

“ บัตร KTC มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบั
“ดุสิตธานี” สู้ไม่ถอย แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หลายระลอก ล่าสุดปรับกลยุทธ์ลุกเข้าหาลูกค้า ประกาศเดินหน้าสร้างรายได้จาก Non-Room Business ใช้ทักษะและความเข้าใจในท้องถิ่นผลิตสินค้าเพื่อนำเสนอในชุมชนทดแทนรายได้ห้องพักในช่วงที่มีข้อจำกัดด้านการเดินทาง รอจนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานียังคงมีกำลั

ทั้งนี้ การปรับตัวดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็

นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังเดินหน้าปรั

“เนื่องจากโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง เราจึงได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี มั่นใจว่า กระบวนการเรียนรู้ที่จะปรับตั
“วันนี้พนักงานกลุ่มดุสิตธานีสู้

“พื้นที่สำนักงานให้เช่าได้” หรือ occupied area ในกรุงเทพฯ ปี 2021 มีทิศทางชะลอตัวลงอีกเล็กน้อย โดยคาดว่าจะหดตัวราว -0.5% ถึง -1.0% จากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการพื้นที่
อีกเล็กน้อย จากการที่ผู้ประกอบการพื้นที่
• ปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวโน้มความต้
ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการที่หลายบริษั
คลายล็อกดาวน์แล้ว ส่งผลให้อุปสงค์ต่อพื้นที่สำนั
• แนวโน้มความต้องการพื้นที่สำนั
COVID-19 ส่งผลให้แนวโน้มความต้องการพื้
1) อุปสงค์ในพื้นที่สำนักงานให้เช่

นอกจากนี้ สถานการณ์ COVID-19 ยังส่งผลให้ภาคธุรกิจปรับเปลี่
เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหม่ ประกอบกับเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ ส่งผลให้แนวโน้มที่กำลังฟื้นตั
โดยการลดวัน/เวลาในการเข้


