

ทรูออนไลน์ ผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้านไฟเบอร์อันดับ 1 กับการยกทัพเทคโนโลยีที่มาพร้อมAIเต็มประสิทธิภาพ และนวัตกรรมสมาร์ทโฮม เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะในบ้าน ที่มากกว่าการเชื่อมต่อสัญญาณ แต่เชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของ “คน” ไว้ด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect Tech” ให้คนไทยเชื่อมโยงเทคโนโลยีเติมเต็มชีวิตดิจิทัลในทุกวัน ชู 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1) Smart Tech สมาร์ทเทคกับเทคโนโลยีใหม่ที่สุดในโลก สัมผัส WiFi 7 เราเตอร์ ที่ปล่อย WiFi เร็วแรง เต็มสปีด 2Gbps และยังมี WIFI เราเตอร์ 2 ระบบในเครื่องเดียว ให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ทั้งระบบสายไฟเบอร์ และสัญญาณเน็ตมือถือที่สำรองในเราเตอร์ ปล่อย WiFi ได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน 2) Smart Solution สมาร์ทโซลูชั่น ที่แรก ที่เดียว กับเราเตอร์เชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ในบ้าน เป็นทั้ง IoTHub และปล่อย WiFi ในตัว มาพร้อมอุปกรณ์ Smart Home IoT และยังมี TrueID TV Gen 3 กล่องทีวี AI อัจฉริยะ สุข สนุก ตอบโจทย์ทุก Gen ในบ้าน ทั้ง AI Fitness, AI Game, AI Chipset ใหม่ล่าสุด ให้ภาพคมชัดระดับ 4K HDR และบริการร้องเพลงคาราโอเกะ 3) Smart Service & Privilege สมาร์ทเซอร์วิสและสิทธิพิเศษ สะดวก ง่าย ด้วย แอปTrue iService ศูนย์รวมข้อมูลและทุกบริการ โดยมี Mari ที่พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีสิทธิประโยชน์เพื่อความสุขของลูกค้า สะท้อนการนำเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของ “คน” ไว้ด้วยกัน โดยบอกเล่าผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่ได้พรีเซนเตอร์ "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ลูกค้าทรูออนไลน์ตัวจริง มาถ่ายทอดทุกความอัจฉริยะภายในบ้าน
นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู ออนไลน์ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลของ
ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการวางโครงสร้างพื้นฐานไฟเบอร์ที่ปัจจุบันครอบคลุมการให้บริการทั่วประเทศไทย เรายังคงความเป็นผู้นำตลาดด้วยบริการที่ล้ำหน้า ผสานการใช้เทคโนโลยี AI ร่วมกับการบริหารจัดการข้อมูลเชิงวิเคราะห์ ศึกษาความต้องการลูกค้า เพื่อนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า เป็นการ
ออกแบบเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตของคนในทุกมิติ (Human Technology) เน็ตบ้านทรูจึงเป็นมากกว่าการเชื่อมต่อสัญญาณ แต่ยังเชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ของคนในบ้าน ภายใต้แนวคิด “Your Everyday Connect Tech” ที่นำเทคโนโลยี มาเติมเต็มชีวิตดิจิทัลในทุกวัน อัดแน่นด้วยทัพเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดในโลก และนวัตกรรมสมาร์ทโฮม ที่แรก ที่เดียว ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ Smart Tech – Smart Solution – Smart Service & Privilege ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้านไฟเบอร์ตัวจริง ขณะเดียวกัน ทรูออนไลน์ เข้าใจความกังวลของลูกค้าเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่กำลังทวีความรุนแรง จึงได้ดูแลความปลอดภัยระบบโครงข่ายแบบครบวงจร รวมทั้งลงทุนในเทคโนโลยี AI ขั้นสูง พัฒนาบริการ “True Cybersafe” เพื่อปกป้องลูกค้าจากมิจฉาชีพภัยไซเบอร์ โดยให้บริการฟรีสำหรับลูกค้าทรูออนไลน์ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบันทุกบ้าน
เรายังได้พรีเซนเตอร์ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรอันดับ 1 ที่เป็นลูกค้าผู้ใช้งานจริงมาอย่างต่อเนื่อง มาบอกเล่าประสบการณ์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ถ่ายทอดความอัจฉริยะของเน็ตบ้านอันดับหนึ่ง ยกระดับบ้านให้เป็นสมาร์ทโฮม และอีกหลากหลายบริการที่มาพร้อมความสุข ความสนุก ความบันเทิง ที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์ของ “คน” ในบ้านไว้ด้วยกัน สะท้อนความมุ่งมั่นของทรูออนไลน์ที่ตั้งใจส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี”
