December 05, 2025

มากกว่าความเป็นอาหาร แต่คือการผลิตผู้บริหาร Next-Gen ที่มีความสุขุม นุ่มลึก

ชูความเหนือด้วยออนไลน์ 100% แห่งแรกในไทย - อัดแน่นด้วยวิทยากรที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) เดินหน้าพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ตอบรับความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัล เปิดรับสมัครเรียนการบัญชีมหาบัณฑิตและบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) ปีการศึกษา 2568 เน้นการอัพสกิลผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถรอบด้าน พร้อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพสู่ภาคธุรกิจ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้

ดร.อริสรา ธานีรณานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า หลักสูตรปริญญาโทการบัญชีมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน ให้สามารถวิเคราะห์ งบการเงิน และวางแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือมีการเพิ่มทักษะของผู้บริหาร รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สร้างรายงาน และคาดการณ์ธุรกิจ รวมถึงการเรียนรู้ด้าน Big Data และ Data Analytics นอกจากนี้ หลักสูตรยังให้ความสำคัญกับการบัญชีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ครอบคลุมประเด็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการคำนวณต้นทุนคาร์บอนเครดิตในภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของวิชาชีพบัญชีในบริบทของยุคสมัย

"จุดเด่นของหลักสูตรการบัญชีมหาบัณฑิต คือ ใช้เวลาเรียน Coursework เพียง 1 ปี เรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ทำให้ผู้เรียนสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเนื้อหายังคงเข้มข้น และเรายังมีการปรับพื้นฐานสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบสาขาบัญชีโดยตรง นอกจากนี้ หลักสูตรนี้เน้นการเรียนการบัญชีดิจิทัลและพัฒนาทักษะ 10 ด้านใน 10 รายวิชา อาทิ การวางแผนบัญชี เทคโนโลยีสำหรับวิชาชีพบัญชี การบริหารความเสี่ยงในองค์กร การบัญชีเพื่อความยั่งยืน โดยได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งเจ้าของกิจการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท ที่ต้องการอัพสกิลความรู้ด้านบัญชีดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ” ดร.อริสรา กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ ทิพรส ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า หลักสูตร MBA ของ DPU เปิดสอนมากว่า 40 ปี มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการสร้างวิธีคิดแบบผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล (Entrepreneurial Mindset) และเสริมแนวคิดด้าน ESG ซึ่งประกอบด้วย Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) รวมถึง SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังรองรับการเรียน 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย อังกฤษ และจีน มีการบูรณาการภาคทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ ผ่านการจำลองโมเดลทางธุรกิจและกรณีศึกษาจริง ที่สำคัญอาจารย์ผู้สอนมีความเชี่ยวชาญ การันตีจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูลระดับชาติและนานาชาติ โดยสามารถเรียนจบได้ภายใน 1.8 ปี และเลือกเรียนได้ทั้งวันเสาร์หรือวันอาทิตย์

“ผู้เรียนส่วนใหญ่มาจาก 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ พนักงานบริษัท พนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ และนักศึกษาจบใหม่ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เข้ารับการศึกษา จะได้รับองค์ความรู้ใน 3 ศาสตร์หลักอันเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การบริหารจัดการ การตลาดดิจิทัล และการเงิน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งทางด้านการยกระดับทักษะและการพัฒนาทักษะใหม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของกิจการ ในส่วนของพนักงานบริษัท วุฒิการศึกษาที่ได้รับมีความเป็นสากล สามารถต่อยอดการปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาท หรือสามารถนำความรู้ด้านการบริหารไปใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัวได้

อีกทั้งยังเป็นคุณสมบัติที่ได้รับการยอมรับในการสมัครเข้ารับราชการ เนื่องจากหลักสูตรมีความครอบคลุมและเปิดกว้างสำหรับทุกตำแหน่งงาน นอกจากนี้ หลักสูตร MBA ในปัจจุบันยังได้บูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอน โดยเฉพาะในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และมีการสอนการประยุกต์ใช้ AI ในบริบททางธุรกิจด้วย" ผศ.ดร.ปิยะวิทย์ กล่าวในตอนท้าย

หลักสูตรปริญญาโททั้ง 2 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ โดยมีทุนส่วนลดพิเศษ 20% สำหรับผู้ที่สมัครเรียนภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-accountancy-program-in-accountancy   และ https://www.dpu.ac.th/th/course/profile/profile-master-of-business-administration-program-in-business-administration

