December 24, 2025

‘บีเอ็นเอสพี สมาร์ท เทค’ (BNSP Smart Tech) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ‘บ้านปู เน็กซ์’ ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ ‘เอสพี กรุ๊ป’ ผู้ให้บริการระบบสาธารณูปโภคด้านพลังงานชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก ประกาศความสำเร็จคว้าสิทธิ์ออกแบบ พัฒนา และบริหารจัดการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลาง (District Cooling System) ที่ครบครันด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ในโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โซนซี หากติดตั้งเสร็จคาดว่าระบบนี้จะช่วยประหยัดค่าพลังงานในโครงการฯ ได้กว่า 40 ล้านบาทต่อปี หรือลดลงกว่า 20% และลดการปล่อย CO2 ได้ปีละกว่า 3,000 ตัน เมื่อครบระยะเวลาสัญญา 20 ปี จะสามารถลดการปล่อย CO2 เทียบเท่ารถยนต์สันดาปประมาณ 20,000 คัน*

เมื่อติดตั้งระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางเสร็จในปี 2566 จะสามารถทำความเย็นสูงสุดถึง 14,000 ตันความเย็น (RT) สร้างความเย็นหมุนเวียนให้กับโครงการฯ โซนซี ซึ่งมีพื้นที่รวม 660,000 ตารางเมตร โดยบีเอ็นเอสพี สมาร์ท เทค จะนำความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของบ้านปู เน็กซ์ และเอสพี กรุ๊ป มาใช้ในการออกแบบ ดำเนินงาน และดูแลรักษาระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางเพื่อให้สามารถผลิตและกระจายน้ำเย็นไปยังพื้นที่ทุกส่วนภายในโครงการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดพลังงาน และมั่นใจในบริการได้ทุกขั้นตอน พร้อมนำเสนอบริการโซลูชันพลังงานสะอาดแบบครบวงจร โดยนอกจากการติดตั้งระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางแล้ว ยังมีแผนติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการในพื้นที่โครงการอีกด้วย

ที่สำคัญ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนให้กับโครงการฯ โซนซี บ้านปู เน็กซ์ และเอสพี กรุ๊ป จะจัดหาโซลูชันพลังงานสะอาดอื่น ๆ มาพัฒนาโครงการรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการต่อขยายระบบทำน้ำเย็น รถบัสไฟฟ้า การติดตั้งระบบโซลาร์ และระบบกักเก็บพลังงาน

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “เมกะโปรเจกต์ระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางภายในโครงการฯ โซนซี ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของบ้านปู เน็กซ์ บริษัทลูกของบ้านปู ที่จะก้าวเป็น Net-Zero Energy Provider ให้กับทุกองค์กรทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมพัฒนาให้เป็น Smart Enterprise เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือครั้งนี้ยังตอกย้ำความเชี่ยวชาญในธุรกิจจัดการพลังงานของบ้านปู เน็กซ์ ที่มอบบริการแบบครบวงจร ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมอนิเตอร์ได้เรียลไทม์”

นายสแตนลีย์ หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสพี กรุ๊ป กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของเอสพี กรุ๊ป ในการรุกตลาดระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางในไทย ทั้งยังสะท้อนความมุ่งมั่นในการนำโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนมาเร่งขับเคลื่อนเป้าหมายด้าน Net-Zero ให้กับประเทศไทย โดยเอสพี กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการด้านระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางรายใหญ่ที่สุดของเอเชีย มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการบริหารต้นทุนและประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วยบริการระบบผลิตความเย็นแบบครบวงจร (Cooling as a Service) เราพร้อมที่จะขยายเครือข่ายและขับเคลื่อนการใช้ระบบความเย็นที่ยั่งยืนในภูมิภาค ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย อีกทั้งยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยโซลูชันอันล้ำสมัยและการผนึกพันธมิตรที่แข็งแกร่ง”

ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ DAD Asset Development กล่าวว่า “DAD มีความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีระดับเอเชียแปซิฟิกของ บีเอ็นเอสพี สมาร์ท เทค (BNSP Smart Tech) ด้านการบริหารจัดการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลาง (District Cooling System: DCS) ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคให้กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี และเป็นการเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาเมือง DAD จึงมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ขับเคลื่อนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 อย่างยั่งยืน”

บ้านปู เน็กซ์ และเอสพี กรุ๊ป มีประสบการณ์นำเสนอโซลูชันทำความเย็นที่ล้ำสมัยและยั่งยืน โดยบ้านปู เน็กซ์ ได้พัฒนาและติดตั้งระบบทำน้ำเย็นให้กับหลายโครงการชั้นนำในประเทศไทย อาทิ จามจุรีสแควร์, แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ และอาคารล็อกซเล่ย์ ขณะที่เอสพี กรุ๊ป เป็นผู้ให้บริการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโครงการในพอร์ตโฟลิโอทั่วเอเชียรวมทั้งสิ้นกว่า 228,000 ตันความเย็น (RT) ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายระบบการทำความเย็นจากส่วนกลางขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในพื้นที่ระดับแลนด์มาร์คอย่างมารีน่า เบย์ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะสามารถให้บริการทำความเย็นให้กับ 32 อาคารในย่านดังกล่าวภายในปี พ.ศ. 2570 นอกจากนี้ เอสพี กรุ๊ป ยังดูแลระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางให้กับโครงการฟื้นฟูเมืองเชิงบูรณาการให้กับย่านแทมปิเนส (Tampines) ติดตั้งระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับภาคอุตสาหกรรมในสิงคโปร์ให้กับบริษัทเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (STMicroelectronics) รวมไปถึงอีกหลายโครงการในประเทศจีน อาทิ กลุ่มอาคารราฟเฟิลส์ ซิตี้ ฉงชิ่ง, ศูนย์ออกแบบผังเมืองนานาชาติ เฉิงตู และโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้กว่างโจว

