September 19, 2024

ดีป้า และ COM7 BUSINESS ประกาศความร่วมมือด้านการขับเคลื่อนบัญชีบริการดิจิทัลและอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย อำนวยความสะดวกผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปที่มองหาเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีมาตรฐาน ในราคาที่สมเหตุสมผลได้โดยเหมาะสมกับบริบทของตนเอง ผู้ประกอบการดิจิทัลสามารถขยายตลาดภาคเอกชน และเข้าสู่ตลาดภาครัฐได้ง่ายขึ้น พร้อมปูพรมนำเสนอรายชื่อของผู้ประกอบการดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลและรายละเอียดต่าง ๆ บนหน้าจอของร้าน BaNANA ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำให้ประชาชนที่สนใจได้เลือกสรร

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และนายภาคภูมิ เสตะรัต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายงานปฏิบัติการสาขา บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 BUSINESS ประกาศความร่วมมือด้านการขับเคลื่อนบัญชีบริการดิจิทัลและอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย โดยมี นางสาวพรเพ็ญ แก้วสุระพล Education & Enterprise Director และ นายสิทธิวัจน์ เวชยาพันธุ์ Head of Cloud & Enterprise Solution COM7 BUSINESS พร้อมด้วย นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ และ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ร่วมเป็นสักขีพยาน

ผศ.ดร.ณัฐพล เปิดเผยว่า บัญชีบริการดิจิทัล คือหนึ่งในกลไกยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทยที่มีการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย เป็นตัวช่วยในการคัดกรองผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเป็นไปตามข้อกำหนดตามมาตรฐาน dSURE (ดีชัวร์) หรือ Digital Sure ที่ ดีป้า กำหนดขึ้นสำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน อาทิ มาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน และมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มั่นใจข้อมูลถูกจัดเก็บในประเทศ ไม่รั่วไหล อีกทั้งมีการระบุราคาที่ชัดเจน เชื่อถือได้ และเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมบัญชีกลาง

นอกจากนี้ บัญชีบริการดิจิทัลยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัล อีกทั้งสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200% ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการให้บริการประชาชน สามารถจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลโดยเลือกใช้วิธีเฉพาะเจาะจงโดยไม่จำกัดวงเงิน ซึ่งเงื่อนไขเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2566 กระทรวงการคลัง

สำหรับความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และ COM7 BUSINESS ในครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนที่กำลังมองหาโซลูชันสามารถเข้าถึงและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่มีมาตรฐาน ในราคาที่สมเหตุสมผลได้โดยเหมาะสมกับบริบทของตนเอง ขณะเดียวกันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการดิจิทัลที่สามารถขยายตลาดภาคเอกชน และเข้าสู่ตลาดภาครัฐได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนบัญชีบริการดิจิทัลแล้วมากกว่า 400 รายการสินค้าและบริการผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากบัญชีบริการดิจิทัลแล้ว ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวยังมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกม ซึ่ง ดีป้า และ COM7 BUSINESS เล็งเห็นว่า การขยายตัวของอุตสาหกรรมเกมจะเป็นแรงผลักดันให้ตลาดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) เติบโตตาม ดังนั้น ดีป้า และ COM7 BUSINESS จะเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมควบคู่ไปกับตลาดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ อีกทั้งร่วมสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่ง

ด้าน นายภาคภูมิ กล่าวว่า ความร่วมมือกับ ดีป้า ในครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบัญชีบริการดิจิทัล และดึงดูดให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลสามารถเข้าถึงบัญชีบริการดิจิทัลได้โดยง่ายผ่านการนำเสนอรายชื่อของผู้ประกอบการดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีบริการดิจิทัล รวมถึงรายละเอียดของเทคโนโลยีต่าง ๆ บนหน้าจอของร้าน BaNANA ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยที่ใช้บริการคลาวด์ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องในประเทศ เช่น Amazon Web Services ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด

ทั้งนี้ ดีป้า ยังมีโครงการดี ๆ อย่าง โครงการ CONNEXION ที่มุ่งยกระดับองค์ความรู้ พัฒนาชุดทักษะใหม่ด้านดิจิทัลให้กับคนไทย โดยเฉพาะผู้ว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานให้มีความพร้อมต่อการประกอบอาชีพใหม่ในยุคดิจิทัล และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยอย่าง คอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะประกอบอาชีพอื่น ๆ ในสายอย่าง ออแกไนเซอร์ นักออกแบบ นักพากย์ นักเล่าเรื่อง เป็นต้น

และอีกหนึ่งโครงการกับ เปิดเมือง เปิดท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิทัล กับการพัฒนา ThailandCONNEX เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรูปแบบ Business to Business (B2B) ในลักษณะ Wholesales สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สามารถเข้าถึง นำเสนอสินค้าและบริการสู่ผู้ให้บริการท่องเที่ยว (Online Travel Agents : OTAs) ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการเช่า ยานพาหนะเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ThailandCONNEX กว่า 1 แสนราย มีสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวกว่า 2 แสนรายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

เดินหน้าสร้างโอกาสจากปัญญาประดิษฐ์ ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก

กระทรวงดีอี และ ดีป้า จัดกิจกรรม ‘Ignite Lanna Digital Hub’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND เร่งสร้างเมล็ดพันธุ์ดิจิทัลรุ่นใหม่ โดย รมว.ดีอี เผยแนวคิดการพัฒนา Digital Citizen ดึงดูด Digital Nomad ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ พร้อมสานต่อแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือในชื่อ Lanna Digital Valley และรับข้อเรียกร้องในการขยายเครือข่ายนักพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นและเป็นสากลโดยการดึงกลุ่มนักพัฒนาต่างชาติให้เข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่าย และกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น 

 

นายประเสริฐ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ อีกทั้งได้รับความนิยมอย่างมากจาก Digital Nomad ทั่วโลก ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำงานแบบ Remote Worker และต้องการอิสระในการใช้ชีวิต ดังนั้นรัฐบาลรับฟังแนวคิดจากผู้ประกอบการในพื้นที่เพื่อพัฒนา Digital Citizen ช่วยดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ซึ่งอาจมีเงื่อนไขบางประการ อาทิ Digital Nomad นั้นจะต้องทำงานร่วมกับบริษัทในไทย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการยกระดับชุมชนและท้องถิ่นของไทย เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะสานต่อแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือในชื่อ Lanna Digital Valley ระบบนิเวศดิจิทัลที่จะช่วยสร้างแต้มต่อและส่งเสริมภาคการลงทุน 

กระทรวงดีอี และ ดีป้า ยังได้รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Web3 และ Blockchain ที่ต้องการให้รัฐบาลเชื่อมโยงและขยายเครือข่ายกลุ่มนักพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นและเป็นสากลโดยการดึงกลุ่มนักพัฒนาต่างชาติให้เข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่าย กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ 
การสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

 

ด้าน ดร.ชินาวุธ กล่าวว่า กิจกรรม Ignite Lanna Digital Hub ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่และดิจิทัลสตาร์ทอัพได้มีโอกาสร่วมพูดคุยและหารือกันเช่นเดียวกับกิจกรรม Ignite Andaman Digital Hub ที่จังหวัดภูเก็ตสัปดาห์ก่อน 
ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่และดิจิทัลสตาร์ทอัพในพื้นที่ โดยมีการระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ สะท้อนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สามารถหยิบยกไปใช้ต่อยอดการดำเนินธุรกิจและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลต่อไป 

สำหรับโครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND จัดขึ้นครั้งแรกที่ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี 
กับกิจกรรม Ignite Thailand Digital Valley ครั้งที่ 2 ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต กับกิจกรรม Ignite Andaman Digital Hub ครั้งที่ 3 ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ กับกิจกรรม Ignite Lanna Digital Hub และพร้อมเดินหน้า 
ครั้งต่อไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น กับกิจกรรม Ignite E-SAN Digital Hub และครั้งสุดท้าย 
ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร กับกิจกรรม Ignite Digital Thailand ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: depa Thailand 

