ราคาพิเศษเหลือเพียง 13,990 บาท จากราคาปกติ 17,990 บาท พร้อมของสมนาคุณเพียบ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2567

หัวเว่ยหนุนภาคการศึกษายกระดับโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมเผยโฉม “AirEngine Wi-Fi 7” โซลูชันเน็ตเวิร์คไร้สายมาตรฐานล่าสุดสำหรับองค์กรที่ให้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุด พร้อมแบนด์วิธที่กว้างขึ้น ตอบโจทย์การเรียนการสอนยุคอัจฉริยะ เช่น เมตาเวิร์ส และการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีเออาร์/วีอาร์

นายเชลดอน หวัง รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยในโอกาสร่วมงานประชุมวิชาการระหว่างประเทศของกลุ่มสมาชิกเครือข่าย Asia-Pacific Advance Network (57th APAN Meeting) ว่า แนวโน้มของเทคโนโลยีในภาคการศึกษากำลังเปลี่ยนแปลงจากการนำดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้งานเฉพาะบางส่วนสู่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้รองรับการทำงานแบบอัจฉริยะ ซึ่งหัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์เทคโนโลยีไอซีทีที่หลอมรวมไอซีทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อ การประมวลผลบนคลาวด์ บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์เข้ากับกระบวนการการศึกษาทั้งหมด เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในการเรียนการสอน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การจัดการ และบริการ

นอกจากนี้เทคโนโลยีของหัวเว่ยได้ผนวกรวมเครือข่ายแบบใช้สาย ไร้สาย สํานักงาน และเครือข่าย IoT เข้ากับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เครือข่ายออพติคและไว-ไฟ 7 เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายในสถานศึกษาและการวิจัย และอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะที่ปลอดภัย เสถียร และมั่นคง ซึ่งช่วยปรับปรุงความสามารถในการรองรับระบบบริการตลอดจนประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการสอนและการเรียนรู้ได้เปลี่ยนจากการใช้กระดานดําแบบเดิมๆ มาเป็นเครื่องมือมัลติมีเดีย จากการเรียนรู้ในสถานที่ตายตัวเป็นปัจจุบันทุกที่ทุกเวลา และจากการบรรยายเพียงอย่างเดียวเป็นการเรียนรู้ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น

การวิจัยทางวิทยาศาสตร์จําเป็นต้องแก้ปัญหางานด้านการประมวลผลและการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน และต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) การวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพสูง (HPDA) บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น

พร้อมเผยว่า หัวเว่ยได้เตรียมพร้อมนำเสนอความรู้และความเชี่ยวชาญจากการทำงานในอุตสาหกรรมระดับโลกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีซึ่งบริษัทมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลของภาคการศึกษา พร้อมด้วยโซลูชันสำคัญอย่าง “อินเทลลิเจนท์ เอ็ดดูเคชัน” ที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การสร้างสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและห้องเรียนให้มีความอัจฉริยะสามารถเรียนรู้ได้แบบสมจริง และส่งเสริมการพัฒนาทักษะได้ดียิ่งขึ้น

รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง “ไว-ไฟ 7” เข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการศึกษาด้วยมาตรฐานของเทคโนโลยีไร้สายใหม่ที่มีช่องสัญญาณกว้างขึ้น อัตราการดีเลย์ต่ำ

ในโอกาสนี้ หัวเว่ยยังได้จัดเวทีพิเศษ "Thailand Medical Research HPDA Infrastructure Innovation Panel" เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานนำทางการด้านการแพทย์และการวิจัยทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศิริราช ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติและโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ แนวทางการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยโซลูชัน HPDA การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของหัวเว่ยนําการออกแบบที่รองรับการทำงานขั้นสูงมาใช้ ทั้งในแง่ของความจุและประสิทธิภาพการทํางาน เพื่อประหยัดพื้นที่ห้องอุปกรณ์ได้อย่างมาก ส่งผลให้ต้นทุนรวม (TCO) ลดลง

