โลกขณะนี้มีคลื่นใหญ่หลายคลื่นกำลังถาโถมอยู่ แต่มีอยู่สองคลื่นแน่ๆ ที่ไม่มีอะไรจะขวางไว้ได้
จะเรียกว่า “กระแส” “เทรนด์” หรือ “เมกะเทรนด์” หรืออะไรก็สุดแท้
แต่จงรู้ไว้ว่า มันเป็นสิ่งที่หยุดไม่อยู่ ขวางไม่ได้ แม้กระทั่งจะรั้งไว้ ก็รังแต่จะเกิดความเสียหายในระยะยาวเสียยิ่งกว่า เสมือนหนึ่งสึนามิที่ได้ฟอร์มตัวขึ้นแล้วในทะเลลึก เพียงแต่มันยังอยู่ในทะเล และกำลังเดินทางมาด้วยความเร็ว ทว่ายังมาไม่ถึงชายฝั่ง คนทั่วไปจึงยังไม่เห็นและสัมผัสกับพลังอันมหาศาลของมัน
ไม่ว่าท่านจะทรงอำนาจราชศักดิ์หรือเปี่ยมด้วยทรัพย์ศฤงคารมากมายสักปานใด ท่านมีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือ “ต้องปรับตัว” ตามมัน
คลื่นยักษ์ที่ว่านี้คือ “Digital Currency” อันหนึ่ง และ “กัญชาเสรี” อีกอันหนึ่ง
แต่ใช่ว่า คลื่นสองคลื่นนี้จะมีแต่พลังทำลายล้างหรือ Disruption เพียงด้านเดียว ทว่าพลังด้านบวกมันก็มีมหาศาลเช่นกัน
หากเรารู้จักวางความคิดตนเองให้ถูก ศึกษาให้รู้ตื้นลึกหนาบางของมันอย่างละเอียด แน่นอนว่าเราก็จะสามารถเอาประโยชน์จากมันได้
ทั้งประโยชน์ในแง่ใช้สอย และประโยชน์ในแง่ของโภคผลเงินทอง ไม่ว่าเราจะเป็นรัฐบาล ธุรกิจเอกชน Start-Ups, SME หรือราษฎรตาดำๆ
แน่นอน แม้คนธรรมดาสามัญก็สามารถสร้างทรัพย์จากเทรนด์สำคัญๆ ของโลกได้แน่นอน หากเข้าใจและลงทุนได้อย่างถูกจังหวะเวลา
ดีกว่ายืนมองให้มันผ่านไปเฉยๆ แล้วก็มาสำนึกเสียใจภายหลัง แบบว่า "รู้งี้...น่าจะลงมือทำหรือลงทุนกับอันนั้นอันนี้ เสียตั้งแต่แรก"
โอเค เรื่องกัญชาค่อยว่ากันอีกบทความหนึ่ง ตอนนี้ขอแสดงความเห็นเรื่อง Digital Currency ก่อน เพราะมีข่าวว่าธนาคารกลางของจีน กำลังจะออก Digital Currency มาใช้ในเวลาอีกไม่นาน
แน่นอน Digital Currency ที่ว่านี้ก็คือเงินหยวนนั่นเอง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมันจะทำงานอยู่บนเครือข่าย Blockchain ไม่ใช่ระบบเดิมที่ใช้โอนกันผ่านเครือข่ายสถาบันการเงินอย่างในปัจจุบัน
ดูก็รู้แล้วว่ารัฐบาลจีนต้องการใช้ระบบใหม่นี้ต่อกรกับ LIBRA หรือ Digital Currency สกุลใหญ่ๆ ที่อาจจะออกตามกันมาเป็นพรวน
ใครก็ตามถ้าไม่ได้ไปอยู่หลังเขาในช่วงหลายเดือนมานี้ย่อมต้องทราบข่าวกันบ้างว่า Facebook ได้ดำริว่าจะออกสกุลเงิน Digital Currency ของตัวเองมาใช้ ตั้งชื่อว่า “LIBRA” โดยคาดว่าจะออกให้ใช้กันภายในหกเดือนแรกของปีหน้า (ผู้อ่านที่ซีเรียสจริงจังสามารถอ่าน Whitepaper ของ LIBRA ได้ตามลิงก์นี้: https://libra.org/en-US/white-paper/#introducing-libra)
พูดให้ง่ายคือ LIBRA จะใช้แทนเงินสดได้บนเครือข่ายของ Facebook และเครือข่ายของกิจการร่วมก่อตั้งบิ๊กๆ อีก 26 ราย เช่น VISA, PayPal, Coinbase, XAPO, Mastercard, eBay, Uber, Lytf เป็นอาทิ โดยพวกเราที่ต้องการใช้เงินสกุลนี้ ก็ไม่ต้องทำไรมาก เพียงแค่ดาวน์โหลด Wallet ที่เรียกว่า “CALIBRA” เข้ามาในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ แล้วก็เอาเงินบาทหรือเงินสกุลอะไรก็ได้ไปแลกเป็น LIBRA ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น (ซึ่งองค์กร Libra.org ที่จะตั้งขึ้นมา ณ นครเจนีวา จะเป็นผู้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนให้ทราบ) แล้วก็นำ LIBRA ไปใช้ซื้อสินค้าและบริการ หรือโอนไปให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องได้ฟรีๆ ผ่านสมาร์ทโฟนของเรา ไม่ว่าผู้รับโอนจะอยู่ที่ไหนบนผิวโลก โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (หรืออาจจะเสียค่าธรรมเนียมต่ำมากๆ ...ต่ำกว่าอัตราที่แบงก์หรือสถาบันการเงินเก็บอยู่ในปัจจุบัน)
