

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำทีมโดย นายปรัชญ์ สิงหเสนี (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมแสดงความยินดีกับตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน ที่สามารถพิชิตการแข่งขัน “รางวัลคุณวุฒิตัวแทนยอดเยี่ยมแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2566” (National Agent Awards - NAA 2023) จัดโดย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (ThaiFA) ภายใต้ Concept “The Reflection of Success” ซึ่งในครั้งนี้ มีสุดยอดตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติรวมทั้งสิ้น 10 ท่าน

กรุงเทพประกันชีวิต ขอเชิดชูเกียรติประวัติความภาคภูมิใจ และขอแสดงความยินดีกับสุดยอดนักขายมือทองทุกท่านผู้ผลิตผลงานคุณภาพและมีความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศ พร้อมเคียงข้างสร้างความมั่นคงทางการเงินแก่ประชาชนและสังคมไทยให้ก้าวไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ (อรุณอัมรินทร์) กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
เอ็น.ซี.ซี.ฯ จัดงาน Wedding Fair 2023
“เอ็น.ซี.ซี.” เปิด 3 งานใหญ่ด้านการท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ "Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest 2023" (ไทยแลนด์กอล์ฟ แอนด์ ไดฟ์ เอ็กซ์โป พลัส เอาท์ดอร์ เฟสท์ 2023) ยกขบวนสินค้า บริการจากในและต่างประเทศเอาใจสายเที่ยว กีฬากอล์ฟ ดำน้ำ และกิจกรรมกลางแจ้ง มั่นใจ 4 วัน เงินสะพัด 180 ล้านบาท ด้าน ททท. หนุนจัดงานฯ หวังเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ กำลังซื้อสูง นักท่องเที่ยวกลุ่มความสนใจพิเศษ ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้จัดงาน "Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest 2023" (ไทยแลนด์กอล์ฟ แอนด์ ไดฟ์ เอ็กซ์โป พลัส เอาท์ดอร์ เฟสท์ 2023) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ส่งเสริมให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน และดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งการจัด 3 งานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการท่องเที่ยว ทั้งด้านกีฬากอล์ฟ ดำน้ำ และท่องเที่ยวแนวกิจกรรมกลางแจ้ง หรือ Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest 2023 ระหว่างวันที่ 18-21 พฤษภาคมนี้ ณ ฮอลล์ 6-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถือเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศในภาพรวม โดยการจัดงานในครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อีกด้วย
ภายในงานได้รวบรวมสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวจากกลุ่มผู้ประกอบการกว่า 450 บูธ จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ และยังมีแพ็กเกจต่าง ๆ พร้อมส่วนลดสูงสุดกว่า 80% ไว้ให้เลือกช้อปกันมากมาย ซึ่งคาดว่าตลอดระยะเวลาการจัดงานจะมีมูลค่าเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 180 ล้านบาท