ที่ผ่านมา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีการกำหนดรอบของการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันสมัยอยู่เป็นระยะๆ อย่างน้อยทุกๆ 5 ปี แต่สำหรับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Business School :TBS) เชื่อว่าโลกของความรู้ ปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา ยิ่งเป็น MBA ยิ่งต้องพัฒนาไปให้ไว เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้เรียน สำหรับนำไปใช้ในการบริหารดำเนินธุรกิจ การทำงานในยุคปัจจุบันให้มากที่สุด

ทั้งนี้ ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโททางบริหารธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยถึงหลังแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรตลอดจนการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง ว่า TBS ยึดหลัก Customer Centric มาตลอด ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ในการกำหนดและพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนให้ได้มากที่สุด

ปัจจุบันผู้ที่สนใจเข้ามาเรียน MBA จะมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือ พนักงานทั่วไปที่มีความฝันอยากเป็นผู้ประกอบการ โดยลักษณะของคนกลุ่มนี้คือ ทำงานอยู่ในฟังก์ชันของตัวเอง เช่น บัญชี วิศวกร เทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในงานของตัวเองแต่ยังขาดทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ ดังนั้นเมื่ออยากเปิดบริษัทของตัวเอง อยากทำธุรกิจ อยากทำสตาร์ตอัป ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ก็จะเลือกเข้ามาเรียนรู้ที่ MBA เพราะเป็นหลักสูตรที่จะช่วยให้เริ่มเข้าใจถึงองค์ประกอบของการทำธุรกิจ ต้องมีฟังก์ชันอะไรบ้าง โดยผู้เรียนก็จะได้เรียนรู้ในทุกวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ จบไปก็สามารถเป็นผู้ประกอบการได้

ถัดมาใน กลุ่มที่สองคือ ผู้คนที่อยากเปลี่ยนสายงาน ยกตัวอย่างเช่น เรียนจบปริญญาตรีมาทางด้านวิศวกร แต่เมื่อทำงานไปสักระยะ เริ่มรู้สึกสนใจในงานด้านอื่น อย่าง การเงิน การตลาด ฯลฯ แต่จะเปลี่ยนงานไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังขาดทักษะและประสบการณ์ ดังนั้นจึงเข้ามาเรียน MBA เพื่อศึกษาว่าถ้าเปลี่ยนสายงาน หรือ ธุรกิจที่สนใจอยากทำ ควรต้องมีความรู้มีอย่างไรบ้าง และค่อยเจาะลึกเข้าไปจนเกิดความเชี่ยวชาญ เช่น อยากทำด้านการเงิน ในปีหนึ่งของหลักสูตร MBA ก็จะได้เรียนพื้นฐานทั้งเรื่องของ Finance Marketing Human resources ฯลฯ พอปีสองถ้าสนใจการเงินจริง ๆ ก็สามารถเลือกวิชาการเงินโดยเฉพาะได้ ซึ่งพอเรียนรู้ก็จะมีทั้งทักษะ และประสบการณ์ด้านการเงิน สามารถขยับขยายเปลี่ยนสายงานได้ตามที่ตั้งใจไว้

กลุ่มที่สาม คือ คนทำงานที่ไม่ได้อยากเปลี่ยนสายงาน แต่อยากเติบโตขึ้นไปอีกระดับในองค์กรที่ทำ คือในแง่ของการทำงานต้องยอมรับว่า ถ้าอยากขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นในสายงานที่ทำอยู่ เรื่องความรู้ทักษะในการบริหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เช่น เรียนจบมาแล้วทำงานวิศวกร การจะขึ้นเป็นระดับ Manager Director จะดูเฉพาะข้อมูลของวิศวกรไม่ได้ แต่ต้องรู้จักเรื่องของบัญชี การบริหารดูแลคนในทีม ดังนั้นเพื่อเพิ่มทักษะการมาเรียนต่อปริญญาโท มาเรียน MBA ก็เป็นอีกทางที่ทำให้เติบโตขึ้นไปได้อีก