ทีมงานผู้บริหารธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณนที เหลืองอรุณโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ เข้าร่วมกิจกรรม Joint European Networking จัดโดยสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (EABC) ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายชัชชาติ สิทธิพันธ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นประธานในงาน เพื่อแนะนำและประชาสัมพันธ์โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ซึ่งเป็นโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในทำเลยุทธศาสตร์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการดำเนินธุรกิจโรงงาน คลังสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง และอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งปัจจุบันโครงการได้พัฒนาพื้นที่เสร็จแล้ว 100% รวมทั้งยังมีบริการ One stop Service ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงงาน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการให้บริการแบบครบวงจร ทั้งนี้ผู้สนใจโครงการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-050-5555-895, 094-555-9546

อลิอันซ์ อยุธยา โดย จันทนา ชินวรรโณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต รับรางวัลสุดยอดองค์กรที่คนอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดในเอเชียประจำปี 2566  HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 อลิอันซ์ อยุธยา ได้รับรางวัลนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตอกย้ำการเป็นองค์กรที่มีการบริหารทรัพยากรบุคคลที่เป็นเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีเยี่ยม มีการปรับปรุงออฟฟิศให้โมเดิร์น สวยงาม การรับความคิดเห็นข้อเสนอแนะของพนักงาน การสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะความสามารถที่ออกแบบได้เอง  และการมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

นอกจากนี้ ยังสามารถคว้ารางวัล HR Asia Diversity, Equity & Inclusion Awards 2023 มาครองได้อีกรางวัล แสดงให้เห็นว่า อลิอันซ์ อยุธยา เป็นองค์กรที่เคารพความหลากหลาย และการยอมรับซึ่งกันและกันภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และสร้างผลลัพธ์การทำงานที่ดียิ่งขึ้น

งานนี้จัดโดย HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาค โดยการตัดสินพิจารณาจากการสำรวจความคิดเห็นของตัวแทนพนักงาน ที่ส่งผลต่อความผูกพันขององค์กรในหลายแง่มุม ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ไอคอนสยาม

เอสซีจีได้คะแนนสูงสุดจากดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ หรือ DJSI ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ “สินเชื่อสำหรับธุรกิจ” ในหลักสูตรเครือข่ายผู้บริหารองค์กร จัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อสำหรับธุรกิจ และแนวทางการบริหารจัดการสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ โดย EXIM BANK พร้อมเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุน รวมทั้งเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยส่งออกได้ (Go Global) และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว (Go Green) เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในเวทีการค้าโลกยุคใหม่ ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ กรุงเทพฯ สีลม เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566

นวัตกรรม แรงบันดาลใจ การอุทิศตน และความบันเทิง เป็นเพียงปัจจัยบางส่วนเท่านั้นที่ทำให้คนในเมืองร่วมมือร่วมใจกันเพื่อขับเคลื่อนความสนใจและการดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 17 ประการของสหประชาชาติ ในการแสดงความสามัคคีอย่างยอดเยี่ยมนี้ บรรดาผู้นำองค์กร, องค์การนอกภาครัฐ, เด็กนักเรียนในท้องถิ่น, กลุ่มคนพิเศษ, อินฟลูเอนเซอร์ และนักเรียนนักศึกษาจากทั่วมาเลเซียมากกว่า 22,000 คน ทั้งหมดมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยซันเวย์ ในเมืองซันเวย์ซิตี้ เพื่อเข้าร่วมงานสัปดาห์เทศกาลและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน SDGs 17 ประการของสหประชาชาติ โดยงานดังกล่าวมีชื่อว่า Campus With A Conscience - Local Action for Global Goals 2023 (วิทยาเขตพร้อมด้วยจิตสำนึก - การดำเนินการในท้องถิ่นเพื่อเป้าหมายระดับโลกปี 2566) จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา

เทศกาลสุดพิเศษเจ้าแรกในเอเชียแห่งนี้ได้กลับมาจัดขึ้นอีกครั้งเป็นปีที่สอง พร้อมด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การเสวนา การแสดง เวิร์กช็อปแบบอินเทอร์แอคทีฟ และการจัดแสดงต่าง ๆ เกี่ยวกับความยั่งยืนจากองค์กรและแบรนด์ผู้บุกเบิก เช่น Blueshark, Uniqlo, The Body Shop และ Aquaria นอกจากนี้ ยังมีขบวนแห่งธงประจำวัน การสาธิตบนเวที ตลาดแห่งความยั่งยืน และพื้นที่ทำความรู้จักกับเหล่าผู้นำ, ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง, นักเคลื่อนไหว, ภาคเอกชน ตลอดจนการแสดงดนตรีสด

เทศกาลเริ่มต้นขึ้นด้วยแฟชั่นโชว์อบอุ่นหัวใจที่คำนึงถึงความหลากหลาย ประกอบด้วยกลุ่มผู้สูงอายุจากชุมชนซูบังจายาและกลุ่มเด็กพิเศษที่ได้สร้างความประทับใจและตราตรึงใจแก่บรรดาผู้ชมในมหาวิทยาลัย

สำหรับบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมงานประกอบด้วยผู้ทรงเกียรติจากนานาประเทศ รวมถึง ฯพณฯ ดร. Peter Blomeyer เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำมาเลเซีย, ฯพณฯ Ailsa Terry ข้าหลวงใหญ่สหราชอาณาจักรประจำมาเลเซีย ผู้เข้าร่วมกิจกรรมการศึกษาครั้งนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรก, ฯพณฯ มร. Sami Leino เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำมาเลเซีย และมิส Karima El Korri ผู้ประสานงานองค์การสหประชาชาติประจำมาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไนดารุสซาลาม

ในโอกาสสำคัญครั้งนี้ มกุฎราชกุมารแห่งรัฐสลังงอร์ Tengku Amir Shah ibni Sultan Sharafuddin Idris Shah เสด็จฯ เยือนการจัดงาน ณ วิทยาเขตมหาวิทยาลัยซันเวย์ และทรงแสดงความยินดีกับทุก ๆ คน สำหรับความสำเร็จของงานในครั้งนี้

ภายในงานได้จัดจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ให้บุคลากรและนักเรียนนักศึกษาสามารถทิ้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องการแล้วได้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ มีการเก็บขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้มากกว่า 35,000 กิโลกรัม

บรรดาเยาวชนจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศได้รับเชิญให้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรม "Treasure Our Planet Trail" (เส้นทางสมบัติล้ำค่าแห่งโลกของเรา) เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เกี่ยวกับ SDG 17 ประการขณะเดินไปตามเส้นทางทั่ววิทยาเขต โดยแต่ละย่างก้าวของการเดินทางสู่การตื่นรู้นี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่า คนรุ่นใหม่จะยังคงสานต่อเป้าหมายเหล่านี้และดำเนินการต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้แล้ว สมาชิกของทีมสเปเชียลโอลิมปิกของมาเลเซียยังได้มีส่วนร่วมในขบวนแห่ธงและเชิญธงบนเวทีอีกด้วย นำโดยผู้อำนวยการประจำชาติ คุณ Jacque Kok Lee Min

ในทุก ๆ วันตลอดงานจะมีการสาธิตบนเวที รวมถึงกิจกรรมสาธิตการอัปไซเคิลอย่างสร้างสรรค์ หรือการเปลี่ยนของเก่าให้เป็นของใหม่และมีประโยชน์ โดยมีคุณ Maslisa Zainuddin จากมหาวิทยาลัยซันเวย์ เป็นผู้นำจัดกิจกรรม นอกจากนี้แล้ว ภายในวิทยาเขตยังเป็นเจ้าภาพจัดแสดงรถพยาบาลแห่งความยั่งยืนคันแรกของมาเลเซียอีกด้วย

หนึ่งในสิ่งพิเศษสุดภายในงานปีนี้คือกำแพงอธิษฐานที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ โดยบนกำแพงมีคำอธิษฐานที่เขียนโดยเด็ก ๆ 280 คนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าท้องถิ่นและสถานที่พักพิงผู้ลี้ภัย และเพื่อให้ความปรารถนาเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ชุมชนซันเวย์จึงได้เชิญชวนให้บริจาคผ่านตู้จำหน่ายสินค้าเพื่อการกุศลเครื่องแรกในมาเลเซีย งานดังกล่าวไม่ทำให้ผิดหวังด้วยคำอธิษฐานทั้ง 280 ข้อได้กลายเป็นจริงแล้ว โดยตู้จำหน่ายสินค้านี้ได้รับสต็อกสินค้าและได้รับการสนับสนุนอย่างมีน้ำใจจาก Advanced Food Technologies (AFT)

งานสัปดาห์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และถือเป็นการประกาศศักดาครั้งยิ่งใหญ่ของมาเลเซียในด้านความยั่งยืนระดับโลก โดยศาสตราจารย์ ดาโต๊ะ Elizabeth Lee ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Sunway Education Group กล่าวว่า "กิจกรรมครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือระยะยาวและการนำผู้คนมารวมตัวกัน เป็นเวทีที่เน้นย้ำถึงบทบาทที่เราทุกคนมีในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบัน โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่สุขภาพของโลก และการทำให้ชุมชนซันเวย์ของเราเรียนรู้ในเรื่องแนวทางปฏิบัติในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน และความจำเป็นในการแก้ปัญหาเพื่อจัดการกับความท้าทายสำคัญ ๆ ระดับโลก"

ด้านศาสตราจารย์ Sibrandes Poppema อธิการบดีมหาวิทยาลัยซันเวย์ กล่าวเสริมว่า "ด้วยกิจกรรมนี้ เราสามารถจัดหาช่องทางให้กับองค์กร ชุมชน และองค์กรการกุศลต่าง ๆ ได้เผยแพร่ความตระหนักรู้และระดมทุน รวมถึงให้แบรนด์ระดับโลกได้แสดงโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน"

นอกจากนี้ ตัวแทนของแบรนด์ต่าง ๆ ที่ร่วมจัดแสดงภายในงานยังได้แบ่งปันช่วงเวลาน่าตื่นเต้นในงาน ดังนี้

"เป้าหมายหลักของโครงการ Re.UNIQLO Studio ในสัปดาห์นี้คือเวิร์กช็อป Repair and Remake (ซ่อมแซมและทำใหม่) เราตั้งเป้าให้ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษาและชุมชนในวงกว้างเกี่ยวกับความสำคัญของการยืดอายุการใช้งานเสื้อผ้า UNIQLO ของพวกเขา" Uniqlo

"หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือการสื่อสารกับนักศึกษาวิทยาเขตซันเวย์ การแบ่งปันประสบการณ์ของเรากับพวกเขา และการให้พวกเขาได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Lost Food Project" The Lost Food Project

"เรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ และเราหวังว่าจะมีส่วนร่วมมากขึ้นเพื่อความยั่งยืนผ่านกิจกรรมเช่นนี้ในอนาคต" Stand Pie Me

"เราได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเราขอขอบคุณซันเวย์ที่ให้โอกาสเราได้แบ่งปันคุกกี้ของเรากับชุมชน" GOLD

งาน Local Action for Global Goals 2023 เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่โลกจะต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายระดับโลกภายในปี 2573 ผ่านกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ และกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจสำหรับทุกเพศทุกวัย กิจกรรมนี้ได้นำผู้นำระดับโลก, ผู้กำหนดนโยบาย, ผู้มีอำนาจตัดสินใจ, ผู้นำธุรกิจ, หุ้นส่วน, นักวิชาการ, นักวิทยาศาสตร์, ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย, นักเคลื่อนไหว และผู้สนับสนุนจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อทำความรู้จัก ศึกษาแนวทางแก้ไข ค้นหาเส้นทางข้างหน้า และทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายระดับโลกในช่วงเวลาสำคัญ

มาเลเซียภาคภูมิใจในเทศกาลซันเวย์สุดพิเศษนี้และการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในการบรรลุเป้าหมายระดับโลก

ลิงก์วิดีโอ: https://fb.watch/na1jKvGRnA/?mibextid=cr9u03 

ศูนย์วิจัย SCB EIC ชี้อสังหาฯ ปี66 ฟื้นตัวอย่างช้าๆ เหตุภาวะเศรษฐกิจ ต้นทุน ฉุดราคาสูงเกินกำลังซื้อของลูกค้า

อนาคตทางการศึกษาที่ดีคือสิ่งที่เด็กและเยาวชนควรได้รับ แต่ถ้าระหว่างทางของการศึกษานั้นเด็กๆได้เรียนรู้พื้นฐานอาชีพและปูพื้นฐานการใช้ชีวิตด้วยแล้ว การศึกษานั้นย่อมก่อประโยชน์สูงสุดกับเยาวชนยิ่งขึ้น นี่คือนโยบายที่ผู้บริหารของโรงเรียนประชาพัฒนาบ้านแฮด ต.บ้านแฮด อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น คิดและดำเนินอย่างเป็นรูปธรรม

หนึ่งความมุ่งมั่นในการนำเอาพื้นฐานอาชีพมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ให้กับเด็กๆบ้านแฮดทุกคน คือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” จากความร่วมมือของโรงเรียน มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และหอการค้าญี่ปุ่น (JCC) ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถึง 11 ปี

“จุดเริ่มต้นของความร่วมมือในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ เกิดจากการที่ท่านนายอำเภอมาแนะนำ เพราะเคยทำโครงการนี้มาก่อนจะย้ายมาประจำที่นี่ เมื่อเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี จึงอยากให้ขยายมาในอำเภอบ้านแฮดด้วย เด็กๆจะได้มีไข่ไก่โปรตีนชั้นเยี่ยมมาทำเป็นอาหารกลางวัน ได้รับประทานไข่ที่สดใหม่ นักเรียนได้เรียนรู้การเลี้ยงไก่ จากนั้นมูลนิธิฯ เข้ามาสำรวจภาวะทุพโภชนาการของเด็กที่โรงเรียน ซึ่งตอนนั้นพบภาวะดังกล่าวแม้จะไม่มาก แต่ถ้าได้รับการสนับสนุนให้ได้บริโภคอาหารโปรตีนมากขึ้น ย่อมแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อดูข้อมูลโรงเรียน ดูจำนวนนักเรียน และผ่านการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา จึงตกลงร่วมกันว่าจะทำโครงการฯนี้ในปี 2555 เริ่มเลี้ยงไก่ไข่ 150 ตัว สำหรับนักเรียน อนุบาล 1 – ประถม 6 ทั้ง 130 คน จากนั้นผู้อำนวยการและครูก็ได้เข้าร่วมอบรมการเลี้ยง และมีสัตวบาลซีพีเอฟเข้าดูแลมาตลอด” นางสาวกุลชญา สงวนศิลป์ หรือครูแหม่ม ครูผู้ดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ กล่าว

ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเจ้าหน้าที่ของบริษัทมาช่วยแนะนำ โดยมีครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ และนักการภารโรง นายหาญชัย ปาณา และ นายสงวนศักดิ์ แผงตัน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก ดูแลร่วมกับเด็กนักเรียนมาตลอด ในช่วงที่อากาศร้อนอาจมีปัญหาบ้าง ทางมูลนิธิฯและซีพีเอฟแนะนำให้ติดสปริงเกอร์บนหลังคา ติดพัดลมระบายอากาศในโรงเรือน และมีการจัดการของเสียในโรงเรือนด้วยการใช้ผ้าใบและปูแกลบไว้ใต้กรงเลี้ยง ที่ช่วยลดทั้งกลิ่นและทำให้จัดการง่ายขึ้น มูลไก่และแกลบยังเป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับแปลงผักที่นักเรียนแต่ละชั้นเรียนรับผิดชอบ ในกิจกรรมเสริมการเรียน ตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลา(เรียน)รู้ อีกด้วย