นายสกลพร หาญชาญเลิศ หัวหน้าสายงานโพสต์เพย์ คอนเวอร์เจนซ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ด้วยวิถีของผู้นำตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทรูออนไลน์ได้พัฒนานวัตกรรมที่หลากหลาย โดยจากข้อมูลการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์ IOT และการขยายตัวของตลาดบ้านอัจฉริยะ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่และครอบครัวยุคใหม่ ทรูออนไลน์ จึงออกแบบและวางกลยุทธ์หลัก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และรองรับการขยายตัวของอุปกรณ์ IOT ในบ้าน เป็น 3 ด้าน คือ
Smart Tech - ที่แรก และที่เดียว เน็ตบ้านแพ็กเกจ 2Gbps มาพร้อม WiFi 7 เราเตอร์คุณภาพ ให้สัมผัส WiFi เร็วแรงเต็มสปีด 2Gbps แบบไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เอาใจคอเกมและชาวเน็ตที่ชื่นชอบไลฟ์สด สตรีมมิ่ง ที่มีดีไวซ์รองรับ WiFi7 ให้ออนไลน์ได้เต็มประสิทธิภาพ เรายังมี เราเตอร์ 2 ระบบ รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟเบอร์แบบแรงเต็มสปีด และสำรองด้วยอินเทอร์เน็ตมือถือ ในกรณีฉุกเฉินที่เกิดปัญหาการเชื่อมต่อผ่านไฟเบอร์ เราเตอร์จะเปลี่ยนไปใช้อินเทอร์เน็ตจากสัญญาณเน็ตมือถือแบบอัตโนมัติทันที ไม่ต้องตั้งค่า WIFI หรืออุปกรณ์ภายในบ้านใหม่ นอกจากนี้ เรายังมี เทคโนโลยี Smart AI ที่มี PRO AI Network นำ AI มาใช้ตรวจสอบ วิเคราะห์และควบคุมเครือข่าย เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
Smart Solution - ที่แรก และที่เดียว เราเตอร์เชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ในบ้าน เป็นเราเตอร์ที่ปล่อยสัญญาณ WiFi และเป็น IoT hub ในเครื่องเดียว โดย IoT hub จะทำงานผ่าน Zigbee Gateway ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ Smart Home IoT อาทิ อุปกรณ์เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว สัญญาณแจ้งเตือนภัย ปุ่มกดแจ้งเตือน เซนเซอร์เตือนภัยสำหรับประตูหรือหน้าต่าง รวมถึง AI CCTV กล้องวงจรปิดที่รุ่นใหม่ ที่มี AI ตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ของคน และสัตว์ รวมถึงสามารถจับเสียงร้องของเด็กและแจ้งเตือนผ่านแอปได้ มาพร้อมบริการบันทึกภาพเคลื่อนไหวย้อนหลังผ่านคลาวด์ได้ถึง 7 วันย้อนหลัง เป็นต้น สะดวก ง่าย โดยลูกค้าสามารถควบคุมกล้องและ IoT ทุกชิ้นในบ้านได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอป TrueX เพียงแอปเดียวและยังมี TrueID TV Gen 3 กล่องทีวี AI อัจฉริยะที่ฉลาดล้ำยิ่งขึ้น ให้ทุกคนในบ้าน สุข สนุก ร่วมกัน ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย กับ AI Fitness กว่า 300 คลาส พร้อม AI นับแคล ให้คะแนนแบบเรียลไทม์ AI Game เล่นเกมผ่านการเคลื่อนไหว และยังมี AI Chipset ใหม่ล่าสุด ให้ภาพคมชัดระดับ 4K HDR ลื่นไหล ดูเพลินไม่สะดุด ร้องเพลงคาราโอเกะ กับแอป Plern Karaoke จากแกรมมี่ แบบExclusive ที่ทรูเท่านั้น และที่ง่ายและสะดวกสุด คือสั่งการง่ายด้วยเสียง กับระบบ Google Assistant นอกจากนี้ โซลูชั่นของเรายังมาพร้อมความปลอดภัยอีกขั้นด้วยประกันภัยที่อยู่อาศัยและประกันชีวิต อีกด้วย
Smart Service & Privilege – สะดวกยิ่งกว่าด้วย True iService แอปศูนย์รวมทุกบริการบนโลกดิจิทัล พร้อม ด้วย Mari Chat ที่ดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง และทีมช่างคุณภาพเข้าซ่อมฉับไว นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ที่คัดสรรอย่างดีที่สุด มอบความสุขทั้งในบ้านและนอกบ้าน เพียงใช้ทรูพอยท์แลกรับสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อความสุขของลูกค้าคนสำคัญ
พบ โปรเน็ตบ้าน ที่ตอบโจทย์ทุกคนในบ้าน ครบครันด้วยอุปกรณ์อัจฉริยะ ที่ทันสมัยที่สุดในตลาด พร้อมสิทธิพิเศษอื่นๆอีกมากมาย สนใจสมัครได้ที่ ทรูช็อป ดีแทคช็อปทุกสาขา และตัวแทนจําหน่ายทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.true.th/trueonline หรือโทร 02-700-8000
“พี่เคยเกลียดช้างป่านะ มันทำให้พี่เป็นหนี้ บ้านช่องก็ไม่ได้อยู่ ต้องมาเฝ้าสวนตลอดเวลา เพราะกลัวว่าช้างป่าจะออกมากินสัปปะรดพี่หมด” นี่คือความในใจของ ตุ้ย - จันท์จิรา ภูฆัง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านรวมไทย ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
ประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกสัปปะรดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันกว่า 402,000 ไร่ ทั้งยัง เป็นแหล่งแปรรูปสัปปะรดเพื่อการบริโภคและส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่า “เมืองหลวงสัปปะรด” สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี โดยสัปปะรดปัตตาเวียเป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุด ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้หล่อเลี้ยงชีวิตชาวประจวบคีรีขันธ์มาหลายทศวรรษ