เวทีเสวนาพิเศษนำโดยคุณประยุทธ ตั้งสงบ หัวหน้าคณะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ หัวเว่ย ประเทศไทย ผู้บริหารและบุคลากรสำคัญจากหน่วยงานชั้นนำทางการด้านการแพทย์และการวิจัยทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศิริราช ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติและโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร

ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า เทคโนโลยีบางอย่างเกิดขึ้นมาช่วงที่มี โควิด ซึ่งเราไม่ได้มีการเตรียมตั้งรับมาก่อนทำให้เกิดเป็นนวัตกรรม เช่น การใช้หูฟังตรวจคนไข้ผ่านบลูทูธเพื่อลดความเสี่ยงในการใกล้ชิดกับคนไข้ ซึ่งหลายๆอย่างก็ค่อยเริ่มพัฒนาและสร้างความร่วมมือกัน

ขณะที่ ผศ.อนุพล พาณิชย์โชติ ผู้จัดการโครงการปัญญาประดิษฐ์ด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ดาต้าที่ดีจะนำไปสู่การทำเอไอ และบิ๊กดาต้าที่ดี ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาต้องเก็บแบบที่สามารถนำไปใช้ในเชิงปฏิบัติได้ ซึ่งตอนนี้เราเก็บ EMR ทั้งรูปภาพและวิดีโอ แผนการในปีนี้คือ นำข้อมูลรูปภาพทางการแพทย์ที่เก็บแบบกระจัดกระจายตอนนี้มาจัดเก็บให้ดีขึ้น ซึ่งเรามุ่งหวังว่าข้อมูลที่มีระดับการเก็บที่ดีขึ้นก็น่าจะนำไปสู่การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ดีขึ้น

ศาสตราจารย์นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า จุดแข็งของไทยในอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร คือการให้บริการการแพทย์ ดูแลรักษาและป้องกัน ถ้าเราต่อยอดจุดแข็งของการเป็นผู้นำในด้านบริการ คือทำอย่างไรให้บริการของเราทำได้ดียิ่งขึ้น ใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลรักษาโรคซับซ้อน เราต้องหาความโดดเด่นของไทยให้เจอ อย่างน้อยในด้านการแพทย์แม่นยำคือ เรามีฐานข้อมูลพันธุกรรมของคนไทยขนาดใหญ่ ซึ่งมีความจำเพาะกับคนในภูมิภาคนี้ ข้อมูลนี้นอกจากใช้ได้กับคนไทย ยังสามารถต่อยอดกับประชากรในเขต CLMV ได้ด้วย และการบูรณาการเพื่อเชื่อมข้อมูลพันธุกรรมเข้ากับข้อมูลสุขภาพจะยิ่งสร้างความแตกต่างของการบริการทางการแพทย์เราได้มากยิ่งขึ้น

รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และเทคโนโลยีสุขภาพ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร เสริมว่า ความท้าทายสำคัญขณะนี้คือการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันของคณะแพทย์หรือแม้แต่คณะต่างๆ เอง เพื่อเกิดเป็นฐานข้อมูลสำคัญในอนาคต ซึ่งโรงพยาบาลของเรากำลังทำเรื่องของ Aging และ Telehealth ที่มีการนำอุปกรณ์ Wearable รวมถึงเอไอเข้ามาปรับใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์และนำไปสู่เทคโนโลยีเพื่ออนาคตได้

พร้อมกันนี้ หัวเว่ยยังได้เข้าร่วมนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการศึกษาภายในงาน APAN 57 ซึ่งจัดขึ้นในช่วงวันที่ 29 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด “Leading Infrastructure to Accelerate Education Intelligence” เพื่อมุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนการศึกษายุคใหม่ โดยได้นำเสนอโซลูชันไฮไลต์เพื่อสนับสนุนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานเครือข่ายไร้สายล่าสุด ซึ่ง Huawei Air-Engine Wi-Fi 7 ที่ให้แบนด์วิธสูง พร้อมรองรับการทำ e-classroom ที่สามารถใช้ภาพและเสียงได้อย่างคมชัดระดับเอชดีและการเรียนการสอนออนไลน์ที่สมจริงและสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ดีกว่าเดิม รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อรากฐานที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการเรียนการสอนยุคใหม่อย่าง Converged Campus Network และ Scientific Research HPDA ซึ่งมีจุดเด่นของขีดความสามารถในการประมวลผลขั้นสุด ประหยัดพลังงานและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบบองค์รวมภายใต้ Digital Talent Ecosystem ซึ่งมีเป้าหมายในการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้านไอซีทีให้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมให้ได้ 50,000 คน ภายในปี 2570