ดังนั้น ทุกครั้งที่ TBS มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาหลักสูตร จะทำโดยคำนึงถึงความต้องการและประโยชน์ของผู้เรียนที่จะได้รับมาก่อนเสมอ โดยมีทั้งสัมภาษณ์ผู้เรียนว่าต้องการทักษะ หรือความรู้ด้านไหน และพูดคุยกับองค์กรบริษัทชั้นนำในไทย และต่างประเทศที่เป็นพันธมิตร ว่าต้องการคนทำงานที่มีทักษะแบบไหน และขอความคิดเห็นจากศิษย์เก่าว่าหลักสูตรที่สอนสามารถนำไปใช้งานได้จริง หรืออยากให้ปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบใดบ้าง ร่วมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองการเรียนการสอนกับสถาบันการศึกษาทางด้าน MBA ในต่างประเทศ เพื่อจะได้นำมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับการศึกษาในไทย เรียกได้ว่าการปรับการพัฒนาหลักสูตรทำขึ้นจากสถานการณ์ของโลกการทำธุรกิจ ณ ปัจจุบันและรับเทรนด์ในอนาคตไปพร้อมกัน

 

หลักสูตรทันสมัย ถ่ายทอดจากตัวจริงในสนามธุรกิจ

โลกธุรกิจมาเร็วเปลี่ยนไว การเรียนการสอนเรื่องของบริหารธุรกิจ ให้กับผู้เรียนที่อยู่ในวัยทำงานที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว กลายเป็นความท้าทายของ TBS ที่ “ศ.ดร.นภดล” ยอมรับว่าหลักสูตรของที่นี่ต้องแน่นและทันสมัย ที่สำคัญผู้สอนในคณะของ MBA ต้องมีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่าไปอีกระดับ

“อาจารย์ในภาค MBA มี 2 ภาคส่วนสำคัญ คือ อาจารย์ประจำ ซึ่งคณะอาจารย์ส่วนใหญ่ เป็นที่ปรึกษาให้กับภาคธุรกิจ บริษัทใหญ่ ๆ ดังนั้นจึงเข้าใจแนวทางกระบวนการทำธุรกิจในแต่ละยุคสมัยอย่างเข้มข้น ส่วนที่สองคือ กลุ่มของอาจารย์พิเศษ ซึ่งเป็นทั้ง CEO หรือ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท หรือผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ทางคณะเชิญเข้ามาร่วมบรรยายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสอนในหลักสูตร MBA ทางอาจารย์ก็สอนสิ่งที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งทักษะ ความรู้ในการบริหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ AI หรือ ESG ฯลฯ คือผู้เรียนได้เห็นทั้งภาพการบริหารธุรกิจทั้งในวันนี้ และอนาคต

อย่างวันนี้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจ เมื่อหลักสูตร MBA สอนให้คนเป็นผู้ประกอบการ เป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ ความรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ AI จำเป็นต้องมี เพราะเป็นเครื่องมือที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเข้ามาอยู่ในธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่ TBS ทำไม่ใช่พัฒนาหลักสูตร AI ขึ้นมาโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบัน ในหลายวิชาก็จะมีการแทรก เครื่องมือนี้เข้าไปอยู่แล้ว ทางคณาจารย์ก็จะพูดถึง AI ว่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร จะแทรกเรื่อง AI เข้าไปอยู่แล้วในบริบทของวิชาตัวเองที่สอนอยู่แล้ว

หรือ การเพิ่มรายวิชาที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดอย่าง CEO Vision ก็เกิดขึ้นจากแชร์ไอเดียร่วมกันระหว่างผู้เรียนกับ TBS ที่ต่างเชื่อตรงกันว่า Vision คือหนึ่งในหัวใจของการบริหารธุรกิจให้โตได้อย่างแข็งแรง ซึ่งคนที่จะมาพูดเรื่องราวนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ CEO หรือผู้นำองค์กร อย่างเวลาที่เจอวิกฤตทำอย่างไร นำพาองค์กรไป พลิกฟื้นขึ้นมา การทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง จึงได้สร้างวิชานี้ขึ้นมา โดยเชิญ CEO จากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำองค์กรเอกชน ภาครัฐ เข้ามาร่วมบรรยาย ในบางครั้งก็มีการพานักศึกษาไปดูงานถึงบริษัทเลย

แลกเปลี่ยนความรู้ เพิ่มทักษะการบริหารรอบด้าน

นอกเหนือจากเรื่องของหลักสูตรแล้ว จุดเด่นที่สำคัญของ MBA ของมธ. ที่ต่างไปจากที่อื่น ๆ คือ เรื่องของรูปแบบการเรียนการสอนที่ชัดเจน ตั้งแต่ต้นทางคือ กำหนดเกณฑ์ผู้เข้าเรียนต้องมีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ที่ทำเช่นนี้เพราะผู้เรียนจะได้รับทั้งความรู้จากหลักสูตร และความรู้จากการแชร์ประสบการณ์ร่วมกันของผู้เรียนด้วยกันเอง