สำหรับกิจกรรมในแต่ละวัน ครูแหม่มบอกว่า จะมีเด็กนักเรียนชั้นประถม 4-5-6 จัดเวรเข้ามาดูแลไก่ โดยมีพี่ประถม 6 เป็นหลัก 1-2 คน และน้องๆ ประถม 4-5 มาช่วยอีก 2 คน โดยนักเรียนทั้ง 3 ชั้นปี ทุกคนจะได้มีโอกาสหมุนเวียนเข้ามารับผิดชอบ เพื่อให้พวกเขาได้ฝึกความรับผิดชอบ เรียนรู้การมีส่วนร่วมทำงานเป็นทีม และเป็นการปูพื้นฐานด้านเศรษฐกิจพอเพียง น้องๆยังได้เรียนรู้เรื่องโภชนาการควบคู่ไปด้วย ที่สำคัญยังได้รู้ว่าอาหารที่รับประทานทุกวันมีแหล่งที่มาอย่างไร มีความปลอดภัยในอาหารจากฝีมือการเลี้ยงของพวกเขา นอกจากนี้ ยังได้ฝึกเรื่องบัญชีและการออม จากการทำบันทึกจำนวนไข่ไก่และการขายไข่ไก่เข้าโครงการอาหารกลางวัน ซึ่งปัจจุบันมีเงินทุนหมุนเวียนในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯถึง 2 แสนกว่าบาทแล้ว

ด.ช.ธนวัฒน์ วงศ์ษา หรือน้องโน๊ต นักเรียนชั้นป.6 ที่รับผิดชอบโครงการฯ บอกว่า ชอบมากที่ได้มาเลี้ยงไก่ไข่ เพราะทำให้ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกการทำงานกันเป็นทีม คุณครูจะแบ่งเวรให้นักเรียนมาทำกิจกรรม ทั้งการเก็บไข่ไก่ นับและบันทึกจำนวนไข่ คิดราคาไข่ไก่ แล้วลงบัญชีที่คุณครูทำไว้ให้ และรวบรวมไข่ไก่ส่งเข้าโรงครัวทุกวัน ไข่ส่วนที่เหลือจะนำไปขายในชุมชน คุณยายของผมเคยมาซื้อไข่ไก่ที่โรงเรียนด้วย เพราะสด ใหม่ สะอาด ราคาถูกกว่าในตลาด บางครั้งต้องสั่งจองล่วงหน้าเพราะขายดีมาก ผมและเพื่อนๆชอบมากและตื่นเต้นทุกครั้งที่เก็บไข่ได้เยอะๆ เราภูมิใจทุกครั้งที่มีคุณครูจากโรงเรียนอื่นมาดูงานการเลี้ยงไก่ของโรงเรียนเรา มาดูวิธีการให้น้ำ ให้อาหาร และการดูแลไก่ โรงเรียนของเราได้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับคนอื่นๆ    

ส่วน ด.ญ.พลอยพิชชา เสโส หรืออองฟอง นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มีส่วนร่วมกับโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ พอถึงเวลาชั่วโมงสุดท้ายก่อนเลิกเรียน ก็จะมาเก็บไข่กับเพื่อนๆและน้องๆห้องอื่น ทุกคนตื่นเต้นมากเพราะลุ้นว่าวันนี้จะเก็บไข่ได้กี่ฟอง น้องอองฟองทำหน้าที่ลงบัญชี ทำให้ได้ฝึกเรื่องการคิดคำนวณ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอชอบมาก และยังได้สอนน้องๆลงบัญชีให้ถูกต้องด้วย สำคัญที่สุดคือ ทุกคนได้รับประทานไข่ไก่เป็นอาหารกลางวัน แต่ละสัปดาห์ที่โรงครัวจะมีเมนูไข่ประมาณ 3 วัน เมนูที่ทุกคนชอบที่สุดคือ ไข่พะโล้ ทุกครั้งที่มีเมนูไข่ก็จะภูมิใจว่าเป็นไข่ที่มาจากไก่ของเราเอง ดูแลเอง เก็บเอง ขอขอบคุณ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟมากๆ ที่สนับสนุนโครงการดีๆแบบนี้ ทำให้เราได้บริโภคไข่ไก่ที่สด สะอาด ปลอดภัย อยากให้มีโครงการดีๆแบบนี้ตลอดไป

“ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ที่โรงเรียนประชาพัฒนาบ้านแฮด ได้ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เราบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจสร้างความมั่นคงอาหารในโรงเรียน โดยมีโรงเรือนเลี้ยงไก่เป็นแหล่งฝึกสอนทักษะอาชีพ ให้นักเรียนมีประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง ที่จะกลายเป็นทักษะติดตัวพวกเขาไปใช้ในอนาคต และยังได้ภูมิใจว่าเขาคือคนสร้างคลังอาหารที่มั่นคงให้กับทั้งเพื่อนนักเรียนและชุมชน ที่ได้รับประทานไข่สดใหม่ทุกวัน โรงเรียนได้กลายเป็นแหล่งอาหารชุมชน และเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับโรงเรียนหรือชุมชนอื่นๆเข้ามาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง” ครูแหม่มกล่าว

ความสำเร็จของโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โรงเรียนประชาพัฒนาบ้านแฮด สะท้อนความมุ่งมั่นของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ซีพีเอฟ และองค์กรพันธมิตร ที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในชนบทห่างไกลทั่วประเทศมาตลอด 35 ปี โครงการฯนี้ได้สร้างคลังอาหารในโรงเรียนไปแล้ว 959 โรงเรียน ทำให้เด็กและเยาวชนมากกว่า 188,000 คน เข้าถึงโปรตีนที่ดี ช่วยบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ และเป็นพื้นฐานอาชีพให้กับเด็กๆอย่างเป็นรูปธรรม

