การเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นของ RIPPLE LABS ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของกิจการประเภท Crypto / Blockchain ที่ในรอบหลายปีมานี้ถูกมองในแง่ลบ จนทางการต้องยื่นมือเข้าไปคุมจนกระดุกกระดิกแทบไม่ได้ ส่งผลให้ตลาดระดมทุน ICO ทั่วโลก ซบเซาลงจนแทบไม่เหลือ
ยากที่คนทั่วไปซึ่งมองเห็นแง่งามของธุรกิจประเภทนี้จะเข้าไปร่วมลงทุนกับ Asset Class ประเภทนี้ได้
นับว่าน่าเสียดาย
แต่การที่ Ripple จะเป็นหัวขบวนในการทำ IPO ย่อมเปิดทางให้กับกิจการรายอื่นๆ ทยอยกันเข้าตลาดด้วย (เราคาดว่า Coinbase คงจะตามมาในไม่ช้า) นับเป็นการสร้างความโปร่งใสให้กับอุตสาหกรรม Crypto / Blockchain ในภาพรวม
ต่อไป นักลงทุนและสื่อมวลชนจะเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและมากขึ้น ช่วยสร้างความเข้าใจให้กับคนหมู่มาก เปิดม่านให้สังคมได้เห็นถึงศักยภาพอันเป็นประโยชน์มากมายของเทคโนโลยีประเภทนี้ และเปิดทางเลือกให้นักลงทุนสามารถใช้ Asset Class ประเภทนี้ เข้ามาในพอร์ตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินของอนาคตตัวได้อีกทางหนึ่ง
กลับมาที่ WEF ซึ่ง Center For the Fourth Industrial Revolution ของเขา เพิ่งออกรายงานใหม่มาชิ้นหนึ่งชื่อ “Central Bank Digital Currency Policy-Maker Toolkit” เพื่อให้เป็นคู่มือสำหรับธนาคารกลางที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) ของตัวเอง
นับแต่เกิดบล็อกเชนและเงินคลิปโต แวดวงเงินดิจิทัลพัฒนามาไกลแล้ว กระทั่งธนาคารกลางของชาติสำคัญเองก็เข้าไปจับ เพื่อหาทางนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้พัฒนาเงินดิจิทัลของตัว
ณ ขณะนี้ มีธนาคารชาติอย่างน้อย 18 ประเทศ ที่กำลังพัฒนาและทดลองแนวนี้อยู่ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย (โครงการอินทนนท์)
ที่สำคัญคือธนาคารกลางของจีนที่หลายคนประเมินว่าจะออก “หยวนคอย” มาใช้ได้ในปีนี้ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ หวั่นใจว่าจีนจะแซงหน้า จึงได้มีผู้นำหลายคนออกมาเตือนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ รีบชิงออก FedCoin ของตัวเองเสียก่อน และเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเงินดิจิทัลของตัวให้สมบูรณ์ เพื่อรักษาความยิ่งใหญ่ของสกุลเงินดอลลาร์ไว้
อันที่จริง ถ้ามองเรื่องความพร้อมของเทคโนโลยี ธนาคารกลางทั่วไปสามารถนำบล็อกเชนและเงินคลิปโตของตัวเองออกมาใช้ได้ไม่ยาก ทว่ามันจะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ทำให้สถาบันการเงินเจ๊ง เพราะมันจะตัดตัวกลางออก ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากกับอุตสาหกรรมยักษ์อันหนึ่งของโลกทุนนิยม
คือประชาชนทั่วไปสามารถเปิดบัญชีและทำธุรกรรมโดยตรงกับธนาคารชาติได้เลยโดยไม่ต้องผ่านธนาคารพาณิชย์ และธนาคารชาติก็จะเห็นทุกธุรกรรมของทุกคน สามารถปล่อยกู้ให้ใครก็ได้โดยตรง เพียงสั่งโอนเงินคลิปโตเข้าวอลเล็ทของคนๆ นั้น และในทางกลับกันก็สามารถสั่งหักเงินใครก็ได้โดยตรงเช่นกัน
พูดไปแล้วมันก็เหมือนดาบสองคม คือแม้ว่ามันจะทำให้ธุรกรรมการเงินถูกลงมากเพราะตัดตัวกลางทิ้ง แต่รัฐบาลก็จะสามารถกำกับบุคคลแต่ละคนได้ผ่านธุรกรรมทางการเงิน เช่นบังคับเก็บภาษีโดยอัตโนมัติ หรือกำหนดให้ใช้จ่ายได้/ไม่ได้ ตามที่รัฐบาลต้องการ (เช่นเด็กอายุน้อยกว่า 15 ห้ามใช้เงินคลิปโตจ่ายซื้อแอลกอฮอล์ หรือกำหนดให้เบิกหรือโอนเงินได้วันละเท่านั้นเท่านี้ เป็นต้น ฯลฯ)
การฟอกเงินและโกงกันผ่านการหลอกให้โอนเงินจะกลายเป็นอดีต
MIT Digital Currency Initiative ของสถาบันเอ็มไอที จึงออกผลการศึกษามาเตือนในประเด็นนี้ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ถ้าบรรดาธนาคารกลางจะออกเงินคลิปโตของตัวเอง ก็ควรจะใช้คุณสมบัติของบล็อกเชนให้เต็มที่ คือควรคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของประชาชน และใช้ Smart Contract เข้ามาช่วยในการดำเนินนโยบายการเงินของตัวเองเสียแต่ต้นอย่างโปร่งใส เช่น ถ้าต้องการเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ต่อปีในปีนี้ ก็ควรโปรแกรมไว้แต่แรก เพื่อป้องกันการพิมพ์เงินเพิ่มตามอำเภอใจ เป็นต้น
ทว่า MIT ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปได้ยาก เพราะธนาคารกลางที่ไหนก็ล้วนต้องการเข้าควบคุมแบบ 100%
พวกเขาต้องการรู้ทุกธุรกรรม ตรวจสอบทุกธุรกรรม หรือไม่ก็เก็บภาษีจากทุกธุรกรรม
กระนั้นก็ตาม เพียงไม่กี่ปี เราก็ได้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเงินดิจิทัลก้าวกระโดดขึ้นเพียงใด
ฟันธงไปได้เลยว่าไม่พ้นปีนี้ เราคงได้เห็นเงินดิจิทัลสกุลสำคัญของโลกที่พัฒนาบนบล็อกเชนโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ ออกมาใช้กันอย่างแน่นอน
30 มกราคม 2563
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว