

นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการ ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP ร่วมแถลงผลการดำเนินงาน ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ผ่านระบบออนไลน์ (E-AGM) ณ ห้องประชุม บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) อาคารสำนักงานใหญ่ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ไปแล้วเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท และจะจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลือของปี 2564 ในวันที่ 22 เมษายน 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 10 มีนาคม 2565
และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในขณะนี้ยังคงมีความรุนแรงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ทำให้ในปีนี้บริษัทฯ จึงยังคงจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ผ่านระบบออนไลน์ (E-AGM) เพื่อความสะดวกและด้วยความห่วงใยกับผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้อีกด้วย
รองศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ จิระวุฒิพงศ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นตัวแทนเข้าร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมนำชมนิทรรศการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สร้างโลกสะอาดด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK จากนั้น นำเสนอแนวทางการดำเนินงานของบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (AMITA) ในเครือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ลูกค้า EXIM BANK ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน กำลังการผลิตขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA และกรรมการ AMITA ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565

ในโอกาสนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK รายงานว่า พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เนื่องจากเป็นต้นทุนและเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน รัฐบาลจึงมุ่งเน้นสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) รวมทั้งสนับสนุนการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า มุ่งให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประชาคมโลก EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย จึงได้ดำเนินภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง” กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเปลี่ยนแรงกดดันของปัญหาและมาตรฐานใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทย รวมถึง SMEs หันมาพัฒนาและใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น กล่าวคือ ใช้พลังงานจากแหล่งที่สามารถผลิตหรือก่อกำเนิดพลังงานได้เองและหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อีก เป็นพลังงานสะอาด ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานชีวมวล พลังงานชีวภาพ เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า การสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดของ EXIM BANK มีเป้าหมายเพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว ทั้งด้านต้นทุนการผลิต การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต การตอบสนองความต้องการผู้บริโภค และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยสอดคล้องกับกฎ ระเบียบ และมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระหว่างปรับตัวไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต EXIM BANK จึงเร่งขยายความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนลูกค้าที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมกันสร้างเศรษฐกิจ BCG ที่สอดรับการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเมกะเทรนด์ในโลกยุค Next Normal โดย EXIM BANK มีโครงการระดมทุนผ่าน Green Bond เพื่อสนับสนุนธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี ทั้งนี้ EXIM BANK อยู่ระหว่างจัดตั้งกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing Framework) รวมทั้งกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับ Green Bond ที่จะออกในช่วงเดือนกันยายน 2565

นับแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 EXIM BANK ได้ขยายการสนับสนุนการค้าและการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ต่อมาได้ขยายการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ เศษวัสดุการเกษตร ขยะเหลือทิ้ง ความร้อนใต้พิภพ และลม มาสร้างพลังงาน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นและเมียนมา โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม โดย EXIM BANK มีความพร้อมในการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน โดยเฉพาะในระยะแรกของโครงการที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเป็นผู้ริเริ่มพัฒนา Ecosystem ตลาดคาร์บอน ด้วยสินเชื่อเพื่อลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Orchestra) วงเงินกู้ 7 ปี ให้กู้ 100% ของเงินลงทุนเพื่อชำระผู้รับเหมาเมื่อติดตั้งเสร็จ อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2.75% ต่อปี พร้อมสิทธิขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และสิทธิยกเว้นภาษี 50% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อช่วยกิจการประหยัดค่าไฟและแก้ปัญหาโลกร้อน โดยมี EXIM BANK ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายและหน่วยงานกำกับดูแลเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร พร้อมทั้งร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งและกรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100 Thailand Club) เครือข่าย Thailand Carbon Neutral Network และ Carbon Markets Club
“นับเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ EXIM BANK ได้ดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เชื่อมโยงการพัฒนาในมิติเศรษฐกิจกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดจำนวนรวม 254 โครงการในไทย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และญี่ปุ่น มูลค่าโครงการลงทุนรวม 370,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน ทั้งนี้ เป็นผลจากความพร้อมของ EXIM BANK ในการรับความเสี่ยงมากกว่าธนาคารพาณิชย์ ให้กำเนิดอุตสาหกรรมใหม่ และสนับสนุนทุนไทยไปต่างแดน เพื่อซ่อม สร้าง เสริม และสานพลังการพัฒนาประเทศไทยและประชาคมโลกโดยรวม” ดร.รักษ์กล่าว
บัตรเครดิต ทีทีบี ร่วมกับ Swensen’s มอบสิทธิพิเศษให้อร่อยคุ้มรับซัมเมอร์
กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้ฤกษ์ปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่เที่ยวแรกของไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) โดย นายเสนธิป ศรีไพพรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ด้านการสร้างเด็กหัวการค้า รับสมัครน้อง ๆ
การที่ประเทศไทยจะเป็น Global Medical Hub ของโลกได้นั้น ใช่ว่าเพียงการเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติระเบียงเศรษฐกิจเวลเนสอันดามัน (Andaman Wellness Corridor) นั้นจะเพียงพอ แต่การเข้าใกล้เป้าหมายของความสำเร็จยังต้องประกอบไปด้วยการจัดองค์ประกอบอีกหลายประการ และหนึ่งในผู้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดสรรและจัดวางเส้นทางสู่ความสำเร็จในเรื่องนี้ คือ ผศ.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง ผู้อำนวยการหลักสูตร WHB (Wellness & Healthcare Business Opportunity for Executives)
ผศ.ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง ผู้อำนวยการ หลักสูตร WHB ซึ่งยังเป็นผู้ก่อตั้งโครงการ ได้เล่ากับ MBA ถึงที่มาของการจัดตั้งหลักสูตร WHB นี้ว่า “เริ่มแรกทางอาจารย์ได้เห็นและติดตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub ระดับนานาชาติ อาจารย์ก็คิดว่าแนวคิดนี้จะสำเร็จได้จะมีหลายๆ หน่วยงานเข้ามาผนึกกำลังและร่วมกันขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยว และหน่วยงานอื่นๆ เพราะเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Medical Tourism อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมา แม้มีการตระหนักรู้ในหลายๆ ภาคส่วน แต่เราก็ยังไม่เห็นความร่วมมือในเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นจริง
