มีสิ่งที่ตอบโจทย์แตกต่างกัน”

กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ขยายความถึงแนวทางต่อว่า “เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด สิ่งสำคัญคือ การนำเทคโนโลยีมาผสานกับจุดแข็งของแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาค เช่น ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม สามารถนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนพืชผลเกษตรเหลือใช้ อย่างใบอ้อย ฟางข้าว ซังข้าวโพดให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทดแทนพลังงานฟอสซิล ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะที่ควบคุมต้นทุนได้ดี เอสซีจีจึงเร่งเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอย่างเต็มที่”

“นอกจากนั้น ผลิตผลเกษตรยังสามารถนำมาพัฒนานวัตกรรมกรีน อย่างพลาสติกชีวภาพ ซึ่งตลาดโลกต้องการมาก ทิศทางนี้จะช่วยให้เราเดินหน้าธุรกิจ เศรษฐกิจ ควบคู่กับสังคม Net Zero ได้เร็วยิ่งขึ้น องค์กรจึงควรลงทุนและสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีกับทุกภาคส่วน”

นายธรรมศักดิ์ ทิ้งท้ายถึงความมุ่งมั่นของเอสซีจี “เราพร้อมร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนในเอเชียและทั่วโลก เพื่อสร้างสังคม Net Zero ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมกรีน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวคิด ‘Passion for Inclusive Green Growth’ ของเอสซีจี”

3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact เวทีขับเคลื่อนความยั่งยืนระดับเอเชีย ภายใต้แนวคิด ‘Achieving climate targets, faster’ จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมองเชิงลึก และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ใช้ได้จริง เพื่อสร้างความร่วมมือแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและการส่งต่อเทคโนโลยีโดยประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ โดยมีผู้นำทางธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ และ NGOs ทั่วเอเชียเข้าร่วมกว่า 800 รายภายในงาน และจากช่องทางออนไลน์อีกกว่า 2,000 ราย

วีเอ็นยู กรุ๊ป ร่วมกับเครือข่าย VIV Worldwide แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเปิดตัวงานใหม่ล่าสุดอย่าง “Horti Agri Next Asia” (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) หรือเรียกสั้นๆ ว่า HAN Asia 2025 (ฮาน เอเชีย) ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของภูมิภาคเอเชีย เป็นงานแสดงสินค้าที่มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรพืชไร่พืนสวนสำหรับอนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีกำหนดการจัดงาน ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจะจัดควบคู่ไปกับงาน VIV Asia (วิฟ เอเชีย) และงาน Meat Pro Asia (มีท โปร เอเชีย) 2025 เพื่อผสานความแข็งแกร่งให้กับตลาดเกษตรควบคู่ไปกับตลาดปศุสัตว์อย่างเต็มรูปแบบ และเป็นมหกรรมงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาคที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตามอง

Horti Agri Next Asia งานเกษตรใหม่ของเอเชีย

“วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในการจัดงานแสดงสินค้าในภาคธุรกิจการเกษตร ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวงาน Horti Asia 2012 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 และตามมาด้วยงาน Agri Asia 2015 ในปี พ.ศ. 2558 และเราก็ดำเนินการจัดงานเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน” คุณอิกอร์ เพาก้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างเวทีเจรจาการค้าที่ดีที่สุดให้กับอุตสาหกรรม ด้วยการขยายขอบเขตเชิงกลยุทธ์เพื่อสอดรับไปกับแนวโน้มของภาคธุรกิจที่มีการหลอมรวมกันระหว่างธุรกิจเกษตรและปศุสัตว์อย่างลงตัว นำมาสู่การเปิดตัวงานใหม่ล่าสุดอย่าง Horti Agri Next Asia (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “HAN Asia” (ฮาน เอเชีย) ในปี 2025 นี้ ซึ่งจะจัดควบคู่ไปกับงาน VIV Asia (วิฟ เอเชีย) และงาน Meat Pro Asia (มีท โปร เอเชีย) อย่างเต็มรูปแบบบนพื้นที่การจัดงานมากกว่า 75,000 ตารางเมตรของ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกและปลูกเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงอาหาร รวมทั้งภาคเกษตรและปศุสัตว์อย่างลงตัว”