HUAWEI FreeClip เตรียมเปิดขาย 2.2 นี้ พร้อมโปรโมชันพิเศษที่ Shopee กับราคาต่ำสุดเพียง 5,092 บาท[1] จากราคาปกติ 6,490 บาท เมื่อใช้ร่วมกับโค้ดลดจากหัวเว่ยมูลค่า 500 บาท เพียงใส่โค้ด HWFCFEB1 เมื่อช้อปขั้นต่ำ 5,700 บาท และคูปองส่วนลดเพิ่มจาก Shopee 15% สูงสุด 1,000 บาท ไม่มีขั้นต่ำ เพียงใส่โค้ด 15MALL22 นอกจากนี้ยังรับฟรีของสมนาคุณมูลค่าสูงสุดอีก 3,487 บาท พร้อมโปรบัตรเครดิตที่ร่วมรายการผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน ที่ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบน Shopee ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 วันเดียวเท่านั้น งานนี้ใครเล็งหูฟังสายแฟชันใหม่ไว้บอกเลยห้ามพลาด!!

สามารถติดตามรายละเอียดโปรโมเพิ่มเติมได้ที่นี่ ติดตามข่าวสารก่อนใครได้ที่  HUAWEI Mobile TH สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อสินค้า คอมมิวนิตี้ และบริการ ง่ายๆ ในคลิกเดียว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My HUAWEI ใน AppGallery

หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

[1] ราคาต่ำสุดวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 โค้ดลดและของแถมมีจำนวนจำกัด

 

หูฟังแบบ Open-ear ถือเป็นหูฟังตัวเลือกเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้ใช้งาน เนื่องจากสำหรับผู้ใช้จำนวนมาก หูฟัง In-ear อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้หลากหลาย ถึงแม้ว่าหูฟังแบบ In-ear จะเหมาะสำหรับผู้รักเสียงเพลง แต่ด้วยการออกแบบแล้วทำให้มีแนวโน้มที่จะเลื่อนและหลุดออกจากหูได้ และอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหากสวมใส่เป็นเวลานาน หัวเว่ยได้เล็งเห็นกับปัญหาเหล่านี้จึงได้พัฒนาหูฟังรุ่นแรกที่มาในรูปแบบ Open-ear อย่าง HUAWEI FreeClip ด้วยการออกแบบ C-bridge อันเป็นเอกลักษณ์ เปิดกฎเกณฑ์ของการออกแบบใหม่ เพื่อการสวมใส่สบายแต่มีสไตล์สำหรับความต้องการที่หลากหลาย วันนี้หัวเว่ยจะมาสรุปข้อดีของหูฟังแบบ Open-ear ที่จะสร้างความแตกต่างจากหูฟังรูปแบบที่เดิมเพื่อการฟังที่สบายกว่าเคย

มั่นใจทุก movement เอาใจสายแอคทีฟ ฟิตเนส

หัวเว่ยใช้เวลา 3 ปี ในการออกแบบ C-bridge ให้เหมาะกับหูประเภทต่างๆ ตามหลักสรีรศาสตร์ แต่ยังให้ความปลอดภัยและความสบาย ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 5.6 กรัม[1] และมุมเอียง 11 องศา ซึ่งช่วยให้หูฟังแนบไปกับหูของผู้ใช้ระหว่างการกระโดด วิ่ง และเคลื่อนไหวไปมาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าหูฟังจะหลุดระหว่างการออกกำลังกาย รวมทั้งแม้ในขณะที่มีเหงื่อออกด้วยการรองรับความสามารถในการกันน้ำและเหงื่อระดับ IP54 ทำให้ผู้ใช้มั่นใจในการออกกำลังกายโดยไม่ต้องกลัวว่าเอียร์บัดจะเสียหาย อีกทั้งรูปแบบหูฟังแบบเปิดยังช่วยให้หูของผู้ใช้ระบายอากาศได้ดีขึ้นอีกด้วย