และด้วยความที่เราเองเป็นนักวิชาการอยู่แล้ว จึงคิดว่าเราสามารถที่จะเป็นตัวกลางเชื่อมองค์กรเหล่านี้ซึ่งเป็นภาครัฐ และนักธุรกิจในภาคเอกชนให้ได้มาพบกันใน ด้วยตัวอาจารย์เองมีเพื่อนเป็นนักธุรกิจค่อนข้างมากและหลากหลายวงการ อีกทั้งส่วนตัวเองก็มีประสบการณ์เคยก่อตั้งและบริหารสถานบริหารร่างกาย World Health Club เป็นทุนเดิม
ซึ่งเรามองว่า ถ้านักธุรกิจไม่ได้พบกับ Regulator ในกระทรวงสาธารณสุข อาทิ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งขณะนี้ทางกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเองก็ดูแลรับรองหลายธุรกิจบริการสุขภาพไม่ว่าจะเป็นร้านนวด คลินิก โรงพยาบาลทุกประเภท และสถานดูแลผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ยังต้องมีความเกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมการค้าภายใน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว เรียกได้ว่าเครือข่ายและความสัมพันธ์มันกว้าง ซึ่งเราเห็นว่ามีความจำเป็นและเราก็สามารถทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างหน่วยงานเหล่านี้ ทั้งนักธุรกิจ และงานวิชาการให้ได้มาเจอกันเพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สามารถต่อยอดไปสู่นวัตกรรมและโครงการที่ทำได้จริง”

ผศ.จันทร์จิรา ผู้อำนวยการหลักสูตร WHB ยังได้เผยถึง ความเข้มแข็งของหลักสูตรที่เน้นการรวมศักยภาพของบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิและประสบการณ์ เริ่มตั้งแต่ประธานหลักสูตร คือ ศ.นายแพทย์ สมอาจ วงษ์ขมทอง ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานคณะผู้บริหาร รพ.กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งท่านเคยเป็นอดีต ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งท่านเห็นร่วมกันว่า ‘จะต้องขับเคลื่อนสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น’
ด้วยแนวคิดของการก่อตั้งหลักสูตรเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายให้ได้นั้น ยังได้รับความเห็นชอบจาก อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลในขณะนั้น (ตอนริเริ่มโครงการในปี 2020) คือ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ซึ่งท่านเองเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย ท่านมีความคิดเห็นว่า 'เป็นโครงการที่ดี มหาวิทยาลัยมหิดลเองเป็นสถาบันวิชาการที่ต้องเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อส่งเสริมภาคเอกชนในการขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย'
ผู้อำนวยการ WHB ยังเผยต่อว่า เพื่อให้ในนิเวศน์ของหลักสูตรมีความครบพร้อม จะต้องมีเรื่องของ Digital Hospital เข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงจับมือกับทาง Huawei Technologies (Thailand) ซึ่งเขามี Ping An Technology เป็นแบล็กอัปและทำเกี่ยวกับ Internet Hospital เจ้าใหญ่ที่สุดในจีน และคณะผู้บริหารเราได้เข้าไปเห็นมาว่าเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดและใช้ได้ผลจริง”
ผู้ใช้งานเดินเข้าไปในบูธ ไม่ต้องพบหรือมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวกับแพทย์ แต่จะมีโปรแกรมและเครื่องมือต่างๆ ให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ เราเห็นตัวอย่างตรงนั้นจึงจับมือกับเขาให้มาเป็นภาคีในความร่วมมือกับเราในโครงการนี้ ซึ่งหากไม่ติดข้อจำกัดในเรื่องการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทั้งคณะของหลักสูตรทั้งผู้เรียนและผู้สอน จะต้องเดินทางไป Visit และดูงานเหล่านี้ในประเทศจีนก่อนจบการอบรมหลักสูตรโครงการ 1 ผ่านมา
ภายใต้ภาคีพันธมิตรของโครงการ WHB ยังได้รับความร่วมมือจาก Department of Community and Global Health, The University of Tokyo ซึ่งทางศาสตราจารย์สมอาจ สำเร็จการศึกษา อีกทั้งยังเคยร่วมสอนเป็นเวลาหลายปี เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งนับเป็นความเข้มแข็งที่สำคัญประการหนึ่ง เพราะประเทศญี่ปุ่นเป็นที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการดูแลสุขภาวะของประชาชนในระดับชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นภายในบ้าน ในครอบครัว หรือคอมมูนิตี้ และเช่นกันที่แผนการดำเนินโครงการของหลักสูตรได้กำหนดไว้ว่าจะไปดูงานในประเทศญี่ปุ่น แต่เนื่องจากข้อจำกัดจากโรคระบาดโควิดเลยทำให้ต้องชะงักไป