สำหรับการจัดงาน "Thailand Dive Expo" มหกรรมธุรกิจท่องเที่ยวดำน้ำครบวงจร ได้รวบรวมสินค้าและบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวดำน้ำ อาทิ คอร์สเรียน และทริปดำน้ำทั้งในและต่างประเทศ รีสอร์ทใกล้แหล่งดำน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำแบรนด์ดัง อุปกรณ์ถ่ายภาพ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการภาพถ่ายใต้น้ำจากการประกวด “TDEX Underwater Photo Contest ครั้งที่ 16” และยังมีกิจกรรมสร้างจิตสำนึกการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยร่วมมือกับหลากหลายองค์กรในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ได้แก่ โครงการรักษ์ทะเล ร่วมกับ CPAC และ SCG สร้างปะการังเทียม คืนความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์ทางทะเล โดยผู้เข้าชมงานสามารถร่วมโหวตรูปแบบชิ้นงานปะการัง เพื่อนำไปจัดสร้างและนำไปวางใต้ท้องทะเล อ.สัตหีบ จ.ระยอง, โครงการ “TDEX You Give…We Share” ร่วมกับเพจ “DNA บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัคร” นำชุดดำน้ำและอุปกรณ์มือสองสภาพดี บริจาคให้กับมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในปฏิบัติการกู้ภัยสาธารณประโยชน์, โครงการจัดทำกระเป๋าผ้าร่วมกับ คุณเเม็ค ศิลปินวาดภาพที่มีนามปากกาว่า เเม็คชา (Mackcha) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Connect the Dot” บอกเล่าเรื่องราวของ ชาล็อต เด็กผู้หญิงผู้เป็นตัวแทนของความฝัน ที่ได้ผจญภัยเคียงข้างไปกับฉลามวาฬ เพื่อพบเจอโลกใบใหม่ที่น่าตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน โดยรายได้จากการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบให้มูลนิธิผู้พิทักษ์ป่าและรักษาทะเล (FMRF), โครงการ “มาหยา Shark Watch Project” กับ “Love Wildlife” เพื่ออนุรักษ์ฉลามในอ่าวมาหยา และกิจกรรมเสวนา “TDEX Divers Talk” แชร์ประสบการณ์ด้านการดำน้ำ จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และ Influencers ชื่อดังจากหลากหลายวงการท่องเที่ยวและกีฬา
งาน "Thailand Golf Expo" งานแสดงสินค้าและบริการสำหรับผู้ชื่นชอบกีฬากอล์ฟ ซึ่งจะมีผู้ประกอบการชั้นแนวหน้าเข้ามานำเสนอแพ็คเกจกรีนฟีสนามกอล์ฟ การเปิดบูธจำหน่ายอุปกรณ์กอล์ฟ อุปกรณ์เสริม ชุดกีฬากอล์ฟหลากหลายแบรนด์ดัง พร้อมกิจกรรมไฮไลท์ที่ได้รับความสนใจในทุกๆปี คือการแข่งขันกอล์ฟ “1 พัตต์ 1 แสน” และกิจกรรมกอล์ฟ “Swing Quick Fix” จาก Golfing Ground Performance Center เพื่อพัฒนาขีดความสามารถนักกอล์ฟทุกระดับตั้งแต่มือใหม่จนถึงระดับโปรทัวร์

สำหรับงาน "Outdoor Fest" งานที่รวมกิจกรรมท่องเที่ยวและกีฬากลางแจ้ง บก-น้ำ-อากาศ มาไว้ในที่เดียว โดยจะมีผู้ประกอบการชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ นำสินค้าและบริการมาจำหน่าย อาทิ อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง เดินป่า โดรน SUP Board Surfboard เจ็ทสกี คายัค ที่พักรีสอร์ต รวมถึงแพ็คเกจท่องเที่ยวเชิงผจญภัย พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรมเสวนาบนเวทีร่วมกับ Coffee Traveler ในพื้นที่ “Cozy Coffee in Camp” บรรยากาศแคมป์ปิ้งที่มีทั้ง Slow Bar และ Speed Bar ให้ได้นั่งจิบกาแฟ พร้อมร่วมพูดคุยกับแขกรับเชิญ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมไลฟ์สไตล์ “Camp” และยังมีกิจกรรมสนุกๆ ท้าทายความสามารถ อาทิ การแข่งขันปีนหน้าผาจำลอง “Thailand Bouldering Competition” ครั้งที่ 10 ชิงเงินรางวัล และร่วมกับ Decathlon จัดกิจกรรมการแข่งขันกางเต็นท์ “Tent set up challenge”
“ในปีนี้ เราได้ร่วมมือกับ Lazada จัดแคมเปญเพื่อแจกคูปองส่วนลด on top พิเศษ เมื่อซื้อสินค้าและบริการภายในงานนี้ผ่านช่องทางออนไลน์แพลตฟอร์มในช่วงเวลาการจัดงานด้วย และสำหรับผู้ลงทะเบียนเข้าชมงาน นอกจากได้ของถูกใจแล้ว ยังมีสิทธิ์ได้ร่วมลุ้นรับรางวัลใหญ่กลับบ้าน อาทิ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับในประเทศจาก Thai Smile และ Thai Vietjet คอร์สเรียนดำน้ำ ทริปดำน้ำ อุปกรณ์กอล์ฟ และของที่ระลึกมากมาย” นายศักดิ์ชัย กล่าว

