November 17, 2025

กสิกรไทยร่วมมือกับไทยแอร์เอเชีย ทำสัญญาบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกเป็นครั้งแรกของธุรกิจสายการบินในประเทศไทย โดยอ้างอิงโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) ที่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นกลไกที่จะช่วยให้เกิดการมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ โดยธนาคารจะมอบอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษให้กับบริษัทหลังจากได้รับใบประกาศเกียรติคุณของโครงการ LESS ตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งความร่วมมือนี้ตอกย้ำบทบาทของเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย (Thailand Climate Business Network: ThaiCBN) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ร่วมกับองค์กรชั้นนำระดับประเทศและนานาชาติอีก 23 แห่ง เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน

นายไพรัชล์ พรพัฒนนางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นในการใช้มาตรฐานความยั่งยืนธุรกิจ หรือ ESG สร้างการเติบโตควบคู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนโยบายลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สู่การเป็นองค์กร Net Zero จึงตั้งเป้าหมายในนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม ให้มีความเข้มข้นต่อเนื่องขึ้นในทุกปีเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยบริษัทดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม  ซึ่งใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นสิ่งช่วยยืนยันว่ากิจกรรมที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมผ่านการดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัทเป็นที่ยอมรับ จึงเป็นที่มาในการเชื่อมโยงประกาศเกียรติคุณของโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกเข้ากับการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารกสิกรไทย ซึ่งทำให้ไทยแอร์เอเชียเป็นสายการบินแรกในประเทศไทยที่ใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และยังสามารถดำเนินการตามเป้าหมายในนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม  เพื่อพัฒนานวัตกรรมตลาดเงินรวมถึงยังตอกย้ำบทบาทของเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทยที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคตอีกด้วย

นายทิพากร สายพัฒนา รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยมีความยินดีในการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงใบประกาศเกียรติคุณของโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกกับแอร์เอเชีย โดยธนาคารจะมอบอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษให้กับบริษัทหลังจากได้รับใบประกาศเกียรติคุณของโครงการ LESS ตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งแอร์เอเชียเป็น 1 ในองค์กรที่ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยในการจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย (ThaiCBN) โดยเชื่อมั่นว่าธุรกรรมนี้จะมีส่วนในการสร้างแรงจูงใจให้การดำเนินธุรกิจของไทยแอร์เอเชีย  บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ตอบโจทย์การดำเนินงานของธนาคารบนหลักการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน ที่พร้อมจะสนับสนุนลูกค้าด้วยการเป็นผู้บุกเบิกการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตธรรมทางการเงินในฐานะผู้นำด้านธุรกิจตลาดเงินและตลาดทุนชั้นนำของประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% แม้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งภาคการส่งออก การแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยอดขายรถยนต์ที่หดตัว  ยอดสินเชื่อที่ชะลอลง และความกังวลปัญหาหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุด OECD ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568  ลง 0.2 % มาอยู่ที่ 2.9% และปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง 0.6% เหลือ 1.6% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งด้านการค้า การเงิน การคลัง การศึกษา และการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงิน เสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ถึงแม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังการชะลอสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นว่าภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่ชัดเจนจะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คงมองว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV) ที่เร่งขึ้น จากการแข่งขันด้านราคาของรถจากจีน ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง  รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เพิ่มเติมมุมมองด้านสภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนว่ายังอ่อนแอต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินที่ยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปีนี้ลงมาที่ -0.6% จากเดิมที่ 0.6% ในขณะเดียวกัน มองว่า เอ็นพีแอลยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าตัวเลขอาจไม่เกิน 3% ต่อสินเชื่อรวม โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น

ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลว่ากิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนไทยก็ชะลอลงเช่นกัน ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ การออกหุ้นกู้ Sustainable Finance ลดลง โดยส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นการใช้บริการสินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์ ที่ข้อมูลเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวในปีนี้ จะยังคงขยายตัวค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่ยังระดมทุนอยู่เน้นไปที่ธุรกิจรายใหญ่ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนการระดมทุนอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีคงเลือกชะลอแผนไปก่อน หรือเน้นลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel), การประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เห็นความคุ้มค่าค่อนข้างชัดเจนในระยะสั้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในต้อนท้ายว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ (Local Content และ Made in Thailand) รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง

กสิกรไทยเปิดตัวโครงการ K-Advice เสริมความแข็งแกร่งบริการด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) ด้วยการสร้างทีมที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ K-Advice ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต ที่สนใจการวางแผนการเงินและต้องการสร้างความมั่นคงด้านการเงิน ซึ่งคาดว่ามีอยู่กว่า 600,000 คน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน ประกัน หรือการวางแผนการเงินระยะยาว ตั้งเป้าขยายทีม K-Advice ทั่วประเทศให้ได้ 800 คนภายใน 3 ปี