เพราะบ้านคือสถานที่หลักที่เราเลือกใช้ชีวิตอยู่ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องอยู่บ้านทั้งวัน บ้านคือพื้นที่แห่งความสบายใจ ความสุข และที่สำคัญคือ ต้องส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับชีวิต เพื่อให้ใช้ชีวิตทุกวันอย่างแข็งแรงทั้งกายใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การใส่ใจเรื่องบ้าน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ จึงเป็นเรื่องสำคัญและสะท้อนถึงการคำนึงถึงสุขภาพที่ดีด้วย เราจึงอยากชวนทุกคนกลับบ้านมาสำรวจพื้นที่กันแบบละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น ตั้งแต่เรื่องการเลือกวัสดุในบ้านเพื่อความปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างสุขลักษณะที่ดีของการอยู่อาศัยให้ดีสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อเพิ่มสุข เพิ่มความสบายใจ ปลอดภัยกันทั้งครอบครัว

โดยเคล็ดลับนี้จาก 2 กูรู เคล็ดลับบ้านปลอดภัย โดยคุณวิทนีย์ ศรีพินิจ Living Experience Designer จาก SCG HOME Experience และเคล็ดลับสุขภาพดี โดย กภ.เสาวลักษณ์ สุทธินพสกุล นักกายภาพบำบัด จากโรงพยาบาลเอกชัย

01 เข้าใจผู้สูงวัย 3 ระดับ

สำหรับบ้านที่มีผู้สูงวัยเป็นบุคคลสำคัญของบ้าน ข้อสำคัญคือ การทำความเข้าใจกับสภาวะที่ผู้สูงวัยเป็นอยู่ เพื่อให้สามารถจัดการกับข้าวของหรือพื้นที่ภายในบ้านได้อย่างเหมาะสมกับกิจกรรมและสภาพร่างกาย  รวมทั้งปรับปรุงบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานของผู้สูงวัยแต่ละช่วงอายุ

ผู้สูงวัยกลุ่มสีเขียว คือกลุ่มที่สุขภาพแข็งแรง สามารถใช้ชีวิตทั้งภายในและภายนอกบ้านได้ตามปกติ แม้จะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่การเตรียมพร้อมพื้นที่ภายในบ้าน ก็เป็นการช่วยลดอุบัติเหตุหรืออันตรายที่ไม่คาดฝันได้

เริ่มจากการเดิน การมีพื้นเรียบในระนาบเดียวกันเป็นการอำนวยความสะดวกให้การเคลื่อนที่ทำได้คล่องตัวมากขึ้น ทั้งกับพื้นภายในบ้านที่ควรปรับให้ไม่มีพื้นที่ต่างระดับหรือธรณีประตูโดยไม่จำเป็น อาจใช้การปรับจากเดิมที่เป็นสเต็ปเปลี่ยนเป็นทางลาด เพื่ออนาคตในการใช้งานรถวีลแชร์ รวมทั้งพื้นห้องน้ำที่เลือกใช้ผิวสัมผัสหยาบขึ้น โดยเลือกได้จากข้อมูลกระเบื้องที่มีค่า R11 กำกับ ซึ่งเป็นพื้นผิวของค่ากันลื่นสูง ซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้งานภายในพื้นห้องน้ำผู้สูงอายุ รวมทั้งบริเวณภายนอกอาคารก็ได้เช่นกัน

อีกส่วนที่สำคัญคือการจัดสรรพื้นที่ ภายในควรมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว ที่ช่วยในเรื่องสุขภาพใจ รวมทั้งระบบการระบายอากาศและแสงสว่างที่เพียงพอ เพราะผู้สูงอายุมีความต้องการแสงสว่างมากเป็น 2-3 เท่าของคนทั่วไป ช่วยให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นเป็นไปด้วยดี ทำกิจกรรมได้อย่างสะดวกสบาย

ผู้สูงวัยกลุ่มสีเหลือง คือเริ่มมีการเสื่อมถอยของสุขภาพร่างกายบ้าง แต่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองอยู่ได้ ควรมีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพื่อช่วยในการพยุงตัวขณะเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมต่างๆ อย่างการติดตั้งราวจับภายในห้องน้ำ หรือบริเวณที่ต้องมีการลุกนั่งเป็นประจำ โดยเลือกให้มีขนาดเหมาะสมตามมาตรฐาน จับกระชับถนัดมือ

เรื่องสายตาและการมองเห็นก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ นอกจากแสงสว่างที่จะต้องให้มีปริมาณมากเพียงพออย่างข้อก่อนหน้าแล้ว สำหรับผู้สูงอายุกลุ่มสีเหลือง การใช้สีสันก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้การจำแนกการมองเห็นทำได้ชัดเจนขึ้น เลือกใช้สีที่ตัดกันหรือแตกต่างกันระหว่างพื้น-ผนัง หรือกับบัวเชิงผนัง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุก็เป็นดีเทลที่ควรใส่ใจ

ผู้สูงวัยกลุ่มสีส้ม คือผู้สูงวัยที่ต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษในบางกิจกรรม กลุ่มผู้สูงวัยที่ต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือต้องใช้อุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตอย่างรถวีลแชร์ การออกแบบพื้นที่จึงจำเป็นต้องคิดถึงการใช้งานรถวีลแชร์เป็นหลัก ทั้งความราบเรียบ พื้นลาดเอียง และแรงฝืดของพื้น