ลองคิดดูว่าถ้า Facebook เพียงแต่ออกแคมเปญว่าให้ผู้จะลงโฆษณาหรือทำโปรโมชั่นสินค้าบริการบน Facebook จ่ายชำระเป็นเงินสกุล LIBRA แล้วจะได้ลดราคา หรือบอกว่าผู้ใช้ Facebook หากยอมดาวน์โหลด Wallet (ซึ่งหน้าตาเหมือนกับ App ทั่วไป) ก็จะได้รับเหรียญ LIBRA ไปใช้ฟรี เป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้หน่วย
เพียงเท่านี้ LIBRA ก็จะแพร่หลายไปทั่วโลกทันที เพราะอย่าลืมว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กปัจจุบันมีมากกว่า 2,400,000,000 คน กระจายกันอยู่ทั่วโลก
คนที่เคยใช้เงินบาท เงินดอลลาร์ เงินหยวน เงินเยน เงินยูโร หรือเงินสกุลอะไรก็ตาม ชำระเงินและโอนให้กันและกันอยู่ทุกที่วี่วัน ก็จะหันไปใช้ LIBRA กันบ้างล่ะ ไม่มากก็น้อย
แบบนี้มันต้องร้อนถึงรัฐบาลต่างๆ แน่นอน เพราะมันจะมาเจือจางให้อำนาจของรัฐบาล ซึ่งเป็นเจ้าของสกุลเงิน ผ่านธนาคารชาติของตนๆ ลดน้อยถอยลงไป
จึงไม่แปลกที่ LIBRA จะได้รับการต่อต้านในทันทีจากรัฐบาลและนักการเมืองที่กุมอำนาจส่วนใหญ่ ทั้งในสหรัฐฯ และประเทศสำคัญๆ (เราติดตามเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิดและจะรายงานให้ทราบเป็นต่างหากออกไป..โปรดติดตามงานบนเว็บของเรา)
เพราะหากปล่อย LIBRA ออกมาโดยง่าย แน่นอนว่ามันจะไม่หยุดที่ตรงนั้น ต่อไปกิจการยักษ์ใหญ่ทั้งหลายก็จะต้องออก Digital Currency ของตนมาใช้อย่างแน่นอน
Google, Amazon, Apple, JP Morgan ก็คงจ่อคิวอยู่ โดยขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ก็มีข่าวยืนยันแล้วว่า Walmart ประกาศว่าจะออก Digital Currency ของตัวเองอย่างแน่นอน
คิดดูว่าในหนึ่ง Walmart มีกิจการเกือบครบวงจรอยู่ในนั้น หากพ่อบ้านแม่บ้านที่ไปซื้อข้าวของใน Walmart พากันใช้เหรียญดิจิทัลของวอลมาร์ทกันหมด อำนาจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ย่อมลดลงไปอีก
ผมว่าคนคิดเรื่อง LIBRA เก่งที่สามารถนำเอาข้อดีของเงินดอลลาร์และของบิทคอยน์และหลักการของมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) มาผสมผสานกัน
ข้อดีของดอลลาร์คือมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซื้อง่ายขายคล่องทั้งหน่วยเล็กหน่วยใหญ่ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ และมีค่าค่อนข้างเสถียร ไม่ขึ้นลงหวือหวา ไม่ใช่วันนี้ซื้อไอติมได้สองแท่ง แต่พรุ่งนี้ซื้อได้แท่งเดียวหรือสามแท่ง ทว่าข้อเสียของดอลลาร์คือไม่มีทรัพย์สมบัติอันมีค่าเป็นทุนสำรอง (Reserve) หนุนหลังไว้เลย มีแต่แสนยานุภาพและระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เท่านั้นที่หนุนอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่คนหมดความเชื่อถือ เงินดอลลาร์ก็เป็นเพียงเศษกระดาษธรรมดา