ซึ่งเรื่องนี้ “ศ.ดร. นภดล” ย้ำว่าสำคัญมาก “การก้าวไปเป็น CEO ในบริษัท ย่อมเจอคนหลากหลายไม่ได้เจอคนกลุ่มเดียว เจอนักบัญชี วิศวกร สถาปัตย์ ฯลฯ ยิ่งไปสูง ต้องยิ่งเจอคนกว้าง ซึ่ง MBA ก็จะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ อยู่กับคนที่มีความเห็นที่หลากหลายแตกต่างจากคุณ มองภาพจากโจทย์ ที่ไม่เหมือนที่คุณมองในอดีต เหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการบริหารสร้างธุรกิจให้เติบโตในอนาคต” พร้อมกับขยายความต่อว่า

การเรียน MBA ไม่ใช่เรียนจากตำรา แต่เรียนรู้จากการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นจริง เจอปัญหา การแก้ปัญหา ซึ่งภายในชั้นเรียนจะประกอบไปด้วยผู้คนทั้ง 3 กลุ่ม ที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งล้วนมี Background ที่ต่างกัน อยู่ในสายงานต่างกัน แต่ทั้งหมดมีความสนใจธุรกิจ สนใจการบริหารเป็นหลักเหมือนกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และการที่ทุกคนมีประสบการณ์ในการทำงานมาระดับหนึ่ง เมื่อยก Case Study หรือ มีผู้บริหาร CEO ในธุรกิจต่าง ๆ มาร่วมพูดคุย ก็จะเข้าใจการทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งการแชร์ไอเดียจะเกิดความสัมพันธ์ทั้ง CEO และในระหว่างผู้เรียนทั้งหมดด้วย

อย่าง หันซ้ายไปเจอเพื่อนที่เรียนเป็นคุณหมอก็ได้รู้ว่าการบริหาร รพ.ต้องเจออะไร หรือ หันไปด้านขวา เจอเพื่อนเรียนที่เป็นนักบัญชี ถ้าเจอปัญหาต้องทำไง หรือเพื่อนด้านหน้าทำงานด้านวิศวะจะจัดการปัญหาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ฉะนั้นยิ่งมีความหลากหลายของผู้เรียนในชั้นเรียนมากเท่าไร ก็จะเป็นประโยชน์มากเท่านั้น เพราะในการทำงาน บริหารธุรกิจจริง ๆ ต้องเจอผู้คนที่หลากหลายทั้งอาชีพที่ต่างกัน ระดับสายงานที่ต่างกัน มีมุมมองที่แตกต่างจากเดิม ๆ การเรียน MBA ก็เหมือนทำให้ผู้เรียนค่อย ๆ ซึมซับกับความคิดเห็นที่แตกต่าง การทำธุรกิจในแง่มุมต่าง ๆ และสามารถนำมาปรับใช้ต่อยอดได้ในแบบของผู้เรียนเอง เพราะเมื่อทำธุรกิจ ต้องบริหารคนหลายฝ่าย เจอโจทย์มุมมองความคิดที่หลากหลาย”

นอกจากสร้างการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้ว ล่าสุด “ศ.ดร.นภดล” เผยว่าได้มีการจัดตั้ง สมาคมศิษย์เก่า MBA ธรรมศาสตร์ ขึ้นมา เพื่อให้เป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างศิษย์เก่านับหมื่นคนกับศิษย์ปัจจุบัน ได้มีโอกาสสร้าง Connection ต่อกัน บนพื้นที่ ที่สามารถแลกเปลี่ยนมุมมองความคิด ประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ ผ่านรูปแบบของกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ MBA Thamamsat Talk เวทีกลางที่จัดให้มีการพูดคุย Update ความรู้ หรือ MBA Thammasat Night เพื่อให้ศิษย์เก่าทุกรุ่นได้มาร่วมทำความรู้จักกันมีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันในมิติต่าง ๆ รวมถึงสร้าง MBATU Club ต่าง ๆ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างศิษย์เก่าและนักศึกษาปัจจุบันจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่เพิ่มมิติหลักสูตร MBA ของ TBS ให้สามารถผลักดันสร้างคนทำงานที่เก่ง นักบริหารเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้


บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ

เพราะการเงินและการศึกษา เรียกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จ ความก้าวหน้าเพื่อการพัฒนาทั้งบุคลากร สังคมและเศรษฐกิจของประเทศในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในยุคนี้ที่บริบทต่างๆ ในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังทางเทคโนโลยีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ซึ่งได้รับการยอมรับกันว่าเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย และยังเป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนธุรกิจ หรือ Business School ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก โดย AACSB (Association to Advance Collegiate School of Business) มาอย่างต่อเนื่องถึง 3 วาระ ด้วยองค์ประกอบความเข้มแข็งทั้งหลักสูตร องค์ความรู้ทางวิชาการ ทรัพยากรและบุคลากร คณาจารย์มีคุณวุฒิปริญญาเอกมากที่สุดของประเทศไทย

นิตยสาร MBA ได้รับเกียรติสัมภาษณ์ ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM, CFP สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ประจำหลักสูตรการเงิน การลงทุน และการบริหารความเสี่ยง คณะบริหารธุรกิจ นิด้า ที่ได้แบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ตลอดจนการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้เรียนในหลักสูตรMBA ของนิด้า

 

เทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรมการเงิน การลงทุน และแนวทางการจัดวางหลักสูตรเพื่อตอบโจทย์

ศ.ดร. กำพล ได้เผยว่า “ในปัจจุบันทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการลงทุนเองก็ไม่ต่างกัน เราได้เห็นการเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี หรือ Exchange-Traded Fund (ETF) ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกและโอกาสในการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น”

ทั้งนี้อาจารย์ยังกล่าวถึงบทบาทของ AI และการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศของการลงทุนว่า “AI และเทคโนโลยี Robot Trading ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนในหลายมิติ ใครที่ตามทันเทคโนโลยีก็จะได้รับโอกาส ในขณะที่บริษัทที่ปรับตัวไม่ทันจะเผชิญภัยคุกคาม”

นอกจากนี้ ศ.ดร. กำพล ยังย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีว่า “ในสายการเงิน การตามเทคโนโลยีให้ทันเป็นสิ่งสำคัญ นักศึกษาที่เรียนในสาขานี้จำเป็นต้องมีทักษะใหม่ๆ ไม่ใช่แค่ความรู้เดิมๆ อีกต่อไป ใครที่รู้จัก AI และนำมาใช้จะได้เปรียบ ส่วนใครที่ยังพึ่งพาความรู้เดิมๆ อาจกลายเป็นจุดอ่อนในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

เทคโนโลยี AI เป็นได้ทั้งโอกาส ความท้าทาย และภัยคุกคาม

ศ.ดร. กำพล ขยายความในเรื่องนี้ว่า สำหรับนักลงทุน มีการลงทุนแบบใหม่ๆ กลยุทธ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก ตอนนี้มีการนำ AI มาใช้แพร่หลาย และมีการพูดขยายกันต่อไปว่า ต่อไป AI จะมาแทนอาชีพหลายๆ สายงาน ได้หรือไม่? ตอนนี้ หลายคนมองว่าAI สามารถมาแทนหน้าที่ผู้วิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือหน่วยงานด้านเทคนิค หากว่าคนที่ดูด้าน technical แล้วรู้จักนำ AI มาปรับประยุกต์ใช้ ก็จะเป็นโอกาส แต่ใครที่ใช้เพียงความรู้และทักษะเดิมๆ โดยละเลยการนำเทคโนฯ ใหม่ๆ ก็จะเป็นภัยคุกคาม เพราะสามารถนำ AI แทนได้มั้ย

การผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติในหลักสูตร MBA

เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ในหลักสูตร MBA ศ.ดร. กำพล เล่าว่า “ที่นิด้า เราเน้นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างลงตัว หลักสูตรของเรานำเนื้อหาที่ใช้ในการสอบใบประกาศนียบัตรวิชาชีพ เช่น CFA (Chartered Financial Analyst) , FRM (Financial Risk Manager) , และ CFP (Certified Financial Planner) มาใช้ เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่อัปเดตอยู่เสมอ”