อย่างไรก็ดี แม้ว่าพนักงานบริษัทมีความต้องการที่จะใช้เวลาทำงานจากทั้งออฟฟิศและบ้าน แต่พื้นที่สำนักงานยังคงจำเป็นต่อการทำงาน แต่รูปแบบของสำนักงานอาจต้องปรับเปลี่ยนไป โดย flexible space เป็นรูปแบบหนึ่งที่ตอบสนองเทรนด์การทำงานในอนาคต จากผลสำรวจของ CBRE เกี่ยวกับรูปแบบสำนักงานในอนาคต (The Future of the Office Survey) จากพนักงานออฟฟิศ 10,000 คน จากหลายประเทศทั่วโลก
ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป อินเดีย และเอเชียตะวันออกซึ่งรวมถึงไทยด้วย พบว่า ภายหลังจากเหตุการณ์ COVID-19 คลี่คลาย 28% ของพนักงานออฟฟิศต้องการทำงานจากที่บ้านแบบเต็มเวลา ขณะที่ 67% ของพนักงานออฟฟิศต้องการใช้เวลาทำงานจากทั้งออฟฟิศและบ้าน ส่งผลให้พื้นที่สำนักงานยังมีความจำเป็นอยู่บางส่วน แต่รูปแบบของพื้นที่สำนักงานจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไป เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการทำงานในอนาคต โดยบริษัทส่วนใหญ่ยังคง
ให้ความสำคัญกับพื้นที่สำนักงานเพื่อตอบโจทย์องค์กร 3 ด้านคือ 1) การสร้างความร่วมมือ นวัตกรรม และประสิทธิภาพในการทำงาน 2) ความสามารถในการสะท้อนภาพลักษณ์และวัฒนธรรมขององค์กร 3) สถานที่สำหรับพบปะ
และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ดังนั้น รูปแบบการใช้งานของพื้นที่สำนักงานอาจเปลี่ยนไป พนักงานทุกคนอาจไม่ต้องการโต๊ะทำงานประจำอีกต่อไป อาจต้องการเพียงพื้นที่นั่งทำงานร่วมกันเป็นทีมหรือมุมทำงานส่วนตัว ห้องประชุมอาจต้องมีเทคโนโลยีที่สามารถรองรับได้ทั้งพนักงานที่เข้าประชุมที่สำนักงานและผ่านทางช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้จากผลสำรวจของ CBRE ยังพบว่า 56% ของบริษัทที่มีการสำรวจจะใช้พื้นที่สำนักงานที่เป็นรูปแบบ flexible space ในอนาคต เนื่องจากเป็นรูปแบบที่มีความคล่องตัวสูงและพื้นที่ใช้งานค่อนข้างหลากหลาย โดยอาจมีทั้งพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการทำงานเป็นทีม หรือพื้นที่ส่วนตัวสำหรับผู้ที่ต้องการสมาธิ ทั้งนี้ความหมายโดยกว้างของ flexible space คือ พื้นที่สำนักงานที่มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้สอยได้ตามความต้องการในการใช้งาน โดย flexible space มักประกอบไปด้วย
พื้นที่ทำงาน อุปกรณ์สำนักงาน สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ อีกทั้ง ระยะเวลาในการทำสัญญายังสั้นกว่าสำนักงานทั่วไป ซึ่งครอบคลุม 1) สำนักงานสำเร็จรูป (serviced offices) คือพื้นที่สำนักงานให้เช่าพร้อมเฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยผู้เช่ามักเป็นองค์กรหรือธุรกิจที่เริ่มตั้งใหม่หรืออยู่ในช่วงขยายกิจการ เนื่องจากสำนักงานลักษณะนี้มีเงื่อนไขและสัญญาเช่าที่ยืดหยุ่นมากกว่าพื้นที่สำนักงานให้เช่าทั่วไป 2) Co-working spaces
เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถเข้าใช้บริการได้ทั้งแบบส่วนบุคคลและแบบกลุ่ม และใช้พื้นที่ร่วมกันได้หลายกลุ่มในเวลาเดียวกัน พื้นที่นี้จะเน้นการแบ่งปันและสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เช่าผ่านการจัดกิจกรรมของ community manager
ที่มีหน้าที่รับผิดชอบและตอบสนองความต้องการของผู้เข้าใช้บริการพื้นที่ ส่งผลให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนกว่า
สำนักงานสำเร็จรูป
แนวโน้มการชะลอตัวของภาคธุรกิจและเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ส่งผลให้ตลาดสำนักงานให้เช่า
ในกรุงเทพฯ ปี 2021 มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องอีกเล็กน้อยจากในปี 2020 เนื่องจากผลจากการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 โดย EIC คาดว่าการชะลอตัวของตลาดในปี 2021 มาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) พื้นที่ให้เช่าได้ (occupied space) ในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะปรับลดลงราว -0.5% ถึง -1.0% เทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2015-2019 ที่เติบโตราว 1.7% และ 2) อัตราค่าเช่ามีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อยและอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิด COVID-19 เป็นผลมาจากนโยบายลดหย่อนค่าเช่าและแรงกดดันจากอุปทานใหม่จำนวนมากที่เข้าสู่ตลาด
พื้นที่สำนักงานให้เช่าได้ (occupied space) ในกรุงเทพฯ ในปี 2021 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอีกเล็กน้อย โดยพื้นที่ที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ พื้นที่แถบนอกศูนย์กลางทางธุรกิจ (Non CBD) ทั้งนี้ผลจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้แผนการขยายหรืออัปเกรดพื้นที่สำนักงานต่าง ๆ
ในปี 2020 ถูกเลื่อนออกไป สำหรับแนวโน้มในปี 2021 ภาพรวมของพื้นที่ให้เช่าได้จะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยที่ราว -0.5% ถึง -1.0% (รูปที่ 4) โดยความต้องการพื้นที่เช่าจะลดลงจากการปิดกิจการหรือลดพื้นที่เช่า
อย่างไรก็ดี พื้นที่เช่าส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยด้วยความต้องการพื้นที่เช่าจากในบางกลุ่มธุรกิจที่ยังมีความต้องการขยายพื้นที่ ได้แก่ ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ หลายโครงการที่จะเปิดตัวในปี 2021 มีกลุ่มผู้เช่าแล้วบางส่วนจากที่มีทำสัญญาไว้ล่วงหน้า ประกอบกับเจ้าของโครงการมีแนวโน้มที่จะตั้งราคาค่าเช่าให้ต่ำลงเพื่อดึงดูดผู้เช่าเข้าสู่โครงการ อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และยังมีความเปราะบางทำให้หลายภาคธุรกิจยังต้องระมัดระวังในการขยายกิจการส่งผลให้อัตราเติบโตของอุปสงค์ต่อพื้นที่สำนักงานต่ำกว่าในอดีต โดยพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ พื้นที่แถบย่านนอกศูนย์กลางทางธุรกิจ (Non CBD) ที่มีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นผู้เช่าอยู่เป็นสัดส่วนมากกว่าย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ (CBD) เนื่องจากธุรกิจกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ส่งผลให้ต้องปรับตัวมากเพื่อให้สามารถอยู่รอดในภาวะวิกฤติ โดยหลายบริษัทต้องมีการลดจำนวนพนักงานหรือบางกิจการอาจต้องปิดดำเนินการส่งผลให้อุปสงค์ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก

อัตราค่าเช่าปี 2021 มีแนวโน้มปรับลดลงอีกเล็กน้
ในระยะกลาง อุปทานพื้นที่สำนักงานแห่งใหม่
ที่เข้าสู่ตลาดจะเพิ่มขึ้