ที่ผ่านมา เกษตรกรไทยต่างเผชิญกับปัญหาและความท้าทายนานานัปการเป็นทุนเดิม ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ต้นทุนทางการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาพืชผลตกต่ำ ผลผลิตล้นตลาด และศัตรูพืช แต่สำหรับเกษตรกรชาวสวนสัปปะรดที่หมู่บ้านรวมไทย หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีพื้นที่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติ (อช.) กุยบุรี ศัตรูพืชของพวกเขานั้นมีขนาดใหญ่ หนักนับตัน และพวกมันไม่ได้ทำลายพืชผลเพียงบางส่วนของต้นเหมือนศัตรูพืชชนิด อื่นแต่กินเข้าไปทั้งผล เรียกได้ว่าผลผลิตที่ปลูกมานานแรมปีหายไปทั้งสวน ศัตรูพืชชนิดนี้ คือ “ช้างป่า”
ความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่า (Human-Elephant Conflicts: HEC) นับเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่เขตร้อนอย่างทวีปแอฟริกาและเอเชีย การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ การพัฒนาสู่สังคมเกษตรอุตสาหกรรม การแย่งชิงทรัพยากรที่ดิน และจำนวนที่ลดลงของประชากรสัตว์นักล่า ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่ามีความรุนแรงขึ้นในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ไทย เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่าปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง รุนแรง และปรากฏเหตุในหลายพื้นที่ ตัวอย่างเช่น บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา อช.เขาสิบห้าชั้น จ.จันทบุรี อช.เฉลิมรัตนโกสินทร์ จ.กาญจนบุรี และ อช.น้ำตกคลองแก้ว จ.ตราด ส่งผลกระทบและความเสีนหายทางด้านทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรแก่ชาวบ้านเกือบ 400,000 คน จาก 156,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ
อช.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในอดีตเคยเป็นหนึ่งสมรภูมิความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่าที่ดุเดือดมากที่สุด ในช่วงปี 2538-2542 มีรายงานช้างป่าถูกทำร้ายนับสิบตัว และถูกวางยาเบื่อจนเสียชีวิต 4 ตัว กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งและได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
ตุ้ย - จันท์จิรา ภูฆัง เล่าว่า ครอบครัวของเธอปักหลักอาศัยอยู่ที่กุยบุรีตั้งแต่รุ่นตายาย ประกอบอาชีพเกษตรกรปลูกสัปปะรดมาตั้งแต่จำความได้ ตุ้ยใช้ชีวิตอยู่กินที่ไร่สัปปะรดเป็นหลัก ด้วยเหตุที่ไร่ของเธอตั้งอยู่ “แนวแรก” อันเป็นส่วนที่ติดกับเขตพื้นที่ป่า เมื่อช้างป่าออกหากิน ไร่ของเธอจึงกลายเป็นพื้นที่แรกที่ช้างป่าเข้าถึง นั่นจึงทำให้ตุ้ยต้องหมั่นไปเฝ้าไร่ทุกคืนและทำไร่ในตอนกลางวัน เพื่อดูแลผลผลิตที่รอจำหน่ายให้โรงงานแปรรูปต่อไป
“บ้านช่องมีนะ แต่ไม่ค่อยได้กลับหรอก เพราะพี่ต้องไปเฝ้าไร่ บางทีก็ต้องกระเตงลูกไปไร่ด้วย ปล่อยไว้ที่บ้านก็เป็นห่วง อยู่ตัวคนเดียว” เธอเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “มันเครียดนะที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะหากสัปปะรดที่ออกผลปีละครั้งถูกช้างป่ากินไปหมด นั่นหมายถึง เงินที่พี่ไปกู้มาเพื่อซื้อหน่อซื้อปุ๋ยมาลงทุนก็หายไปด้วย เงินก็ไม่ได้แถมยังเป็นหนี้อีก ความเจ็บปวดนี้มันยากจะเยียวยานะ”
นิติพัฒน์ แน่นแคว้น ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านรวมไทย เล่าว่า หมู่บ้านรวมไทยก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2521 ตามนโยบายรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรีเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่มีฐานะยากจนจากทั่วประเทศได้มีพื้นที่ทำกิน โดยใช้พื้นที่เขตป่าสงวนที่เสื่อมโทรมมาจัดสรรแก่ราษฎร ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก จะได้ร้บการจัดสรรที่ดิน 2 ส่วน โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเช่าที่ป่าจากรมป่าไม้ ประกอบด้วย ที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัยในเขตชุมชน 3 ไร่ และพื้นที่ทำทำกินอีก 20 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ติดกับ อช.กุยบุรี นอกจากประเด็นปากท้องแล้ว การจัดสรรที่ดินดังกล่าวยังแฝงนัยยะทางการเมือง โดยรัฐบาลฯ ต้องการให้ชาวบ้านเป็นอีกหนึ่งกำลังในการเฝ้าระวังการรุกรานของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ในช่วงที่การเมืองไทยครุกรุ่น
