กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจชั้นนำ ไทย-ญี่ปุ่น-อาเซียน อาทิ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (The Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) ประเทศญี่ปุ่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ Techo Startup Center และ Khmer Enterprise หน่วยงานภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของประเทศกัมพูชา จัดงาน Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair 2023 งานจับคู่เจรจาธุรกิจสตาร์ทอัพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น พร้อมไปกับส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น ด้วยการเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพดาวรุ่งมากกว่า 60 ราย จากเก้าประเทศ ได้แสดงศักยภาพต่อนักลงทุนมากกว่า 160 บริษัทชั้นนำจากหกประเทศ  เพื่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และต่อยอดการเติบโตให้ไปได้ไกลกว่าในระดับอาเซียน

ในโอกาสนี้ ฯพณฯ นายโอบะ ยูอิจิ อุปทูต สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีและกล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพถือเป็นหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุน ซึ่งอยู่ภายใต้กลยุทธ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น (GX Strategy) และการส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Model ของไทย และกุญแจสำคัญที่ช่วยให้งานครั้งนี้บรรลุผลสำเร็จคือ ความร่วมมือเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง (Co-creation) ซึ่งงานครั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นพร้อมให้การสนับสนุนร่วมกับรัฐบาลไทย และภาคเอกชนทั้งในประเทศไทยและอาเซียน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและร่วมส่งเสริมเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น พร้อมเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ในวาระครบรอบ 50 ปี และจะสานต่อการทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนไทยเพื่อต่อยอดความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนต่อไป 

โดยทางด้าน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยถึงความสำคัญของการจัดงานในครั้งนี้ว่าเปรียบเสมือนเวทีที่จะช่วยเติมเต็มและต่อยอดทางธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนสตาร์ทอัพ ตลอดจนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ และระหว่างภูมิภาค รวมถึงการส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Model เพื่อให้เกิดนวัตกรรมทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อสังคมชุมชน อันถือเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้อย่างทั่วถึง ทางด้านผู้บริหารระดับสูงจากเครือข่ายพันธมิตร

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้กล่าวว่า งานนี้เป็นโอกาสที่จะนำไปสู่ความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างญี่ปุ่นและอาเซียน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของดิจิทัลสตาร์ทอัพต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจว่า ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจสู่ตลาดระดับสากล ดึงดูดนักลงทุน และสร้างตำแหน่งงาน ทั้งยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนโดยเฉพาะมิติด้านสิ่งแวดล้อม และสังคม พร้อมช่วยกระตุ้นให้ประเทศเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ด้าน นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี ขอขอบคุณพาร์ทเนอร์ทุกท่านที่ให้การสนับสนุน และร่วมผลักดันให้เกิดกิจกรรมในวันนี้ขึ้น โดยเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการสร้างอีโคซิสเต็มให้สตาร์ทอัพด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน ความรู้ด้านเทคโนโลยี และข้อมูลธุรกิจ จนสามารถต่อยอดการคิดค้นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาของโลกในด้านต่าง ๆ รวมถึงมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และด้วยประสบการณ์ในการจัดงาน Business Matching อันเป็นหนึ่งในบริการที่โดดเด่นของกรุงศรีในการสร้างพื้นที่เชื่อมโยงทางธุรกิจ เราคาดว่าจะประสบความสำเร็จในการจับคู่ธุรกิจไม่ต่ำกว่า 360 คู่”

สำหรับงาน Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair 2023 นับเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพมากกว่า 60 บริษัทจากเก้าประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฟินแลนด์ ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจอย่าง เฮลท์เทค มาร์เก็ตเพลส ฟินเทค โลจิสติกส์ และคาร์บอนเครดิต เป็นต้น ได้มาพบปะเจรจาการค้า และนำเสนอแผนงานธุรกิจกับบรรดานักลงทุนมากกว่า 160 บริษัทชั้นนำจากหกประเทศในที่เดียว ซึ่งได้รวบรวมสตาร์ทอัพโดยมีสตาร์ทอัพดาวรุ่งอย่าง Zeroboard Inc. สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญด้านคลาวด์เทคโนโลยีเกี่ยวกับการคำนวณและการแสดงผลลัพธ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจและซัพพลายเชน DoctorTool สตาร์ทอัพธุรกิจกลุ่มเฮลท์เทคที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางไกล และการจัดจำหน่ายเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์จากประเทศอินโดนีเซีย และ Nham24 สตาร์ทอัพธุรกิจกลุ่มมาร์เก็ตเพลสซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ บริการส่งอาหารและเรียกแท็กซี่ อันดับหนึ่งในประเทศกัมพูชาให้ความสนใจเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