Dr. Gijs Theunissen DVM อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) – สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ความท้าทายในปัจจุบัน คือ การผลิตอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคนด้วยวิธีการผลิตที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม การผสมผสานวิธีการผลิตแบบเก่า (การทำฟาร์มแบบธรรมชาติ) เข้ากับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ (AI, โดรน) มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจสอบความเป็นไปได้ซึ่งได้ประโยชน์เทียบเท่ากันทุกฝ่าย งานแสดงสินค้าอย่าง Horti Agri Next (HAN Asia) เปิดโอกาสให้เราได้สร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียนรู้และรับข้อมูลเชิงลึก รวมถึงแรงบันดาลใจใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับความร่วมมือและความสำเร็จในอนาคต”

“การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ แต่เป็นการยกระดับขีดความสามารถให้แก่เกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศอย่างยั่งยืนด้วย” รศ.ดร. เกียรติศักดิ์ แสงประดิษฐ์, ที่ปรึกษาธุรกิจเกษตรภัณฑ์ และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้จัดการหน่วย บ่มเพาะวิสาหกิจ – มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าว “ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเชื่อมโยงงานทั้ง 2 งานไว้ในวาระเดียวกัน นับเป็นการสร้างโอกาสที่ดีให้กับลูกค้า/ผู้ลงทุน ที่ดำเนินธุรกิจครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ / ตั้งแต่การเพาะปลูกพืช จนถึงกระบวนการแปรรูปได้มาอัพเดทเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจได้ครบ จบที่เดียว อีกทั้งเป็นโอกาสในการศึกษา ทิศทางการขยายธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า จากด้านปศุสัตว์อย่างเดียว สู่ด้านการเกษตร หรือจากเดิมทำการเกษตรอย่างเดียว เข้ามาใช้ในด้านปศุสัตว์  เป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่เป็น Eco System ของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารอย่างสมบูรณ์”

การเปลี่ยนผ่านของเกษตรยุคใหม่

“ปัจจุบันเกษตรกรจึงมีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การใช้โดรนช่วยให้ปุ๋ยและสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้อย่างรวดเร็ว การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบุโรคและตรวจจับศัตรูพืช การใช้โรงเรือนอัจฉริยะตรวจสอบและปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม การใช้เครื่องจักรกลเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น เพื่อให้กระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตมีความแม่นยำมากขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และตอบสนองความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีไม่เพียงแต่ช่วยด้านการผลิตเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งห่วงโซ่อุปทานการเกษตร ตลอดจนผู้บริโภค  นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ดร. เมธินี ศรีวัฒนกุล, เลขาธิการ – สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย กล่าว

Shijo Joseph Group Head - Strategy & Transformation บจก. อีสท์ เวสท์ ซีด กล่าวว่า “เราอยู่ในธุรกิจความยั่งยืนที่มุ่งเน้นการวิจัย การผลิตเมล็ดพันธุ์ผักที่หลากหลาย และมีคุณภาพสำหรับเกษตรกรรายย่อย บริการด้านพืชไร่เป็นส่วนสำคัญของแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนของเราในการปรับปรุงความเป็นอยู่ของเกษตรกรโดยมุ่งเน้นที่การเสริมศักยภาพให้กับสตรีและเกษตรกรรุ่นใหม่”

ดร. ดาเรศร์ กิตติโยภาส, นายกสมาคม – สมาคมวิศวกรรมเกษตรแห่งประเทศไทย กล่าว “การทำการเกษตรในยุคปัจจุบันนับว่ามีความสะดวกสบายกว่ายุคเก่ามาก เกษตรกรรุ่นใหม่มีเครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าและยากลำบาก เช่น มี GPS ช่วยควบคุมการขับเคลื่อน มีเครื่องจักรอัตโนมัติที่ทำงานได้อย่างสะดวก มีระบบการให้น้ำที่สามารถควบคุมความต้องการน้ำของพืชได้ในระยะไกล มีระบบช่วยในการตัดสินใจให้สามารถลดความเสี่ยงจากความล้มเหลวเนื่องจากคาดการณ์ฟ้าฝนผิดพลาด มีระบบช่วยส่งสัญญาณความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและแก้ปัญหาได้ทันท่วงที จึงนับว่าการทำการเกษตรยุคนี้น่าสนุกกว่ายุคเดิมและมีโอกาสของความเสี่ยงจากการผิดพลาดน้อยกว่ามาก”

มาร่วมต่อยอดธุรกิจเกษตรอย่างไร้ขีดจำกัดเพื่อเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจที่มากกว่าที่เคยไปกับงาน Horti Agri Next Asia (ฮอร์ติ อะกริ เน็กซ์ เอเชีย) กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ควบคู่ไปกับงาน VIV Asia และ Meat Pro Asia 2025 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hortiagrinext.com หรือโทร. 02-116611

มุ่งยกระดับความรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล

พร้อมดึง มาร์ช – จุฑาวุฒิ นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ สร้างมิติใหม่ของวัยมันส์

จัดแกรนด์โอเพ่นนิ่ง เปิดจองชั้นใหม่ 16-17 มี.ค.นี้ เริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท

เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคม องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก World Animal Protection เปิดผลรายงาน ‘เกิดมาเพื่อสร้างกำไร’: ความจริงของการทำฟาร์มสัตว์ป่าทั่วโลก (Bred for profit: The truth about global wildlife farming) พบว่ามีสัตว์ป่าที่ถูกแสวงหาประโยชน์ทางการค้าประมาณ 5.5 พันล้านตัว มูลค่าธุรกิจรวมหลายหมื่นล้านบาทต่อปี สัตว์ป่าเหล่านี้จะถูกกักขัง เพาะพันธุ์ เพิ่มจำนวนในลักษณะของการทำธุรกิจ ‘ฟาร์มสัตว์ป่า’ จากนั้นก็จะผ่านการทารุณกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ การฝึกด้วยวิธีที่โหดร้ายทารุณเพื่อให้ช้างเชื่องพอที่จะมาเป็นสัตว์เลี้ยง หรือใช้เพื่อสร้างความบันเทิงหรือแสดงโชว์ช้างตามสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังรวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ที่ถูกเลี้ยงเพื่อนำชิ้นส่วนอวัยวะมาผลิตเป็นเครื่องประดับ วัตถุดิบสำหรับอาหารในจานที่ดูหรูหราพิสดาร สินค้าแฟชั่น หรือยาแผนโบราณ

จากข้อมูลพบว่า สัตว์ป่าในฟาร์มจำนวนมากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหาร โรคภัยไข้เจ็บ แสดงพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด ได้รับบาดเจ็บ และมีบาดแผลที่ติดเชื้อ อีกทั้งเมื่อสัตว์ต้องอยู่รวมกันในสถานที่ที่คับแคบ ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรค หรือนำไปสู่การอุบัติโรคระบาดระหว่างคนกับสัตว์ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากวิกฤตการณ์โควิด-19

นิค สจ๊วร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เผยว่า สัตว์ป่าได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็น ‘สินค้า’ หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในสายการผลิตที่โหดร้ายในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะถูกเพาะพันธุ์ให้เป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อใช้ในกิจกรรมล่าสัตว์ เพื่อสร้างความบันเทิงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นำมาเป็นยาแผนโบราณ หรือสินค้าแฟชั่น การทำฟาร์มสัตว์ป่าที่โหดร้ายจะต้องยุติลงตั้งแต่ตอนนี้ เราสนับสนุนให้สัตว์ป่ามีชีวิตในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ กิจกรรมเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่าควรมุ่งไปที่การลดความต้องการใช้สัตว์ป่า ยุติการใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสัตว์ป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ ในทางหนึ่งจะปกป้องเราทุกคนจากความเสี่ยงของโรคติดต่อจากสัตว์ป่าสู่คน