ไม่สูญเสียเสียงสัมผัสรอบตัว

HUAWEI FreeClip ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการเพลิดเพลินกับเสียงเพลงโดยไม่สูญเสียสัมผัสสิ่งรอบข้าง ด้วยเทคโนโลยีระบบเสียงแบบ Open Ear ที่ช่องหูไม่ได้ถูกปิดกั้นจนสุด ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดื่มด่ำไปกับเพลงโปรดของพวกเขาในขณะที่ยังคงสามารถฟังบรรยากาศโดยรอบได้ ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งสําหรับผู้ใช้งาน เช่น นักวิ่งมาราธอนที่ต้องการตระหนักถึงคนเดินเท้าและการจราจรรอบ ๆ ตัวพวกเขา เพื่อความปลอดภัยเมื่อวิ่งในเมือง ผู้ใช้ที่ฟังเพลงขณะขับรถด้วย แต่ต้องการระวังเสียงจราจร เป็นต้น

ระบบเสียง Open Sound ช่วยให้เสียงอยู่ใกล้กับช่องหูมากขึ้น

การออกแบบ C-bridge ช่วยให้เสียงอยู่ใกล้กับช่องหูมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของเสียง แก้ปัญหาที่พบบ่อยด้วยหูฟังแบบเปิดหูอื่นๆ ที่มักจะมีช่องเสียงอยู่ห่างจากหูมากเกินไป ด้วยระบบเสียง Open Sound แบบวงจรแม่เหล็กคู่ความไวสูงและไดรฟ์แอมพลิจูดขนาดใหญ่ ซึ่งรักษาความชัดเจนของเสียง ไดรเวอร์ยูนิตความไวสูงแบบแม่เหล็กคู่จะเพิ่มความเข้มของการเหนี่ยวนำแม่เหล็ก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการขับเคลื่อนของลำโพงสร้างคุณภาพเสียงที่ทรงพลังและดึงโทนเสียงที่แตกต่างกันของเพลงที่ผู้ใช้ฟัง ตั้งแต่เสียงเบสที่ก้องกังวานไปจนถึงเสียงแหลมของเพลง อีกทั้งยังมีระบบเสียงแบบ Reverse Sound Field Acoustic System ปรับระดับเสียงแบบอัจฉริยะในขณะที่ยกเลิกคลื่นเสียงอย่างละเอียด ป้องกันการรั่วไหลของเสียงของจากมุมต่าง ๆ ได้สูงถึง 6-17 dB นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณกำลังทำงานหรือรับสายส่วนตัวในลิฟต์สาธารณะหรือสำนักงานในขณะที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน

Fashion Farward: สไตล์ที่เหมาะกับทุกชุดและทุกโอกาส

HUAWEI FreeClip เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากกลยุทธ์ Fashion Forward ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มใหม่ของหัวเว่ยในการเปลี่ยนเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ให้กลายเป็นแฟชั่น รูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวแม้จะมีความซับซ้อนทางเทคนิค

ตอบโจทย์ทุกการส่วมใส่ไปได้ทุกที่อย่างมีสไตล์ ตั้งแต่ออฟฟิศ ยิม ไปจนถึงงานดินเนอร์สุดหรู ด้วยดีไซน์คล้ายต่างหูที่มีให้เลือกสองสีอย่างมีสไตล์ได้แก่ สีม่วง และ สีดำ ทำให้ HUAWEI FreeClip แทบจะเป็นเครื่องประดับที่เข้ากันกับเสื้อผ้าทุกชุด และยังตอบสนองความต้องการที่หลากหลายอีกด้วย

เป็นเจ้าของก่อนใครกับโปรโมชันสุดคุ้ม 2.2 นี้

HUAWEI FreeClip วางจำหน่ายในราคา 6,490 บาท พร้อมโปรโมชัน รับฟรี HUAWEI Band 8 มูลค่า 1,899 บาท กระเป๋าหูฟัง มูลค่า 599 บาท จำกัด 50 สิทธิ์แรกเฉพาะช่องทางออนไลน์ บริการดูแลหูฟัง HUAWEI Loss Care มูลค่า 499 บาท (1 ข้าง 1ปี ในราคาส่วนลด 50%) เมื่อสั่งซื้อตั้งแต่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ทางหน้าร้าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รวมทั้งช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ HUAWEI Store ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบนแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หัวเว่ยยังเข้าร่วมโครงการ “Easy E-Receipt 2024” ช้อปสูงสุด 50,000 บาท รับคืนสูงสุด 17,500 บาท

สำหรับลูกค้าที่ซื้อ HUAWEI FreeClip ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถเข้าร่วมโครงการนำใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรได้[2]


[1]   น้ำหนักจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต

[2] จะสามารถหักภาษีได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการยืนยันของกรมสรรพากร

ภูมิทัศน์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่าง ๆ รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ในปัจจุบัน หลายองค์กรได้บูรณาการความปลอดภัยทางไซเบอร์เข้าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ซึ่งหมายความว่าหลายภาคอุตสาหกรรมจะต้องการผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเติมเต็มความต้องการที่กำลังเติบโตในสายงานด้านนี้ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ยังขาดแคลนความแตกต่างหลากหลายของผู้มีความรู้ความสามารถ ความไม่สมดุลของจำนวนเพศชายและหญิงยังคงปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในสายงานด้านนี้ โดยพบว่า ในปี 2565 มีผู้หญิงจำนวนคิดเป็นสัดส่วนแค่ 25%[1] ที่ทำงานในด้านนี้ ทั้งนี้ ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ต่างพยายามอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมผู้มีความรู้ความสามารถเพื่อให้รองรับกับความท้าทายที่เกิดจากอาชญากรไซเบอร์ในปัจจุบัน  หนึ่งในความพยายามดังกล่าวคือความร่วมมือระหว่างหัวเว่ย และ สกมช. ในการจัดการแข่งขัน 'Women Thailand Cyber Top Talent 2023' โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความรู้ความสามารถให้แก่แรงงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างภูมิทัศน์ดิจิทัลที่แข็งแกร่งและสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้กล่าวถึงโครงการจัดการแข่งขันครั้งนี้ว่า “ในประเทศไทยมีจำนวนผู้หญิงที่ทํางานในสายไซเบอร์ซีเคียวริตี้คิดเป็น 3% ของแรงงานทั้งหมด เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 10% เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับหัวเว่ยในการเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์หญิงในประเทศและส่งเสริมความหลากหลายทางเพศให้กับอุตสาหกรรมไอทีด้วยการจัดการแข่งขัน ‘Women Thailand Cyber Top Talent 2023’ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เรียนรู้ เพิ่มทักษะ และพัฒนาประสบการณ์ ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นอกจากนี้ หัวเว่ย และ สกมช. ไม่เพียงแต่มองเห็นการเสริมศักยภาพของผู้หญิงในด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เท่านั้น แต่ทั้งสององค์กรมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตซึ่งให้ความสำคัญกับความหลากหลายซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของนวัตกรรมและความเป็นเลิศในโลกดิจิทัลที่พัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว”

การแข่งขัน ‘Women Thailand Cyber Top Talent 2023’ ประกอบไปด้วยการแข่งขันในรอบคัดเลือกผ่านระบบออนไลน์ มีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 218 ทีมจากสามระดับ ได้แก่ ระดับนักเรียน (Junior) ระดับนักศึกษา (Senior) และระดับประชาชนทั่วไป (Open) รวมผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 ระดับ กว่า 407 คน และมีการจัดการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศแบบออนไซต์ เพื่อเฟ้นหาทีมชนะเลิศในแต่ละระดับจากทีมที่ได้รับคัดเลือกจํานวน 30 ทีม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้าน ICT ให้แก่ผู้หญิงและผู้มีเพศสภาพหญิง ซึ่งจะปูทางไปสู่การสร้างผู้มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันยังเป็นการยกระดับความรู้ ทักษะ ให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้ และยังช่วยให้ประเทศไทยมีแรงงานความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอกับความต้องการในปัจจุบันและในอนาคต