ในปี 2521 มีผู้ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น 150 ครัวเรือน หรือประมาณ 600 คน ขณะที่ปัจจุบัน ประชากรขยายตัวขึ้น จนมีราษฎรอาศัยอยู่ทั้งสิ้นราว 3,100 คน 770 ครัวเรือน ทั้งนี้ ช่วงปี 2520-2525 ถือเป็นยุคบุกเบิกที่ดินเพื่อการเพาะปลูกสัปปะรด ต่อมาในปี 2525-2537 จำนวนไร่สัปปะรดมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจากความต้องการที่มากขึ้นและราคาผลผลิตที่สูงขึ้น จนมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกติดพื้นที่ป่าสงวนฯ และเมื่อฤดูกาลเคลื่อนย้ายจากภูเขาสู่ที่ราบของช้างป่ามาถึง ด้วยกลิ่นที่หอมหวนจึงเย้ายวนพวกมันได้ลองลิ้มรสความหวานของสัปปะรดเป็น “ครั้งแรก”
ต่อมา ในช่วงปี 2538-2545 สถานการณ์สู้รบในเมียนมาร์รุนแรงขึ้น กอปรกับพัฒนาการการเรียนรู้ของช้างป่า ทำให้พวกมันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปักหลักหากินพื้นที่ติดชายขอบพื้นที่เพาะปลูกสัปปะรดนานขึ้น ปรากฏตัวนอกพื้นที่มากขึ้น พืชผลได้รับความเสียหาย จนสถานการณ์เข้าสู่ความรุนแรงขั้นขีดสุดในปี 2542 มีช้างป่าตายเป็นจำนวนมาก และกลายเป็น “ความขัดเเย้งระหว่างคนและช้างป่า” ตามนิยามทางวิชาการ
ต่อมา ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ในหลวง ร.9 พระองค์ทรงมีรับสั่งให้จัดตั้ง “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับผืนป่าแห่งนี้ โดยประกอบด้วยคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ได้แก่ 1. ฝ่ายความมั่่นคง โดย กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 พัน 3 รอ.) 2. ฝ่ายอนุรักษ์และคุ้มครอง โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ และ 3. ฝ่ายปกครอง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะทำงานด้านพัฒนาอาชีพประชาชน มีการเวนคืนพื้นที่ราบระหว่างแนวเขากว่า 20,000 ไร่ เพื่อให้กลับมาเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าอีกครั้ง จากเดิมที่เริ่มบุกเบิกเพาะปลูกต้นยูคาลิปตัส ต้นสน และสัปปะรดตั้งแต่ปี 2510 และจากการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมดังกล่าว ส่งผลให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงอย่างมีนัยสำคัญ
ช้าง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักราว 3-4 ตัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 สายพันธ์ใหญ่ๆ ได้แก่ สายพันธ์แอฟริกา และสายพันธ์เอเชีย สำหรับสายพันธ์เอเชีย พบเห็นได้มากในอินเดีย ศรีลังกา เนปาล มาเลเซีย เมียนมาร์ และไทย ฯลฯ พวกมันจะโตเต็มวัยเมื่ออายุ 15 ปี ตั้งท้องนานถึง 22 เดือน และตกลูกครั้งละ 1 ตัว โดยแต่ละครอกจะมีระยะเวลาห่างกัน 4 ปี ในภาวะปกติ ประชากรช้างถูกสร้างสมดุลโดยการล่าตามธรรมชาติจากสัตว์นักล่า การเสียชีวิตตจากการคลอด การถูกทำร้ายจากช้างเพศผู้นอกฝูง แต่เมื่อช้างโตเต็มวัยแล้วจะมีอัตราการตายต่ำ มีอายุขัยเฉลี่ยราว 60-70 ปี ข้อมูลจากกรมอุทยานฯ ระบุว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากรช้างป่ากระจายตัวใน 16 กลุ่มป่า 93 พื้นที่อนุรักษ์ คิดเป็นจำนวน 4,000-4,400 ตัว มีอัตราการเกิดเฉลี่ย 8% ต่อปี
ช้างเอเชีย อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทุ่งหญ้าจนถึงป่ารกทึบ มี “วงรอบ” ในการออกหาอาหารถึง 180-400 ตร.กม. ตามฤดูกาล ด้วยร่างอันมหึมา ช้างป่าจึงใช้เวลาในการกินมากถึงวันละ 14-19 ชม. คิดเป็นน้ำหนัก 150-200 กม. ต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายมูลวันละ 16-18 ครั้ง คิดเป็นน้ำหนักราว 100 กก. ต่อวัน เลยทีเดียว
ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว ช้างป่า จึงได้รับสมญานามว่า “ผู้สร้างสมดุลแห่งป่า” พฤติกรรมการกิน การเดินทาง การถ่ายมูลถือเป็นกลไกสำคัญต่อการสร้างสมดุลทางระบบนิเวศ กล่าวคือ นอกจากมูลที่ทำหน้าที่ปุ๋ยอย่างดีแล้ว ยังเป็นอาหารของแมลง อีกทั้งการเดินทางระยะไกลและการกินพืชที่มีลักษณะสูงใหญ่ ยังช่วยให้เกิดการกระจายตัวของเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนเศษพืชที่ตกลงก็ยังเป็นอาหารให้แก่สัตว์เล็กได้ดำรงชีพอีกด้วย
สำหรับลักษณะทางชีววิทยา ช้างยังเป็นสัตว์ขี้ร้อน จึงมักอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือใกล้แหล่งน้ำ เพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกาย ออกหากินในตอนกลางคืน และนอนในเวลากลางวัน นอกจากนี้ พวกมันมีความสามารถทางการได้ยินที่ดีมาก แม้ต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ไกลหลายกิโลเมตร
อรรถพงษ์ เภาอ่อน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ให้ข้อมูลว่า อช.กุยบุรี มีขนาดพื้นที่ราว 1,000 ตร.กม. ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ อ.กุยบุรี อ.ปราณบุรี อ.สามร้อยยอดและ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ พันธุ์ไม้ สัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทิงและวัวแดงฝูงใหญ่ ตลอดนจนภูมิทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาตระนาวศรี
ข้อมูลปี 2564 ประชากรช้างป่าในพื้นที่มีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” ราว 350 ตัว เมื่อเทียบข้อมูลจากการสำรวจประชากช้างป่าด้วย DNA ในปี 2559 ที่มีประชากรช้างป่า ไม่น้อยกว่า 237 ตัว มีลักษณะการรวมฝูงทั้งขนาดใหญ่และเล็ก
จากสถานการณ์ช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ ส่งผลให้ราษฎรที่อาศัยรอบแนวเขต อช.กุยบุรี ได้รับผลกระทบทั้งพืชผลกว่า 60,000 ต้นและมีผู้เสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีก 2 ราย (ข้อมูลระหว่างปี 2550-2566)
“เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ช้างป่าต้องอยู่ในป่า แต่ด้วยประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น ความต้องการที่ดินทำกินก็มากขึ้น” อรรถพงษ์กล่าวและเสริมว่า เมื่อพิจารณาถึงประเด็นเกี่ยวเนื่อง พบว่า ต้นตอปัญหาที่แท้จริงของความขัดแย้งระหว่างคนและช้างที่แท้จริงกลายเป็นประเด็น “ปากท้อง” ซึ่งมีสาเหตุจากการเข้าไปกินผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาฯ อย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทและเงื่อนไขที่จำกัด อช.กุยบุรี จึงได้แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง ภายใต้กฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
การรักษาความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารและน้ำ ถือเป็นกลไกหลักในการป้องกันไม่ให้ช้างออกนอกพื้นที่ สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในป่าธรรมชาติและกลับสู่ถิ่นฐานที่อยู่อาศัยดั้งเดิม สำหรับสัตว์ป่ากินพืช “โป่ง” (Salt Lick) หรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุนานาชนิด มีความจำเป็นต่อการดำรงของสัตว์ประเภทนี้อย่างมาก โดยพวกมันจะกินดินและน้ำ น้ำ เพื่อรับหรือทดแทนสารอาหารประเภทแร่ธาตุที่ไม่มีอยู่ในพืช
อย่างไรก็ตาม ด้วยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก และการขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้โป่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อันเป็นแหล่งอาหารหลักของสัตว์ป่ามีจำนวนลดน้อยถอยลง แนวคิดและการสร้าง“โป่งเทียม” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นหนึ่งในวิธีการบริหารจัดการสัตว์ป่า กล่าวคือ เจ้าหน้าที่จะนำเกลือสมุทรผสมกับดินบริเวณที่กำหนด เมื่อเผชิญกับความชื้นจากฝนหรือน้ำค้าง เกลือก็จะละลาย ทำให้ดินบริเวณนั้นเค็ม สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ก็จะพากันมากินดินเหล่านี้ เช่นเดียวกับแหล่งน้ำที่มีความสำคัญต่อช้างป่าที่มีอัตราการบริโภคน้ำที่ 200 ลิตรต่อวัน ทำให้ต้องมีการจัดทำแหล่งน้ำขึ้นเช่นเดียวกัน
ในช่วงปี 2551-2566 อช.กุยบุรี ได้จัดทำโป่งเทียมแล้วเสร็จทั้ืงสิ้น 103 โป่ง ตลอดจนแหล่งน้ำ 18 บ่อ (สร้างจากดิน) และกระทะน้ำ 43 จุด (สร้างจากปูนซีเมนต์)
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ปฏิเสธได้ยากว่าจะไม่มีช้างออกหากินนอกพื้นที่เลย เนื่องจากพื้นที่เกษตรกรรมในปัจจุบันเดิมทีเป็นถิ่นฐานที่ช้างป่าอาศัยและแหล่งอาหาร ด้วยเหตุนี้ การผลักดันช้างกลับเข้าป่า จึงเป็นอีกแนวทางในการลดความเสียหายและลดความขัดแย้งฯ
ทั้งนี้ อช.กุยบุรี ได้ร่วมมือกับสมาชิกชุมชนจัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังช้างป่า” มีหน้าที่ป้องกันและเฝ้าระวังช้างป่าออกนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและทรัพย์สินของราษฎร โดยแบ่งชุดปฏิบัติการออกเป็น 5 ชุด ชุดละ 5-6 คน ในตอนกลางของอุทยานฯ ขณะที่ตอนเหนือและใต้มีประจำการอีกฝั่งละ 1 ชุด
แต่ด้วยสถานการณ์ที่ช้างป่าออกหากินเขตพื้นที่เกษตรกรรมมีมากขึ้น ทำให้ อช.กุยบุรี ต้องสนธิกำลังกับราษฎร ผ่านการรวมกลุ่มก่อตั้ง “เครือข่ายราษฎรเฝ้าระวังช้างป่า” ซึ่งประกอบด้วยราษฎรในพื้นที่จำนวน 117 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 16 หมู่บ้าน 6 ตำบล 4 อำเภอของ จ.ประจวบคีรีขันธ์