ผลวิจัยพบหลักฐานน้อยมากที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างที่ว่า การทำฟาร์มสัตว์ป่าเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และเป็นการอนุรักษ์จำนวนประชากรสัตว์ในป่า ในทางตรงกันข้าม กลับเพิ่มความเสี่ยงของการลักลอบจับสัตว์ป่าจากถิ่นที่อยู่ธรรมชาติ เพื่อนำมาผสมพันธุ์ ส่งขายไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ และยังเป็นที่น่าตกใจว่า สัตว์ป่าบางสายพันธุ์กลับมีจำนวนประชากรในฟาร์มหรือกรงเลี้ยงมากกว่าที่อยู่ในป่าด้วยซ้ำ

วิกฤตจากฟาร์มสัตว์ป่าที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่

  • การทำฟาร์มหมีในประเทศจีน – พบว่ามีการกักขังหมี 20,000 ตัว เพื่อเจาะเอาน้ำดีหมีในฟาร์มหลายสิบแห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมน้ำดีหมีในจีนซึ่งมีมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นยาแผนโบราณ
  • การทำฟาร์มสิงโตและเสือในแอฟริกาใต้ - พบว่ามีการเพาะพันธุ์สัตว์ตระกูลเสือสายพันธุ์ต่างๆ ประมาณ 8,000 ตัว ในฟาร์มที่เป็นที่รู้จัก 366 แห่ง และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รวมถึงเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับนักท่องเที่ยว ในกิจกรรมล่าสัตว์ และการส่งออกชิ้นส่วนของอวัยวะไปยังหลายประเทศในเอเชียเพื่อเป็นยาแผนโบราณ ซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 1.5 พันล้านบาท
  • สำหรับการเพาะพันธุ์ช้างในประเทศไทยถูกจัดให้เป็นการทำฟาร์มสัตว์อีกรูปแบบหนึ่งเพราะประเทศไทยมีจำนวนประชากรช้างถูกผสมพันธุ์เชิงพาณิชย์ในสภาพที่ถูกกักขัง มีการซื้อขายส่งต่อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำช้างไปใช้งาน สร้างกำไรซึ่งขั้นตอนการผสมพันธุ์ช้างในประเทศไทยโดยทั่วไปเริ่มจากเจ้าของช้างจ่ายเงินเพื่อเช่าช้างพ่อพันธุ์มาผสมพันธุ์กับช้างตัวเมีย และหลังจากที่ช้างคลอดลูก 1-2 ปี ลูกช้างที่ได้จะถูกนำไปขาย หลังจากนั้นช้างตัวเมียก็จะถูกผสมพันธุ์อีกครั้ง เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณการตัวเลขช้างในธุรกิจท่องเที่ยวของไทยเพิ่มขึ้น 134% จากปี 2553-2563 กล่าวคือ มีลูกช้างเกิดขึ้นมาเข้ารับการฝึกด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวกว่า 1,100 ตัว ในช่วงระยะเวลาเพียง 10 ปี

หทัย ลิ้มประยูรยงค์ ผู้จัดการโครงการสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวจะจ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมใกล้ชิดกับช้าง เช่น เล่นกับช้าง ป้อนอาหารช้าง ขี่ช้าง อาบน้ำช้าง หรือดูช้างแสดงพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ ที่ผ่านมาธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยวช้างไม่ว่าจะจดทะเบียนในลักษณะของบริษัท หรือมูลนิธิ ต่างก็ใช้ประโยชน์จากช้าง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ดูแลสถานที่และสวัสดิภาพช้างอย่างจริงจัง จากงานศึกษายังพบว่าสภาพแวดล้อมดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการเป็นจุดแพร่ระบาดของโรคจากคนสู่สัตว์ ทั้งวัณโรค หรือแม้แต่โรคฉี่หนู เนื่องจากมีการตรวจพบเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวในบริเวณพื้นที่ปางช้าง  ดังนั้น นอกจากรัฐจะต้องมีการสร้างกลไกเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของสถานที่เหล่านั้นแล้ว ยังต้องมีแนวทางควบคุมการผสมพันธุ์ช้าง เพื่อหยุดการต่อยอดความทุกข์ทรมานของช้างแบบไม่รู้จบ”