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งส่งเสริมบริการด้านการลงทุนและการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่เป็นที่ไว้วางใจ ช่วยให้ผู้ลงทุนเท่าทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างยั่งยืน จึงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันการลงทุนที่หลากหลายควบคู่กับการส่งมอบองค์ความรู้ให้แก่ลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเพื่อตอบโจทย์การเข้าถึงในการดูแลกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโต ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดโครงการ K-Advice เพื่อพัฒนาทีมที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ที่เข้าใจความต้องการและบริบทของกลุ่มนักลงทุนสมัยใหม่ พร้อมให้คำแนะนำแบบใกล้ชิด เจาะลึกเป็นรายบุคคล รองรับความต้องการของกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ธนาคารยังขยายทีมผู้ดูแลความสัมพันธ์ทางโทรศัพท์หรือไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำด้านการลงทุนที่เป็นประโยชน์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ทีม K-Advice จะผ่านการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะการวางแผนการเงินแบบครบวงจรอย่างมืออาชีพ ทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และทักษะด้านการสื่อสารและการดูแลลูกค้า ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญภายในและภายนอกธนาคาร ผู้ที่ผ่านการอบรมและมีคุณสมบัติครบถ้วน จะได้เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินอิสระแบบมืออาชีพ พร้อมเครื่องมือและระบบที่ทันสมัยในการสนับสนุนการทำงาน โดยธนาคารมีฐานลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตให้พร้อมต่อยอดได้ทันที โครงการ K-Advice เปิดโอกาสให้พนักงานเกษียณ พนักงานปัจจุบัน รวมทั้งบุคคลภายนอกที่สนใจเติบโตหรือต่อยอดในสายอาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งในช่วงต้นของโครงการ ธนาคารจะเริ่มเปิดรับสมัครจากพนักงานเกษียณและพนักงานปัจจุบันก่อน และจะเปิดรับบุคคลภายนอกเป็นลำดับต่อไป เพื่อขยายโอกาสให้กับผู้มีศักยภาพทั่วประเทศที่สนใจร่วมงานกับธนาคาร ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ K-Advice ทั่วประเทศให้ได้ 800 คนภายใน 3 ปี รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งคาดว่ามีอยู่กว่า 600,000 คน

ดร. พิพัฒน์พงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า K-Advice เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญของธนาคาร ที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนในโลกการเงินให้กับสังคมไทย ซึ่งธนาคารให้ความสำคัญทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินที่มีคุณภาพ การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงและการดูแลลูกค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตที่สนใจวางแผนด้านการเงิน ควบคู่กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสร้างทางเลือกใหม่ให้กับคนทำงานในโลกการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของสังคมและเศรษฐกิจไปด้วยกัน

 

ธนาคารกสิกรไทย มุ่งหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในทุกมิติ โดยเป็นธนาคารแห่งแรกที่ริเริ่มโครงสร้างงานกิจกรรมทางการตลาด โดยใช้บูธตัวต่อรักษ์โลก ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมของคนไทย ด้วยการนำ พลาสบริก (PlasBrick) บล็อกประสานผลิตจากวัสดุพลาสติกรีไซเคิล ที่ใช้ซ้ำหมุนเวียนได้ สามารถปรับเปลี่ยน เคลื่อนย้ายได้อย่างไร้ขีดจำกัด มาประยุตก์ใช้ และจะมีการนำวัสดุนี้มาหมุนเวียนใช้ในงานกิจกรรมทางการตลาดของธนาคารตลอดต่อเนื่องทั้งปี เพื่อลดการทิ้งวัสดุเหลือใช้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุดมุ่งหมายของธนาคารในเรื่อง Zero Waste ตอกย้ำความมุ่งมั่นของธนาคารในการพัฒนาบริการที่ใส่ใจ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืน

นางสาวจิตราวิณี วรรณกร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ลูกค้าไว้วางใจ มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้อย่างคล่องตัว และคำนึงถึงการจัดการที่ยั่งยืน จึงมีการออกแบบกิจกรรมทางการตลาดที่ใส่ใจควบคู่กับการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน Go Green Together เปลี่ยนผ่านสู่ไลฟ์สไตล์และธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน นำไปสู่การริเริ่มโครงสร้างงานกิจกรรมทางการตลาด โดยใช้บูธตัวต่อรักษ์โลกเป็นธนาคารแรก ด้วยการนำ พลาสบริก (PlasBrick) ซึ่งผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลที่มีลักษณะเป็นบล็อกประสานประกบเข้าล็อกเหมือนตัวต่อ มาประยุกต์ใช้เป็นวัสดุหลักของโครงสร้างบูธที่ธนาคารใช้ในการจัดนิทรรศการเพื่อกิจกรรมการตลาดตลอดปี 2568 ซึ่งนอกจากจะเป็นบูธที่มีวัสดุหลักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้ซ้ำหมุนเวียนได้ในระยะยาวแล้ว ยังสามารถตอบโจทย์ธนาคารในการจัดกิจกรรมให้แก่ลูกค้า ที่มีความยืดหยุ่นหลากหลายได้ โครงสร้างบูธตัวต่อรักษ์โลกจึงมีจุดเด่น 3 ด้าน ดังนี้

ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากการใช้วัสดุหลักที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% จึงช่วยลดขยะ มีผลิตจากการหลอมขยะพลาสติกและใช้การฉีดสีแทนการพ่นหรือทาสี ทำให้ไม่เกิดละอองฝุ่น หากมีชิ้นส่วนเสียหายหรือต้องการเปลี่ยนสีก็สามารถนำเฉพาะที่จำเป็นไปหลอมขึ้นรูปใหม่ โดยไม่ต้องผลิตใหม่ทั้งโครงสร้าง จึงไม่ก่อให้เกิดขยะและลดการผลิตใหม่ได้ นอกจากนี้ด้วยรูปทรงเป็นก้อนเหลี่ยม น้ำหนักเบา ขนส่งได้ง่ายและเยอะขึ้นในแต่ละรอบ จึงลดการใช้เชื้อเพลิง และจากการเป็นวัสดุที่ใช้ซ้ำได้ต่อเนื่อง ธนาคารสามารถใช้งานโครงสร้างบูธตัวต่อรักษ์โลกหมุนเวียนได้หลายโอกาสตลอดทั้งปี ช่วยลดการทิ้งวัสดุเหลือใช้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุดมุ่งหมายของธนาคารในเรื่อง Zero Waste นำไปสู่การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความประหยัดทั้งด้านเวลาและงบประมาณ ด้วยการเชื่อมแบบต่อบล็อกที่ทำได้ง่าย ทำให้โครงสร้างนี้ใช้จำนวนแรงงานและเวลาในการติดตั้งและรื้อถอนน้อยกว่าวัสดุดั้งเดิมได้มาก นอกจากนี้ ผลิตครั้งเดียว สามารถใช้งานออกบูธของธนาคารได้หลากหลายโอกาส ทั้งงานในร่มและงานกลางแจ้ง ช่วยประหยัดงบประมาณในระยะยาว

การตอบโจทย์ด้านดีไซน์ จากการที่พลาสบริกมีรูปทรงเป็นบล็อกใช้งานโดยการประกบเข้าล็อกเหมือนตัวต่อ จึงตอบโจทย์เรื่องการวางผังบูธที่หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ให้บริการลูกค้าที่ต้องการในแต่ละกิจกรรมที่แตกต่างกัน

นางสาวจิตราวิณี กล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยมีการคัดเลือกและพัฒนาวัสดุโครงสร้างบูธอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้วัสดุและกระบวนการที่คุ้มค่า ตอบโจทย์การใช้งาน และเป็นธนาคารแรกที่ได้นำนวัตกรรมพลาสบริกซึ่งเป็นวัสดุที่จดอนุสิทธิบัตรโดยผู้ออกแบบมาประยุกต์ใช้งานจริง ในรูปแบบโครงสร้างบูธสำหรับออกงานนิทรรศการ ซึ่งนับเป็นแนวทางที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมของคนไทย ธนาคารเริ่มใช้งานโครงสร้างบูธตัวต่อรักษ์โลกครั้งแรกในงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ประจำปี 2568 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยบูธที่ธนาคารใช้ได้รับการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งธนาคารจะใช้โครงสร้างนี้ในกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อร่วมขับเคลื่อนธนาคารและประเทศไทยมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน

นายบุญเติบ จีรภัทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (ซ้าย) และนายคณาธิป ธีรทีป หัวหน้าแผนกงานการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และลูกค้าโพสต์เพด AIS (ขวา) ร่วมเปิดตัวความร่วมมือสนับสนุนร้านค้าออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการร้าน ผลักดันยอดขายโต โดยมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า AIS ที่สมัครแพ็กเกจค้าขายออนไลน์ที่ร่วมรายการ ได้แก่ แพ็กเกจ AIS 5G Social Commerce, AIS 5G Seller และ AIS 5G TikTok Shop รับสิทธิ์ใช้งานแพ็กเกจ K SHOP Pro ในแอปพลิเคชัน K SHOP แอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ฟรี 30 วัน มูลค่า 299 บาท และรับเพิ่มบัตรของขวัญ Lotus’s Gift Card มูลค่า 100 บาท เมื่อเชื่อมต่อ K SHOP Pro กับ Facebook Page หรือ Line OA ของร้าน หรือเมื่อสมัครใช้งานเครื่องรับบัตรพกพา (mPOS) ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2568

X

Right Click

No right click