ที่สำคัญสำหรับผู้สูงวัยกลุ่มนี้คือเรื่องระยะ ทั้งระยะของความกว้างที่เพียงพอสำหรับเข้าออก ความสูงของเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ อย่างโถสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า เคาน์เตอร์ ปลั๊กไฟและสวิตช์ไฟ จำเป็นต้องจัดการให้มีระยะที่วีลแชร์ต้องเข้าถึงง่าย และผู้สูงวัยใช้งานสะดวก รวมทั้งระดับหน้าต่างที่ของล่างควรสูงขึ้นจากพื้น 50 เซนติเมตร เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถทอดสายตาออกจากรถวีลแชร์หรือจากระยะการนั่งได้ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่สามารถหยิบจับได้เองอย่างการเปิดปิดประตูหรือก๊อกน้ำ หากเป็นแบบก้านโยก ซึ่งอาจใช้อวัยวะอื่นอย่างแขนหรือไหล่ช่วยในการเอื้อมเปิด ก็จะยิ่งใช้งานได้ง่ายขึ้นอีก

02 ดีไซน์พื้นที่แบบคิดถึงทั้งผู้ใช้งานและผู้ดูแล

หลายเรื่องเป็นปัญหาคาดไม่ถึงที่อาจเกิดตามมาในอนาคตนอกเหนือจากการจัดการพื้นที่ภายในบ้านแล้ว อย่างเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์จากสิ่งปฏิกูล กลิ่นตกค้างจากการระบายอากาศที่ทำได้ไม่ดี หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องแผลกดทับซึ่งส่งผลในเรื่องกลิ่น นอกจากกับตัวผู้สูงอายุเองแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจถึงผู้ดูแลซึ่งต้องอยู่อาศัยร่วมกันตลอดเวลา

ทางที่ดีในการออกแบบพื้นที่จึงควรคำนึงถึงทั้งผู้อยู่อาศัยและผู้ดูแลให้สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้อย่างสบายใจ การออกแบบพื้นที่ใช้สอยจึงควรมีหน้าต่างที่สามารถระบายอากาศได้อย่างดี แต่หากเป็นพื้นที่จำกัดจริงๆ อาจใช้การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ​ หรืออุปกรณ์ช่วยในการระบายซึ่งปัจจุบันมีนวัตกรรมให้เลือกสรรได้ตามความต้องการที่แตกต่าง

นอกจากนี้แสงสว่างภายในห้องนอน ก็มีคสามสำคัญเช่นกัน เพราะต้องใช้ห้องนอนในเวลากลางคืน การออกแบบแสงสว่างจึงมีผลโดยตรงกับเรื่องการมองเห็น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไปพร้อมกับการถนอมสายตาไปในตัว โดยแสงสว่างในตอนกลางคืนควรเป็นการให้แสงสว่างโดยอ้อม หรือ Indirect Light ไม่ควรใช้แสงสว่างจ้าส่องเข้าตาโดยตรง โดยช่วงแสงที่เหมาะสมจะอยู่ที่ไฟเดย์ไลท์ แบบคูลไวท์ ความสว่างอยู่ที่ 5,000K

03 นวัตกรรมเพื่อการช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วย

นอกจากการจัดการพื้นที่แล้ว เฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์พิเศษสำหรับผู้สูงอายุก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเติมคุณภาพชีวิต อำนวยความสะดวกในการผู้ดูแล และการแก้ปัญหาสุขภาพประจำวันทำได้สะดวกขึ้น

ยกตัวอย่างผู้ป่วยแผลกดทับที่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่าการนอนทุก 2 ชั่วโมง หรือต้องมีอุปกรณ์ช่วยรองรับบริเวณปุ่มกระดูกที่โดนกดทับ ในปัจจุบันก็มีการออกแบบเตียงที่สามารถปรับระดับ ปรับท่าทางการนั่งและนอน หรือที่นอนลมซึ่งช่วยขยับร่างกายให้เคลื่อนไหวเพื่อป้องกันภาวะข้อติด ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์สวยงามที่ช่วยทั้งเรื่องความสบายตา สบายใจไม่ดูน่ากลัวเหมือนเตียงคนไข้ และสบายกายทั้งกับผู้สูงอายุและคนดูแล

หากตรวจสอบพื้นที่บริเวณบ้าน แล้วพบปัญหา จุดที่ต้องการแก้ไข หรือต้องการรับคำปรึกษาเพิ่มเติมทุกเรื่องบ้าน สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ SCG HOME Experience ในโครงการ Crystal Design Center เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญ ทีมช่าง พร้อมกับผู้ให้คำปรึกษาทุกงานเกี่ยวกับบ้าน มอบบริการแสนอุ่นใจทั้งสินค้าและบริการให้กับคนรักบ้านทุกคน หมดกังวลทุกเรื่องการทำบ้าน SCG HOME Experience  เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 น.-19.00 น. โทร. 02-101-9922 Line Official : @scghomeexperience หรือต้องการปรึกษาเรื่องสุขภาพ สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์กายภาพบำบัด Physical Therapy Center โรงพยาบาลเอกชัย โดยทีมนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเครื่องมือช่วยการดูแลที่ทันสมัย คลอบคลุมทุกการรักษา เพื่อให้คุณได้ใช้ร่างกายได้อย่างมั่นใจ บำบัดทุกอาการปวดเมื่อย ปวดเรื้อรัง จากการใช้อวัยวะหนัก ผิดท่า ออฟฟิศซินโดรมฯลฯ เสริมสร้าง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  ช่วยให้การเคลื่อนไหวคล่องตัว ฟื้นฟูร่างกายหลังการผ่าตัด หลังป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต โทร.034-417-999 ต่อ 424, 425 สายด่วน 1715