ช้างเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนมากเรายังมีเวลาตราบเท่าชีวิตที่เหลืออยู่ของช้าง ที่จะเริ่มวางแผนเตรียมการเพื่อหยุดวงจรของการนำช้างมาใช้ประโยชน์ โดยมองหาช่องทางประกอบอาชีพทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการ รวมทั้งแรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยวช้างให้มองไปข้างหน้าถึงอนาคตที่คนจะเลิกกักขังและใช้ประโยชน์จากช้างเชิงพาณิชย์

“เนื่องในวันช้างไทย ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนหยุดสนับสนุนกิจกรรมที่ทำร้ายช้าง และผ่านกฎหมายที่ปกป้องช้างอย่างแท้จริง ร่วมแสดงพลังลงชื่อสนับสนุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของช้างไทยได้ที่ https://noelephantshow.worldanimalprotection.or.th/

รายงาน ‘เกิดมาเพื่อสร้างกำไร’ ความจริงของการทำฟาร์ม์สัตว์ป่าทั่วโลก (Bred for profit: The truth about global wildlife farming) (https://www.worldanimalprotection.or.th/bred-for-profit)

เริ่มแล้วสำหรับ ฟันโอ แบรนด์คุกกี้อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค กับแคมเปญปังแจกอลังการ ประเดิมมอบรางวัลใหญ่ คุกกี้ทองคำหนัก 20 บาท รางวัลแรกให้กับผู้โชคดีในแคมเปญ “ฟันโอ รวยเรียกพี่ คุกกี้ทองคำ ลุ้นทองกว่า 3 ล้านบาท” นอกจากจะได้เฮดังๆ แสดงความยินดีกับผู้โชคดีแล้ว ยังฟินแบบสุดๆ กับพรีเซนเตอร์หนุ่มซุปตาร์เดินดิน “เบิ้ล ปทุมราช” มาร่วมสร้างเซอร์ไพรส์กระทบไหล่แฟนๆ ทั่วทั้งตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่

งานนี้ เบิ้ล ปทุมราช นำทัพขนคาราวานสร้างความม่วนซื่น ให้แก่พ่อค้าแม่ค้า ประชาชนที่เดินจับจ่ายใช้สอยในตลาดยิ่งเจริญ และตั้งขบวนแห่เศรษฐีรวยทองคนใหม่ มอบรางวัลใหญ่คุกกี้ทองคำหนัก 20 บาท มูลค่ากว่า 7 แสนบาท ซึ่งผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลใหญ่ท่านแรกคือ คุณสุภีย์ สุวรรณพรม โดยมี คุณพรทิพย์ ลีลาเลิศวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเป็นเกียรติในการมอบรางวัลในครั้งนี้ พร้อมการแสดงสุดพิเศษจาก หนุ่มเบิ้ล ปทุมราช จัดเต็มทั้งโชว์ร้องออกสเต็ปแดนซ์เพลง “ฟันโอ 6 ชิ้นคุ้มนะ” ซึ่งเพลงนี้ทางเบิ้ลได้มีส่วนร่วมในการคิดท่าเต้นโชว์ฟันโอ 6 ชิ้นเองด้วย ทำให้สีสันบรรยากาศมีความสนุกตลอดขบวนแห่ โดยมีผู้ร่วมแสดงความยินดีม่วนจอยอย่างเนืองแน่นเต็มพื้นที่ สำหรับใครที่ไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ สามารถฝึกร้องเพลงตามเนื้อร้องกันได้