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การท่องเที่ยวกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วงต้นปี 2566 ตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงเดือนมีนาคม มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ในไทยกว่า 78 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 464,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการท่องเที่ยวของไทยเรากลับมาคึกคักใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติแล้ว
ทั้งนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับทุกๆกลุ่มเป้าหมาย จึงได้กำหนดนโยบายและแผนงาน ในการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของพฤติกรรมนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นการตอกย้ำความพร้อมและศักยภาพของสินค้าและบริการ รวมไปถึงการร่วมสนับสนุนการจัดงาน Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest มาอย่างต่อเนื่อง ที่มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวกลุ่มความสนใจพิเศษ ที่ชื่นชอบกิจกรรมท่องเที่ยวกลางแจ้ง อาทิ การดำน้ำ การเล่นเซิร์ฟบอร์ด การเดินป่า ตั้งแคมป์ และกิจกรรมกอล์ฟ เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยมีสนามกอล์ฟที่มีมาตรฐานอยู่หลายแห่ง และแหล่งดำน้ำทางภาคใต้ของไทยก็เป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก นอกจากนี้การท่องเที่ยวกลางแจ้งในรูปแบบแคมป์ปิ้งที่เป็นกระแสนิยมอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยว Gen-Y และกลุ่มผู้มีรายได้สูง

โดยความพิเศษของปีนี้ ททท.มีแนวคิดที่จะต่อยอดการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา เข้ากับการส่งเสริมวัฒนธรรม Soft Power 5F ได้แก่ อาหาร (Food), ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film), การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion), ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย (Fighting) และเทศกาล (Festival) ซึ่งนับเป็นการท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ด้วยเช่นกัน โดยนอกจากจะเป็นสร้างรายได้ที่เกิดจากการใช้จ่ายในกิจกรรมดำน้ำ กอล์ฟ และแคมป์ปิ้ง รวมไปถึงค่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังสามารถกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนท้องถิ่นด้วยการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังสอดแทรกแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแก่นักท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ต่อทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาภายใต้แนวคิด BCG Model และยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest 2023 ได้ระหว่างวันที่ 18-21 พฤษภาคมนี้ ณ ฮอลล์ 6-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก (Southeast Bangkok University) หรือ SBU
แบรนด์ บำรุงราษฎร์ (Bumrungrad) เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงก็คือ การจัดอันดับ โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2566 (World's Best Hospitals 2023) โดย นิตยสาร Newsweek ซึ่งบำรุงราษฎร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศไทย 3 ปีซ้อน และยังเป็นสถานพยาบาลจากประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่มีชื่อเข้าไปอยู่ในลิสต์ 250 อันดับแรกของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลจากแพทย์, ผู้บริหารโรงพยาบาล, บุคลากรทางการแพทย์ รวมกว่า 80,000 ราย จากโรงพยาบาล 2,300 แห่ง ใน 28 ประเทศ
เรียกว่าดังแบบไม่ต้องตะโกนเอง เพราะ บำรุงราษฎร์ ได้ 93 คะแนน เป็นอันดับหนึ่งของโรงพยาบาลในประเทศไทย และจัดอยู่ในอันดับ 182 จาก 250 อันดับของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลกประจำปีนี้ จุดสนใจของทีม MBA จึงอยู่ที่ เภสัชกรหญิง อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ว่ามีแนวคิด วางกลยุทธ์การบริหารธุรกิจโรงพยาบาล และมองเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพแบบไหน และจะพาธุรกิจโรงพยาบาลก้าวต่อไปในทิศทางใด อย่างไร
ภญ.อาทิรัตน์ เปิดเผยว่า ในช่วงหลังโควิด-19 มีผู้ป่วยที่มารับบริการจากโรงพยาบาลเป็นคนไทยและชาวต่างชาติแบบครึ่งต่อครึ่ง แต่ในด้านรายได้ มาจากชาวต่างชาติ 66-67% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการรักษา ‘โรคที่รักษายากและมีความซับซ้อน’
“เดิมคนนิยมเข้ามาเสริมความงาม ทำพลาสติก เสริมสวย เสริมจมูก ทำตาสองชั้น ทำฟัน ทำรากฟันเทียม แต่ระยะหลังๆ เราพบว่าประเทศไทยมีชื่อเสียงในด้านการรักษาพยาบาลเทียบเท่ากับประเทศอเมริกาหรือแม้กระทั่งสิงคโปร์ เพราะฉะนั้นโรคที่ผู้ป่วยชาวต่างชาตินิยมเดินทางมารักษาที่บำรุงราษฎร์จะเป็นโรคมะเร็ง โรคทางสมอง โรคทางสโตรก โรคหัวใจ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าหรือข้อสะโพกเทียม หรือแม้กระทั่งการผลิตเด็กหลอดแก้ว หรือที่เรียกว่า IVF”
ชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาตัว หลักๆ เป็นกลุ่มตะวันออกกลาง ประเทศเพื่อนบ้านก็มีเมียนมา มากเป็นอันดับหนึ่ง แล้วก็มีกาตาร์ คูเวต กัมพูชา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ซีอีโอบำรุงราษฎร์เล่าย้อนถึง Medical Tourism หรือ ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่ยังมีโควิด ว่ามีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดการณ์ว่า ปี 2028 ธุรกิจจะโตขึ้นเกือบ 4 เท่า หรือประมาณ 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และข้อได้เปรียบของเมืองไทยคือ เมืองไทยมีภูเขา ทะเล แม่น้ำ มีศักยภาพและมีเอกลักษณ์ แม้กระทั่งวัฒนธรรมในแต่ละแห่งก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเข้ามารักษาตัวแล้วได้ท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทยด้วย เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ
นอกเหนือจากการรักษาพยาบาล ภญ.อาทิรัตน์ บอกว่า โรคโควิด-19 เกิดขึ้นและระบาดเกินความคาดหมาย คนที่ภูมิคุ้มกันไม่ดีหรือมีโรคประจำตัวจึงมีความเสี่ยงสูงกว่าคนอื่น ประเด็นนี้ทำให้ผู้คน ‘หันกลับมามองสุขภาพของตัวเองมากขึ้น’ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสในอุตสาหกรรมด้าน Wellness ของบำรุงราษฎร์
“คนเริ่มพูดถึงสุขภาพในเชิงป้องกันมากขึ้น ตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด ซึ่งใน Mission ของบำรุงราษฎร์เอง เรามองเรื่องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมา 22 ปีแล้ว เราจึงก่อตั้งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ตอนที่เราพล็อตกราฟในอนาคตนั้น เทคโนโลยีไม่ได้ทันสมัยเหมือนยุคนี้”