กระทรวงดีอี และ ดีป้า ลงพื้นที่เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจติดตามกิจกรรมของโครงการสำคัญตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวง พร้อมร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการท้องถิ่น และพ่อค้าแม่ขายในจังหวัดเชียงใหม่

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการท้องถิ่นและอินฟลูเอนเซอร์ในกิจกรรม ‘Digital Content-Driven E-Commerce Workshop: การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มยอดขายด้วยดิจิทัลคอนเทนต์’ กิจกรรมต่อยอดความสำเร็จของโครงการ CONNEXION โดยมี ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ ดร.สักกเวท ยอแสง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมทีมงานร่วมให้การต้อนรับ

นายประเสริฐ กล่าวว่า จากการหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือทำให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรค ทั้งการปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ ความรวดเร็วของเทคโนโลยี ตลอดจนกลยุทธ์การขายที่ยังไม่เท่าทันสินค้าประเภทอื่น รวมถึงปริมาณการผลิตที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ ในนามของ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า มุ่งให้ความสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสินค้าและชุมชน อีกทั้งส่งเสริมองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด รองรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในตลาดใหม่ ๆ ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมระบบนิเวศดิจิทัล ผสานกับแนวทางการส่งเสริมจากทางภาครัฐ เพื่อช่วยยกระดับธุรกิจและสินค้าชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ CONNEXION คือโครงการส่งเสริมการยกระดับองค์ความรู้และชุดทักษะด้านดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการชุมชนที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการภายในจังหวัดและพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อสร้างยอดขายบนแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ เทคนิคการถ่ายภาพสินค้า การสร้าง Storytelling การ Live ขายสินค้า การเปิดร้านค้าใน Social Commerce อย่าง TikTok และ Facebook รวมถึงการนำข้อมูลการค้าออนไลน์จาก e-Marketplace ของไทยจากแพลตฟอร์ม eTailligence มาประยุกต์ใช้วางแผนประกอบการตัดสินใจด้านการตลาด ทั้งหมดเพื่อผลักดันสินค้าและบริการท้องถิ่นสู่โลกออนไลน์ ก่อให้เกิดความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ทั้งในด้านคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นการสร้าง Content Creator และ Micro Influencer หน้าใหม่ให้กับท้องถิ่น

จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ยังให้เกียรติเป็นประธานเปิดกิจกรรม ‘ตลาดต้นแบบต่อยอดสู่ ความยั่งยืน’ ณ กาดวรุณ อำเภอเมืองเชียงใหม่ กิจกรรมภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) โดยมี นายจุลนภ ศานติพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ ดีป้า พร้อมทีมงาน และ นายวรพรรธน์ ชุติมา ผู้บริหารกาดวรุณ ร่วมให้การต้อนรับ

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดย ดีป้า ได้ดำเนินโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดอาวุธดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ซึ่งถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่มีความสำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจพร้อมพัฒนาสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่ โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและการค้าขาย นำไปสู่การสร้างตลาดต้นแบบที่มีการนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้บริหารจัดการ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับประเทศ

สำหรับกิจกรรม ‘ตลาดต้นแบบต่อยอดสู่ความยั่งยืน’ ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) เป็นการติดตามและประเมินผลการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจากดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยแก่ผู้ประกอบการตลาด ผู้ประกอบ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอยผ่านบัญชีบริการดิจิทัล ควบคู่กับการลงพื้นสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจ สร้างช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายจากการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล โดยโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ และโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) ดำเนินการใน 75 ตลาด 25 จังหวัด รวมกว่า 100,000 แผงค้า