โอ้ว!!! “ฟันโอ” 6 ชิ้นคุ้มนะ 6 ชิ้นคุ้มนะ 6 ชิ้นคุ้มนะ

ฟันโอ ถูกใจปะล่ะ อร่อยฟินนะจ๊ะ! 6 ชิ้นคุ้มนะ

เบิ้ล ปทุมราช  เปิดเผยความรู้สึกที่ได้มีส่วนร่วมในการแจกรางวัลครั้งนี้ว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้น และยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมมอบรางวัลให้กับผู้โชคดีคนแรกที่ได้รับรางวัลคุกกี้ทองคำหนัก 20 บาท ไปครอบครอง สำหรับพ่อแม่พี่น้องคนไหน อยากเป็นผู้โชคดีคนต่อไป สามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม “ฟันโอ รวยเรียกพี่ คุกกี้ทองคำ ลุ้นทองกว่า 3 ล้านบาท”

อยากรวยเรียกพี่แบบนี้ อย่ารอช้า ยังมีคุกกี้ทองคำใหญ่อีก 2 รางวัล และสร้อยคอทองคำแจกทุกสัปดาห์ รวมมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท อยากเป็นเศรษฐีทองร่วมชิงรางวัลได้ ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 21 เมษายน 2567 สามารถอ่านรายละเอียดกติกาและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3TMx0OY และติดตามการประกาศรายชื่อผู้โชคดีได้ทาง Facebook: "Fun-O ฟันโอ" https://www.facebook.com/FunOFanClub ยิ่งส่งมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก เศรษฐีคนใหม่อาจเป็นคุณ

สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ (Creative AI Division) บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเวที CAI Retail Hackathon ครั้งที่ 1 ภายใต้โจทย์ Action Detection  หรือ การตรวจจับพฤติกรรม โดยใช้ Computer Vision  เทคโนโลยี AI ซึ่งสามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโมเดลสำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ภายในร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้บริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท พร้อมเหรียญรางวัลและเกียรติบัตรให้แก่เยาวชนผู้ชนะเลิศและผู้เข้าร่วมกิจกรรม

โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนายวิวัฒน์ พงษ์ฤทธิ์ศักดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในกลุ่มซีพี ออลล์ เป็นประธานเปิดการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมให้แนวทางในการสร้างสรรค์ และพัฒนา AI ย้ำเจตนารมณ์การแข่งขันพัฒนา AI ไม่ได้มาแทนที่คน แต่มาช่วยให้คนสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น  และการเติบโตของธุรกิจต้องผสมผสานเทคโนโลยีอย่างพอดี

ซึ่งบรรยากาศการแข่งขันครั้งนี้ น้อง ๆ เยาวชนได้แสดงศักยภาพกันอย่างเต็มความสามารถ นำเสนอไอเดียและนวัตกรรมสุดล้ำ และได้รับข้อเสนอแนะจากกรรมการตัดสินผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อใช้ในการต่อยอดโมเดลที่ได้พัฒนาขึ้นให้เหมาะสมกับการนำไปใช้จริง

โดยรางวัลชนะเลิศ CAI Retail Hackathon : Action Detection ในปีนี้ได้แก่เยาวชน ทีมพาวเว่อเรนเจอร์

  1. นางสาว พิมพ์มาดา จิระวัธน์
  2. นาย ภัคพล อาจบุราย
  3. นาย ธนดล ดรุณศรี
  4. นาย ณัฐวีร์ แนวกำพล
  5. นางสาว นภัสสร กังสุกุล

สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ ขอเชิญผู้ปกครองและเยาวชนทุกท่านเข้าร่วมติดตาม Facebook Fanpage @CAICamp เพื่อติดตามข่าวสารกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพนวัตกรรมกรรุ่นเยาว์ได้ตลอดทั้งปี กับ Creative AI Camp  และ Creative AI Club เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดี ๆ สร้างสรรค์สังคม โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในครั้งต่อไป

X

Right Click

No right click