ข้อดีของบิทคอยน์คือมีการเปิดเผยข้อมูลของทุกธุรกรรม (คือทุกการซื้อขาย การชำระเงิน และการโอนเปลี่ยนมือ) อย่างโปร่งใสและกลับไปลบแก้ไขย้อนหลังได้ยาก โกงและแฮ็คลำบาก ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Blockchain” ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นระบบดาต้าเบสหลักสำหรับบันทึกธุรกรรมของ Cryptocurrencies ทุกสกุล แถมยังสามารถเพิ่ม Smart Contract บนบล็อกเชนได้ด้วย (เกิดจากนวัตกรรมที่คิดขึ้นโดย Etherium) แต่ข้อเสียของบิทคอยน์ (และเงินคริปโตส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ Stable Coin) คือสภาพคล่องน้อยและราคาขึ้นลงหวือหวา ไม่เหมาะกับการนำมาใช้แทนเงินสดในชีวิตประจำวัน เหมาะกับการลงทุนหรือเก็งกำไรเท่านั้น
ข้อดีของมาตรฐานทองคำ ที่เคยใช้กันมาในระบบการเงินโลกยุคก่อน คือความเชื่อถือที่ทุกฝ่ายมีต่อค่าเงินสกุลสำคัญๆ ที่ร่วมอยู่ในระบบ เพราะต้องมีทองคำหนุนหลังเท่ากับมูลค่าเงินที่พิมพ์ออกมาใช้ และหากเกิดประเทศใดขาดดุลการค้าก็ต้องหาทางลดการนำเข้าทำให้ต้องประหยัดโดยอัตโนมัติ หรือมิฉะนั้นก็ต้องหาทางนำทองคำมาชำระ แต่ข้อเสียคือทองคำมีน้อย เมื่อการค้าของโลกเพิ่มมูลค่าขึ้น ระบบการเงินแบบนี้ก็เกิดปัญหา ประกอบกับหลายประเทศมิได้ยึดวินัยการใช้จ่ายตามที่ควรจะเป็น แต่ต่อมาก็ได้มีการนำหลักการทุนสำรองมาประยุกต์ใช้ด้วยแนวคิดที่เรียกว่า Currency Board คือแทนที่จะใช้ทองคำเป็นทุนสำรอง ก็เปลี่ยนมาใช้เงินตราสกุลหลักๆ หนุนหลังแทน
LIBRA หยิบเอาสภาพคล่องและเสถียรภาพของดอลลาร์ มาประกอบเข้ากับบล็อกเชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (แต่ก็ทำการอัปเกรดบล็อกเชนให้อนุมัติธุรกรรมเร็วขึ้น) อีกทั้งยังสามารถตัดนายหน้าคนกลางทิ้งไปในกระบวนการชำระเงินและโอนเงิน แล้วยังหนุนด้วยทุนสำรองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง คือจะออก LIBRA 1 หน่วยก็ต่อเมื่อมีผู้นำเงินสดสกุลใดสกุลหนึ่งมาแลกในอัตราแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่าเดียวกันเท่านั้น และเมื่อมีการแลกกลับ ระบบก็จะลบ LIBRA ทิ้งไปในจำนวนเท่ากัน ไม่ได้พิมพ์เงิน LIBRA ตามอำเภอใจ โดยจะมีหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ (Libra.org ตั้งอยู่ที่เจนีวา) ทำหน้าที่ดูแลบริหารเงินทุนสำรองที่รับแลกมานั้น (ตะกร้าเงิน) เพื่อให้ค่าเงิน LIBRA เกิดเสถียรภาพ
นั่นเท่ากับ Libra.org จะมีอำนาจยิ่งกว่าธนาคารกลางใดๆ และผู้ถือหุ้น LIBRA โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Facebook ในฐานะต้นคิดและผู้กุมกระเป๋าเงิน CALIBRA ก็จะมีอำนาจคุมเงินสกุลสำคัญของโลก ตลอดจนธุรกรรมทางการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนเครือข่ายจำนวนมหาศาล อีกทอดหนึ่ง
จึงยากสักหน่อยที่รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ จะยอมให้ LIBRA เกิดขึ้นโดยไม่ทักท้วงซักฟอกให้แน่ใจ คงต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่ขอบเขตอำนาจที่จะมาเบียดบังธนาคารกลางและการใช้อำนาจของรัฐบาล ตลอดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถาบัน
การเงินและอุตสาหกรรมอื่นๆ (Facebook ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี จึงประกาศมาล่วงหน้า ทั้งๆ ที่ในเชิงเทคโนโลยีและในเชิงเครือข่าย Ecosystem ที่มีอยู่ทั่วโลกแล้ว สามารถออก Cryptocurrency ของตัวเองได้เลยทันที)
แต่อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เพราะมันเลยจุดที่จะห้ามไว้ได้ไปแล้ว
เทคโนโลยีบล็อกเชนมันอนุญาตให้ใครก็ได้สามารถออก Cryptocurrency หรือเงินดิจิทัลของตัวเองมาใช้ในเครือข่ายได้อย่างง่ายๆ และการแพร่หลายของสมาร์ทโฟนกับอินเทอร์เน็ตก็ทำให้ธุรกรรมทางการเงินอยู่นอกการควบคุมของ “อำนาจรัฐใดรัฐหนึ่ง” คือมันมีลักษณะ “ลอดรัฐ” และ “ลอดพรมแดน”
รัฐบาลจีนรู้เรื่องนี้ดีอยู่เต็มอก เพราะที่ผ่านมาจีนประกาศแบนบิทคอยน์และเงินคริปโตทุกสกุล แต่คนจีนก็ยังคงเป็นผู้ลงทุนหลักในบิทคอยน์อยู่ในขณะนี้
Node ของบิทคอยน์นั้นกระจายไปยังหลายร้อยประเทศทั่วโลก การจะกำจัดมันได้ ต้องกำจัดทุก Node เพราะหากยังมี Node หลงเหลืออยู่เพียง Node เดียว มันก็จะสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้อีก
การกำจัดบิทคอยน์ให้ตายสนิทจึงมีวิธีเดียว คือต้องปิดระบบอินเทอร์เน็ตทั้งโลก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของรัฐบาลทุกรัฐบาล และธุรกรรมอื่นบนอินเทอร์เน็ตย่อมล่มสลายไปด้วย
ดูอย่างนี้แล้ว คงเดาได้ไม่ยากว่า เงินดิจิทัลที่เจ้าของมิใช่รัฐบาล แต่เป็นกิจการหรือกลุ่มกิจการที่มีเครือข่าย Ecosystem ของตัวเองสมบูรณ์อยู่แล้วทั่วโลก ย่อมต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
จะเป็น LIBRA หรือไม่เป็น LIBRA ก็หาใช่ประเด็นไม่
รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกมีทางเลือกเดียวคือ ‘ต้องปรับตัว’ เพราะจะเอาตัวเข้าขวางคลื่นยักษ์นี้ ก็ย่อมเสียเวลาเปล่า รังแต่จะเป็นการถ่วงหรือ Delay มิให้เทคโนโลยีพัฒนาไป และทอนพลังนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่ควรจะต่อยอดไปได้อย่างที่ควรจะเป็น
รัฐบาลและธนาคารกลาง จึงเหลือหนทางเดียว คืออาจต้องเทคโอเวอร์เงินคลิปโตหรือเงินดิจิทัลมาเป็นของตัวเสียเลย โดยชิงออกเงินของตัวเองและเซ็ตมาตรฐานให้ทุกคนต้องใช้ (หรืออาจร่วมมือกันในกลุ่มประเทศผู้กุมเงินสกุลสำคัญของโลก) เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วกับเงินตราที่เป็นเหรียญกษาปณ์และธนบัตร เพราะถ้าดูจากประวัติศาสตร์แล้ว ทั้งเหรียญเงินตราและธนบัตรที่ใช้กันในยุคแรก ก็มิใช่ของรัฐบาล เพียงแต่เมื่อมันแพร่หลายและได้รับความนิยมแล้ว รัฐบาลจึงเข้ายึดครองเสีย โดยออกกฎหมายห้ามคนอื่นหล่อหรือพิมพ์เงินมาแข่ง
เมื่อถึงวันนั้น รัฐก็จะเข้าครอบงำชีวิตราษฎรอย่างสมบูรณ์
รู้ว่าใครใช้จ่ายอะไร และจะอนุญาตให้ใครใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ (เช่นเด็กอายุไม่ถึง 15 จะใช้เงินดิจิทัลซื้อเหล้าไม่ได้) จะอายัดใครเมื่อไหร่และเท่าใดก็ได้ อีกทั้งยังบังคับเก็บภาษีได้ทันทีผ่าน Wallet ของตัวเอง
Big Brother และ Dystopia ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา มีโอกาสเป็นจริงก็คราวนี้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คนฉลาดๆ แบบท่าน คงรู้แล้วว่าจะแทงม้าตัวไหน และจบ้างะเลือกถือสินทรัพย์ประเภทใดเพิ่มขึ้น
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
พ.ย.2020