เพราะ “ปากท้อง” คือต้นตอแห่งความขัดแย้ง ดังนั้น การเพิ่มรายได้ เพื่อทดแทนผลกระทบหรือลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน จึงเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเข้ามาแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนผ่านการมีส่วนร่วมผ่าน “การท่องเที่ยว” โดยใช้ฐานทรัพยากรที่มีอยู่ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เปลี่ยนความเกลียดชังเป็นความหวงแหน และนั่นจึงเป็นที่มาของสมญานาม “กุยบุรี ซาฟารีเมืองไทย”
“ผมเชื่อว่าที่กุยบุรี เป็นต้นแบบการจัดการความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ผ่านการปรับใช้ 3 แนวทางสำคัญ ป้องกัน ผลักดัน สร้างการมีส่วนร่วม เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี สังคมก็มีสุข สิ่งแวดล้อมยั่งยืน” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี กล่าว
แม้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าบริเวณพื้นที่ อช.กุยบุรี จะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ระหว่างทาง โดยเฉพาะการนำแผนบนกระดาษไปสู่ภาคปฏิบัติ ยังคงมีความท้าทายนานัปการรออยู่เบื้องหน้า
ติดตามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งคนและช้างป่าผ่านกุยบุรีโมเดล ตอนที่ 2 ได้เร็ว ๆ นี้ที่ https://www.true.th/blog/newsroom
ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ที่กำหนดให้ชื่อผู้ใช้งาน โมบายแบงก์กิ้ง ต้องตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นแนวทางในการยกระดับความปลอดภัยการใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง สกัดกั้นบัญชีม้า ที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพ ซึ่งล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนต้องดำเนินการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2568
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญต่อมาตรการของภาครัฐที่เป็นแนวทางเสริมสร้างความปลอดภัยทางการเงินและป้องกันซิมผี บัญชีม้า ซึ่งเรื่องดังกล่าวแม้จะเป็นเรื่องระหว่างธนาคารผู้ให้บริการกับลูกค้าที่ผูกบริการโมบายแบงก์กิ้งกับธนาคาร แต่ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการที่เชื่อมต่อระหว่างธนาคารและลูกค้า พร้อมอำนวยความสะดวกลูกค้าผู้ใช้บริการตามหลักเกณฑ์และแนวทางของธนาคารเจ้าของบัญชี โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2568 ธนาคารจะเป็นผู้ส่งข้อความแจ้งเตือนลูกค้าที่ต้องดำเนินการหากชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ไม่ตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น หากลูกค้าไม่ได้รับการแจ้งเตือน ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆและสามารถใช้โมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ ขณะที่หากลูกค้าได้รับการแจ้งเตือนจากธนาคาร สามารถติดต่อสอบถามโดยตรงจากธนาคารเจ้าของบัญชี ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 กรณีที่ต้องการเปลี่ยนชื่อผู้จดทะเบียนเบอร์มือถือให้ตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ผู้จดทะเบียนเดิมและใหม่ สามารถนำบัตรประชาชนตัวจริงมาดำเนินการได้ที่ ทรูช้อป หรือศูนย์บริการดีแทค
“การศึกษา” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญแห่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ปัจเจกบุคคล สังคม และประเทศชาติ ทว่า การจัดการระบบการศึกษาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ จำต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร เวลา และเทคโนโลยี
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาต่อความเจริญก้าวหน้าของชาติ ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ก่อตั้งโครงการ “ทรูปลูกปัญญา” เพื่อร่วมพัฒนาและขยายโอกาสทางการศึกษาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบัน ดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 17 แล้ว
ในการณ์นี้ True Blog ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ เยาวชนวัยเรียน 3 คนที่มีภูมิหลังทางการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 3 ได้ใช้คลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ส่องสว่างเส้นทางการศึกษา
เสาหลักภายใต้ห้วงการเปลี่ยนผ่าน
จ๊ะจ๋า - จิณณาภา ญานะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เธอเป็นเด็กที่เติบโตมาจากการศึกษา 2 ระบบ โดยเข้ารับการศึกษาระบบโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ต่อมาเธอตัดสินใจเข้ารับการศึกษาในระบบโฮมสกูล (Home School) ซึ่งเป็นการศึกษาในระบบรูปแบบหนึ่งตาม พรบ. การศึกษา พ.ศ. 2545 มาตรา 12 ที่ให้สิทธิบุคคลหรือหน่วยงานในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ในกรณีโฮมสกูลนั้น จะใช้บ้านเป็นฐานการเรียนรู้ มีการจัดแผนการเรียนโดยอิงจากความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ภายใต้คำแนะนำของศึกษานิเทศก์
“ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างประถมสู่มัธยม พี่ชายจ๊ะจ๋ามีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์มาก และกำลังมองหาระบบการศึกษาที่เอื้อต่อความสนใจของเขา แม้ตอนนั้น หนูจะเด็กมาก แต่ก็รู้สึกว่าโลกนอกตำรายังมีสิ่งน่าสนใจอีกมาก หนูจึงตัดสินใจย้ายมาระบบโฮมสกูลเช่นกัน” จิณณาภา เล่าถึงภูมิหลังทางการศึกษา
ในห้วงแห่งเปลี่ยนผ่านนั้น เธอยอมรับว่า เธอเองก็เผชิญกับความยากลำบากด้านการจัดการหลักสูตร เนื่องจากยังไม่ค้นพบแนวทางการเรียนรู้ของตนเอง แม้ระบบโฮมสกูลจะให้อิสระและความยืนหยุ่นแก่ผู้เรียน
ทั้งในแง่หัวข้อและเวลา แต่ขณะเดียวกัน ผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างมากเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพราะด้วยแนวคิดและวิธีการของระบบโฮมสกูล ผู้เรียนคือ เจ้าของการเรียนรู้ที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ คุณแม่ผู้เคยทำหน้าที่ครูในระบบโรงเรียนมาก่อน จึงแนะนำเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ ให้เป็นทางออก
“เพราะแต่ละเทอม หนูจะต้องรวบรวมผลงานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาเพื่อเทียบเคียงวุฒิฯ กับหลักสูตรแกนกลาง และด้วยทรูปลูกปัญญานี้เอง ทำให้หนูจับหลักหาแนวทางของตัวเองได้” เธอกล่าวและเสริมว่า “นอกจากการสอนที่มีคุณภาพจากคุณครูที่ช่วยให้เราเห็นการเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมในโลกแห่งความจริงได้แล้ว ช่วงท้ายของวิดีโอยังมีการสรุปบทเรียนออกมาเป็นประเด็นๆ ทั้งยังสามารถพิมพ์ออกมาให้เราเทคโน้ต ที่สำคัญ ยังมีใบงานที่ทำให้เราได้ทบทวนความเข้าใจของบทเรียน ใช้เป็นร่องรอยหลักฐานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาได้เลย”
เป็นระยะเวลาราว 7 ปีกับห้องเรียนอันกว้างใหญ่ จิณณาภาได้ศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวตามความถนัด ด้วยกระบวนการเรียนรู้อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟอร์มทีมแข่งขันประกวดสื่อสร้างสรรค์ การนำเสนอแผนโครงการแอปพลิเคชันเกม ตลอดจนงานอดิเรกอย่างงานเย็บปักถักร้อย
“โฮมสกูลทำให้หนูได้มีโอกาสทดลองเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่จำกัดด้วยกรอบของหลักสูตรฯ เท่านั้น เพราะโลกคือห้องเรียน” จิณณาภา กล่าว
ภายหลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในระบบโฮมสกูล จิณณาภาเลือกกลับเข้าสู่ระบบการศึกษากระแสหลักอีกครั้ง โดยได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพราะด้วยหลักสูตรที่มีความเป็นสหวิชา กอปรกับนิสัยรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และชื่นชอบการทำงานทางความคิดของเธอ ทำให้เธอตกผลึกทางความคิดต่อประเด็นด้านการศึกษาว่า
“การศึกษาคือ เครื่องมือในการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การศึกษาที่มีคุณภาพ จึงควรเป็นเครื่องมือที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในการศึกษาระบบไหน ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เข้าถึงการศึกษาด้วยเช่นกัน ซึ่งทรูปลูกปัญญาได้ทำหน้าที่นั้นอย่างแท้จริง กล่าวคือ การทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้ทุกคนได้เข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะ
เป็นคนชอบสรุป คนชอบเนื้อหาเชิงลึก รวมถึงความยืดหยุ่น ที่ทำให้เราเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้” จิณณาภา กล่าว
ค้นหาแรงบันดาลใจ-ความถนัดทางการศึกษา
ไปรท์ - วราเทพ ชื่นตา นิสิตชั้นปีที่ ๅ คณะครุศาสตร์ สาขาประถมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า เขาเป็นหนึ่งในผลผลิตทางการศึกษาจากค่านิยมของสังคม กล่าวคือ สังคมไทยโดยผู้ใหญ่รุ่นพ่อรุ่นแม่มักมีมายาคติ “เรียนเผื่อเลือก” รวมถึงการเหมารวม (Stereotype) ของการศึกษา ทำให้เกิดค่านิยมเลือกแผนการเรียนสายวิทย์-คณิตในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างกว้างขวาง แม้เด็กบางคน จะยอมรับว่าชื่นชอบหลักวิชาทางสังคมศาสตร์มากกว่า นำมาสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาที่จำกัดกรอบการเรียนรู้ของผู้เรียน
