

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า
พฤกษาจัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งบริษัทฯ ปีที่ 30 เมื่อเร็วๆ นี้
บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ฉลอง 72 ปี ตอกย้ำความมั่นคงแห่งการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
13 เมษายน วันผู้สูงอายุแห่งชาติ หวนกลับมาอีกปี เพื่อย้ำเตือนให้ผู้คนให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ แต่เรื่องราวผู้ดูแลหรือญาติทำร้ายผู้สูงอายุติดเตียงยังคงถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความกดดันและภาระของผู้ดูแล และอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุ
ล่าสุด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้พัฒนา “เตียงพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย ลดแผลกดทับ” เวอร์ชัน 3 สำหรับผู้สูงอายุติดเตียงในชุมชนโดยเฉพาะขึ้น โดย ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบแล้ว หลังมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด เฉพาะใน จ.ขอนแก่น มีผู้สูงอายุถึง 260,000 คน และมีผู้สูงอายุที่ติดเตียงถึง 20,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 5% นับเป็นกลุ่มที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

เตียงพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย ลดแผลกดทับ เวอร์ชัน 3 นี้ มีลักษณะพิเศษ คือ มีความสูง 60-70 เซนติเมตร มีผิวเบาะนุ่มและแน่น กระจายแรงกดได้ดี ลดอาการแผลกดทับที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อ หรือเสียชีวิตได้ โดยใช้วัสดุทำจากไม้และโลหะบางส่วน ซึ่งทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยพลิกตัวให้ผู้ป่วยผ่านสวิตช์ควบคุมที่ผู้สูงอายุสามารถกดใช้งานเองได้ หรือมีผู้ดูแลเพียงคนเดียวก็สามารถดูแลผู้สูงอายุติดเตียงได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณเพียง 10,000 บาทเท่านั้น ทำให้ผู้สูงอายุในชุมชนสามารถเข้าถึงได้
เรารู้ว่าที่ผ่านมาชุมชนเข้าไม่ถึงเตียงที่มีคุณภาพ อย่างชุมชนบ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น มีผู้สูงอายุติดเตียงอยู่ถึง 12 คน แต่มีเตียงไม่เพียงพอ เมื่อมีผู้เสียชีวิตก็จะนำเตียงนั้นไปเวียนกันใช้ หากมีเตียงที่ชุมชนเข้าถึงได้ ปัญหานี้ก็จะหมดไป

ด้าน ดร.วรวุฒิ ชมภูพาน อาจารย์วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จ.ขอนแก่น คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ระบุว่า ผู้สูงอายุบางส่วนเป็นผู้ป่วยติดเตียงและต้องการได้รับการดูแล แต่ปัจจุบันบุตรหลานบางส่วนก็มีเวลาดูแลน้อยลง วิทยาลัยสาธารณสุขสิริธร จึงได้ร่วมกับคณะเทคนิคการแพทย์ เพื่อคัดเลือกและส่งเตียงสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีคนไข้ได้รับเตียงไปใช้แล้ว 3-4 คน ผลตอบรับดีมาก พบว่าคนไข้ไม่มีปัญหาเรื่องแผลกดทับ
สอดคล้องกับ น.ส.หอมไกล ไชยพิมูล อายุ 57 ปี ชาวบ้าน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น ระบุว่า ที่ผ่านมาคุณแม่วัย 96 ปี ซึ่งป่วยติดเตียงหลังหกล้มสะโพกหัก นอนอยู่บนพื้น ทุกครั้งจะตะแคงก็ปวดสะโพก จะลุกขึ้นนั่งก็ลำบาก เมื่อมีเตียงช่วยพลิกตะแคงมา ก็ทำให้การดูแลทำได้ง่ายขึ้น และช่วยไม่ให้เป็นแผลกดทับ
คนดูแลก็อายุมากแล้ว ก้มก็ปวด คุกเข่าไปช่วยตะแคงก็เจ็บ มีเตียงมาก็ช่วยได้เยอะ ช่วงที่มีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอก คุณแม่ก็กดสวิตช์พลิกตัวเองได้ บ้านอื่นที่ไม่มีเตียง เห็นเขาเป็นแผลกดทับกันหลายคน ก็อยากให้เขาได้ใช้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้บูรณาการองค์ความรู้ต่าง ๆ จากหลากหลายคณะ ลงพื้นที่ชุมชนผ่านโครงการ U2T มหาวิทยาลัยสู่ตำบลมาโดยตลอด เพื่อพัฒนาทักษะให้คนในชุมชนทุก ๆ ด้าน รวมถึงด้านผู้สูงอายุด้วย การเปิดอบรม อสม. และ Caregiver หรือ อาสาสมัครท้องถิ่น รวมถึงการเปิดคลินิกกายภาพบำบัด คลินิกห้องปฏิบัติการ และคลินิกแพทย์แผนจีนที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้ด้วย