ซึ่ง ศ.ดร. กำพล เสริมว่า “เนื้อหาการสอบ CFA ในปัจจุบันมีการเพิ่มเรื่อง Machine Learning และ Data Analytics เข้ามา แม้ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง แต่ต้องเข้าใจเทรนด์และเครื่องมือเหล่านี้ เช่นเดียวกับการเข้าใจคริปโทเคอร์เรนซี และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม และที่สำคัญ CFA ไม่ใช่แค่การสอบ แต่คือมาตรฐานความรู้ที่อัปเดตและครอบคลุมความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่า ถ้าผู้เรียนสอบผ่านมาตรฐาน CFA ซึ่งเป็นการสอบความรู้ที่ อัปเดตตลอดเวลา นั่นหมายความว่า นักศึกษาผู้สอบผ่านก็เป็นผู้มีความรู้ที่ทันยุคสมัยและอัปเดตทเฉกเช่นเดียวกัน และที่สำคัญมาตรฐานการสอบสากลนี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่า ผู้สอบผ่านมีความรู้ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเหมือนกันทั่วโลก นี่คือสิ่งที่ MBA นิด้าเราผลักดัน สนับสนุนผู้เรียนให้ไปสอบมาตรฐานสากลเหล่านี้ โดยมี Incentive ว่า ถ้านักศึกษาสอบผ่านจะได้รับทุนสนับสนุนมอบให้ เรียกได้ว่า เป็นจุดแข็งสำคัญหนึ่งของเรา”

 

เทรนด์การลงทุนในไทยและโอกาสทางเศรษฐกิจ

ศ.ดร. กำพล ยังพูดถึงแนวโน้มในตลาดการเงินของประเทศไทยว่า “หุ้นไทยในปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการสนับสนุนจากกองทุนวายุภักษ์ การลดดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล แต่สิ่งสำคัญคือต้องมองว่าราคาหุ้นเหมาะสมกับพื้นฐานหรือไม่”

นอกจากนี้ ศ.ดร. กำพล ยังกล่าวถึงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลกว่า “ด้วยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) อาจเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในเชิงยุทธศาสตร์ แนวโน้มหลายบริษัทข้ามชาติใหญ่อาจพิจารณาเลือกมาตั้ง Data Center ในไทย อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และทรัพยากรบุคคลของเราให้มีความพร้อมรับทั้งในแง่คุณภาพและความเพียงพอเพื่อรองรับการลงทุนเหล่านี้ ซึ่งการศึกษาจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสำเร็จในเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่า การลงทุนในประเทศไทยจะยั่งยืนได้ ต้องมาพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ

การศึกษากับการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ

ในประเด็นด้านการศึกษา ศ.ดร. กำพล เน้นว่า “ประเทศไทยต้องลงทุนในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญในการแข่งขันในระดับโลก”

อาจารย์ยกตัวอย่างประเทศจีนและอเมริกาว่า “ประเทศเหล่านี้มีมหาวิทยาลัยที่ผลิตคนเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น จีนที่สร้างมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรืออเมริกาที่มี Silicon Valley เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล”

ซึ่งมุมมองของ ศ.ดร. กำพล มองว่าการศึกษาไม่ได้หมายถึงการเพิ่มงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแก้ปัญหาคุณภาพการสอนด้วย เช่น การดึงดูดคนที่มีความสามารถมาเป็นครู และการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างมาตรฐานการเรียนการสอนที่เท่าเทียม

“การพัฒนาประเทศต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เพราะคนที่มีคุณภาพคือหัวใจของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน” ศ.ดร. กำพลเผย

ความเข้มแข็งและโดดเด่นของหลักสูตร การเงินและการลงทุน MBA นิด้า

ศ.ดร. กำพล เผยว่า “MBA ของนิด้าไม่ใช่แค่การเรียนรู้ แต่คือการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เรามุ่งมั่นที่จะเป็นหลักสูตรที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทั้งนักศึกษาและอุตสาหกรรม”

อาจารย์ย้ำว่า “จุดเด่นของเราคือการผสมผสานความรู้ด้านวิชาการและการปฏิบัติจริง เพื่อให้นักศึกษาไม่เพียงแค่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้”

การศึกษาในหลักสูตร MBA ของนิด้า คือ “การลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสร้างผู้นำที่พร้อมเผชิญความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต”

จากแนวคิดและมุมมองของ ศ.ดร. กำพล ที่ได้แบ่งปันต่อผู้อ่าน ผ่านบทความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนิด้าในการสร้างหลักสูตร MBA ด้านการเงินและการลงทุนที่โดดเด่นและตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM, CFP สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ถ่ายทอดมุมมองและความรู้ที่มีคุณค่า ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ


บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ

Page 1 of 18
X

Right Click

No right click