×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 806

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (บลจ.ภัทร)

นายณรงค์ศักดิ์  ปลอดมีชัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลพร้อมกัน 5 กองทุน  ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว ซีเล็คท์ (ชนิดจ่ายเเงินปั) (SCBLTSED) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง(ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBPMO) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศ ซึ่งจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 18 ตุลาคม 2561 นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ (SCBGPROP) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นญี่ปุ่น (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBNK225D) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้น LOW VOLATILITY (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBLEQ) โดยจะจ่ายในวันที่ 22 ตุลาคม 2561 นี้  รวมมูลค่ากว่า 33 ล้านบาท

โดยกองทุน SCBLTSED จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 24 เมษายน 2561 - วันที่ 30 กันยายน 2561 เป็นการจ่ายปันผลครั้งแรก นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561  ซึ่งกองทุนนี้เป็นกองทุนที่บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนหุ้นไทยที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีกองทุนภายใต้การบริหารที่ได้รับการจัดอันดับมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว และ 4 ดาว เน้นสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีข้อจำกัดการลงทุน  มีการใช้กลยุทธ์ที่ผสมผสานหลากหลายโมเดลการลงทุนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งในแต่ละโมเดลการลงทุนมีการคัดเลือกหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนมีความเชื่อมั่นว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้สูงที่สุด โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 5.26% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561)

กองทุน SCBPMO จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.6300 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - วันที่ 30 กันยายน 2561 นับเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 3.6200 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2541) มีนโยบายการลงทุนเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตยิ่งขึ้นในอนาคต โดยมี net exposure ในตราสารดังกล่าว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 4.00%  (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561)

สำหรับกองทุน SCBGPROP จะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - วันที่ 30 กันยายน 2561 ในอัตรา 0.2396 บาทต่อหน่วย มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ไปแล้ว 0.1556 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.0840 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 4 รวมจ่ายปันผล 0.4896 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559) โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 0.54%  (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF WORLD REAL ESTATE SECURITIES FUND ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80  ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งมีนโยบายเน้นบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนใน REIT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock Investment Management (UK) Limited  ทั้งนี้กองทุนหลักเน้นลงทุนใน REITs และหุ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้กองทุนมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว โดยกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น ที่พักอาศัย สำนักงาน โรงแรม และอาคารพาณิชย์ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการกระจายลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก

ส่วนกองทุน SCBNK225จะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - วันที่ 30 กันยายน 2561 ในอัตรา 0.3843 บาทต่อหน่วย มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ไปแล้ว 0.3033 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.0810 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 8 รวมจ่ายปันผล 2.7713 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556) โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 15.81% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561) มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nikkei 225 Exchange Traded Fund (กองทุนหลัก) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน บริหารงานโดย Nomura Asset Management Co.,Ltd. จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และลงทุนในสกุลเงินเยน (JPY) มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุนทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีนิคเคอิ 225 และตราสารทุนที่กำลังจะมาเป็นส่วนประกอบของดัชนีนิคเคอิ 225 ในสัดส่วนการลงทุนเดียวกับจำนวนหุ้นในดัชนีนิคเคอิ 225 (Nikkei 225 Index หรือ Nikkei Stock Average)

และกองสุดท้ายกองทุน SCBLEQ จะจ่ายในอัตรา 0.1736 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2561 - วันที่ 30 กันยายน 2561 นับเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 0.8338 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559)  โดยมีผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 8.41% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561)  มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน  Low Volatility Equity Portfolio ชนิดหน่วยลงทุน (Share Class) I   สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) บริหารโดย AllianceBernstein L.P  เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักลงทุนในตราสารทุนที่โดยพื้นฐานมีความผันผวนคาดการณ์และความเสี่ยงขาลงคาดการณ์ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวม ซึ่งจัดการกองทุนจะคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าพอร์ตการลงทุนโดยการใช้แบบจำลองเพื่อคำนวณค่าความเสี่ยงและผลตอบแทนของหลักทรัพย์ รวมถึงใช้หลักการวิเคราะห์ และประสบการณ์ด้านการลงทุนที่ยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งพอร์ตการลงทุนที่ประกอบไปด้วยหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำที่สุด ในขณะที่มีคุณภาพด้านปัจจัยพื้นฐานดีที่สุด โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่อยู่ในตลาดที่พัฒนาแล้วเป็นหลัก