เอปสัน ประเทศไทย คว้า 2 รางวัล จาก 2 เวทีใหญ่ระดับประเทศ สะท้อนถึงความเป็นองค์กรที่มีผลการดำเนินธุรกิจที่มีความโดดเด่น ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นแบรนด์พรินเตอร์ที่ครองใจผู้บริโภคแห่งปี
บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัลสุดยอดองค์กรธุรกิจไทย Thailand Top Company Award 2023ประเภทความเป็นเลิศ Best Innovative Technology Award โดยนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รับมอบรางวัล จากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี รางวัล Thailand Top Company Award จัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้แนวคิด “The Resilience to Deglobalization” เพื่อมอบให้แก่องค์กรที่มีผลการดำเนินธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและมีความเป็นเลิศในแต่ละด้านตามกลุ่มประเภทธุรกิจ รวมถึงต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

นอกจากนี้เอปสัน ยังได้รับรางวัล 2023 Thailand's Most Admired Brand ในฐานะแบรนด์อันดับหนึ่งในใจของ ผู้บริโภคในหมวดผลิตภัณฑ์ไอทีและดิจิทัล กลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ โดยมีนายคณิน ธรรมภิบาลอุดม หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รับมอบ รางวัลดังกล่าวจัดโดยนิตยสาร แบรนด์เอจที่ได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศจัดทำขึ้น เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และความนิยมของสินค้าและแบรนด์ในแต่ละหมวดหมู่ที่อยู่ในใจของผู้บริโภคทั่วประเทศ

นายยรรยง กล่าวว่า “เอปสันเป็นผู้ออกแบบ พัฒนา และผลิตเทคโนโลยีของตัวเอง จึงสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมให้ก้าวนำความต้องการของตลาดได้อยู่เสมอ และมีสินค้าใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อกระแสตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลง เอปสันก็พร้อมจะมีผลิตภัณฑ์ออกมารองรับความต้องการที่เกิดใหม่ทันที โดยจะเน้นที่นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนเป็นหลัก เห็นได้จากเทคโนโลยี Heat-Free ที่ประหยัดไฟและปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ น้อยกว่า พร้อมทั้งถูกออกแบบให้มีชิ้นส่วนประกอบที่ต้องดูแลรักษาน้อย ทำให้บำรุงรักษาง่าย ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางตลาดในปัจจุบัน เอปสันตั้งเป้าสนับสนุนแนวทางการพัฒนาความยั่งยืนในองค์กรของลูกค้าและสังคมผ่านเทคโนโลยีของเอปสัน และรักษาการเป็นแบรนด์พรินเตอร์ที่ 1 ในใจผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีและตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มอย่างสม่ำเสมอ ในราคาที่เหมาะสม สำหรับทั้งสองรางวัลที่เอปสันได้รับ นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและเป็นกำลังใจของทีมงานเอปสันทุกคน ที่สามารถก้าวผ่านทุกสถานการณ์และสร้างการเติบโตได้ ด้วยการสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ โดยยึดหลักความยั่งยืน หรือ Sustainability เป็นแกนกลาง ซึ่งนั่นทำให้เอปสันเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้กระแต่ธุรกิจแฟรนไชส์น้ำซ่า 10 สาขาของ ธนะโรจน์ พุฒิเชาว์วัฒน์ ที่ลงทุนไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เจาะทำเลโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่สถานการณ์โควิดทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องประกาศปิดเรียน ยอดขายของร้านจึงลดลง และยังพบปัญหาใหญ่จากการหาซื้อวัตถุดิบ และการต้องกระจายสินค้าให้แต่ละจุดขายเอง ทำให้รู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์ความต้องการ ที่อยากเป็นเจ้านายตัวเอง จึงต้องเริ่มมองหาธุรกิจอื่นแทน
“ตอนนั้นมองหลายธุรกิจจนมาเจอธุรกิจห้าดาว ซึ่งน่าสนใจและใกล้เคียงกับโจทย์ที่ตั้งไว้มากที่สุด จึงเริ่มศึกษาลงลึกในรายละเอียด ใช้เวลาพอสมควรก่อนจะเริ่มเปิดสาขาแรกที่ปั๊ม ปตท.สวนสัตว์โคราช ซึ่งได้เจ้าหน้าที่ของห้าดาวหาทำเลให้ โดยลงทุนเปิดเป็นร้านรูปแบบกลาสเฮาส์ (glasshouse) และประสบความสำเร็จตั้งแต่สาขาแรก ใช้เวลาคืนทุนเพียงแค่ 2 เดือน จึงตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้น จนถึงวันนี้ทำธุรกิจแฟรนไชส์กับห้าดาว รวม 11 สาขา ทั้งร้านห้าดาว (Five Star) รวม 10 สาขา และ STAR Coffee ที่โรงพยาบาลครองหลวง อีก 1 สาขา ทุกสาขาได้รับเสียงตอบรับและประสบความสำเร็จดีมาก” ธนะโรจน์ เล่าอย่างภูมิใจ

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจกับห้าดาว ธนะโรจน์ บอกว่า รู้สึกมีความสุขมากและไม่ผิดหวังเลยที่เลือกร่วมงานกับห้าดาว เพราะรู้สึกว่าได้เป็นผู้ประกอบการจริงๆ ได้มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น ในส่วนของมาตรฐานสินค้าดีมากอยู่แล้ว เนื่องจากธุรกิจห้าดาวมีทีมเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยดูแลและตรวจคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นและบริหารจัดการได้ง่าย เพราะบริษัทมีสินค้าให้พร้อมไม่ต้องวิ่งหาวัตถุดิบและสินค้าต่างๆเอง เหมือนที่ทำกับแบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีบริการส่งสินค้าให้ถึงที่ ยิ่งไปกว่านั้นสินค้าห้าดาวได้รับการพัฒนาแล้วว่าอร่อยถูกปากผู้บริโภค เถ้าแก่ห้าดาวไม่ต้องมาทำเองหมักเอง มีวิธีมีกระบวนการให้ทุกอย่าง มีระบบฝึกอบรม มีทีมฝึกอบรม (The Training) เป็นเพื่อนคอยแนะนำและหมั่นเข้ามาทบทวนความรู้ ทำให้รู้สึกอบอุ่นกับครอบครัวห้าดาว
“เรื่องการตลาดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งกับห้าดาวแล้วเถ้าแก่ไม่ต้องคิดแคมเปญการตลาดเองให้ปวดหัวเลย มีบริษัทคิดให้ทั้งหมด และห้าดาวก็เป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน คนทั่วไปรู้จักห้าดาวเป็นอย่างดี ผลิตภัณฑ์ติดตลาดอยู่แล้ว ทำให้สินค้าขายได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เปิดมา 11 สาขา ยอดขายดีถึงดีมาก เกินคาดทุกสาขา ทำให้ได้รับผลตอบแทนมากกว่าตอนทำงานกินเงินเดือนหลายเท่า เพียงแค่เราต้องบริหารร้านให้ดี ใส่ใจ และทำให้ได้ตามมาตรฐานที่ดีที่ธุรกิจห้าดาววางไว้ ย่อมสำเร็จได้อย่างแน่นอน” ธนะโรจน์ กล่าว

สำหรับสิ่งที่คาดหวังก่อนทำธุรกิจ คือต้องการให้ธุรกิจเดินหน้าไปเองได้ โดยที่ตนเองไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลที่ร้านทุกวัน ก็ได้ตามที่คาดไว้ เพราะทุกวันนี้ทำงานผ่านออนไลน์ได้ ซึ่งธุรกิจห้าดาวตอบโจทย์ ตั้งแต่การไม่ต้องหาวัตถุดิบเอง ไม่ต้องวิ่งส่งของเอง ไม่ต้องทำการตลาด ไม่ต้องเข้าไปดูความเรียบร้อยในร้านทุกๆวัน เพราะมีทางห้าดาวออกแบบโครงสร้างธุรกิจมาแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มธุรกิจได้ง่าย ตามสโลแกน “ลงทุนน้อย คืนทุนไว กำไรงาม” และยังมีระบบขนส่งที่ดีให้กับเถ้าแก่ สามารถสั่งวัตถุดิบได้ตลอดไม่มีการขาด และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในยุคของสังคมไร้เงินสด ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
สำคัญไปกว่านั้นคือ ธุรกิจห้าดาว เป็น “เพื่อนทางธุรกิจ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกด้าน สร้างโอกาสที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้ที่แน่นอนแก่เถ้าแก่ห้าดาวและทีมงานทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาประทับใจว่ามีธุรกิจที่ทำเพื่อสังคมไปพร้อมๆกัน