“จริงๆ แล้ว ผมชอบวิชาสังคมศึกษา เพราะมันทำให้ฝึกการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงตรรกะ และการเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ต่อปรากฏการณ์สังคม แต่ด้วยค่านิยมทางการศึกษาและคำชี้แนะกึ่งบังคับของผู้ใหญ่ จึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งพอเจอวิชาคำนวณอย่างฟิสิกส์ เคมีเข้าไป ผมทิ้งเลย ขมขื่นมากๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่ชอบการคำนวณ” วราเทพ บอกเล่าถึงประสบการณ์การเรียน
แต่เมื่อเลือกแล้ว เขาจึงเดินหน้าต่อ โฟกัสและหาเป้าหมายต่อไปในสายวิชาที่ชื่นชอบ ภายหลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หนึ่งในคณะที่วาดฝันไว้จึงเป็นคณะครุศาสตร์ ทว่า การสมัครเข้าคัดเลือกในคณะดังกล่าว จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาความถนัดครู (TPAT5) วราเทพจึงหาวิถีทางในการเตรียมสอบฯ โดยรบกวนผู้ปกครองให้น้อยที่สุด นั่นจึงทำให้เขาพบกับคลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ภายในเว็บไซต์มีคลังข้อสอบ และแบบทดสอบจำลองเสมือนจริง ทำให้เขา “เข้าใจ” ถึงหลักคิด และ “จับทาง” บททดสอบ ตั้งแต่ระดับความยากง่าย ประเด็นที่ทดสอบ รวมถึงจุดเแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อชี้ให้เห็นแนวทางการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
ขณะเดียวกัน วราเทพยังได้ใช้สื่อการเรียนการสอนทั้งในรูปแบบ digital book และวิดีโอในคลังบทเรียน เพื่อทบทวนบทเรียนจากโรงเรียน รวมถึงค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทำการบ้านและรายงานส่งอาจารย์ โดยเฉพาะวิชาโปรดอย่างภาษาไทยและสังคมศึกษา จนทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ผมมองว่า การศึกษาคือ การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด อันเป็นวิถีแห่งการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของผู้เรียนให้ก้าวไปอีกขั้น โดยมีพื้นฐานจากความกระหายใคร่รู้ ไม่ใช่เพื่อตัวเลขบนข้อสอบ ซึ่งคลังความรู้อย่างทรูปลูกปัญญา ถือเป็นอีกหนึ่งแพลทฟอร์มสำหรับการเริ่มต้น เพื่อค้นหาความถนัดของตัวเอง” วราเทพ กล่าว
ตั้งเป้าหมาย-ค้นหาตัวเอง
วี - ศิวัช สุชาครีส์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ให้ความเห็นว่า เขาและเพื่อนวัยเรียนต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เนื้อหาที่บรรจุในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับนั้นมีปริมาณมากเกินไป ทั้งแนวกว้างและแนวดิ่ง โดยมองข้ามมิติด้านความถนัดไป อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ปริมาณและความหลากหลายของเนื้อหาวิชานั้นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรปรับรูปแบบจากภาคบังคับเป็นลักษณะ “ตลาดวิชา” ให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนได้เอง การ จากสภาวะทางการศึกษาดังกล่าว ทำให้ผู้เรียนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันอยู่ในภาวะเครียดสะสม
“ผมว่าการศึกษาในระบบโรงเรียนยังไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนมากพอในยุคที่ข้อมูลความรู้อยู่รอบตัว การเรียนการสอนยังเป็นลักษณะท่องจำมากกว่าเข้าใจ” วี กล่าว
ทั้งนี้ การสอบเเข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยนับเป็นอีกหนึ่ง “จุดเปลี่ยน” ของชีวิต ที่ทำให้หลายคนฟันฝ่า มุ่งมั่น ทุ่มแรงกายแรงใจ เพื่อพิชิตคณะที่ต้องการ บ้างเลือกตามความสนใจ บ้างเลือกตามความถนัด และบ้างก็เลือกตามค่านิยมของสังคม หรือความต้องการของตลาดแรงงาน สิ่งเหล่านี้ สะท้อนถึง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหาในระบบการศึกษาไทย
ด้วยเหตุนี้ วี จึงมองหา “ตัวช่วย” นำทาง พาให้เขาไปถึงฝั่งฝันทางการศึกษาและอาชีพการงาน โดยเขาได้ใช้ Plook Explorer ระบบที่ช่วยให้ทุกคนรู้จักตัวตนมากขึ้น และค้นพบตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่า บนเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้อดีข้อเสียของแต่ละสาขาอาชีพ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเลือกคณะหลักและสำรองทั้ง 10 อันดับของ TCAS นอกจากนี้ วียังได้ค้นคว้าเจาะลึกถึงการเตรียมพร้อมการประกอบอาชีพวิศวกรผ่านคู่มือ เอื้ออำนวยต่อการวางแผน กิจกรรม ทักษะและสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนการสมัครรอบต่างๆ ฯลฯ“ผมมองว่าการศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีพรมแดน ศาสตร์ทุกศาสตร์ล้วนมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น ขอเพียงแต่มีความกระหายใคร่รู้อยู่เสมอ” วี กล่าวทิ้งท้าย