น.ส. พิมพ์ชนก อุตตะมี ตัวแทนผู้ชนะจากทีม 'NR01' ในระดับนักเรียน (Junior) กล่าวว่า "การได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน ‘Women Thailand Cyber Top Talent 2023’ ถือเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นครั้งแรก ประสบการณ์ที่ได้รับค่อนข้างเป็นสิ่งใหม่ซึ่งช่วยเปิดโอกาสอันมากมายให้ได้เรียนรู้และแสดงความสามารถ และทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์มากขึ้น ในฐานะผู้หญิงยุคใหม่ซึ่งมีความสนใจในสายงานด้านนี้ บทบาทสำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ การเผยแพร่ความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่ผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ และเราทุกคนล้วนแล้วแต่สามารถส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกของเยาวชนไทยในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ ด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติหรือการรู้เท่าทันถึงภัยคุกคามไซเบอร์”

“เทคโนโลยีจากหัวเว่ยและองค์กรเอกชนอื่น ๆ จะมีบทบาทอย่างมากในการช่วยยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีที่สามารถตรวจจับและป้องกันกิจกรรมที่ละเมิดกฎหมายไซเบอร์ เช่น การใช้ประโยชน์จาก AI ในการตรวจจับและคาดการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ นอกจากนี้ การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนความรู้ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในการเสริมสร้างความเข้าใจอันแข็งแกร่งเกี่ยวกับความรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับคนไทย” น.ส. พิมพ์ชนก กล่าวเสริม

ร.ท.หญิง รติรส แผ่นทอง ร.น. และ จ.ส.ต.หญิง ณัฐธยาน์ เรื่อศรีจันทร์ จากทีม ‘hacKEr4nDtHECA7-1’ ในระดับประชาชนทั่วไป (Open) กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนศูนย์ไซเบอร์ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งปฏิบัติงานด้านไซเบอร์ของกองทัพไทยโดยตรง เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ เพราะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพหน่วยงานของเราในการปกป้องความปลอดภัยระบบนิเวศทางไซเบอร์ของประเทศไทย อีกทั้งเป็นการวัดระดับขีดความสามารถของพวกเราเมื่อเทียบกับบุคคลภายนอก พร้อมเป็นการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและการพัฒนาทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริงในกับหน่วยงานได้”

“เราอยากจะสนับสนุนให้ผู้หญิง หรือผู้ที่มีเพศสภาพเป็นหญิง รวมไปถึงเพศสภาพอื่นๆ (LGBTIQA+) ให้ลองออกมาทำในสิ่งที่ท้าทายตัวเองมากขึ้น เช่น การเพิ่มความรู้ด้านเทคโนโลยี ด้วยการยกระดับทักษะและการเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมศักยภาพแรงงานดิจิทัลของทั้งอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การสร้างสรรค์ให้เกิดความหลากหลายภายในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้วยการเพิ่มจำนวนผู้หญิงและผู้ที่มีเพศสภาพเป็นหญิง (LGBTIQA+) จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มจำนวนผู้มีความรู้ความสามารถและส่งเสริมไอเดียนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งนี้ ความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามของหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ภาคเอกชนก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ดังเช่นหัวเว่ยซึ่งให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญ และบุคลากรมาโดยตลอด ความร่วมมือนี้จะมีส่วนช่วยในการสร้างภูมิทัศน์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งสำหรับประเทศต่อไป” ร.ท.หญิง รติรส กล่าวเสริมในตอนท้าย

ทั้งนี้ หัวเว่ยดำเนินงานในประเทศไทยมาเป็นเวลา 24 ปี และบริษัทได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็วของประเทศ เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลและเพิ่มศักยภาพให้กับบุคลากรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับเหล่าพาร์ทเนอร์รายสำคัญ สร้างสรรค์มาเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะ ช่วยให้ประเทศเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ตามพันธกิจ ‘เติบโตในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย’ (In Thailand, For Thailand) และ ‘ก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’ (Leading Everyone Forward and Leaving No One Behind) ของหัวเว่ย บริษัทจะยังคงลงทุนในประเทศไทยต่อไปเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับสถานะของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค


[1] https://cybersecurityventures.com/women-in-cybersecurity-report-2023/

X

Right Click

No right click