ภญ.อาทิรัตน์เล่าต่อว่า บำรุงราษฎร์สร้าง VitalLife Scientific Wellness Center หรือ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับการแพทย์เชิงป้องกันหรือการชะลอปัจจัยที่อาจมีผลต่อสุขภาพ ซึ่งจะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี มีอายุยืนยาวขึ้น จากนั้นอธิบายคำว่า Wellness ว่าไม่ใช่สปา ไม่ใช่สถานเสริมความงามอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็น การมีสุขภาพที่ดี ซึ่งส่งผลต่อ Longevity หรือ การทำให้สุขภาพดี มี Health Span - Life Span ยืนยาว
“การมีอายุ 100 ปีในยุคนี้ นับว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก อนาคตรุ่นลูกรุ่นหลานจะว่ากันที่อายุ 120-130 ปี เพราะน้องๆ ในวัย 20 30 ก็เริ่มดูแลตัวเองแล้ว รู้ว่าทำดีท็อกซ์ยังไง ออกกำลังกายยังไง กินวิตามินยังไง และเริ่มหันมามองอาหารสุขภาพ ซึ่งเราว่ามูลค่าการตลาด Wellness จะสูงมาก เพราะเราพบว่า เมื่อปี 2020 ตลาด Wellness มีมูลค่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมหาศาลมาก และไม่เกิน 5 ปีจะโตขึ้นเกือบเท่าตัว มาอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของบำรุงราษฎร์ที่เราปรับจากการเป็น Holistic healthcare with innovation มาเป็น The most trusted health and wellness destination”