แนวโน้มความต้องการพื้นที่สำนั



นอกจากนี้ การออกแบบพื้นที่ทำงานและพื้นที่
บทวิเคราะห์จากเว็บไซต์ EIC : https://www.scbeic.com/th/
ตลาดวิดีโอเกมในอาเซียนถือว่าน่าจับตา ด้วยอัตราการเติบโตระดับสองหลักทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเปิดตัวหรือโปรโมตเกมใหม่ๆ นอกจากนี้ความต้องการของผู้บริโภคด้านความบันเทิงในบ้านที่เพิ่มขึ้นจากโควิด-19 ทำให้ตลาดเกมมิ่งยังคงมีศักยภาพสูง
ธนาคารดอยซ์แบงก์ ประเทศไทย (XETRA: DBKGn.DB / NYSE: DB) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ เป็นครั้งแรกของการให้บริการบริหารความเสี่ยงโดยใช้ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย (Onshore hedge) หรือการบริหารความเสี่ยงค่าเงินให้แก่นิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศที่มีคุณสมบัติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด ภายใต้เกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องการผ่อนคลายมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทสำหรับนิติบุคคลที่อยู่นอกประเทศให้สามารถทำธุรกรรมเงินบาทได้คล่องตัวขึ้น ภายใต้ โครงการ Non-resident Qualified Company หรือ NRQC
ธนาคารดอยซ์แบงก์ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและสามารถให้บริการเป็นธนาคารแรกแก่ลูกค้านิติบุคคลต่างประเทศ ในระยะเวลาเพียง3สัปดาห์หลังจากธปท.ประกาศกฎเกณฑ์ใหม่สำหรับนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ภายใต้โครงการ NRQC เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564
กฎเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวอนุญาตให้บริษัทที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยสามารถเข้าถึงสภาพคล่องสกุลเงินบาท ภายในประเทศได้คล่องตัวขึ้น โดยไม่ต้องแสดงเอกสารหลักฐานในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง
น.ส.ธีรดา ทัพพันธุ์ หัวหน้าฝ่ายค้าตราสารหนี้และตราสารอนุพันธ์ ธนาคารดอยซ์แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้เป็นธนาคารแห่งแรกในไทยที่ให้บริการ Onshore hedge แก่นิติบุคคลต่างประเทศให้สามารถเข้าถึงตลาดแลกเปลี่ยนเงินในไทย บริการนี้จะช่วยให้ลูกค้าของเรา ที่เป็นบริษัทในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทในต้นทุนที่ถูกลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ภายใต้โครงการ NRQC ใหม่”
บริษัทที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศสามารถลดค่าใช้จ่ายในการป้องกันความเสี่ยงได้ โดยใช้ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศภายในประเทศไทยเป็นอัตราอ้างอิง เพราะโดยทั่วไปแล้วอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินในประเทศจะถูกกว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่มีอยู่ในตลาดต่างประเทศ
“เรามั่นใจว่าเกณฑ์ NRQC ใหม่นี้จะช่วยดึงดูดให้บริษัทต่างๆ ที่มีถิ่นฐานนอกประเทศไทย หันมาทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงโดยใช้ตลาดแลกเปลี่ยนเงินในประเทศมากขึ้น และถือเป็นมิติใหม่ของตลาดการค้าเงินสกุลเงินบาทในประเทศไทย” น.ส.ธีรดา กล่าวเพิ่มเติม จากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% จากจุดสูงสุดในปี 2563 ทำให้บริษัทต่างประเทศที่มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงินบาท มีต้นทุนในการบริหารความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ทุกธุรกิจต้องบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวดเพื่อเร่งการฟื้นตัวจากโควิด โครงการ NRQC ของ ธปท. ช่วยให้บริษัทที่ทำการค้าขายและลงทุนโดยตรงในประเทศไทย สามารถเข้าถึงสภาพคล่องในสกุลเงินบาทจากตลาดแลกเปลี่ยนเงินในประเทศได้คล่องตัวมากขึ้น และปรับเปลี่ยนการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่จากเดิมต้องพึ่งพาอัตราแลกเปลี่ยนของตลาดนอกประเทศมาเป็นอัตราแลกเปลี่ยนตลาดในประเทศได้อย่างง่ายดาย หรือจะปรับเปลี่ยนในทางกลับกันก็ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการหรือขั้นตอนป้องกันความเสี่ยงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
SteelSeries ปล่อยหูฟังรุ่นใหม่ล่าสุด “TUSQ” หวังมอบประสบการณ์เหนือชั้นในการเล่นเกมอย่างเต็มอรรถรส
เอสเอ็มอี คู่ค้าของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กว่า 6 พันราย ตอบรับโครงการ Faster Payment ให้เครดิตเทอมภายใน 30 วัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่อง ให้ SME รับมือวิกฤติเศรษฐกิจเพราะโควิทระลอกนี้ ตอบรับความมุ่งมั่นซีพี
เอฟในการพัฒนาคู่ค้าธุรกิจเติ บโตไปด้วยกัน Razer™ แบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกสำหรับเกมเมอร์ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี Razer™ HyperPolling ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ใหม่ของบริษัท
New News
Corporate Move (N) Right
Finance
Lifestyle