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.ต.ดร.วัฒนา มานนท์ คณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT: College of Aviation Development and Training ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บุคลากรทั้ง 2 อุตสาหกรรมขาดแคลนจำนวนมาก จากผลสำรวจของ IATA พบว่าปัจจุบันสายการบินทั่วโลกมีจำนวนผู้โดยสารกลับมาใช้บริการ จำนวน 4,500 ล้านคนต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด -19 ในปี 2562 ที่มีจำนวน 4,540 ล้านคน ส่วนรายได้ของภาคการบินฟื้นกลับมาประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทยมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิมีทั้งหมด 826 เที่ยวบินต่อวัน ขณะที่สนามบินดอนเมืองมี 481 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าให้คนเดินทางท่องเที่ยวไทยจำนวน 30 ล้านคนต่อปี ขณะนี้ผ่านไป 8 เดือนมีผู้โดยสารเดินทางมาไทยแล้วจำนวน 17 ล้านคน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.ต.ดร.วัฒนา กล่าวว่า จากสถิติดังกล่าว CADT DPU ในฐานะสถาบันการศึกษา ที่มุ่งมั่น สร้างมืออาชีพด้านธุรกิจการบิน ได้เตรียมหลักสูตรผลิตบุคลากรเพื่อรองรับตลาดแรงงานด้านการบิน ด้วยการจัดหลักสูตรพิเศษ 2 หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรที่ 1.สำหรับกลุ่มเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายรวมถึงนักศึกษาใหม่ เป็นหลักสูตรสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้กับเด็ก โดยการจัดค่ายการบินร่วมกับ เพจเด็กม.ปลาย เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบินทั้ง 9 กิจกรรมของการบินพลเรือน ที่สำคัญจะได้รู้ว่าตนเองเหมาะกับอาชีพอะไรสังกัดอยู่ส่วนไหน นอกจากนี้ ยังมีการเตรียม MOU (Memorandum of Understanding) กับสมาคมสโมสรลูกเสืออากาศ เพื่อดึงกลุ่มเด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่ใกล้สนามบินหรือกองบินทั่วประเทศ มาเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนด้านการบิน โดยเตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่กองบิน 46 จังหวัดพิษณุโลกในเร็วๆนี้

คณบดี CADT DPU กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรที่ 2 เป็นกลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ถึง ชั้นปีที่ 4 รวมถึงผู้ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วประมาณ 1-2 ปี ที่มีความฝันอยากก้าวเข้าสู่การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ทางสถาบันการบิน (DAA) จึงเตรียมหลักสูตรติดปีกให้เป็นนางฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยหลักสูตร Cabin Crew Born to be by DAA โดยรายละเอียดในหลักสูตรนั้น วันแรก Grooming day จะมีการเทรนด์การแต่งกายทำผม และเลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับโทนผิว วันที่ 2 Personality day เทรนด์เรื่องบุคลิกภาพ การใช้สีหน้า และน้ำเสียงในการสนทนา รวมถึงเทคนิคการทำ Resume และการตอบคำถามให้โดนใจกรรมการ วันที่ 3 IATA Airline Customer Service เป็นการ Up Skill เพิ่มโอกาสให้ได้งานด้วย IATA Certificate ส่วนวันสุดท้าย Exclusive Interview Day จะสอนเทคนิคสอบสัมภาษณ์แบบกลุ่ม แบบเดี่ยว ทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยจะเริ่มเรียนทุกวันเสาร์จำนวน 4 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม ถึง 11 พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 061-863-7991 E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. Line : @daa_dpu หรือคลิก Link https://lin.ee/hHrcpYa แบบฟอร์มลงทะเบียน https://forms.gle/R8ZF3ccMzu69UjWp9

“ถือเป็นครั้งแรกของ DAA ที่เปิดโอกาสให้คนที่มีความฝันอยากเป็นแอร์-สจ๊วต เข้ามาเทรนด์ก่อนสอบกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์จากสายการบินต่าง ๆ ทุกคนที่เข้ามาอบรมจะได้รับความรู้เชิงลึกและเทคนิคการสัมภาษณ์งานที่ตรงใจกรรมการมากที่สุด ที่สำคัญหลังจากผ่านการอบรมสามารถสมัครสอบเพื่อรับ Certificate จาก IATA ได้อีกด้วย และสามารถนำไปแนบการสมัครงานเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนพิเศษที่ไม่ควรพลาด

ผู้ที่ผ่านการอบรมจะมีความเป็นตัวเองอย่างสง่างาม มีความมั่นใจในการพิชิตใจกรรมการมากขึ้น ทั้งนี้หากผู้เข้าอบรมสามารถนำไปปฏิบัติได้ตามที่อบรม จะผ่านการสอบสัมภาษณ์ได้อย่างไม่ยากแน่นอน นอกจากนี้ทาง DAA ยังมีความพร้อมในการเปิดหลักสูตรพิเศษที่หลากหลาย หากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ บริษัทวิทยุการบิน พนักงานอำนวยการบิน เป็นต้น เปิดรับสมัครงานในตำแหน่งเฉพาะทาง เราพร้อมที่จะผลิตนักศึกษาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละหน่วยงานในอุตสาหกรรมการบิน” คณบดี CADT DPU กล่าวในตอนท้าย

X

Right Click

No right click