ไม่มีใครอยากเจ็บไข้ได้ป่วย คำแนะนำจากเภสัชกรหญิงคือ เราต้องดูแลสุขภาพโดยการ ‘ส่งเสริมดูแลตั้งแต่ยังไม่เป็นอะไรเลย’ แต่หากเป็น ก็ต้องรักษา เช่น โรคมรดกที่ได้รับมาจากคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย หากมีโรคจากพันธุกรรมบางชนิดก็ต้องดูแลสุขภาพต่อไปเรื่อย ๆ
“ถ้าเกิดครอบครัวมีคนเป็นมะเร็งทุกเจเนอเรชันเลย แจ็คพอตจะตกที่เราไหม? หรือมะเร็งต่อมลูกหมากจะตกที่เราไหม? ตรงนี้เราเรียกว่า มีโอกาส-อาจจะเป็น ที่ผ่านมา การตรวจเจอมะเร็งที่เราเห็นพัฒนาออกมาเป็นก้อนแล้ว แสดงว่าเป็นมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่เดี๋ยวนี้เรามีนวัตกรรมการตรวจเจอเซลล์มะเร็งในเลือด ในระบบไหลเวียนเลือด ทำให้รู้ตั้งแต่เนิ่นๆ”
เทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก นอกจากการตรวจ วินิจฉัยและแนวทางรักษามะเร็งก็พัฒนาสู่ ‘การรักษามะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง’ ซึ่งบำรุงราษฎร์ก็มองเห็นเทรนด์นี้
“กลับไปดูที่วงการยารักษามะเร็ง เขาก็จะปรับยาให้เป็น personalized เมื่อก่อนเวลาเป็นมะเร็งก็จะมียากิน แล้วมี side effect หรือบางคนฉายแสงแล้วร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือทนได้ แต่ตอนนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ถ้าเจอในระยะแรกๆ แล้วมารักษา ก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น อายุขัยของคนไข้ยืนยาวขึ้น”
หรือกรณีไม่มีโรคที่ถ่ายทอดต่อๆ กันมาทางพันธุกรรม ทางโรงพยาบาลก็สามารถตรวจเลือดเพื่อให้รู้ก่อน ระวังก่อนได้ เช่น การตรวจยีนแพ้ยาในเด็ก
“เด็กไม่สบาย กินยา แพ้ยา ก็ต้องมาหาหมออีก แล้วก็แพ้อีก เราจึงมีการตรวจยีนที่ตรวจเจอแม้กระทั่งว่า ยาอะไรที่กินแล้วอาจจะไม่ได้ผล คือต้องเพิ่มโดสมากขึ้น เพราะสมัยก่อนเวลาคนคิดสูตรยาจะให้กินตามน้ำหนักตัวเท่านั้นเท่านี้ แต่ตอนนี้มันต้อง Custom ได้ ยีนแบบนี้จะต้องกินยาชนิดนี้ มากกว่าหรือน้อยกว่าปกติ ยิ่งแพ้ยาก็ยิ่งมีโอกาสเกิดการแพ้ยา ดังนั้น ตั้งแต่เด็กคลอดออกมาก็ Test เพื่อหาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กได้เลย” ซีอีโอบำรุงราษฎร์เล่าถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่