ภายในงานนอกจากจะมีกิจกรรมไฮไลต์ที่น่าสนใจอย่างการนำเสนอผลงานของสตาร์ทอัพ (Startup Pitching) ที่เหล่าสตาร์ทอัพจะได้นำเสนอแผนธุรกิจต่อหน้านักลงทุนเพื่อปูทางสู่การต่อยอดธุรกิจแล้ว ยังมีกิจกรรมการจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) และบูธจัดแสดงจากผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพกว่า 60 ราย โดย กรุงศรี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในกลุ่ม MUFG ที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่ครอบคลุมในประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในด้านการสนับสนุนและลงทุนในเทคโนโลยีนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ ซึ่งได้ใช้โอกาสนี้ในการช่วยผลักดันผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้ได้โชว์ศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์จากการริเริ่มธุรกิจที่ล้วนสอดรับกับเทรนด์ของโลกที่แปรเปลี่ยนไป รวมถึงการพบปะกลุ่มนักลงทุนที่มีความพร้อมที่จะช่วยผลักดันให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพได้เติบโตต่อไปโดยไม่จำกัดแค่ในตลาดอาเซียน ขณะเดียวกันก็ถือเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะการบริหารจัดการการเงิน แต่ยังรวมถึงความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จำเป็นสำหรับธุรกิจอีกด้วย

“การจัดงานในครั้งนี้ นับเป็นอีกวาระสำคัญที่กรุงศรีได้แสดงจุดยืนและคำมั่นสัญญาที่จะก้าวสู่การเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ทั้งยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจของกรุงศรีเกี่ยวกับการสร้างเครือข่ายธุรกิจและความร่วมมืออันแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-Linked Business) ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (ESG-Linked Business) และพร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล (Digital & Innovation) เพื่อประโยชน์ต่อลูกค้าทั้งในประเทศไทยและอาเซียน อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน” นายยามาโตะ กล่าวปิดท้าย

ตอกย้ำจุดยืนการเป็นผู้นำของกรุงศรีในอาเซียน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดยกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ (JPC/MNC Banking) ภายใต้การนำของแม่ทัพคนใหม่ นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประกาศกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2566  รุกขยายศักยภาพเชื่อมต่ออาเซียน ผุดบริการใหม่ “ASEAN LINK” ที่ปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อาเซียน โดยประสานพลังเครือข่าย MUFG เพื่อเชื่อมทุกความต้องการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (ESG Finance) และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในเวทีนานาชาติ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธนาคารพันธมิตรที่กลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นไว้วางใจ

นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ (JPC/MNC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี ครองความเป็นผู้นำในตลาดลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศทั่วโลก อีกทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญระดับโลกทำให้กรุงศรีสามารถต่อยอดและได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ โดยในปีที่ผ่านมา เราได้ให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติจากหลากหลายอุตสาหกรรมในการขยายธุรกิจสู่อาเซียนจนประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ การสนับสนุนการตั้งโรงงานผลิตเลนส์ในประเทศลาว การให้คำปรึกษาด้านข้อมูลตลาดและข้อบังคับทางกฎหมายในการตั้งสำนักงานของบริษัทวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนาม การช่วยสำรวจและแนะนำพื้นที่ในการตั้งโรงงานแปรรูปอาหารในประเทศเวียดนาม รวมทั้งให้คำปรึกษาในการตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยของบริษัทด้านยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น”

ในปี 2566 นี้ เราจึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่ออาเซียน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของกรุงศรี โดยได้ยกระดับบริการที่ปรึกษาทางธุรกิจเพื่อเชื่อมต่อทั้งภูมิภาคอาเซียนด้วยบริการใหม่ ‘ASEAN LINK’ ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการในการทำธุรกิจ เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราเติบโตใน 9 ประเทศทั่วทั้งอาเซียน และต่อยอดได้ในอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลกผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG

สำหรับบริการ Krungsri ASEAN LINK นับเป็นศูนย์กลางบริการด้านการทำธุรกิจในระดับภูมิภาคอาเซียนผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งของกรุงศรี และ MUFG มีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่แตกต่างและหลากหลาย พร้อมนำเสนอ โซลูชันทางการเงินให้กับลูกค้าแบบ Tailor-made โดยเริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา วิเคราะห์ และสนับสนุนข้อมูลด้านการตลาด รวมถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจเพื่อการควบรวมกิจการและการขยายการลงทุนในต่างประเทศ การพัฒนาและจัดตั้งสำนักงานธุรกิจในระดับภูมิภาค การให้บริการที่ปรึกษาทางกฎหมายและภาษีอากร และการจับคู่ทางธุรกิจ เป็นต้น