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี พร้อมคณะได้ร่วมพบปะพ่อค้าแม่ค้าและเจ้าของตลาดอื่น ๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โดยกาดวรุณถือเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ มีทำเลที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ซึ่งกาดวรุณได้เลือกใช้ Chaoperty ระบบบริหารจัดการแผงเช่า เทคโนโลยีดิจิทัลจาก ‘เช่าเพอร์ตี้’ ดิจิทัลสตาร์ทอัพจังหวัดเชียงใหม่ที่ขึ้นทะเบียนกับ ดีป้า เพื่อยกระดับการบริหารจัดการพื้นที่เช่าในตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการด้านบัญชี อีกทั้งขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ส่งเสริมการขายให้กับพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นตลาดต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี พร้อมคณะผู้บริหาร ดีป้า ลงพื้นที่ตรวจติดตามกิจกรรมภายใต้โครงการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวง เผยเตรียมหารือแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อการส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย และการจัดตั้งเขตส่งเสริมดิจิทัลในพื้นที่เป้าหมายเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดดิจิทัลสตาร์ทอัพรายใหม่ พร้อมช่วยให้สตาร์ทอัพรายเดิมดำเนินธุรกิจต่อไปได้ คาดเป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนดิจิทัลสตาร์ทอัพในแต่ละพื้นที่ของประเทศ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) พร้อมคณะลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อตรวจติดตามกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการต่าง ๆ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวง หรือ The Growth Engine of Thailand ใน 3 ด้านที่ดำเนินการโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ในเขตพื้นที่ภาคใต้ โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมด้วยดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น ดร.สักกเวท ยอแสง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล นายจุลนภ ศานติพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ ดร.จักกนิตต์ คณานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการพัฒนากำลังคนดิจิทัล และ นายประชา อัศวธีระ อำนวยการเขตพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงผู้แทนพนักงาน ดีป้า ให้การต้อนรับ

โดย นายประเสริฐ พร้อมคณะได้ร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่และดิจิทัลสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Travel Tech & Smart City) ในกิจกรรม ‘Ignite Andaman Digital Hub’ กิจกรรมภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND โครงการสำคัญที่มุ่งเพาะเมล็ดพันธุ์คนดิจิทัลรุ่นใหม่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ YOUTH, FUTURE CAREER และ DIGI-PRENEUR สู่การเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในอนาคต พร้อมรับฟังแนวคิด แลกเปลี่ยนมุมมอง รับทราบปัญหา อุปสรรค และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาในภาคการท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่

จากนี้ กระทรวงดีอี และ ดีป้า จะร่วมหารือแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อการส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย และการจัดตั้งเขตส่งเสริมดิจิทัลในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดดิจิทัลสตาร์ทอัพรายใหม่ พร้อมช่วยให้ดิจิทัลสตาร์ทอัพรายเดิมสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเบื้องต้นจะต้องมีการกำหนดแนวทางการจัดตั้งเขตส่งเสริมดิจิทัลในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่ง กระทรวงดีอี และ ดีป้า มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กองทุนเพื่อการส่งเสริมดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนดิจิทัลสตาร์ทอัพแต่ละพื้นที่ของประเทศ ซึ่ง กระทรวงดีอี และ ดีป้า รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะเร่งหารือในรายละเอียดเพื่อขับเคลื่อนให้กลไกส่งเสริมดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

จากนั้น นายประเสริฐ ได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจน้อง ๆ นักเรียนและครูที่เข้าร่วมกิจกรรม ‘Coding Bootcamp & Roadshow’ และกิจกรรม ‘Coding War’ พื้นที่ภาคใต้ตอนบน กิจกรรมภายใต้โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ดำเนินการ 8 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งโครงการดังกล่าวมุ่งส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่พร้อมรองรับการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งผ่านการยกระดับห้องเรียนโค้ดดิ้ง 1,500 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยพื้นที่ภาคใต้ตอนบนมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ 49 โรงเรียน นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำหลักสูตรโค้ดดิ้ง พร้อมเสริมทักษะการสอนแก่ครูที่จะเป็นโค้ดดิ้งโค้ช 3,000 คนให้มีเทคนิคพร้อมถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียน 300,000 คนต่อปี การเสริมทักษะโค้ดดิ้งเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลแก่ครูผู้สอนและนักเรียนผ่านกิจกรรม Coding Bootcamp และ Coding War และการสร้างความตระหนักด้านโค้ดดิ้งและการประยุกต์ใช้จริงแก่ผู้ปกครองและประชาชนทั่วไปผ่านกิจกรรม Coding Roadshow รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนโค้ดดิ้งที่เผยแพร่ผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม

ผศ.ดร.ณัฐพล รายงานว่า ปัจจุบันมีการส่งมอบอุปกรณ์การเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งแก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 800 โรงเรียน และคาดว่าจะส่งมอบครบ 1,500 โรงเรียนภายในเดือนสิงหาคม พร้อมกันนี้มีครูและนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม Coding Bootcamp มากกว่า 2,400 คน ขณะที่ Coding Roadshow มีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน ซึ่งจังหวัดภูเก็ตนับเป็นพื้นที่ที่ 6 สำหรับการดำเนินกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในโครงการ Thailand Digital Valley อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และโรงแรม Arize Hotel Sri Racha ระหว่างวันที่ 15 - 16 สิงหาคม ขณะที่ Coding War จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 17 สิงหาคม ส่วนกิจกรรมครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา

นอกจากนี้ นายประเสริฐ ยังได้พบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการท้องถิ่นที่และอินฟลูเอนเซอร์ในกิจกรรม ‘Digital Content-Driven E-Commerce Workshop: การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มยอดขายด้วยดิจิทัล คอนเทนต์’ ภายใต้โครงการ CONNEXION โครงการส่งเสริมการยกระดับองค์ความรู้และชุดทักษะใหม่ด้านดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการภายในจังหวัดและพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน เพื่อสร้างยอดขายบนแพลตฟอร์มE-Commerce อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ เทคนิคการถ่ายภาพสินค้า การสร้าง Storytelling การ Live ขายสินค้า การเปิดร้านค้าใน Social Commerce อย่าง TikTok และ Facebook รวมถึงการนำข้อมูลการค้าออนไลน์จาก e-Marketplace ชั้นนำของไทยจากแพลตฟอร์ม eTailligence มาประยุกต์ใช้วางแผนและประกอบการตัดสินใจด้านการตลาด ทั้งหมดเพื่อผลักดันสินค้าและบริการท้องถิ่นสู่โลกออนไลน์ สร้าง Digital Content Creator และ Micro Influencer หน้าใหม่ให้กับท้องถิ่น และรองรับภาคการท่องเที่ยวในอนาคต

สุดท้าย นายประเสริฐ พร้อมคณะได้ร่วมพูดคุยกับพ่อค้าแม่ขาย ผู้บริหารตลาด และดิจิทัลสตาร์ทอัพ ณ ตลาดชิลล์วา 2 ในกิจกรรม ‘ตลาดต้นแบบต่อยอดสู่ความยั่งยืน’ ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) ซึ่งได้ดำเนินการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจากดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการตลาด ผู้ประกอบรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ดำเนินการใน 75 ตลาดทั่วประเทศ รวมกว่า 100,000 แผงค้า โดยตลาดชิลล์วา 2 เลือกใช้เทคโนโลยีเดลิเวอรีจาก บริษัท พราวด์ เทคโนโลยี คอร์ป จำกัด ผู้พัฒนาระบบเดลิเวอรีในชื่อ Proud ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย โดยฝั่งผู้ซื้อสามารถกดสั่งสินค้าจากทุกร้านในตลาดได้ครบจบในบิลเดียว ขณะที่ผู้ขายหรือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสามารถยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และสร้างช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

การลงพื้นที่ติดตามโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการโดย ดีป้า ในครั้งนี้ล้วนเป็นการทำงานตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวง หรือ The Growth Engine of Thailand ทั้งด้านการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมถึงการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ของประเทศด้านดิจิทัล รองรับการทำธุรกิจของ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า ส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ พร้อมพัฒนาพื้นที่สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ ดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad ควบคู่ไปกับการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวในจังหวัด รวมถึงพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน พร้อมกันนี้ยังมีการส่งเสริมการพัฒนาความรู้และทักษะโค้ดดิ้ง ทักษะดิจิทัลที่สำคัญแห่งอนาคตแก่นักเรียนและครูผู้สอนเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะต่อไปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

X

Right Click

No right click