สุดท้าย ธนะโรจน์ ฝากถึงผู้ที่ต้องการมีอาชีพมีรายได้ อยากเป็นนายตัวเอง และอยากเป็นคนจ่ายเงินเดือนแทนการรับเงินเดือน หากกำลังมองหาธุรกิจในยุคนี้ อยากเชิญชวนให้ลองมาเป็นหนึ่งในครอบครัวห้าดาว ที่ใช้เงินลงทุนหลักหมื่น รับรายได้หลักแสน และธุรกิจห้าดาวยังเติบโตไปได้อีกไกล เป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไม่ต้องเข้าไปร้านเองทุกวัน ไม่ต้องคิดโปรโมชั่นเอง บริษัทมีการโฆษณาช่องทางต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย ทางเฟสบุ๊ค ยูทูป ฯลฯ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย ผู้ประกอบการก็ทำงานง่ายขึ้น มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีใจรักธุรกิจอย่างแท้จริง
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 และรอบ 9 เดือน ปี 2565 โดยผลการดำเนินงานของธนาคารยังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว หนุนโดยปัจจัยแนวโน้มที่ดีด้านรายได้ การมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ตามแผนและมีอัตราส่วนหนี้เสียในระดับต่ำที่ 2.72% ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านการตั้งสำรองฯ ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 3,715 ล้านบาท ในไตรมาส 3/65 หรือเพิ่มขึ้น 57.5% จากไตรมาส 3/64 โดยรวม 9 เดือน ปี 2565 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 10,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนที่ปรับตัวดีขึ้นนี้ ถือได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกลยุทธ์และแผนการรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ธนาคารได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นปี ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และการเตรียมความพร้อมสำหรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น
ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยเด่นที่ช่วยหนุนผลประกอบการในไตรมาส 3/65 ได้แก่ ด้านรายได้ โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลสำเร็จจากการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มดอกเบี้ย เริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างเงินฝาก ซึ่งธนาคารได้ทยอยเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประจำมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพื่อลดการแข่งขันด้านเงินฝากและช่วยในการบริหารต้นทุนทางการเงินเมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศเป็นขาขึ้น นอกจากนั้น ยังได้ปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความยืดหยุ่น เพื่อให้มีความคล่องตัวในการปรับการลงทุน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากภาวะตลาดและทิศทางดอกเบี้ย
ที่สำคัญอีกประการคือกลยุทธ์ด้านสินเชื่อและการบริหารความเสี่ยง ทั้งนี้ การที่สินเชื่อตกเป็นหนี้เสียและมีสัดส่วนหนี้เสียสูงเกินเกณฑ์ควบคุมย่อมมีผลกระทบเชิงลบต่อรายได้ดอกเบี้ย แต่เนื่องจากเราเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังมาโดยตลอด เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ จึงทำให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพ มีสัดส่วนหนี้เสียที่อยู่ภายใต้เกณฑ์ควบคุมและอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อมีแนวโน้มที่ดี
ทั้งนี้ ภายหลังที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% ทางธนาคารได้ตอบรับนโยบายดังกล่าว โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 0.15% - 0.80% ต่อปี เพื่อเพิ่มประโยชน์และส่งเสริมด้านการออมให้กับลูกค้าในการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ขณะที่ด้านดอกเบี้ยเงินกู้ ทยอยปรับขึ้นในอัตรา 0.20%-0.25% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดูแลลูกค้าสินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเปราะบาง
สำหรับช่วงที่เหลือของปี ธนาคารก็จะยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และเติบโตสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่ทีทีบี คอนซูมเมอร์ จะช่วยผลักดันการขยายสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตไปยังฐานลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร พร้อมทั้งรักษาวินัยด้านค่าใช้จ่าย และยึดแนวทางการดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาแนวโน้มเชิงบวกของผลการดำเนินงานในช่วงถัดไป
ณ สิ้นไตรมาส 3/65 สินเชื่อรวมอยู่ที่ 1,394 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากสิ้นปีที่แล้ว ตามการเติบโตสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,374 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากสิ้นปีที่แล้ว หนุนโดยการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำ สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านเงินฝากเพื่อรองรับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคาร
ด้านรายได้ยังคงแนวโน้มเชิงบวก โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ย ในไตรมาส 3/65 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 12,968 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพและการบริหารจัดการต้นทุนด้านการเงิน สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยรายได้ค่าธรรมเนียมการขายประกันและค่าธรรมเนียมกลุ่มลูกค้าธุรกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ภายใต้การลงทุนด้านดิจิทัลและการเพิ่มจำนวนพนักงานภายในกลุ่มธนาคารตามแผนธุรกิจ ธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 45% เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย
จากปัจจัยด้านรายได้และค่าใช้จ่ายข้างต้น จึงทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ (PPOP) ในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 8,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากปีที่แล้ว รวม 9 เดือน PPOP อยู่ที่ 26,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย ส่งผลให้สัดส่วนหนี้เสียอยู่ในเกณฑ์ควบคุมและลดลงมาได้อย่างต่อเนื่องจากระดับสูงสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ช่วงไตรมาส 3/64 ที่ 2.98% มาอยู่ที่ 2.81% ณ สิ้นปีที่แล้ว และ 2.72% ในไตรมาสล่าสุด ประกอบกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จึงทำให้แรงกดดันด้านการตั้งสำรองฯ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
โดยในไตรมาส 3/65 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 4,361 ล้านบาท ลดลง 21.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือน ตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 13,551 ล้านบาท ลดลง 17.9% ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 3,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.5% และรอบ 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 10,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.8% ตามลำดับ
ทั้งนี้ การตั้งสำรองฯ ในระดับดังกล่าวยังเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงเศรษฐกิจปกติและเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อคุณด้อยภาพของธนาคารที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 135% จาก 129% ณ สิ้นปีที่แล้ว
ท้ายสุดด้านความเพียงพอของเงินกองทุน ยังอยู่ในระดับสูงและเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม โดยอัตราส่วน CAR และ Tier I (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.0% และ 16.0% ณ สิ้นไตรมาส 3/65 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ
เพราะยิ่งให้คือยิ่งได้ “ทีเอ็มบีธนชาต” จึงไม่เพียงสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า