 

          Crescent Crypto Asset Management ผู้จัดการกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัล ที่นำโดยศิษย์เก่าโกลด์แมน แซคส์ ประกาศปิดการระดมทุน Series A และเปิดตัวกองทุนต่างประเทศ Offshore Cayman โดยการระดมทุนรอบนี้นำโดย FBG Capital ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบล็อกเชน ตั้งแต่การลงทุนในโทเคน การซื้อขาย เช่น principal trading, over-the-counter ("OTC") trading ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนประเภทต่าง ๆ ได้เข้ามาลงทุน พร้อมนำเครือข่ายและความรู้ในอุตสาหกรรมมาสู่ Crescent

           FBG จะอาศัยความได้เปรียบจากฐานการดำเนินงานระดับโลกที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยสนับสนุน Crescent ในการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ สำหรับกลุ่มกองทุนเชิงรับ (passive fund) ทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ นอกจากนี้ FBG จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของตนเองเพื่อช่วย Crescent พัฒนาและนำผลิตภัณฑ์เหรียญดิจิทัลหลายสกุลเข้าจดทะเบียนในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม

           สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ในการขยายทีมงาน ว่าจ้างผู้บริหารระดับอาวุโสประจำฝ่ายขายและการพัฒนาธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่บุคลากรที่มีความสามารถจากบริษัทวาณิชธนกิจและผู้ให้บริการ ETF ชั้นนำ ซึ่งมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะผลักดันสกุลเงินดิจิทัลเข้าสู่ตลาดกระแสหลักเช่นเดียวกันกับบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งใจที่จะนำเงินทุนที่ได้มาใช้สร้างแพลตฟอร์มให้คำปรึกษาและการวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย

          กองทุนต่างประเทศ (Offshore Fund) กำหนดมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ 250,000 ดอลลาร์ และขณะนี้เปิดรับใบจองซื้อแล้ว โดยมีค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% และสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนเป็นรายไตรมาส

           Crescent Crypto เปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิของปี 2560 ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททุกคนเริ่มต้นการทำงานที่โกลด์แมน แซคส์ ก่อนที่จะไปสั่งสมประสบการณ์เพิ่มเติมในกองทุนเฮดจ์ฟันด์และธุรกิจเงินร่วมลงทุน โดยมี Crescent 20 Index Fund เป็นกองทุนเรือธง โดยเป็นกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัลที่บริหารจัดการโดยเอกชน ที่มุ่งเน้นผลตอบแทนการลงทุนในโลกของคริปโตด้วยแนวทางเชิงรับและมีกฎเกณฑ์ กลยุทธ์การลงทุนดังกล่าวปรับตัวตามความผันผวน สภาพคล่อง และการจัดเก็บที่ปลอดภัย (safe storage) และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ไม่ซับซ้อนสำหรับนักลงทุน กองทุน Crescent 20 Index ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมประมาณ 90% ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล กองทุนถูกจัดเก็บในรูปแบบ Cold Storage ทั้ง 100% และมีการปรับสัดส่วนกองทุนเป็นประจำทุกเดือน ทั้งนี้ กองทุนในประเทศ (onshore fund) จำกัดการลงทุนให้กับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (accredited investor) เท่านั้น ด้วยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ 100,000 ดอลลาร์

วรวรรณ ธาราภูมิ CEO บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด ผู้บริหารอารมณ์ดีผู้มีบทบาทในตลาดทุนมายาวนานคนนี้ให้ภาพพัฒนาการของตลาดทุนไทยว่ามีการพัฒนาไปมาก จุดเปลี่ยนที่เห็นชัดคือเมื่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดทำโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม ซึ่งทำให้คนทั่วไปเข้าใจในเรื่องการลงทุนมากขึ้น สร้างกระแสความสนใจการออมและการลงทุนได้เป็นอย่างดี 

Page 4 of 4
X

Right Click

No right click