 

นอกจากนี้ กรุงศรียังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการต่อยอดการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน และร่วมเป็นส่วนช่วยผลักดันสตาร์ทอัพสู่เวทีอาเซียนผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนี้

  • การสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินการตามกรอบความยั่งยืน (ESG) ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านเครือข่ายพันธมิตร พร้อมต่อยอดความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ Zeroboard Inc. สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญด้านคลาวด์เทคโนโลยีเกี่ยวกับการคำนวณและการแสดงผลลัพธ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจและ Supply chain เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจ สีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม
  • การสร้างเครือข่ายและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ Techo Startup Center หน่วยงานภายใต้รัฐบาลกัมพูชาซึ่งส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างโอกาสทั้งในเวทีระดับประเทศและระดับอาเซียน โดยในปีนี้กรุงศรีได้ร่วมจัดงาน Japan-ASEAN Start-up Business Matching Fair 2023 ร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น (METI) depa และ Techo ซึ่งเป็นงานจับคู่ธุรกิจสำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีสตาร์ทอัพเข้าร่วมงานมากกว่า 60 บริษัท จาก 9 ประเทศ และจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมถึง 160 บริษัท จาก 6 ประเทศ นับเป็นการผนึกกำลังภายใต้เครือข่าย MUFG ในการสร้างโอกาสครั้งสำคัญให้กับสตาร์ทอัพ

“เราเชื่อมั่นว่าด้วยความเชี่ยวชาญของกรุงศรี และเครือข่ายที่แข็งเกร่งของ MUFG จะช่วยขยายโอกาสและขับเคลื่อนการเติบโตของทั้งธุรกิจญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ รวมทั้งช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน”  นายโอคุโบะ กล่าวทิ้งท้าย

ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-35.20 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.69 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 34.26-34.78 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือน ขณะที่ค่าเงินหยวนร่วงลงต่อเนื่อง เงินดอลลาร์เดินหน้าแข็งค่าเทียบทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินแตะจุดสูงสุดรอบ 2 เดือนขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยิลด์)สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่งเกินคาดแม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในช่วงที่ผ่านมา ทางด้านเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นแตกต่างกันไปในช่วงนี้ต่อประเด็นที่ว่าเฟดควรจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ ตลาดสัญญาล่วงหน้าบ่งชี้ความน่าจะเป็นราว 34% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. และมีโอกาส 66% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 25bp สู่ 5.25-5.50% นอกจากนี้ ระหว่างสัปดาห์ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมในฐานะสกุลเงินปลอดภัยจากความกังวลเรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯและแนวโน้มเศรษฐกิจจีน  ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 12,189 ล้านบาท และ 21,523 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ระบุว่า บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอาจได้แรงส่งเชิงบวกในช่วงแรกหลังทางการสหรัฐฯได้ข้อตกลงเรื่องงบประมาณเพื่อระงับข้อจำกัดเกี่ยวกับเพดานหนี้รัฐบาลไปจนถึงต้นปี 68 และจะมีการลงคะแนนข้อตกลงดังกล่าวในสภาคองเกรส ก่อนจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อสหรัฐฯที่ยังลดลงช้าเกินคาดทำให้ผู้ร่วมตลาดมองว่าดอกเบี้ยเฟดจะอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม โดยปัจจัยชี้นำหลักสำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนกลับมาอยู่ที่การคาดการณ์ทิศทางนโยบายเฟด หากข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐฯต่ำเกินคาด เงินดอลลาร์จะเผชิญแรงขายทำกำไรได้เช่นกัน ทั้งนี้ บอนด์ยิลด์ระยะ 2 ปีของสหรัฐฯพุ่งขึ้นมาแล้ว 86bp ในเวลาเพียง 3 สัปดาห์

สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะมีมติขึ้นดอกเบี้ย 25bp เป็น 2.00% ในการประชุมวันที่ 31 พ.ค. แม้เงินเฟ้อกำลังเป็นขาลงแต่การสื่อสารจากผู้ดำเนินนโยบายบ่งชี้ว่าต้องการNormalize อีกสักระยะหนึ่ง นอกจากนี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานภาวะเศรษฐกิจเดือนเม.ย. ขณะที่ฝั่งการเมืองยังมีความเสี่ยงที่การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 67 จะล่าช้า

X

Right Click

No right click