นอกจากภาคีพันธมิตรที่เข้มแข็งในต่างประเทศ ในประเทศไทยเองหลักสูตรยังได้รับความร่วมมือจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท ไทยพัฒนาสุขภาพ มาเข้าร่วมด้วย
ด้วยภาคีทั้ง 5 ส่วนนี้เองที่ทำให้หลักสูตร Wellness&Healthcare Business Opportunity for Executives หรือ WHB มีความแข็งแกร่งและตอบโจทย์เป้าหมายได้อย่างเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ผศ.ดร.จันทร์จิรา ยังได้เผยถึงจุดแข็งและจุดขายสำคัญของหลักสูตรที่ประกอบไปด้วยผู้ที่มีประสบการณ์หรือเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมในเรื่องนี้ที่เข้ามาร่วมส่งต่อและแบ่งปันความรู้ในโลกความเป็นจริงให้ผู้เรียน อาทิ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานี ที่ทำในเรื่องของ Health Food มีการปรับห้องพักสำหรับรองรับ Senior Citizens ที่ต้องการมา Retreat หรือ Detox หรือมีความสนใจในการดูแลสุขภาพตัวเองในประเทศไทย มีการไปจัดการสัมมนาในหลายๆ โรงแรม ซึ่งมีกลุ่มโรงแรมที่เขาสนใจหรือทำเรื่องนี้อยู่แล้วส่งคนมาเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ว่าทีมเขาทำอย่างไร เขามองอนาคตผู้สูงอายุอย่างไร และยังมองถึงการดูแล ส่งเสริมและป้องกันสุขภาวะของคนรุ่นใหม่ด้วย เป็นต้น
นอกจากนั้น WHB 1 ยังมีนายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ (หมอแอมป์) . ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก มาลงเรียนกับเราและยังเป็นวิทยากรให้ด้วย ทำให้เกิดมีการพูดคุยเสวนากลุ่ม เกิดเป็นสตาร์ทอัพขึ้นมาสามสี่กลุ่ม รวมถึง CSR ที่เป็นโครงการหลักสูตรอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุสำหรับเด็กๆ ที่จบมัธยมปลายแล้วอยากหางานทำทันทีจำนวนห้าพันคน โดยมีทางมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นจับมือกับมูลนิธิชิน โสภณพนิช เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก”
นอกจากนั้นยังมีผู้นำขององค์กรต่างๆ เข้ามาร่วม ทั้งเป็นผู้ร่วมโครงการและเป็นวิทยากรด้วย หลักสูตรนี้ไม่ใช่แค่ให้ผู้เรียนมานั่งฟัง แต่เป็นการแลกเปลี่ยน ข้อเสนอแนะที่จะต้องส่งต่อภาครัฐ รวมไปถึงการได้เปิดโอกาสได้พอเจอพาร์เนอร์หรือ คู่ค้าใหม่ๆ ทางธุรกิจซึ่งสามารถที่จะมีความร่วมมือ หรือ แม้แต่สตาร์ทอัพธุรกิจใหม่ร่วมกันได้ เพราะหลายท่านก็มีโครงการที่ริเริ่มกันอยู่ก่อนแล้ว อย่างเช่น กรณี Hospitel ที่พยายามจะให้บริการทรีตเม้นต์ที่ไม่ใช่แค่สปา แต่มีการวินิจฉัย การป้องกันและลดอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น อย่างโรคเบาหวาน เหล่านี้เรียกว่าเป็น Wellness ซึ่งต่างจาก Health Care โดยจะไปเน้นเรื่องสุขภาวะอันเป็นการดูแลจากภายในสู่ภายนอก มีการศึกษาลึกลงไปในระดับยีน ตรวจหาโอกาสหรือแนวโน้มโรคต่างๆ มีวิทยาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะจากสิงคโปร์ จากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดีมาให้ความรู้ในเรื่องนี้
หลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูง (WHB) จะยังดำเนินต่อไปโดยจะมีการปรับขัดเกลาให้ทันต่อเหตุการณ์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ผศ.ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง กล่าวในตอนท้ายว่า “เราพยายามผลักดันให้สิ่งนี้เกิดขึ้นและทำให้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในการป้องกันรักษาโรคได้ง่ายขึ้นในราคาไม่สูงมาก เพื่อที่ตัวเขาเองและรัฐจะไม่ต้องเสียงบประมาณจำนวนมากไปในกระบวนการรักษาซึ่งเป็นปลายเหตุ เราพยายามที่จะทำให้คนเข้าใจว่าสุขภาพดีของเราจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในระดับปัจเจก ในระดับหน่วยงานที่จะต้องดูแลรับผิดชอบ ในระดับธุรกิจที่จะต้องบริการ แต่ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน เราต้องการจะนิยามให้คนรู้”
หัวเว่ยเผยรายงานประจำปี พ.ศ. 2564 ด้วยแผนการดำเนินงานที่มั่นคงตลอดปีที่ผ่านมา โดยระบุว่าหัวเว่ยประสบความสำเร็จด้วยรายได้ที่ 636.8 พันล้านหยวนในปี พ.ศ. 2564
นำเสนอหลากหลายสินค้าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ใช้เทคโนโลยีเสริมงานบริการ ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน