September 19, 2024

ยกระดับนวัตกรรม ดูแลลูกค้าให้รวดเร็วและความปลอดภัยทั่วองค์กร ด้วยโซลูชันดิจิทัลและการปฏิบัติงานผ่านออโตเมชั่นบนระบบคลาวด์ พร้อมหนุนเป้าหมาย Net Zero 2050

สถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คาดการณ์ทิศทางความยั่งยืนของภาคธุรกิจไทย ปี 66 จุดกระแส ESG (Environmental, Social and Governance) จากที่เป็นปัจจัยความเสี่ยงขององค์กร สู่ปัจจัยที่ใช้เป็นโอกาสทางธุรกิจเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนของกิจการตามทิศทางกระแสโลก

ปัจจุบัน ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจอย่างเข้มข้น และกระทบกับกิจการในทุกขนาด ทุกสาขา ESG ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกบรรจุเป็นหลักเกณฑ์ในการขอสินเชื่อของธนาคาร พัฒนาเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบของผู้ลงทุนสถาบัน เป็นปัจจัยใหม่ในการตัดสินใจจับจ่ายของลูกค้า และกลายมาเป็นข้อพิจารณาในการสมัครเข้าทำงานของบุคลากร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ เป็นต้น

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ได้กล่าวในงานแถลงทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 ที่จัดขึ้นวันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2566) ว่า “ปัจจุบัน ESG มิได้เข้ามามีบทบาทเพียงในแง่ของความเสี่ยงที่กระทบกับธุรกิจ หรือถูกมองว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายทางเดียว แต่ยังเป็นผลกระทบที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจ และถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ช่วยเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนของกิจการ ซึ่งหากธุรกิจสามารถจับกระแสในเรื่องนี้ แล้วแปลงมาเป็นโจทย์ทางธุรกิจได้ ก็จะทำให้กิจการได้ประโยชน์จากเรื่อง ESG ในฐานะที่เป็นใบเบิกทาง (Enabler) สู่ตลาดใหม่ ๆ”

ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้ประมวลแนวโน้มการขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจไทย ไว้เป็น 3 ธีมสำคัญ ได้แก่ LEAN รับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย CLEAN เพื่อสังคมที่มีสุขภาวะ และ GREEN ที่มากกว่าคำมั่นสัญญา

พร้อมกับการประเมินทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 ใน 6 ทิศทางสำคัญ ได้แก่

1) ESG as an Enabler

2) Industry-specific Taxonomy

3) Double Materiality

4) Climate Action

5) Lean Operation

6) Proof of Governance

สำหรับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจที่จะใช้ ESG เป็นกรอบในการขับเคลื่อน สามารถนำไปเป็นข้อมูลนำเข้าและใช้พัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของกิจการให้มีความครอบคลุมอย่างรอบด้าน

ในงานแถลงทิศทางความยั่งยืนปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ยังได้จัดให้มีการเสวนาเรื่อง ESG Footprint: The Supplier Journey แนะนำการดำเนินการด้าน ESG กับผู้ส่งมอบ (Suppliers) ตามมาตรฐาน GRI1 ที่ทั่วโลกยอมรับ สำหรับขยายบทบาทด้าน ESG ของกิจการ จากที่ทำได้สมบูรณ์แล้วภายในองค์กร ไปสู่คู่ค้าในสายอุปทานเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้ามีการดำเนินงานโดยคำนึงถึง ESG ในทิศทางที่กิจการคาดหวัง โดยในงานยังเปิดโอกาสให้กิจการที่สนใจสมัครเข้าร่วมดำเนินการด้าน ESG กับผู้ส่งมอบ โดยใช้ประโยชน์จากโครงการ ESG Footprint ด้วย

นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “ในปี 2566 นี้ ภาคเอกชนที่ต้องการขยายบทบาทการดำเนินการด้าน ESG กับคู่ค้า/ผู้ส่งมอบในสายอุปทานของตน เพื่อตอบโจทย์การสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน (The Ecosystem of Sustainability) สามารถนำเกณฑ์ชี้วัดที่เป็นสากล อาทิ GRI 308 (Supplier Environmental Assessment) และ GRI 414 (Supplier Social Assessment) มาใช้ในการประเมิน ESG Footprint และเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ ผ่านรายงานความยั่งยืนของกิจการ”

การประเมิน ESG Footprint สามารถใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงาน (GRI 302) น้ำและน้ำทิ้ง (GRI 303) มลอากาศ (GRI 305) และเกณฑ์ด้านสังคม อาทิ การจ้างงาน (GRI 401) อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (GRI 403) แรงงานเด็ก (GRI 408) แรงงานเกณฑ์และแรงงานบังคับ (GRI 409) มาใช้กับคู่ค้า เพื่อรับทราบสถานะความยั่งยืนในสายอุปทานตามประเด็น ESG ที่องค์กรได้ดำเนินการและที่ควรดำเนินการ (Gap)

นายฌานสิทธิ์ ยอดพฤติการณ์ กรรมการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “เพื่อช่วยภาคเอกชนในการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ได้ก่อตั้ง ESG Sandbox โดยนำโครงการที่อยู่ในระหว่างริเริ่ม อาทิ ESG Meter มาตรวัดความยั่งยืนขององค์กร, ESG Footprint รอยเท้าความยั่งยืนในสายอุปทาน, ChatESG สื่อความยั่งยืนด้วยฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาทำงานร่วมกับองค์กรที่สนใจในวงจำกัด โดยสามารถนำไปทดลองใช้ก่อนที่จะเผยแพร่ในวงกว้าง”

ESG Sandbox เป็นความริเริ่มของสถาบันไทยพัฒน์ เพื่อใช้เป็นแพลตฟอร์มทำงานร่วมกับภาคเอกชน ในการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาโครงการที่ใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งมีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดความพลิกผัน (Disruption) ด้านความยั่งยืนในอนาคต โดยเปิดโอกาสให้องค์กรที่เข้าร่วมสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการที่อยู่ใน Sandbox ก่อนองค์กรอื่น ๆ ทั้งในรูปแบบที่เป็นองค์กรสมาชิก (Member) ผู้อุปถัมภ์ (Sponsor) และผู้ให้ทุน (Funder) โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันตามระดับ

หน่วยงานที่ต้องการใช้ประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ ใน ESG Sandbox ของสถาบันฯ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ www.thaipat.org ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด (GEPP) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสถาบันไทยพัฒน์

ตอกย้ำพันธกิจเพื่ออนาคต และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อโลกและผู้คน ผ่านนิทรรศการเต็มรูปแบบในโซน ‘Better Life for All’  

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจประกันวินาศภัยและดิจิทัลอินชัวรันส์ บริษัท ดีพี เซอร์เวย์แอนด์ลอว์ จำกัด ผู้นำให้บริการสำรวจภัย ผนึกกำลังร่วมกับ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด (Swap & Go) ผู้นำให้บริการแพลตฟอร์ม โครงสร้างพื้นฐานและเครือข่าย Battery Swapping หรือการสลับแบตเตอรี่แก่ผู้ใช้งานรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและเปิดตัวโครงการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับนักสำรวจภัยยุคใหม่ (EV Surveyor) โดยทดลองนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ระบบสลับแบตเตอรี่มาใช้ในงานสำรวจภัยสินไหมรถยนต์และภัยอื่นๆ เพื่อต่อยอดและยกระดับการให้บริการลูกค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงสร้างต้นแบบนวัตกรรมพลังงานแห่งอนาคตให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าแบบยั่งยืน

ดร.พลรัตน์ เอกโยคยะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบัน แนวคิดเรื่อง ESG และกระแสการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนรวมถึงการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ทิพยประกันภัย ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจประกันภัยนั้นมีพันธกิจหลักในการมุ่งขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวคิด ESG ที่พร้อมสนับสนุนระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งทิพยประกันภัยได้ดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง

โดยการนำเอาแนวคิด ESG มาเป็นทิศทางหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัย อีกทั้งร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจในการสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยทิพยประกันภัย ร่วมมือกับ ดีพี เซอร์เวย์ และ สวอพ แอนด์ โก พัฒนานวัตกรรมทางโครงการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับนักสำรวจภัยยุคใหม่ (EV Surveyor) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับนักสำรวจภัยยุคใหม่ผ่านการทดลองนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ระบบสลับแบตเตอรี่มาใช้ในงานสำรวจภัยสินไหมรถยนต์และภัยอื่นๆในการให้บริการลูกค้าที่ช่วยลดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ทำให้สามารถลดการปลดปล่อยของมลพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้ สอดคล้องกับแนวคิด ESG ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) ได้เป็นอย่างดี”

X

Right Click

No right click