ภญ.อาทิรัตน์ อธิบายว่า มีหลายเทคโนโลยีที่ทางโรงพยาบาลคิดค้นขึ้น แต่ก็มีหลายเทคโนโลยีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การตรวจยีน (Genetics Testing) ที่นำเข้ามาให้บุคลากรเรียนรู้ ฝึกใช้เครื่องมือจนกระทั่งมั่นใจว่า ทำได้ จึงสั่งเครื่องมือเข้ามา และนำผลที่ได้ในไทยส่งไปตรวจสอบยันยันมาตรฐานกับต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี การลงทุนด้านเทคโนโลยีนั้นไม่ใช่น้อยๆ แต่สำหรับบำรุงราษฎร์ ไม่มีคำว่าสูญเปล่า
“เทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญมากๆ หลายโรงพยาบาลมีเทคโนโลยี แต่เครื่องตั้งอยู่เฉยๆ เพราะหมอไม่ใช้ แต่ของเรา เราดึงคนที่ถนัดและเชี่ยวชาญจากอเมริกามาสอนใช้เครื่อง เมื่อหมอใช้เป็น เทคโนโลยีบางอย่างลงทุนแล้วจึงไม่แพงอย่างที่คิด แค่ต้องกล้าซื้อให้หมอใช้”
อย่าง การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ภญ.อาทิรัตน์ ยกตัวอย่างว่า การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดต่อมลูกหมาก มีข้อดีคือ มีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงที่จะไปโดนเส้นประสาทซึ่งสำคัญต่อความรู้สึกของผู้ชาย และที่มากกว่านั้นคือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ใช้ AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ประกบคู่กับการวินิจฉัยโรค
“สำหรับผู้ตรวจมะเร็งเต้านมก็มี AI เพราะเราต้องการ make sure ว่าตรวจไม่หลุด นี่หมอเริ่มติดแล้วที่มี AI ช่วยยืนยันให้ เพราะเราไม่ต้องการให้การวินิจฉัยผิดพลาด”
ทางบำรุงราษฎร์ยังจัดตั้ง Bumrungrad Academy โดย Spin off จากส่วนที่เป็น Education ไปเปิดเป็นบริษัทในเครือ นอกจากนี้ในด้านวิชาการเรายังมุ่งสู่การเป็นสถาบันวิชาการทางการแพทย์ภาคเอกชน (Academic Private Hospital) ซึ่งนอกจากการสนับสนุนความเป็นเลิศทางการแพทย์ให้กับบำรุงราษฎร์แล้ว ยังเป็นการสร้างความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างโรงพยาบาลเพื่อการแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ (Knowledge Sharing) ในเชิงการแพทย์ นอกจากนี้เรายังมีการริเริ่มสร้างเครือข่ายในรูปแบบของโรงพยาบาลพันธมิตร เช่น หากโรงพยาบาล A มีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคซับซ้อนและไม่สามารถรักษาได้ เช่น การผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยการส่องกล้อง การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถส่งต่อมาที่บำรุงราษฎร์ และเมื่อผู้ป่วยดีขึ้นก็ส่งตัวกลับไปให้รักษาต่อในสิ่งที่โรงพยาบาล A รักษาได้
“Dynamic ของ Health care มันเร็วมาก ก็จะเห็นว่าโควิดทำให้เราทุกคนอยู่นิ่งไม่ได้ เราต้องเริ่มออกไปในโลกอนาคตว่า อะไรจะมาแทนที่ อะไรจะมาดิสรัปวงการแพทย์ และอะไรที่ต่างชาติมี เมืองไทยยังไม่มี เราจึงจัดตั้งศูนย์วิจัย มีทีมงานซึ่งทำหน้าที่ตรงนี้โดยเฉพาะ แล้วเราก็มีงานวิจัยของเราเอง เช่น การพัฒนาแนวทางการผ่าตัดของแพทย์บำรุงราษฎร์แนวใหม่ ที่ทำให้อัตราการเกิดโรคซ้ำน้อยลง ดังที่มีอาจารย์คิดค้นว่า อะไรทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วก็ใช้เครื่องจี้เข้าไปเพื่อรักษา และผู้หญิงเวลาตรวจร่างกายจะเจอก้อนเนื้องอกที่หน้าอกชนิดปกติ (Fibroadenoma) บางคนอยากเอาออกแต่ไม่อยากผ่า จึงมีนวัตกรรม Cryoablation หรือ การรักษาด้วยความเย็นติดลบ จี้เข้าไปที่ก้อนในเต้านม”

จะเห็นว่า บุคลากรและเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ และด้วยความพร้อม ความเชี่ยวชาญ การสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูง จึงมี Business Unit ที่เรียกว่า COE: Center of Excellence บ่งบอกถึงการเป็นศูนย์กลางของการรักษาโรคที่มีความเป็นเลิศโดยเฉพาะ ได้แก่
โดยปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว คือ 4C1W นั่นคือ
นอกเหนือจากนี้ ชีวิตหลังเกษียณของชาวต่างชาติ อาทิ สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ญี่ปุ่น อเมริกา สามารถเลือกประเทศที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ได้ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย เนื่องจากค่าครองชีพไม่สูงและยังเป็น Land of Smiles อีกด้วย
“ต่างชาติเห็นว่าคนไทยมีมิตรภาพ มีน้ำใจ อย่างโรงพยาบาลของเรา เรียกได้ว่า เรามีความ Hi-tech แต่ก็มี Thai Touch มันก็เลยเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติทุกประเทศที่เข้ามารักษาพยาบาลแล้วชอบ และทำให้เขากลับมาใช้บริการอีก”

