โดยได้ดำเนินการมาถึงวันสุดท้ายแล้ว เวทีแห่งนี้เป็นการเจรจา อภิปราย และแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ผู้นำทางความคิด และนักวิชาการต่างๆ ในประเด็นทางธุรกิจที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญ
ภายใต้แนวทาง "Embrace Engage Enable" บทสนทนาตลอดสองวันที่ผ่านมา ได้ครอบคลุมทั้งประเด็นด้านการขับเคลื่อนทางเศรษกิจ การค้า และการลงทุน ที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของชุมชนเอเชียแปซิฟิกของเรา เช่นเดียวกับวันนี้ ที่มีบทสนทนาอันทรงพลังจากทั้งผู้นำเอเปค,ผู้นำทางความคิด และซีอีโอชั้นนำร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองที่มีความหมายยิ่ง และจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในอนาคต
สำหรับข้อสรุปที่สำคัญของการประชุม APEC CEO Summit 2022 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 นี้ ได้มีประเด็นที่สำคัญ อันได้แก่
ประเด็นที่ 1: สันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือ คือกุญแจสู่ความเจริญรุ่งเรือง
- นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้เรียกร้องให้ยุติสงคราม และเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ กลับมาเคารพกฎระเบียบระหว่างประเทศ และสนับสนุนกลไกพหุภาคีเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพของโลก ตลอดจนเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ดำเนินการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม เพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมและความไร้เสถียรภาพ
- นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เน้นย้ำถึงพันธสัญญาของสหรัฐฯ ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความเป็นหุ้นส่วนอย่างทั่วถึงในภูมิภาค นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการไหลเวียนของเงินทุนอย่างเสรี และเรียกร้องให้เขตเศรษฐกิจต่างๆ สร้างความมั่นใจว่าการเติบโตจะเท่าเทียมกันทั่วทั้งสังคม
- นายกฤษณะ ศรีนิวาสัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชียและแปซิฟิก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่านโยบายปกป้องทางการค้าและปัญหาการแบ่งแยกของระบบการเงิน จะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจโลก
- ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าความร่วมมือกันจากใจและความเป็นหุ้นส่วนกัน คือปัจจัยที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่พอสำหรับการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในเชิงนโยบาย
ประเด็นที่ 2: การเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง
นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ Excecutive Director, APEC CEO Summit 2022 กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อและราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น อาจนำไปสู่ความไม่สงบในสังคม และสร้างความตึงเครียดทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนโยบายทางการเงินและงบประมาณการคลังมีความเข้มงวดขึ้น
- นายกฤษณะ ศรีนิวาสัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชียและแปซิฟิก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า เมื่อโลกเผชิญกับ “มรสุมที่สมบูรณ์แบบ” ของความขัดแย้งทางการเมือง อาหาร สุขภาพ รวมถึงวิกฤตพลังงาน ผู้กำหนดนโยบายต้องไปให้ไกลกว่าการแก้ปัญหาระยะสั้น และต้องรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- การผลักดันด้านนโยบาย ความร่วมมือข้ามพรมแดน และการส่งเสริมด้านนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยจัดการกับความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารและพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน
- เทคโนโลยีสามารถเป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ในการช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงตลาดและโอกาสใหม่ๆ ได้ แม้ว่าความรู้ด้านดิจิทัล มาตรฐานระหว่างประเทศ และความปลอดภัยทางไซเบอร์จะเป็นประเด็นที่น่ากังวล