ซีอีโออาทิรัตน์กล่าวปิดท้ายด้วยปรัชญาการทำงานผ่านคำว่า หลิง (LING) ซึ่งเป็นชื่อเล่นของตัวเองว่า
ถ้าถามว่ามาถึงจุดจุดนี้ได้ยังไง เราสร้างคนโดยให้ลูกน้องเก่งกว่าเรา เท่านั้นแหละที่จะทำให้เราไปต่อได้ งานเราสร้างคนแล้ว เราก็รีบไปทำงานอื่น การที่เราสร้างคนไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นแรงในการส่งเสริมให้เราเรียนรู้ และพี่ก็ไม่เคยปฏิเสธงานที่ไม่เคยทำ อาจจะเป็นเพราะพี่เป็นคนชอบเรียนรู้และอยากทำสิ่งใหม่ๆ เพราะยังไงมันก็เป็นกำไรชีวิต
บทความ: กองบรรณาธิการ
ภาพถ่าย: ฐิติวุฒิ บางขาม
ทิพยประกันชีวิต จับมือกับทิพยประกันภัย ร่วมออกบูธงาน Money Expo 2023 มหกรรมการเงินครั้งที่ 23 ภายใต้แนวคิด "Green Finance for Green Living" โดยมี คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงาน พร้อมด้วย คุณสมพร สืบถวิลกุล รองประธานกรรมการ และ คุณปราโมทย์ พรมวิเศษ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานคณิตศาสตร์ประกันภัย บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดบูธอย่างเป็นทางการ โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11- 14 พฤษภาคม 2566 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
โครงการทาวน์โฮมพฤกษา ชวนลูกบ้านสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ เพื่อตอกย้ำ Brand Purpose ของพฤกษา
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566
เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายนายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลธุรกิจด้านกฎหมายและกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณ จาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และประธานมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในการที่เอไอเอ ประเทศไทย มีส่วนร่วมสนับสนุนกรมธรรมธ์ประกันอุบัติเหตุจำนวน 111 กรมธรรม์ ให้แก่เจ้าหน้าที่และทหารเรือที่ปฏิบัติงานวางปะการังและบ้านปลาบริเวณหน้าหาดทิศตะวันออกของเกาะแสมสาร

ภายใต้โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรและวางปะการัง เกาะแสมสาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยโครงการดังกล่าว มุ่งดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแนวปะการัง บริเวณเกาะแสมสาร รวมทั้งยกระดับความสำคัญพื้นที่หมู่เกาะแสมสารให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เกิดความเชื่อมโยงของระบบนิเวศป่าชายเลน ป่าชายหาด พื้นทราย สาหร่าย หญ้าทะเล บ้านปลา และแนวปะการัง ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในด้าน ESG ของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่สังคม

โดยถือเป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินงานที่เอไอเอให้ความสำคัญมาโดยตลอด ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ อ. สัตหีบ จ. ชลบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เอสซีจี และนายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกับ ดร. เช ซุน ฮง ประธานที่ปรึกษาบริษัท แอลเอส อิเล็กทริก และ ดร. โช วุก ดง รองประธานอาวุโส หน่วยงาน อิเล็กทริกพาวเวอร์ ดีเอ็กซ์ บิซ บริษัท แอลเอส อิเล็กทริก ร่วมลงนามเซ็นสัญญา MOU บันทึกข้อตกลงในการติดตั้งระบบการจัดการพลังงาน (EMS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบไมโครกริด ณ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ ในปี 2566
เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น และ แอลเอส อิเล็กทริก ร่วมมือพัฒนาโซลูชันด้านพลังงานที่ยั่งยืน โดยนำระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ (EMS) ของ แอลเอส อิเล็กทริก มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบไมโครกริด บริเวณอาคารสำนักงาน ลานจอดรถพลังงานแสงอาทิตย์และสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ณ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ บางซื่อ โดยทั้งสองบริษัทจะผสานความร่วมมือในการจัดหาโซลูชันพัฒนาระบบไมโครกริดเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero 2050)
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งมั่นและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ซึ่งปัจจุบันความต้องการโซลูชันด้านการจัดการพลังงานเพิ่มสูงขึ้น หลายธุรกิจต่างมองหาวิธีลดการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน ความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น"
“ความร่วมมือครั้งนี้ เอสซีจี และ แอลเอส อิเล็กทริก จะนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาตลาดไมโครกริดที่กำลังเติบโตเพื่อแก้ปัญหาต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น ระบบการจัดการพลังงานจึงเป็นส่วนสำคัญของระบบไมโครกริดในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน” นายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว
ดร. เช ซุน ฮง ประธานที่ปรึกษาบริษัท แอลเอส อิเล็กทริก กล่าวว่า "ระบบไมโครกริดจะปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มความยืดหยุ่นในกรณีที่ไฟฟ้าดับ ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่เป้าหมายความยั่งยืนในระยะยาวของเอสซีจีและอาจนำไปสู่การร่วมทุนในธุรกิจไมโครกริดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมมั่นใจและเชื่อมั่นในความสำเร็จของการทำงานร่วมกันระหว่างทั้งสองบริษัท”